สงครามนางฟ้าชีวอาวุธ
-
เขียนโดย สิงหาศัพท์
วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 21.57 น.
8 ตอน
0 วิจารณ์
9,524 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 27 มีนาคม พ.ศ. 2560 22.09 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) ผู้หลบหนีจากสถานีวิจัย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ แสงสุทินเช็ดน้ำตาที่เริ่มไหลเป็นสาย แล้วพูดโดยกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ คนที่เขากำลังพูดด้วยก็คือ คนที่สร้างเสียงแหวกพงหญ้ามาจากข้างหลังซึ่งกำลังเอามือแตะหูฟังเดินวนเหมือนกำลังหาสัญญาณอยู่ และสวมเสื้อผ้าที่ชิโอริเป็นคนเลือกให้จากร้านในเขตอยู่อาศัยที่ 101
“ทำไมไม่อยู่ฟังเรื่องที่ฮานามิคนนั้นพูดล่ะ เธอเป็นคนถามเองไม่ใช่เหรอ”
“พวกชิโอริเริ่มคุยกันเองแล้วล่ะ ถึงฉันจะอยู่ฟังก็ไม่เข้าใจอยู่ดี” ฮิโรมิทำหน้าตาซึม แล้วเดินวนต่อไปเรื่อยๆ
“เธอกำลังทำอะไรอยู่ ถึงกับเดินมาไกลขนาดนี้เชียว” แสงสุทินหันไปถามหลังจากที่กลั้นน้ำตาได้แล้ว
“ฉันคงเอาตัวเองไปเสี่ยงกับเก้าอี้ไฟฟ้าเพื่อบอกนายไม่ได้หรอกนะ แล้วทำไมนายถึงจมูกแดงอย่างนั้นล่ะ เปลี่ยนสีเหมือนกับสัตว์เหรอ พวกมนุษย์มีฤดูผสมพันธุ์ในช่วงเดือนนี้พอดีสินะ”
“เป็นแค่เด็กแต่ใช้คำพูดล่อแหลมซะจริง” เขาถอนหายใจให้กับเด็กประถมตรงหน้า
“ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะ อายุก็หนึ่งปีครึ่ง ผู้รุกรานจากอวกาศก็เคยสู้มาแล้ว ยังมีตรงไหนที่เหมือนกับเด็กอยู่อีกเหรอ ความจริงแล้ว นายต่างหากที่เหมือนกับเด็ก ดื้อรั้น สั่งให้ทำอะไรก็ชอบทำอีกอย่าง นี่คือนิสัยของเด็กที่เคยได้ยินสินะ” ฮิโรมิโวยวายราวกับเด็ก แสงสุทินมองเด็กประถมผมแดงที่แก่แดดแก่ลม แล้วจึงถอนหายใจอีกครั้ง
“ช่างเถอะ ไม่มีเด็กที่ไหนจะกล้าต่อสู้กับสัตว์ประหลาดตัวใหญ่เท่าตึกหรอก เธอชนะก็ได้” เขาพูดจบแล้วกำลังจะเดินขึ้นเขาต่อไปอีก แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ “แต่… พวกเธอต่อสู้กับมันมาตลอด ต่อสู้กับตัวที่เรียกว่าผู้รุกรานจากอวกาศมาตลอดเลยเหรอ ทั้งที่มันก็ตัวใหญ่กว่าตั้งขนาดนั้น ขาของเธอไม่เป็นไรแล้วนะ ฉันคิดว่าจะกลับมาเป็นปกติไม่ได้แล้วซะอีก”
“ก็ถ้าพวกฉันไม่สู้ แล้วใครจะปกป้องมนุษย์ได้ล่ะ” ฮิโรมิทำคอตก ทั้งที่กำลังพูดเรื่องที่น่าภาคภูมิใจอยู่ “แต่ว่านาย ทำไมตอนนั้นถึงไม่หนีไป ทั้งที่ฉันก็บอกไปแล้วว่านายจะตายได้ ทำไมถึงยังช่วยฉันที่ไม่มีประโยชน์แล้วอีกล่ะ”
“เธอพูดเรื่องอะไรน่ะ” แสงสุทินถามย้อน
“ทิ้งให้เซย์ริตายแล้วมีชีวิตรอดไปได้ มันเป็นเรื่องพื้นฐานของมนุษย์อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ สถานีวิจัยยังบอกเอาไว้เลย ถ้ามีทางเลือกให้ฉันต้องตายเพื่อรักษาชีวิตของมนุษย์ ฉันก็ต้องทำ แล้วตอนนั้นก็ยังมีคนอื่นอีกเป็นสิบ เสียแค่ฉันคนเดียวก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย นายแค่ต้องเอาตัวรอดไปให้ได้เท่านั้นไม่ใช่เหรอ”
แสงสุทินอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน เขาพยายามพูดแทรกอยู่หลายครั้ง แต่คำสุดท้ายทำให้เขาพูดไม่ออก
ก็เคยได้ยินจากชิโอริแล้วว่าเซย์ริต้องต่อสู้เพื่อปกป้องมนุษย์ แต่ไม่คิดเลยว่าจะมีเบื้องหลังอะไรอย่างนี้ เซย์ริทุกคนถูกสอนให้ทิ้งชีวิตของตัวเองเพื่อให้มนุษย์เอาตัวรอดไปได้ ไม่มีคำว่ารักตัวเองสำหรับพวกเธอเลย มีหน้าที่ต่อสู้เมื่อต้องต่อสู้และตายเมื่อต้องตาย วงจรชีวิตของเซย์ริมีอยู่แค่นี้
ก่อนหน้านี้ แสงสุทินเคยคิดว่าชิโอริเป็นพวกเห็นแก่ตัว แต่เมื่อได้ยินเรื่องนี้จากฮิโรมิ เขาคิดว่าเธอตัดสินใจถูกแล้ว
“ฉันไม่รู้…” เขาตอบ “ถ้าเธอคิดว่าการที่เธอต้องตายเพื่อให้ฉันรอดเป็นสิ่งที่ถูก ฉันน่าจะโยนเธอทิ้งไปตั้งแต่แรก ไม่สิ ก็มีความคิดว่าจะทำอยู่เหมือนกัน แต่สุดท้าย ฉันก็วิ่งไปกับเธอจนได้ชิโอริมาช่วย ฉันต้องกลับขอบคุณชิโอริแล้วสินะ แต่ว่า คนแรกที่ฉันต้องขอบคุณก็คือเธอ… คือเธอนะ ฮิโรมิ”
“ขอบคุณฉัน ขอบคุณเรื่องอะไรเหรอ” ฮิโรมิอ้ำอึ้งไปเมื่อได้ยินคำพูดนั้น
“ถ้าเธอไม่มาจับชิโอริในวันนั้น ฉันคงคิดว่าชิโอริเป็นคนเห็นแก่ตัวจนถึงตอนนี้ ฉันคงไม่ได้เห็นพวกเธอต่อสู้กับผู้รุกรานจากอวกาศ แล้วก็คงไม่ได้รู้ว่าพวกเธอต้องเจออะไรบ้างในการต่อสู้แต่ละครั้ง ถ้าฉันยังเอาแต่อยู่ในสถานหลบภัย ฉันก็ไม่มีทางรู้เรื่องพวกนี้หรอก ต้องขอบคุณเธอจริงๆ นะ”
“ไม่รับได้ไหม ฉันไม่เหมาะกับคำขอบคุณอย่างนั้นหรอก” ฮิโรมิก้มหน้าลงต่ำ แสงสุทินเห็นสีผมของเธอเป็นสีแดงสว่างขึ้น แต่คงตาฝาดไปเอง “ถ้าจะขอบคุณ ไปบอกชิโอริที่ช่วยนายเอาไว้ดีกว่า หรือไม่ก็นักบินอัลฟ่าเชสเซอร์ที่พานายไปรักษาตัวที่สถานีวิจัย อย่ามาบอกกับฉันเลย”
ภายใต้ใบหน้าที่ก้มลงต่ำ แสงสุทินคงไม่มีทางเห็นรอยยิ้มอันลำบากใจของเธอ แต่ฝ่ามือที่ประสานกันตรงหน้าอกกำลังบอกว่าเธอตื้นตันมากแค่ไหน
“ฉันต้องขอบคุณเธออีกอย่างหนึ่ง” แสงสุทินยกมือขึ้นประนม แล้วก้มศีรษะอย่างอ่อนน้อม “ขอบคุณที่ต่อสู้เพื่อพวกเรามาตลอดนะ เธอคงจะเหนื่อยมาตลอด ขอบคุณที่เห็นพวกเรามีค่าถึงขนาดที่ยอมเสี่ยงชีวิตให้ ขอบคุณจริงๆ”
“บอกแล้วไงว่าไม่รับคำขอบคุณ” ฮิโรมิกัดฟันแน่น แต่สุดท้ายแล้วก็เงยหน้าขึ้นมา พร้อมกับรอยยิ้มที่ได้เห็นเป็นครั้งแรก แตกต่างจากรอยยิ้มน่ากลัวที่เคยเห็นโดยสิ้นเชิง “แต่ก็… ขอบคุณนะ”
คำพูดสุดท้ายที่เปล่งออกมา ร่างกายของฮิโรมิก็เรืองแสงสีแดง ต่อหน้าแสงสุทินที่เคยเห็นสิ่งนั้นเกิดขึ้นกับเซย์ริคนหนึ่งมาแล้ว เขานึกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นก็ร้องเสียงหลง แต่ฮิโรมิกลับไม่ทุกข์ร้อนเลย กลับมองความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นด้วยสายตาทึ่ง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอไม่ใช่การสลายไปในอากาศ ร่างกายของเด็กประถมมีการเติบโตอย่างพรวดพราด จนหยุดที่ความสูงระดับอกของแสงสุทิน แล้วแสงสว่างก็เลือนหายไป เหลือเอาไว้แต่ฮิโรมิที่ดูเป็นผู้หญิงมากขึ้น
เด็กประถมกลายเป็นเด็กมัธยมต้นภายในเวลาแค่ไม่กี่วินาที เสื้อผ้าที่ชิโอริเลือกให้ใส่ได้พอดีรัดตึงจนฉีกขาด เผยสัดส่วนที่เริ่มเติบโตให้เห็นได้ชัดเจนขึ้น แต่แทนที่เธอจะปกปิดส่วนที่โผล่ขึ้นมา ฮิโรมิยังคงจ้องมองฝ่ามือราวกับมีอะไรอยู่ในนั้น แต่ในมือทั้งสองข้างไม่มีอะไรเลย
“โตขึ้นมาแล้ว รู้สึกเหมือนพลังก็เพิ่มขึ้นด้วย หรือว่านี่คือร่างวิวัฒนาการระดับสอง”
ฮิโรมิพูดจบก็ลองขยับแขนขา แต่เมื่อรู้สึกว่าเสื้อผ้ากำลังรั้งร่างกายอยู่ก็เปลี่ยนไปสวมอาภรณ์เทพธิดาแทน เซลล์ผิวหนังแบ่งตัวจนเป็นอาภรณ์เทพธิดาสวมทับเสื้อผ้าเดิม แต่อาภรณ์เทพธิดาก็มีความเปลี่ยนแปลงเช่นกัน แทนที่จะเป็นชุดหนังสีแดงเข้มตามปกติ มันกลับมีรูปร่างเป็นชุดเกราะหนาสีแดงไร้ลวดลายคล้ายกับของชิโอริสวมทับชุดหนังสีแดงแขนกุด กระทั่งดาบแสงที่หยิบขึ้นมาก็มีรูปร่างเป็นดาบอยู่แล้ว ไม่ได้มีแค่ปลอกที่ต้องใส่พลังลงไปเพื่อสร้างเป็นคม
เธอกระโดดโลดโผนเหวี่ยงดาบไปทุกทิศทางด้วยความเร็วสูง เกิดเสียงใบไม้ไหวขึ้นรอบตัว
“วิวัฒนาการแล้ว แข็งแกร่งขึ้นแล้ว แต่เสื้อผ้าขาดหมดเลยนี่สิ” เมื่อทดสอบร่างกายเสร็จแล้ว ฮิโรมิก็กลับมาอยู่ต่อหน้าแสงสุทิน แล้วดาบแสงก็กลายเป็นแสงกลับคืนสู่ร่างกาย แต่ก็ยังสวมอาภรณ์เทพธิดาอยู่อย่างนั้น “กลับกันดีไหม คิดว่าพวกชิโอริน่าจะคุยกันเสร็จแล้ว เอาไว้ค่อยให้ชิโอริสรุปเรื่องที่คุยกันให้ฟังทีหลังแล้วกันนะ” เธอยื่นมือขวาให้แสงสุทิน เขาคิดอะไรไม่ออกนอกจากเอื้อมมือไปคว้าไว้ ก่อนจะเดินกลับไปที่บ้านของชิโอริทั้งสภาพแบบนั้น
“จริงสิ เธอเดินมาถึงตรงนี้ตั้งแต่แรกทำไมเหรอ” แสงสุทินเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องที่ยังคุยกันไม่จบ “แล้วตอนแรกฉันเห็นเธอใส่หูฟังใช่ไหม เธอกำลังคุยกับใครอยู่หรือเปล่า”
แต่ก็สายเกินไปแล้ว
“ขืนฉันบอกก็ซวยน่ะสิ” ฮิโรมิเลี่ยงที่จะไม่ตอบคำถาม แต่จับมือแสงสุทินกระชับขึ้น แล้วกระซิบกับตัวเอง
ทั้งสองกลับมาถึงบ้านของชิโอริในไม่กี่นาทีต่อมา พวกเขาคาดหวังว่าชิโอริกับฮานามิจะคุยกันจบแล้ว และกำลังรอให้พวกเขากลับเข้ามาในบ้าน แต่ว่าเปล่าเลย พวกเธอยังไม่ต้องการให้พวกเขากลับมาในตอนนี้ ชิโอริกำลังนั่งจดจ่ออยู่กับโต๊ะเขียนหนังสือโดยมีฮานามินั่งประกบอยู่ข้างๆ และกำลังคุยเรื่องที่ฟังแล้วก็ไม่เข้าใจสักนิด แต่เป็นคนละเรื่องกับที่คุยกันตอนแรกอย่างแน่นอน มีแค่ไม่กี่คำที่พอจะจับใจความได้
นั่นคือ (ปลูกถ่าย) และ (รุ่นที่สอง)
“ไม่ต้องแอบฟังก็ได้ เข้ามานั่งคุยกันดีๆ ฉันจะเล่าให้ฟังตั้งแต่ต้นเอง” ฮานามิหันมาทางแสงสุทินที่แอบฟังอยู่จากช่องประตู แล้วยังเพ่งมองเหมือนรู้อยู่แล้วว่าถูกแอบฟัง เขาจึงเปิดประตูเข้าไปพร้อมกับฮิโรมิ “พวกเธอหายไปไหนกันเหรอ ปล่อยให้ฉันคุยอยู่กับชิโอริคนเดียวก็เลยครั่นตัวอยากจะสอนขึ้นมา แต่เกิดอะไรขึ้นกับฮิโรมิเหรอ โตขึ้นผิดหูผิดตาเลยนี่”
ชิโอริหันมาตามคำพูดของฮานามิ แล้วก็ได้เห็นเด็กสาวผมสีแดงเข้มในรูปร่างใหม่ แต่สายตาของเธอจับจ้องไปยังหน้าอกที่ใหญ่ขึ้นมาก สลับกับหน้าอกของฮานามิที่ใหญ่กว่านั้นอีก ก่อนจะแผ่รังสีอาฆาตอย่างชัดเจน ถึงกับพึมพำสาปส่งกันเลย ฮิโรมิที่เห็นสายตาคู่นั้นจึงเดินเข้าไปใกล้ แล้วตบไหล่เป็นการให้กำลังใจหนึ่งครั้ง แต่นั่นให้ผลตรงกันข้าม
“พวกเธอคุยอะไรกันอยู่เหรอ แล้วชิโอริกำลังเขียนอะไรอยู่ ท่าทางเป็นเรื่องยากมากเลยนี่นา”
แสงสุทินเอ่ยถาม แต่คำตอบที่ฮานามิให้กลับมาถูกเสียงโวยวายของชิโอริกลบจนแทบไม่ได้ยิน
“แค่พูดคุยเรื่องงานเก่าเท่านั้นเอง ว่าแต่พวกเธอเถอะ หายไปทำอะไรกันเหรอ ถึงกับวิวัฒนาการเป็นระดับสองเลย แต่ท่าทางเธอก็ไม่รู้ด้วยเหมือนกันสินะ” ฮานามิยิ้มหยอก “ไม่มีใครรู้กลไกที่ทำให้พวกเราวิวัฒนาการตัวเองได้แน่ชัด แม้แต่เรื่องที่พวกเราวิวัฒนาการได้ก็เพิ่งจะมารู้เมื่อปี 2145 ขนาดฉันที่วิวัฒนาการมาแล้วก็ยังไม่รู้เลยว่าวิวัฒนาการได้ยังไง ตอนนั้นจำได้แค่ว่าพวกมนุษย์กำลังจะตาย แล้วร่างกายมันก็ร้อนวูบ พอรู้สึกตัวอีกทีก็วิวัฒนาการไปซะแล้ว”
“งานของเธอคือวิจัยและพัฒนาเซย์ริใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นเธอก็ต้องรู้สิ ตอนที่ฮิโรมิกลายเป็นอย่างนี้ ฉันตกใจแทบแย่เลยนะ นึกว่าเธอจะกลายเป็นเหมือนกับคนที่ฉันเคยเจอ…” แสงสุทินพูดแล้วหยุดอยู่แค่ตรงนี้ ภาพคนตายที่ได้เห็นทำให้เขาเริ่มรู้สึกไม่ดีขึ้นมาอีกครั้ง
“ความตายสินะ…” ฮานามิปล่อยยิ้ม “ก็ไม่แปลกหรอก เธอเคยเห็นผู้รุกรานจากอวกาศมาแล้ว จริงสินะ เข้าใจแล้วล่ะ เหตุผลที่เธอให้คุณมนุษย์คนนี้อาศัยอยู่ด้วยก็เพราะเรื่องนี้เองสินะ” เธอหันไปหาชิโอริที่กำลังยื้อยุดกับฮิโรมิโดยพุ่งเป้าไปที่หน้าอกเป็นหลัก
ชิโอริปล่อยมือจากฮิโรมิ แล้วหันกลับมาพยักหน้าพร้อมทำสีหน้าเครียด เมื่อเห็นดังนั้น ฮานามิก็ถอนหายใจ
“ใช่จริงๆ สินะ ตอนนั้นค่อนข้างฉุกละหุกก็เลยจำไม่ค่อยได้ สรุปว่าเธอคือมนุษย์ที่ตกค้างในตอนนั้นนี่เอง”
“ใช่จริงๆ… เหรอ เธอรู้เรื่องนั้นได้ยังไง ใครเป็นคนบอกเธอ” แสงสุทินถามย้อน
“เห็นกับตาตัวเองน่ะ” ฮานามิตอบ ก่อนจะหันมองไปรอบตัวด้วยสายตาเพ่งพินิจ
ในบ้านหลังนี้มีชิโอริที่หลบหนีจากสถานีวิจัยเมื่อสองปีก่อนด้วยเหตุผลที่ไม่แน่ชัด แสงสุทินที่มีส่วนรู้เห็นในการต่อสู้เมื่อสองวันก่อน เธอที่ถูกปลดจากตำแหน่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิจัยและพัฒนาเซย์ริและเพิ่งหลบหนีมาจากสถานีวิจัยเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน และฮิโรมิอยู่ข้างนอกสถานีวิจัยเพราะคำสั่งจากทางนั้น ทุกอย่างมีจุดเชื่อมโยงกันอยู่อย่างหนึ่ง
“อย่างนี้นี่เอง ท่าทางเข้าเค้าอย่างไม่น่าเชื่อเลยนะ ยอมรับเลยว่าพวกนั้นมองการณ์ไกลกว่าฉันจริงๆ” แล้วฮานามิก็ถอนหายใจเป็นครั้งที่สาม
“พูดถึงอะไรอยู่ ว่าแต่เธอเห็นฉันอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยเหรอ ได้ยังไงกัน” แสงสุทินถามอีกครั้ง
“เธอรู้ความแตกต่างระหว่างแองเจลอยด์กับเทอร์รารอยด์หรือเปล่า” ฮานามิพูดต่อโดยไม่สนใจสิ่งที่แสงสุทินพูด “นอกจากสีผมที่เทอร์รารอยด์ถูกกำหนดเป็นโทนสีแดงแล้ว ความแตกต่างที่ชัดเจนคือ แองเจลอยด์จะมีพลังต่อสู้ระยะไกล อย่างเช่นที่เธอเห็นพวกแองเจลอยด์ใช้แสงโจมตีใส่ผู้รุกรานจากอวกาศ ส่วนเทอร์รารอยด์จะมีพลังต่อสู้ระยะประชิด เช่น ดาบแสงที่เทอร์รารอยด์ใช้ฟันผู้รุกรานจากอวกาศ แต่ว่า นอกจากเรื่องของพลังแล้ว ปีกก็เหมือนกันนะ”
ฮานามิพูดจบแล้วก็สยายปีกขนนกสีขาวของตัวเองขึ้น ขนาดของมันใหญ่กว่าของชิโอริอย่างชัดเจน
“แองเจลอยด์จะมีปีกแบบนี้เพื่อเน้นความเบาเป็นหลัก ความเร็วสูงสุดที่ทำได้ก็คือ มัค 6 ส่วนปีกของเทอร์รารอยด์จะเป็นแผ่นปีกสีน้ำตาลไร้ขน ปีกลักษณะนั้นจะเน้นการแหวกผ่านอากาศได้ดีกว่าแองเจลอยด์ ไม่ใช่แค่เร่งความเร็วได้ถึงมัค 8 แต่ยังใช้หักเลี้ยวเป็นมุมฉากได้กะทันหัน ถึงจะใช้ความเร็วสูงสุดก็สามารถทำได้นะ เหมือนกับที่ฮิโรมิทำในตอนนั้น”
“เอ่อ… เธอไม่ฟังที่ฉันพูดเลยสินะ” แสงสุทินได้รับข้อมูลที่เข้าใจยากอีกครั้ง แล้วฮานามิก็ดึงปีกของเธอกลับเข้าไปใต้แผ่นหลัง ก่อนจะพูดต่อโดยไม่สนใจแสงสุทิน คราวนี้ทั้งฮิโรมิและชิโอริต่างมองที่เธอด้วยความตกตะลึง เพราะไม่คิดว่าเธอจะพูดถึงเรื่องนั้นกับมนุษย์ได้อย่างโจ่งแจ้งถึงขนาดนี้
“นอกจากนั้นแล้ว เธอรู้เรื่องที่พวกเรามีการแบ่งเป็น (รุ่นแรก) กับ (รุ่นที่สอง) ด้วยหรือเปล่า ความแตกต่างนี้แยกไม่ได้ด้วยสายตา แต่ในการต่อสู้ มีวิธีแยกทั้งสองรุ่นได้ง่ายมากเลยนะ” ฮานามิจับแสงสุทินหันหลัง ก่อนจะใช้นิ้วลากลงไปตามกระดูกสันหลังจนไปถึงจุดหนึ่ง “สองคนนั้นรู้อยู่แล้ว ใต้กระดูกตรงนี้มีสิ่งที่เรียกว่า (แกนปีก) ฝังอยู่ มันทำหน้าที่เป็นตัวสงวนพลังงานให้ใช้ได้แค่อัตราที่จำกัด ประโยชน์ของมันคือทำให้มีโอกาสสร้างสำเร็จง่ายขึ้น แต่ผลตอบแทนก็ร้ายแรงสุดขีด มันทำให้พวกรุ่นที่สองใช้พลังได้น้อยลง พวกรุ่นที่สองถึงทำอะไรผู้รุกรานจากอวกาศไม่ค่อยได้น่ะ”
“แล้วมีอย่างอื่นอีกหรือเปล่า” แสงสุทินเห็นว่าฮานามิไม่ยอมหยุดพูดจึงยอมตามน้ำไปก่อน
“คำนำหน้าชื่อ…” ชิโอริพูดแทรกขึ้นมา “เซย์ริรุ่นที่สองมีคำนำหน้าชื่อว่า (ฟูจิซากิ) ส่วนฮานามิที่เป็นรุ่นแรกคนสุดท้ายมีคำนำหน้าว่า (ฟูจิมิยะ) อย่างเช่น (ฟูจิซากิ ชิโอริ) กับ (ฟูจิมิยะ ฮานามิ) แต่ฉันไม่เข้าใจเลย ทำไมเธอต้องเล่าเรื่องพวกนี้ให้แสงสุทินฟังด้วย ถ้าแค่พูดให้ฮิโรมิฟังก็พอเข้าใจนะ”
“ไม่ใช่คนสุดท้ายสักหน่อย ต้องมีอีกคนหนึ่งเหลืออยู่แน่” ฮานามิเถียงกลับ
“ฉันขี้เกียจเถียงกับเธอเรื่องนี้แล้วล่ะ” ชิโอริปัดรำคาญล่วงหน้า “ฉันยังมีเรื่องที่คุยกับเธอไม่จบ ถ้าเธอมาอยู่ที่นี่ แล้วเด็กคนนั้นที่เธอรับไปดูแลจะเป็นยังไง เธอคงไม่ได้ปัดความรับผิดชอบแล้วหนีมาเฉยๆ ใช่ไหม”
“เด็กคนนั้น… เรียกด้วยชื่อนี้จนติดเป็นนิสัยแล้วสินะ” ฮานามิเผยยิ้มที่มุมปาก “ริคาอะรับไปดูแลต่อแล้วล่ะ เห็นว่าเป็นตัวอย่างที่ดีกับงานวิจัยก็เลยจะเลี้ยงดูในฐานะตัวอย่างเทียบ เท่านี้ก็หมดห่วงได้แล้วนะ”
“ถ้าเป็นริกะก็โล่งอกได้หน่อย” ชิโอริถอนหายใจ “อย่างน้อยก็ดีกว่าปล่อยให้อยู่กับเธอเป็นร้อยเท่า!”
“ยังไม่หายโกรธอีกเหรอ” ฮานามิถอนหายใจจนแสงสุทินเกือบถอนหายใจตาม “เอาเป็นว่าตกลงแล้วใช่ไหม ฉันจะขออยู่ที่นี่กับเธอ แลกกับสอนความก้าวหน้าของการสร้างเซย์ริตลอดสองปีที่ผ่านมา มีหลายอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่ที่เธอไม่อยู่นะ แล้วในระหว่างที่ฉันกำลังสอนเรื่องนี้อยู่ ฉันอยากให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปก่อนนะ ตอนนี้เลย”
ฮานามิพูดจบแล้วก็ผลักฮิโรมิกับแสงสุทินออกไปจากห้อง แต่แสงสุทินยังมีอย่างสุดท้ายที่ต้องการคำตอบ เขาหันกลับไปมองฮานามิที่กำลังจะปิดประตู แล้วเอ่ยคำถามขึ้นมา
“เรื่องที่ว่าจำกัดการใช้พลังน่ะ รุ่นที่สองจำกัดเอาไว้ที่เท่าไหร่เหรอ”
ฮานามิตอบอย่างมั่นใจ นั่นเพราะคนที่สร้างและกำหนดมาตรฐานของอุปกรณ์เสริม (แกนปีก) ก็คือเธอเอง
“ปกติจะอยู่ที่ 1/10 แต่ชิโอริเป็นกรณีพิเศษนิดหน่อย เธอใช้พลังได้แค่ 1/25 เชื่อไหมล่ะ ร่างวิวัฒนาการระดับสองของเธอยังมีพลังสู้แองเจลอยด์รุ่นที่สองที่ยังอยู่ในร่างพื้นฐานไม่ได้เลยนะ”
เธอพูดจบแล้วก็ปิดประตูห้องของชิโอริ ก่อนจะเริ่มการสอนตัวต่อตัวทันที ทั้งสองคนหมกตัวอยู่ในห้องจนเกือบลืมเวลา ถ้าแสงสุทินไม่ทำอาหารเย็นจนกลิ่นโชยไปถึงข้างในห้อง ทั้งสองคนก็คงข้ามอาหารมื้อนั้นไปเลย และหลังจากที่กินมื้อเย็นเสร็จ พวกเธอก็กลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง คนที่เดินผ่านหน้าห้องรู้สึกได้ถึงความตึงเครียดที่ส่งผ่านอากาศเข้ามาอย่างชัดเจน นอกจากเนื้อหาที่ยากจนคนธรรมดาไม่มีทางเข้าใจ ดูเหมือนว่าชิโอริจะมีความหลังไม่ค่อยดีกับฮานามิด้วย
เมื่อทั้งสองอย่างรวมกันก็เกิดเป็นตัวขับไล่ดีๆ นี่เอง แสงสุทินจึงขึ้นบันไดไปนอนที่ห้องชั้นสอง ส่วนฮิโรมิที่เป็นเซย์ริ เธอไม่สามารถนอนได้จึงต้องทนกับบรรยากาศอึมครึมจนถึงเช้า แต่เธอยังมีสิ่งที่ต้องทำจึงหันไปสนใจกับสิ่งนั้นแทน ฮิโรมิหยิบหูฟังติดต่อสถานีวิจัยอีกครั้ง แล้วครั้งนี้ก็ไม่สามารถติดต่อได้อีกเช่นเคย
เธอคิดว่าเป็นเพราะไม่มีสัญญาณ แต่เสียงรอสายเปลี่ยนไปจากตอนที่เธอติดต่อกับสถานีวิจัยได้ ในทุกครั้งที่เธอลองหลังจากนั้นไม่มีเสียงรอสายเลย เหมือนไม่สามารถติดต่อได้ แล้วกว่าที่เธอจะติดต่อไปได้ก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว
เสียงรอสายกลับมาดังอีกครั้ง ตามมาด้วยการตอบรับจากปลายสายที่แตกต่างไปจากช่วงเที่ยงวัน
ในครั้งนี้ การตอบรับกลายเป็นเสียงตะโกน เหมือนกับทางนั้นไม่พอใจอย่างมาก
ดูเหมือนว่าสถานีวิจัยจะจำกัดจำนวนครั้งในการติดต่อให้ทำได้แค่หนึ่งครั้งต่อวันเท่านั้น ถ้าเธอติดต่อในวันนั้นไปแล้วครั้งหนึ่งก็จะติดต่อไปไม่ได้อีกจนกว่าจะพ้นเที่ยงคืนของวันนั้นไป นั่นเป็นสาเหตุที่ฮิโรมิติดต่อกับสถานีวิจัยไม่ได้สักที ต้องลำบากให้ทางนั้นแก้ไขระบบให้ฮิโรมิสามารถติดต่อได้สองครั้งเฉพาะวันนี้ ครั้งแรกก็คือครั้งนี้ ส่วนอีกครั้งก็คือตอนที่เธอจะรายงานผลการสังเกตการณ์ในส่วนของวันนี้ไปอีกครั้ง
แต่เรื่องที่ทำให้ปลายสายไม่พอใจไม่ได้มีแค่เรื่องที่เธอตัดสายไปก่อนที่จะรายงานความคืบหน้าเมื่อวานนี้
“ฟูจิซากิ ฮิโรมิ เราสั่งให้เธอสังเกตการณ์ฟูจิซากิ ชิโอริ แต่เมื่อวานนี้ รู้สึกว่าเธอจะเข้าไปหาเป้าหมายแล้วก็มีเรื่องให้ต้องต่อสู้กันใช่ไหม หลังจากนั้นก็อยู่ติดกับเป้าหมายตลอดเวลาอีก เรากำชับเอาไว้แล้วว่าอย่าให้เป้าหมายรู้สึกตัวเด็ดขาด หวังว่าหนึ่งวันที่ผ่านมาจะทำให้เธอคิดคำแก้ตัวที่ฟังขึ้นได้ใช่ไหม”
ฮิโรมิฟังแล้วติดใจขึ้นมา ปลายสายรู้ความเคลื่อนไหวของเธอทุกอย่าง แต่มีบางเรื่องที่พวกเขาไม่ได้พูดถึง แต่นั่นก็ทำให้เรื่องทุกอย่างง่ายขึ้นเช่นกัน
“เรื่องที่ฉันอยู่กับชิโอริสินะ ฉันคิดว่าอย่างนี้ค่ะ” ฮิโรมิเริ่มพูดเร็วขึ้น ขณะที่ระวังประตูห้องของชิโอริที่ไม่รู้ว่าจะเปิดขึ้นเมื่อไหร่ “หลักการสังเกตการณ์คือ ต้องรู้ความเคลื่อนไหวทั้งหมดของอีกฝ่าย แล้วรายงานให้มีข้อผิดพลาดน้อยที่สุด แต่ถ้าฉันเฝ้ามองจากระยะไกลก็จะมีบางช่วงที่มองไม่เห็นความเคลื่อนไหว แล้วก็มีโอกาสที่อีกฝ่ายจะระวังตัว ทำให้ช่วงที่ตกหล่นไปมีมากขึ้น ฉันคิดว่าถ้าหาทางเข้าใกล้อีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร มันจะมีโอกาสให้อีกฝ่ายไม่ทันระวังตัวและทำให้ฉันเก็บข้อมูลที่เป็นความจริงได้มากขึ้นค่ะ”
“แล้วเรื่องที่เธอต่อสู้กับฟูจิซากิ ชิโอริจะอธิบายว่ายังไง” ปลายสายเชื่อสิ่งที่เธอพูดเสียสนิท เพราะมันเป็นสิ่งที่เธอตั้งใจว่าจะทำตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
“เรื่องนั้นสินะ คือว่า…” ฮิโรมิเว้นช่วงคิดอยู่พักหนึ่ง “ก่อนจะหลบหนีจากสถานีวิจัย ชิโอริเคยเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิจัยและพัฒนาเซย์ริมาก่อน แล้วก็ยังพ่วงหน้าที่ฝึกสอนเซย์ริก่อนเข้ารับการทดสอบสมรรถภาพ คงเพราะว่าฉันผูกมิตรได้แล้ว เธอก็เลยสอนทักษะการต่อสู้ที่ฉันยังขาดให้ค่ะ พวกคุณก็คงรู้ว่าวิธีการสอนของชิโอริเป็นยังไงใช่ไหมคะ”
ทางนั้นเงียบลงไปพักหนึ่ง คงเพราะทำงานอยู่ก่อนที่ชิโอริจะหลบหนีจึงทำความเข้าใจในสิ่งที่เธอพูดโดยไม่ต้องอธิบายเพิ่ม แล้วในที่สุด เธอก็ได้รับคำตอบที่น่าพึงพอใจจากอีกฝ่าย
“อย่างนั้นเองเหรอ เอาเป็นว่าเราเข้าใจในสิ่งที่เธอพูดแล้ว เธอมีเรื่องที่จะรายงานอีกไหม”
“มีค่ะ” ฮิโรมิพูดต่อ “นอกจากเรื่องที่ฉันแฝงตัวอยู่กับชิโอริแล้ว มนุษย์ที่อาศัยอยู่กับเธอก็ไม่ค่อยน่าสงสัย แต่รู้สึกว่าพวกคุณจะไม่เชื่อใจฉันสินะคะ ถึงกับส่งเซย์ริที่ชื่อฟูจิมิยะ ฮานามิมาด้วย มีคนรายงานถึงสองคนจะไม่สับสนเหรอคะ”
เมื่อพูดถึงชื่อนั้น ปลายสายก็มีความกระวนกระวายอย่างชัดเจน คำพูดที่แตกตื่นดังเข้าหูฟังราวกับต้องการให้เธอได้ยินด้วย แต่คงเป็นเพราะทางนั้นเก็บอาการไม่อยู่ แล้วเจ้าหน้าที่คนเดิมก็พูดกับเธออีกครั้งด้วยเสียงที่ไม่มั่นใจนัก
“ฟูจิมิยะ ฮานามิ เมื่อกี้เธอพูดถึงชื่อนี้เหรอ เธอพูดจริงใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ” ฮิโรมิตอบกลับ เสียงตอบรับจากปลายสายขาดช่วงไปนับนาที
“แปลว่า… แผนการของผู้การก็ได้ผลสิ” เสียงที่เล็ดลอดจากข้างนอกพูดอย่างนั้น แล้วเจ้าหน้าที่ที่คุยกับฮิโรมิตั้งแต่ต้นก็พูดต่อ “เธอพูดจริงเหรอ ช่วยไม่ได้ ถ้าเราจะเพิ่มหน้าที่จับตามองฟูจิมิยะ ฮานามิอีกคน แล้วรายงานความเคลื่อนไหวในการติดต่อครั้งต่อไปด้วย เพราะว่าฟูจิมิยะ ฮานามิก็เป็นเซย์ริหนีทัพเหมือนกับฟูจิซากิ ชิโอริ เธอจะรับงานนี้ไหวใช่ไหม ต้องสังเกตการณ์ถึงสามคนในเวลาเดียวกันเลยนะ”
“ค่ะ” ฮิโรมิพยักหน้ารับ เพราะถึงเธอจะปฏิเสธไป ทางนั้นก็ไม่สนใจอยู่แล้ว
“จริงสิ… ฉันอยากเตือนเธอเอาไว้หนึ่งเรื่อง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ห้ามต่อสู้กับฟูจิมิยะ ฮานามิในทุกกรณี ถ้าเห็นว่าต้องต่อสู้กับอีกฝ่าย ให้รีบถอยกลับมาที่สถานีวิจัยทันที นั่นไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เธอจะเอาชนะได้ ฉันรู้ว่าเธอวิวัฒนาการเป็นระดับสองแล้ว แต่เซย์ริรุ่นแรกที่ระดับวิวัฒนาการเดียวกันมีพลังเหนือกว่ารุ่นที่สองมาก แต่ฟูจิมิยะ ฮานามิเหนือกว่านั้นไปอีก”
คำสั่งใหม่ที่แถมคำเตือนมาให้ทำให้ฮิโรมิเกิดสงสัยขึ้นมา
“ทำไมถึงสู้ไม่ได้คะ ฉันเป็นเทอร์รารอยด์ ถ้าใช้ความเร็วเข้าสู้…” ฮิโรมิรู้สึกเสียวมากขึ้นทุกครั้งที่โต้แย้ง แต่เธอก็รู้สึกไม่สบายใจเช่นกันถ้าต้องถอยโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย แต่คำตอบที่ได้กลับมาทำให้ความคิดนั้นกระเด็นไปโดยสิ้นเชิง
“ก็เพราะว่าฟูจิมิยะ ฮานามิ เป็นเซย์ริร่างวิวัฒนาการระดับสาม”
คำตอบนั้นสั้นมาก ไม่มีการอธิบายในด้านเหตุผล แต่มันทำให้ฮิโรมิยอมรับได้มากที่สุด
เธอตัดการติดต่อกับสถานีวิจัย แล้วใช้ความคิดว่าจะทำอย่างไรกับเวลาอีก 6 ชั่วโมงก่อนฟ้าสาง ตอนนี้เหลือเธอที่ยังตื่นและว่างอยู่เพียงคนเดียว จะเข้าไปในเขตอยู่อาศัยที่ 101 ก็ไม่มีอะไรให้ทำ จะกลับไปที่สถานีวิจัยเพื่อหาเรื่องคุยเล่นและปรึกษากลยุทธ์กับพวกมาโดกะก็ไม่ได้เช่นกัน จะเข้าไปในห้องของชิโอริ หรือเฝ้าดูแสงสุทินนอนหลับก็ไม่ไหวด้วย สุดท้ายเธอก็ต้องนั่งคอยอย่างสงบในห้องครัวตามลำพัง
เวลาราวตีห้าครึ่ง ประตูห้องของชิโอริก็เปิดออก ฮานามิโผล่หน้าเข้ามากวักมือเรียกเธอเข้าไปในห้อง
แล้วหลังจากนั้น ในช่วงเช้าตรู่ของอีกวันหนึ่ง…
“พวกเธออยู่กันถึงเช้าจริงๆ เหรอเนี่ย ก็เข้าใจว่าเซย์รินอนหลับไมได้นะ แต่ว่า…” แสงสุทินที่กำลังงัวเงียขยี้ตาแรง ภาพที่เห็นในห้องครัวตอนนี้มีสิ่งที่ต่างไปจากปกติ ก็ใช่ที่ฮานามิเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ด้วย แล้วก็ใช่ที่ฮิโรมิมีร่างกายเป็นเด็กมัธยมต้นแล้ว แต่ว่า… “เป็นเธอเป็นใครเหรอ เป็นคนรู้จักของเซย์ริพวกนี้ใช่หรือเปล่า”
“เสียมารยาทสุดๆ เลยนะนั่น” ฮานามิเริ่มพูดทั้งรอยยิ้ม กรรไกรในมือของเธอสับไปมาด้วยความประทับใจ
“นายจำไม่ได้จริงเหรอ” ชิโอริที่นั่งเท้าคางรอบนโต๊ะอาหารเริ่มพูดบ้าง
“ฉันไม่รู้จักเด็กผู้หญิงผมแดงคนนี้จริงๆ ถึงสีผมจะเหมือนกับฮิโรมิก็เถอะ”
“ก็นี่แหละ ฮิโรมิที่นายพูดถึง” ชิโอริตอบด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย
คำตอบที่ได้ทำให้แสงสุทินขยี้ตาสุดแรงเกิด แล้วยื่นหน้าเข้าไปจนใกล้จะชนใบหน้าของเด็กสาวมัธยมต้นคนนั้น แล้วก็เพิ่งจำได้ว่าเธอคือฮิโรมินั่นเอง แต่ฮิโรมิที่เขาเพิ่งเห็นเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อคืนนี้ไม่ได้ไว้ผมยาวถึงแค่ไหล่อย่างนี้ เจ้าตัวไม่ค่อยสนใจความสวยความงามเลยด้วยซ้ำ แต่ผ่านมาแค่ 10 ชั่วโมง เรียกว่าดูดีขึ้นเพราะเปลี่ยนทรงผมใหม่ก็คงได้ ทั้งในตอนนี้ เธอก็สวมเสื้อผ้าปกติที่มีขนาดใหญ่พอดีตัว คงเป็นเสื้อผ้าของฮานามิล่ะมั้ง
“ฉันบอกแล้วว่าไม่ต้องตัดหรอก กลายเป็นเรื่องยุ่งยากจนได้” ฮิโรมิพูดเหมือนไม่พอใจทรงผมใหม่ของตัวเอง แต่ดวงตาสีแดงเข้มมองไปทางแสงสุทินเหมือนรอการตอบรับอย่างอื่นจากเขา
“ไม่หรอก อย่างนี้ดูดีกว่าเดิมนะ เข้ากับเธอมากกว่าตอนที่ผมยาวเยอะเลยล่ะ”
“อย่างนั้นหรอกเหรอ…” ฮิโรมิตอบแล้วมุดหน้าลง นั่นเป็นนิสัยตอนเขินอายของเจ้าตัวหรือเปล่านะ
“ฝีมือการตัดผมของฉันเข้าท่าใช่ไหม ถ้าไม่รังเกียจแองเจลอยด์ เธอจะให้ฉันตัดผมด้วยไหม” ฮานามิขยับกรรไกรจนเกิดเสียงแหลม ซึ่งแสงสุทินยกมือปฏิเสธทันควัน ทำให้เธอทำหน้าไม่พอใจเล็กน้อย ก่อนจะหันไปหาเหยื่ออีกคนที่กำลังกุมมือที่รู้สึกปวดจากการเขียนหนังสือมาตลอดทั้งคืน เส้นผมสีฟ้าเงินช่างยาวน่าตัดเสียเหลือเกิน
“มองอะไรล่ะ ฉันไม่อยากให้เธอมายุ่งกับฉันหรอกนะ” ชิโอริพูดไปอย่างนั้น แต่ก็อาจไม่รอดพ้นจากเธอไปได้ สุดท้ายก็ต้องนั่งหันหลังปล่อยให้ฮานามิยุ่งกับเส้นผมของเธอตามใจชอบอยู่ดี
“คนของสถานีวิจัยรู้ความเคลื่อนไหวของพวกเรา ยกเว้นเรื่องที่เธอพูดกับฉันเมื่อวานนี้ แล้วก็เรื่องที่ฮานามิอยู่ที่นี่” ฮิโรมิพูดให้กับชิโอริที่ถูกจับให้นั่งอยู่กับที่ “เรื่องที่ว่าจะกลับไปที่สถานีวิจัย เธอพูดเรื่องนั้นก็เพื่อทดสอบเรื่องนี้สินะ เพื่อทดสอบว่าสถานีวิจัยจับตามองความเคลื่อนไหวของฉันหรือเปล่า แต่ทางนั้นน่าจะระแวงฉันที่ไม่รายงานเรื่องคุณแสงสุทินในครั้งก่อน ทำไมถึงไม่ใช้เครื่องดักฟังกับดาวเทียมเพื่อให้รู้เรื่องทุกอย่างไปเลยล่ะ”
“ก็เพราะว่าเป็นหน้าที่ ทางนั้นก็เลยไม่ติดเครื่องดักฟังกับเธอน่ะสิ” ฮานามิตอบ “จะไม่รู้ว่าฉันอยู่ที่นี่ก็ไม่แปลก ก่อนมาถึงที่นี่ ฉันทำลายเครื่องดักฟังกับอุปกรณ์ติดตามที่พวกนั้นติดมากับเสื้อผ้าของฉันไปแล้ว สถานีวิจัยขอแค่รู้ตำแหน่งของเธอก็ไม่จำเป็นต้องใช้กล้องดาวเทียมติดตามตัวแล้วล่ะ”
ได้ยินดังนั้น ฮิโรมิก็หน้าซีดขึ้นมา เธอรีบลุกขึ้นไปค้นเสื้อผ้าที่เธอใส่มาจากสถานีวิจัย ซึ่งขณะนี้ถูกตากเอาไว้ข้างนอกบ้าน คนที่รับผิดชอบซักมันก็คือแสงสุทิน ถ้ามีเครื่องมือติดมากับเสื้อผ้า เขาก็คงรู้ตัวในทันที แล้วเธอก็ตรวจสอบไปถึงอาภรณ์เทพธิดาของตัวเอง แต่ก็ไม่พบสิ่งแปลกปลอมเช่นกัน
“หาไปก็ไม่เจอหรอก สิ่งที่ทำให้สถานีวิจัยรู้ตำแหน่งของเธอถูกฝังอยู่ในตัว แต่ถ้าเธอกรีดมันออกมา เธอคงตายทันทีเลยล่ะ” ชิโอริพูด “สิ่งที่ทำให้รู้ตำแหน่งของเซย์ริรุ่นที่สองก็คือแกนปีก เพราะเครื่องมือที่พกพาภายนอกจะเสียหายในการต่อสู้ได้ง่าย และในการต่อสู้แต่ละครั้งค่อนข้างจะวุ่นวาย สถานีวิจัยเลยไม่รู้ตำแหน่งของเซย์ริที่ยังมีชีวิตอยู่ ตอนที่พัฒนาแกนปีกเพื่อเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการสร้างเซย์ริ เธอก็เลยติดตั้งอุปกรณ์ติดตามตัวลงไปด้วย เธอถึงได้รู้ตำแหน่งของฉันตอนที่เข้ามาจับตัวไงล่ะ แต่เซย์ริรุ่นแรกไม่มีแกนปีก ทางนั้นก็เลยต้องใช้เครื่องติดตามแทนน่ะ”
ระหว่างที่ชิโอริพูดอยู่ ฮานามิก็วางกรรไกรแล้วใช้หวีจัดทรงให้กับชิโอริ เธอเก็บเส้นผมที่ตัดแล้วในถุงพลาสติกเพื่อนำไปกำจัดทีหลัง แล้วเธอก็ลุกขึ้นไปหยิบกระจกจากในห้องน้ำ เพราะในบ้านหลังนี้ไม่มีกระจกพกพาเลยสักบาน
“เสร็จแล้วล่ะ ทรงผมใหม่ของเธอสวยดีใช่ไหมล่ะ”
ฮานามิพูดอย่างมั่นใจ แต่ทรงผมใหม่ของชิโอรินั้นแทบจะไม่ต่างจากเดิมเลย แค่เล็มส่วนที่ยาวเกินกลางหลังขึ้นมาให้เท่านั้น แสงสุทินเปรียบเทียบความแตกต่างก่อนหน้านี้แล้วรู้สึกว่าชิโอริดูดีขึ้นมาเล็กน้อย อาจเพราะเธอตัวเตี้ยเท่ากับเอวของเขาอยู่แล้วทำให้ความเปลี่ยนแปลงแค่เล็กน้อยดูชัดเจนขึ้นมา
แล้วเขาก็ฉุกคิดขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง
“จริงสิ แกนปีกมีรูปร่างยังไงเหรอ เหมือนแกนบังคับของหุ่นยนต์อะไรประมาณนี้หรือเปล่า”
“เป็นแผ่นกลมน่ะ แผ่นทรงกระบอกเหมือนกับเหรียญกษาปณ์สมัยก่อน ขนาดประมาณครึ่งฝ่ามือ” ชิโอริตอบ
“แต่เซย์ริที่ตายต่อหน้าฉันไม่มีของอะไรหล่นลงมาเลยนะ” แสงสุทินย้อนนึกถึงความทรงจำในการต่อสู้ครั้งก่อน ถึงภาพที่เห็นจะโหดร้ายเกินไป แต่หลังจากที่เซย์ริที่เสียชีวิตกลายเป็นละอองแสงไป ไม่มีอะไรเหลืออยู่ตรงที่เธอตายเลย แม้แต่เลือดก็ไม่มีสักหยด
“เพราะว่า… ฉันกำหนดให้มันถูกย่อยสลายไปพร้อมกับคนที่ตายไปแล้วน่ะสิ”
ฮานามิเอากระจกไปคืนที่ แล้วเดินไปหยิบกระเป๋าเดินทางที่พกมาตอนที่เข้ามาในบ้านหลังนี้ครั้งแรก เธอควานหาของในกระเป๋าที่มีของอัดแน่นเต็มไปหมด แล้วหยิบกระปุกแก้วที่ใส่ผงสีฟ้าขึ้นมา เมื่อเห็นของที่หยิบขึ้นมา ชิโอริก็หลบไปอยู่ข้างหลังแสงสุทิน ฮานามิก็ถือมันอย่างระมัดระวังเช่นกัน ยกเว้นฮิโรมิที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
“นั่นมันอะไรเหรอ” แสงสุทินกับฮิโรมิถามขึ้นมาพร้อมกัน
“ตัวการที่ทำให้เซย์ริกลายเป็นละอองแสงไงล่ะ สิ่งที่นายเห็นมันสวยมากเลยสินะ” ชิโอริพูดประชด สีหน้าของเธอแย่ลงจนแทบจะเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่ง “ถ้าฉันไม่ได้ถูกช่วยเอาไว้ ฉันก็จะมีสภาพอย่างนั้นเหมือนกัน ฮิโรมิก็ด้วย”
“หมายความว่ายังไง” แสงสุทินถามซ้ำ
“อย่างนี้ไงล่ะ” ฮานามิพูดแล้วหยิบเส้นผมของฮิโรมิในถุงอีกใบขึ้นมา เปิดฝาขวดแล้วโรยเส้นผมจำนวนหนึ่งลงไป เมื่อเส้นผมสัมผัสกับผงสีฟ้า มันก็กลายเป็นละอองแสงสีแดงเข้มในทันที “น่าทึ่งใช่ไหมล่ะ ถ้าฉันเอามันไปโรยใส่ใครสักคนที่นี่ก็จะกลายเป็นแบบเดียวกัน แต่เธอจะจับมันก็ได้นะ ไม่เป็นอันตรายกับมนุษย์หรอก แล้วฉันก็ฝากปิดฝาให้ด้วยนะ ฉันไม่ค่อยไว้ใจว่าจะมีพวกมันฟุ้งขึ้นมาด้วยหรือเปล่า”
“ฉันไม่เข้าใจ แต่มันคงเป็นเรื่องที่ไม่ดีแน่ใช่ไหม” ฮิโรมิเห็นเช่นนั้นก็เริ่มมีสีหน้าตื่นกลัว
ชิโอริมีสีหน้าแย่มาก เธอเผ่นไปหลบอยู่ข้างหลังฮิโรมิหลังจากที่แสงสุทินรับขวดแก้วมาไว้ในมือ ท่าทางเธอจะมีความหลังกับมันเยอะมาก แล้วในระหว่างที่ไม่มีใครสนใจ เครื่องมือชิ้นหนึ่งในกระเป๋าของฮานามิเริ่มมีแสงส่องขึ้นมา
“ฉันไม่ควรเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง แม้แต่การฝึกสอนก็ยังไม่เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังด้วยสิ แต่เธอเคยเห็นเซย์ริที่เป็นอย่างนี้มาแล้วสินะ” ชิโอริพูดเสียงสั่น “มันคือแบคทีเรียที่สังเคราะห์ขึ้นเพื่อกำจัดพวกเราโดยเฉพาะ ไม่ใช่ว่าพวกมนุษย์อยากจะฆ่าพวกเราหรอกนะ ฉันก็ไม่รู้ว่ามีไว้เพื่ออะไร แต่แบคทีเรียพวกนี้ถูกเก็บเอาไว้ในแกนปีก ในสภาวะปกติจะไม่ทำงานหรอก มันจะเริ่มการทำงานก็ต่อเมื่อหัวใจของพวกเราหยุดเต้นไปแล้ว 4 วินาที แกนปีกจะปล่อยแบคทีเรียพวกนี้ไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย พวกมันจะจับกับพันธุกรรมของเซย์ริแล้วเริ่มกระบวนการย่อยสลายอย่างรวดเร็ว แค่พวกมันครึ่งช้อนชาก็ย่อยพวกเราได้ทั้งตัวแล้ว จนป่านนี้ ฉันก็ไม่เข้าใจเลยว่าฮานามิจะเอาพวกมันมาใส่ในแกนปีกด้วยทำไม”
“กำจัดศพน่ะ” ฮานามิรู้สึกว่าฮิโรมิเริ่มกลัวขึ้นมาเพราะคำพูดของเธอ “อย่างที่ชิโอริพูด มีแค่สองกรณีที่พวกมันจะหลุดออกมา หนึ่งก็คือเรื่องที่ชิโอริพูดมา อีกกรณีคือแกนปีกเสียหายจนกักพวกมันเอาไว้ไม่อยู่ แต่มีโอกาสเกิดได้น้อยมาก นอกจากจะโดนโจมตีเข้าเน้นๆ ที่กลางหลัง ความจริงแกนปีกก็แข็งแรงมากอยู่แล้ว ยิ่งถูกปกป้องด้วยอาภรณ์เทพธิดาอีกชั้น ไม่ต้องห่วงว่าต่อสู้อยู่ดีๆ แล้วจะถูกย่อยสลายไปหรอกนะ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริง มันคงไม่มีทางผ่านการทดสอบคุณภาพหรอก แต่ถ้าเธอไม่มั่นใจ ฉันจะพกไปในปริมาณน้อยๆ ในการต่อสู้ครั้งถัดไปก็ได้”
เธอแบ่งแบคทีเรียในขวดแก้วใส่ในขวดที่เล็กกว่าส่วนหนึ่ง แล้วหันกลับมายังแสงสุทินที่จับใจความไม่ได้
“ได้ฟังเรื่องทั้งหมดแล้ว ทีนี้ก็ถึงตาเธอเล่าบ้างแล้วล่ะ คุณมนุษย์ที่มาจากอนาคต”
แสงสุทินหันมองรอบตัวว่าเธอกำลังพูดกับใคร แล้วก็นึกได้ว่าคนที่มาจากอนาคตมีแค่เขาเพียงคนเดียว
“ชิโอริเล่าให้ฟังแล้วล่ะ เธอบอกว่ามาจากอนาคตใช่ไหม แล้วก็ยังพูดถึงเรื่องที่ไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไหร่ ช่วยเล่าให้ฟังอีกครั้งได้ไหมว่าในอีก 27 ปีข้างหน้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น หรือมันเป็นแค่เรื่องล้อเล่นเพื่อให้ชิโอริสนใจเท่านั้น”
แสงสุทินอยากจะส่ายหน้าสุดแรงเกิด แต่สายตาจริงจังของฮานามิก็ทำให้เขาหยุด
เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกสอบปากคำอีกครั้ง ครั้งแรกตอนที่ได้สติในโรงพยาบาล ครั้งที่สองก็ตอนที่รู้จักกับชิโอริครั้งแรก เขาน่าจะชินกับมันได้แล้ว สิ่งที่ต้องทำมีแค่เล่าเรื่องทุกอย่างไปตามความจริง แม้ว่าแค่เรื่องที่เขาบอกว่าเดินทางมาจากอนาคตจะดูเป็นเรื่องโกหกมากที่สุดแล้วก็ตาม
แต่วินาทีที่เขาขยับปาก กระเป๋าของฮานามิก็มีเสียงเหมือนกับนาฬิกาปลุกดังขึ้น แต่เจ้าของกระเป๋าตอบสนองต่อเสียงนั้นยิ่งกว่าคนที่เพิ่งตื่นนอน เธอหยิบเครื่องมือที่คล้ายกับโทรศัพท์มือถือรุ่นปุ่มกดขึ้นมาปิดเสียง เมื่อเธอจัดการปุ่มกดไปได้สักพัก เธอก็เริ่มทำสีหน้าไม่ค่อยดี คิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากันเหมือนมีเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้น
“พวกมันมาอีกแล้วล่ะ พิกัดอยู่ที่…” ฮานามิเล่าสิ่งที่เครื่องมือนั้นบอกกับเธอค้างเอาไว้ สีหน้าของฮานามิในตอนนี้แย่เอามากๆ ราวกับนึกถึงความทรงจำที่เลวร้ายที่สุดขึ้นมาได้
“เธอกำลังพูดถึงพวกไหน หวังว่าคงจะไม่ได้หมายถึง…” แสงสุทินตอบสนองต่อสิ่งที่ได้ยินด้วยท่าทางตื่นกลัว แต่ข้างในใจก็เตรียมใจสำหรับคำตอบที่จะได้รับเอาไว้แล้ว ในเมื่อสิ่งที่ทำให้เซย์ริเครียดได้ถึงขนาดนี้น่าจะมีแค่อย่างเดียว
“ผู้รุกรานจากอวกาศน่ะ” ชิโอริรับช่วงพูดต่อจนจบ “ปฏิกิริยาของมันอยู่ทางตะวันออก 300 กิโลเมตร”
“ไกลเอาเรื่องเลยนะ” ฮิโรมิเอ่ย “ทำไมมันถึงไปปรากฏตัวไกลขนาดนั้นล่ะ ที่นั่นมีอะไรดึงดูดมันเหรอ”
“ไม่มีเลยสักอย่าง” ฮานามิให้คำตอบโดยไม่ยอมสบตากับใคร “ตรงนั้นเคยเป็นจุดที่ผู้รุกรานจากอวกาศปรากฏตัวบ่อยที่สุด แต่หลังจากเกิดเรื่องเมื่อ 25 ปีก่อนทำให้พวกมันย้ายมาปรากฏตัวที่เขตอยู่อาศัยที่ 101 แทน แล้วก็ไม่เคยไปปรากฏตัวที่นั่นอีกเลย” แล้วเธอก็หยุดพูด มือทั้งสองกำแน่นจนห้อเลือด ขณะที่ทำตาเหมือนกำลังจะร้องไห้
อาจเป็นความทรงจำที่เลวร้ายที่สุดของเธอ แสงสุทินก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจ เขาก็เพิ่งจะผ่านเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตมาเหมือนกัน จนถึงตอนนี้ยังสลัดภาพที่เห็นไม่ได้สักที กลิ่นเลือดของฮิโรมิยังคลุ้งติดจมูก มันเพิ่งจะผ่านมาได้สามวันนี่เอง แต่ในการมาถึงของผู้รุกรานจากอวกาศครั้งนี้ มีสิ่งหนึ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้น…
“ไม่สิ ไม่ใช่แล้วๆ” แสงสุทินสะบัดหน้าสุดแรง “ผู้รุกรานจากอวกาศเหรอ พูดเป็นเล่นไปได้ สัญญาณเตือนภัยก็ไม่ดังเลยไม่ใช่เหรอ อากาศข้างนอกก็สดใสจะตาย พวกเธอมองให้ดีสิ” เขาเดินไปที่หน้าต่าง แสงแดดร้อนระอุยังส่องลงมา สายลมก็ยังพัดเอื่อย ไม่มีเสียงไซเรนแสบแก้วหูดังขึ้นด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าเขตอยู่อาศัยที่ 101 ยังคงอยู่อย่างสงบสุข
แต่พวกเซย์ริไม่คิดเช่นนั้น
“เพราะมันไกลจนไม่ต้องอพยพคนต่างหาก” คำตอบของฮิโรมิทำให้ความมั่นใจของแสงสุทินลดลง “เท่าที่ฉันได้เรียนมา ถ้าผู้รุกรานจากอวกาศปรากฏตัวที่ไหน ที่อื่นก็ไม่จำเป็นต้องอพยพคน เพราะเขตอยู่อาศัยแต่ละแห่งตั้งอยู่ห่างกันจนไม่โดนลูกหลง แล้วถ้านายอยู่ในพื้นที่ที่ไกลออกไป นายก็คงไม่อยากหนีลงสถานหลบภัยทุกสัปดาห์หรอกใช่ไหม”
“เหตุผลที่ทุกคนรีบร้อนตอนที่ผู้รุกรานจากอวกาศขึ้นบินก็เพราะเรื่องนี้แหละ” ฮานามิกล่าวเสริม “กลไกอพยพจะทำงานเฉพาะบริเวณใกล้กับจุดที่ผู้รุกรานจากอวกาศปรากฏตัวเท่านั้น ปกติแล้ว พวกมันจะถูกจัดการลงตรงนั้นเลย แต่ถ้าไม่ มนุษย์จะไม่ปลอดภัยแน่นอน ฉันก็ตั้งใจว่าจะกำจัดมันตอนที่บินขึ้นแล้วนะ ถ้าฮิโรมิไม่เข้ามาในแนวยิงของฉันซะก่อน”
“สรุปว่า คนที่โจมตีผู้รุกรานจากอวกาศในตอนนั้นก็คือเธอเองสินะ” ชิโอริพูดถึงแสงสีน้ำเงินที่กำราบผู้รุกรานจากอวกาศได้อย่างง่ายดาย แล้วจ้องไปยังฮานามิไม่ละสายตา แม้ว่าอีกฝ่ายจะมองเธอกลับมาแล้วก็ตาม
“ไม่รีบไปตอนนี้จะดีเหรอ ไม่ห่วงว่าสัตว์ประหลาดนั่นจะหนีมาที่นี่เลยเหรอ”
“ไม่ต้องรีบหรอก” ฮานามิเผยยิ้ม “ถึงจะจับปฏิกิริยาของมันได้ แต่กว่าผู้รุกรานจากอวกาศจะโผล่มาก็หลังจากนั้นนานหน่อย แล้วก็ตามสัญญานะ ฉันจะพกเชื้อนี่ติดตัวไปด้วย เธอจะได้รู้ว่าถึงจะได้รับบาดเจ็บระหว่างต่อสู้ก็ไม่มีทางที่จะถูกย่อยได้ง่ายๆ… ไปกันเลยดีกว่านะ”
เธอหยิบขวดแก้วขนาดเล็กที่ใส่แบคทีเรียสุดอันตรายใส่ในกระเป๋า แล้วเดินไปที่หน้าต่าง ก่อนที่เซย์ริทั้งสามจะสยายปีกที่เก็บซ่อนอยู่ใต้แผ่นหลังขึ้นมา ปีกของฮานามิเป็นปีกที่ปกคลุมด้วยขนนกสีขาวเช่นเดียวกับชิโอริ แต่มีขนาดใหญ่กว่าตามขนาดตัว และฮานามิสูงเกือบจะเท่ากับแสงสุทินเลย น่าจะพ้น 170 เซนติเมตรไปแล้ว
ฮานามิหันกลับมาพูดกับแสงสุทินเป็นครั้งสุดท้าย ขณะที่อีกสองคนออกเดินทางไปแล้ว
“นี่เป็นคำแนะนำจากฉัน ระหว่างที่พวกเราไม่อยู่ เธอเข้าไปอยู่กับคนเยอะๆ ในเขตอยู่อาศัยก่อนนะ แต่อย่ากลับมาที่บ้านหลังนี้จนกว่าฉันหรือพวกชิโอริจะไปรับกลับมาเอง แล้วก็… ถ้ามีใครชวนเธอไปไหนก็อย่าตามไปเด็ดขาดเลยนะ”
“เห็นฉันเป็นเด็กเหรอ” แสงสุทินหัวเราะเยาะ “แต่เอาอย่างนั้นก็ได้ ขอให้พวกเธอรอดกลับมาให้ได้นะ”
“ถ้านับตามอายุก็คงใช่ แต่คนที่ควรได้รับการอวยพรน่าจะเป็นเธอมากกว่านะ”
เธอพูดจบแล้วก็บินตามพวกชิโอริไปนอกเขตอยู่อาศัยที่ 101 แล้วเร่งความเร็วสูงสุดไปยังจุดหมาย ด้วยความเร็วมัค 6 ทำให้เธอใช้เวลาแค่สองนาทีในการเดินทาง พื้นที่ป่าสิ้นสุดลงใน 10 กิโลเมตรแรก ทุ่งสีน้ำตาลของดินที่ไร้แร่ธาตุที่ทอดยาวต่อไปจนสุดสายตาทำให้ข้างในหัวใจเริ่มปวดร้าว ภาพที่อยากจะลืมก็หวนกลับมาอีกครั้ง
มันเริ่มต้นจากแสงสีขาว ความร้อนมหาศาล เสียงกรีดร้อง และการยืนหยัดของเด็กสาวที่เป็นต้นแบบของเธอ
เมื่อฮานามิเดินทางไปถึงที่หมายก็พบว่า มีสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์กำลังต่อสู้กับเซย์ริกลุ่มหนึ่งและเครื่องบินรบอยู่ก่อนแล้ว สนามรบในครั้งนี้อยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังของอาคารบ้านเรือนที่แห้งกรอบ กินพื้นที่เท่ากับเขตอยู่อาศัยที่ 101 และดูเหมือนว่าจะยังไม่มีใครเสียชีวิตเลยสักคนเดียว
ผู้รุกรานจากอวกาศตัวใหม่ใหญ่ขึ้นจากตัวที่แล้ว มันสูงสัก 40 เมตรท่าจะได้ ผิวหนังสีน้ำตาลเหลืองมีความแข็งยิ่งขึ้น และมีเกล็ดปกคลุมยาวคล้ายกับเส้นขน ราวกับว่ามันพัฒนาตัวเองขึ้นไปอีกขั้น
“แสนรู้นักนะ” ฮานามิกัดฟันแน่น ก่อนจะลงพื้นห่างจากการต่อสู้ไปราวหนึ่งกิโลเมตร
ครั้งก่อนเธอก็เว้นระยะห่างเท่านี้ มันทำให้เธอมองเห็นภาพรวมของการต่อสู้ได้อย่างชัดเจน อัลฟ่าเชสเซอร์ที่เพิ่มจำนวนขึ้นเป็น 15 ลำคือกำลังหลักในการเข้าโจมตี โดยมีเซย์ริคอยสนับสนุน เธอเห็นทั้งชิโอริกับฮิโรมิอยู่ในกลุ่มเซย์ริด้วย แต่จำนวนของเซย์ริที่เข้าร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้มีแค่ 7 คน ไม่นับพวกชิโอริก็มีแค่ 5 คนเท่านั้นเอง
“มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงมีคนน้อยขนาดนั้นล่ะ”
“มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงมีเซย์ริน้อยขนาดนี้ล่ะ!” ชิโอริตะโกนถามแข่งกับเสียงร้องของมังกรยักษ์
มาโดกะที่เป็นผู้บัญชาการเซย์ริหลบการโจมตีประเภทลำแสงของผู้รุกรานจากอวกาศ แล้วตอบกลับมา
“จากการต่อสู้ครั้งก่อนก็เพิ่งจะผ่านมาได้แค่สามวัน เซย์ริที่เข้าร่วมในการต่อสู้ก็ไม่อยากกลับมาต่อสู้อีก โดยเฉพาะเทอร์รารอยด์ที่ต้องเข้าต่อสู้ประชิดตัว แค่แองเจลอยด์ 4 คนนี่คือทั้งหมดที่ฉันชักชวนมาได้แล้วล่ะ” มาโดกะตอบ แล้วชะเง้อมองชิโอริด้วยความสงสัย “ฉันไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ คุณคือคุณชิโอริใช่ไหมคะ ต้องขอบคุณที่ช่วยฮิคาริเอาไว้นะคะ แต่ว่า ตอนนี้เธออยู่ไหนแล้วเหรอคะ”
“ไม่ต้องไปขอบคุณหรอกน่า แล้วฉันคือฮิโรมิ ดูสีผมให้ดีสิ สีผมน่ะ” ฮิโรมิชี้เส้นผมสีแดงเข้ม ก่อนจะหลบลำแสงที่ผู้รุกรานจากอวกาศพ่นออกมา แล้วบุกเข้าไปโจมตีคืนด้วยดาบแสง แต่ก็สร้างบาดแผลให้กับอีกฝ่ายไม่ได้เลย “ผิวของมันจะแข็งอะไรนักหนา ขนาดฉันวิวัฒนาการแล้วยังฟันไม่เข้าเลย ตัวก่อนยังโดนฉันที่ยังไม่ได้วิวัฒนาการฟันปีกขาดเลยนะ”
“โจมตีที่ดวงตาก็ไม่ได้ผลเหมือนกันค่ะ” แองเจลอยด์ใต้การนำของมาโดกะรายงาน
การโจมตีของแองเจลอยด์ทั้งสี่ที่วิวัฒนาการแล้วยังทำอะไรส่วนที่บอบบางที่สุดไม่ได้ กนะสุนของอัลฟ่าเชสเซอร์ยังมีผลกับมันแค่เล็กน้อยเท่านั้น เป็นเพราะเกล็ดที่แข็งช่วยปกป้องมันเอาไว้ แต่การโจมตีของมันเบากว่าตัวที่แล้วมาก แต่ถ้าเซย์ริโดนเข้าไปก็ถึงตายได้เหมือนกัน
สิ่งที่พวกเธอต้องการในตอนนี้คือ พลังที่รุนแรงพอจะทะลุผ่านเกล็ดแข็งลงไปได้
แล้วคนที่มีพลังขนาดนั้น…
เกิดเสียงดังสนั่น พร้อมกับเกล็ดยาวที่แตกหักและร่วงลงไปที่พื้นดิน เผยให้เห็นชั้นเนื้อสีเขียวคล้ำขางใต้ผิวหนังที่ถูกทำลาย แรงระเบิดที่เกิดขึ้นกับร่างกายทำให้ผู้รุกรานจากอวกาศร่างยักษ์ล้มไม่เป็นท่าร่างกายอันใหญ่โตล้มทับซากอาคารจนพังราบเป็นหน้ากลอง แรงอัดระเบิดยังแผ่ขยายไปทั่วทิศทางทำให้อาคารโดยรอบถล่มเป็นวงกว้าง
พลังที่ต่างชั้นโดยสิ้นเชิงทำให้เหล่าแองเจลอยด์เริ่มหวาดระแวง แต่นักบินทั้ง 15 ชีวิตที่เฝ้ามองอยู่ต้องตกใจยิ่งกว่าแน่ เพราะนี่คือครั้งแรกที่ผู้รุกรานจากอวกาศตัวนี้เสียท่า
ทุกสายตามองหาคนที่ทำการโจมตี จนพบกับเงาของนางฟ้าคนหนึ่งอยู่ห่างออกไปนับกิโลเมตร เธอสวมอาภรณ์เทพธิดาสีน้ำเงินเข้มทับชุดเดรสไร้แขนสีขาว ชุดเกราะนั้นประดับด้วยลวดลายสีเงิน ต่างจากอาภรณ์เทพธิดาของแองเจลอยด์ทุกคนในที่นี้ที่ไม่มีลวดลาย ดวงตาสีน้ำเงินของเธอจ้องมองไปยังผู้รุกรานจากอวกาศอย่างเคียดแค้น
ฝ่ามือที่ยื่นตรงไปยังร่างที่กำลังจะลุกขึ้นมีแสงสีน้ำเงินสว่างขึ้นมา ก่อนจะมีลำแสงสีน้ำเงินยิงซ้ำเข้าไปยังเกล็ดแข็ง เกิดแรงระเบิดที่คว้านลงไปถึงผิวหนังเป็นร่องลึก เสียงคำรามด้วยความเจ็บปวดดังก้องไปทั่วทั้งซากเมือง
“ทำร้ายผู้รุกรานจากอวกาศได้ถึงขนาดนี้เชียว ใครกันน่ะ” มาโดกะมองไปยังคนที่เห็นอยู่ไกลลิบราวกับต้องมนต์
“ฟูจิมิยะ ฮานามิ เซย์ริรุ่นแรกน่ะ” ชิโอริชิงตอบก่อนที่ฮิโรมิจะทันขยับปาก
นอกจากฮิโรมิแล้ว เซย์ริทั้ง 5 คนต่างทำสายตาไม่อยากเชื่อ พวกเธอถูกคำพูดนั้นดึงความสนใจจากผู้รุกรานจากอวกาศไปจนหมด แล้วเริ่มมีการปรึกษาดังขึ้นภายในกลุ่ม
“ฟูจิมิยะ ฮานามิ… พูดจริงเหรอ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ ไม่ใช่ว่าคุณฮานามิทำงานอยู่ที่สถานีวิจัยเหรอคะ”
“โดนปลดแล้วล่ะ” ชิโอริตอบเสียงนิ่ง “ดูเหมือนว่า ผู้รุกรานจากอวกาศตัวก่อนก็ถูกฮานามิโค่น แต่ความจริงแล้ว เธอก็เข้าร่วมในการต่อสู้ทุกครั้งนั่นแหละ พลังต่อสู้ของฮานามิเหนือกว่าพวกเธอทั้งหมด ดังนั้น อย่าโดนลูกหลงเข้าล่ะ”
มาโดกะใช้ความคิดประเมินสถานการณ์อีกครั้งทันที แผนการต่อสู้ใหม่ถูกคิดขึ้นโดยรวมสถานการณ์ที่มีฮานามิอยู่ด้วยแล้ว ในสนามรบที่มีอัลฟ่าเชสเซอร์อยู่ 15 ลำกับเซย์ริอีก 7 คน ความเสียหายที่เกิดขึ้นยังเป็นศูนย์ สนามรบในครั้งนี้ไม่ใช่เขตอยู่อาศัยโล่งๆ แต่เป็นซากปรักหักพังที่มีจุดพรางตาหลายแห่ง โครงสร้างอาคารแต่ละหลังทรุดโทรมมาก เมื่อถล่มก็จะเกิดฝุ่นฟุ้งกระจายบดบังการมองเห็น ขณะที่ศัตรูในครั้งนี้สูงพ้นอาคารทุกหลัง
และมีเซย์ริรุ่นแรกที่แข็งแกร่งกว่าพวกเธอเป็นสิบๆ เท่าอยู่ด้วย
คำสั่งที่เธอจะกระจายให้กับเซย์ริทุกคนคือ…
“ออกไปจากโลกเดี๋ยวนี้! พวกแกไม่มีสิทธิ์ใช้อากาศที่นี่หายใจด้วยซ้ำ!”
เสียงตะโกนของหญิงสาวดังขึ้น เส้นสีน้ำเงินเข้มแล่นตรงไปยังผู้รุกรานจากอวกาศที่เริ่มฟื้นฟูบาดแผล ก่อนที่เธอคนนั้นจะใช้กำปั้นชกลงไปยังร่างกายขนาดยักษ์ด้วยความเร็วสูง เสียงปะทะของโลหะดังขึ้น แต่ฝ่ายที่บาดเจ็บกลับเป็นฝ่ายที่ชกลงไปเอง ขณะที่ผู้รุกรานจากอวกาศไม่สะดุ้งสะเทือนสักนิด แต่เสียงปะทะก็ยังคงดังขึ้นจากทั่วทุกส่วนของเกล็ดแข็ง
“คิดจะทำอะไรน่ะ” ชิโอริกระโจนเข้าไปขวางฮานามิที่กำลังจะชกหมัดต่อไป แรงฉุดจากความเร็วสูงทำให้แขนของเธอส่งเสียงแปลกๆ “คิดให้ดีก่อนจะบุกเข้าไปสิ เธอไม่เคยเป็นอย่างนี้ไม่ใช่เหรอ”
“ชิโอริ…” ฮานามิเริ่มใจเย็นลง “ขอโทษนะ ฉันแค่ขาดสติไปนิดหน่อย ตอนนี้เป็นยังไงแล้วล่ะ”
“ยังไม่มีใครเสียชีวิตค่ะ” มาโดกะพูด เสียงของเธอถูกกลบโดยการโจมตีของเครื่องบินรบ “คุณฮานามิมาที่นี่ได้ยังไงคะ ทิ้งงานมาช่วยพวกฉันที่นี่จะไม่เป็นไรเหรอคะ”
“ไม่มีงานแล้วล่ะ” ฮานามิตอบ “ฉันถูกปลดจากตำแหน่งแล้ว หน้าที่และงานวิจัยทุกอย่างของฉันถูกเวนคืนไปแล้ว ตั้งแต่วันนี้ไป ฉันไม่ได้ขึ้นตรงกับสถานีวิจัยอีกแล้ว จริงสินะ ฉันอยากบอกว่าที่ผ่านมา เธอทำหน้าที่ในฐานะผู้บัญชาการได้ดีมาก มั่นใจในความสามารถของตัวเองเข้าไว้นะ มาโดกะ”
มาโดกะได้ฟังดังนั้นก็มุดหน้าหลบ เธอไม่อยากรับคำชมนั้นเอาไว้
“ไม่ค่ะ ที่ผ่านมามีเซย์ริที่ต้องตายเพราะคำสั่งของฉันไปไม่รู้กี่ศพแล้ว ชัยชนะทุกครั้งก็เป็นเพราะคุณฮานามิทั้งนั้น ฉันไม่ได้ทำอะไรให้สมกับที่เป็นผู้นำเลยสักนิด แค่เพราะว่ามีชีวิตอยู่นานกว่าคนอื่นก็เลยได้รับตำแหน่งนี้มาเท่านั้น ฉันไม่มีความสามารถในฐานะผู้บัญชาการเลยสักนิดค่ะ”
“แผนการตัดคอผู้รุกรานจากอวกาศ” เมื่อฮานามิพูดคำนี้ มาโดกะก็ผงะหน้า “ฉันคิดว่าเป็นแผนการที่ไม่เลวนะ ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครทำมาก่อน… ไม่กล้าทำมาก่อนเพราะความเสี่ยงสูงเกินไปต่างหาก แต่เธอก็นำเทอร์รารอยด์ตั้งหลายคนเข้าร่วมในแผนการครั้งนั้นได้ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเธอเป็นผู้นำที่ดีจนคนอื่นไว้วางใจ แล้วเพราะอะไรที่ทำให้เด็กพวกนั้นยอมทำตามแผนการที่เสี่ยงจะโดนฆ่าซะเองล่ะ”
“นั่นมันเพราะ…”
“เพราะว่าเป็นแผนการของเธอไงล่ะ” ฮานามิดึงมาโดกะเข้ามาในอ้อมแขน “เพราะทุกคนไว้ใจเธอถึงได้ยอมทำตามแผนการที่เสี่ยงชีวิตได้ เธอรู้ไหมว่าก่อนที่เธอจะเข้าร่วมในการต่อสู้ ขนาดในตอนที่คุณเซริยังอยู่ มีคนตายมากกว่านี้อีกนะ นั่นแปลว่าเธอเป็นผู้นำที่ดีไม่ใช่เหรอ ฉันถึงอยากให้เธอทำหน้าที่นี้ต่อไป แล้วก็ทำอย่างภาคภูมิใจด้วยนะ เพื่อเด็กทุกคนที่คาดหวังในตัวเธอ”
คำพูดนั้นเป็นเหมือนหยดในหัวใจที่แห้งเหือดของผู้บัญชาการเซย์ริคนนี้ มันเป็นแรงขับเคลื่อนที่ทำให้มือขวาที่ออกคำสั่งให้เซย์ริที่ยังเด็กมากมุ่งหน้าสู่ความตายมานับไม่ถ้วนมีแรงยกขึ้น และทำให้ปีกสีน้ำตาลคู่นั้นมีแรงขยับอีกครั้ง
“เข้าใจแล้วค่ะ คุณฮานามิ” มาโดกะผละออกจากอ้อมแขนที่อบอุ่น ก่อนจะหันไปหาผู้รุกรานจากอวกาศที่ส่งเสียงคำรามอันเยือกเย็น “เซย์ริทุกคนฟังคำสั่งจากฉัน แองเจลอยด์ทุกคนกระจายตัวไปตามอาคารที่ยังตั้งอยู่รอบตัวผู้รุกรานจากอวกาศ ทำการโจมตีพร้อมกับอัลฟ่าเชสเซอร์ ฮิโรมิรอเป็นกำลังเสริมอยู่ตรงนี้ ถ้าเห็นว่าสถานการณ์เปลี่ยนแปลงก็ตัดสินใจด้วยตัวเองได้เลย ส่วนคุณฮานามิ… ช่วยเป็นกำลังหนุนให้ฉันด้วยนะคะ”
“ได้สิ” ฮิโรมิกับฮานามิพยักหน้ารับ
“ตกลงค่ะ!” แองเจลอยด์ทั้งสี่คนตอบรับพร้อมกัน ก่อนจะเริ่มกระจายตัวไปทุกทิศทาง
ผู้รุกรานจากอวกาศเห็นพวกเซย์ริแยกตัวออกไปก็เริ่มปั่นป่วน ก่อนหน้านี้ มันมีสิ่งที่ต้องระวังมากพออยู่แล้ว ทั้งเครื่องบินรบที่สลับกันเข้ามาโจมตี พวกแองเจลอยด์ที่คอยโจมตีหลอกล่อ และฮานามิที่เล่นงานมันได้อย่างหนักหน่วงเป็นคนแรก เมื่อตัดตัวเลือกที่ไม่เป็นภัยออกไป สิ่งที่มันต้องระวังจึงมีแค่เครื่องบินรบกับแองเจลอยด์เกราะสีน้ำเงินเท่านั้น
มันโน้มลำคอขึ้น แล้วพ่นลำแสงใส่แองเจลอยด์ที่เล่นงานมันจนเสียท่าสุดกำลัง
แต่นั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิด…
เพียงปล่อยพลังชั่วอึดใจ การโจมตีของผู้รุกรานจากอวกาศก็สลายไป แล้วสิ่งที่รุกเข้าหามันก็คือ เทอร์รารอยด์สองคนที่ไม่เคยโจมตีใส่มันเลยสักครั้งเดียว ดาบของมาโดกะและฮิโรมิที่มีพลังสูงขึ้นฟันใส่เกล็ดทั่วร่างอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่พวกเธอเล็งเอาไว้ไม่ใช่การฟันส่งๆ มันคือเกล็ดที่เพิ่งงอกทดแทนส่วนที่ถูกฮานามิทำลายไปซึ่งยังไม่แข็งแรงเท่ากับส่วนอื่น เกล็ดที่เพิ่งงอกถูกตัดไปทีละเส้น แล้วชั่วพริบตาถัดมา…
“เอาไปเลย!”
การโจมตีสุดกำลังของฮานามิซัดเข้าตรงจุดที่เกล็ดถูกตัด แรงระเบิดที่รุนแรงกว่าเก่าเกิดขึ้นในจุดที่การป้องกันบางลง เกิดเป็นหลุมลึกที่มีเลือดสีเขียวไหลเป็นสาย ส่งกลิ่นเหม็นเน่าไปทั่วบริเวณ แล้วการโจมตีซ้ำจากระยะไกลก็กระหน่ำเข้าไปตรงบาดแผลเดิม เสียงร้องของผู้รุกรานจากอวกาศดังก้องไปจนได้ยินถึงเขตอยู่อาศัยที่ 100 และ 101
ในขณะนั้น ไม่มีใครสังเกตเห็นเครื่องบินสีแดง-ขาวที่ปรากฏขึ้นมาจากซากอาคารหลังหนึ่งที่อยู่ข้างหลังผู้รุกรานจากอวกาศเข้าไปรวมกับฝูงบินรบเลยสักคนเดียว แม้แต่นักบินก็ไม่เฉลียวใจเลยสักนิด คิดว่าเป็นกำลังเสริมจากสถานีวิจัย
ผู้รุกรานจากอวกาศถูกไล่ต้อนอย่างหนัก มันอยู่ในสภาพย่ำแย่จนไม่น่าเชื่อว่าการต่อสู้เพิ่งจะเริ่มต้นได้แค่ 10 นาทีเท่านั้น มันล่าถอยไปยังอาคารที่เครื่องบินลำนั้นปรากฏขึ้น เสียงหายใจหอบและดวงตาสีน้ำตาลเหลืองที่จ้องขมึงทำให้รู้ว่ามันพร้อมจะแลกทุกอย่างแล้ว การโจมตีครั้งถัดไปต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก แต่ก็ไม่มีประโยชน์
เมื่อคนที่อยู่ต่อหน้ามันในตอนนี้คือ อาวุธชีวภาพที่ทรงพลังที่สุดเป็นอันดับสองเท่าที่เคยถูกสร้างขึ้นมา
“พร้อมจะรับกรรมแล้วหรือยัง” ฮานามิเดินเข้าหาผู้รุกรานจากอวกาศด้วยสายตาที่ว่างเปล่า มือขวาที่ชูขึ้นฟ้าไม่ได้ทำเพื่อเตรียมออกคำสั่ง แต่เป็นการเตรียมโจมตีครั้งสุดท้าย “แกคงไม่รู้หรอกว่าพวกแกตัวหนึ่งเคยทำอะไรเอาไว้ที่นี่ ใช่! แกเลือกสถานที่ปรากฏตัวได้เหมาะพอดี เพราะว่านี่คงเป็นสิ่งเดียวที่ฉันจะทำได้เพื่อชดเชยความผิดที่เคยก่อเอาไว้”
“พูดถึงเรื่องนี้อีกแล้วเหรอ” ชิโอริเปรยในลำคอ ขณะที่กุมแขนที่เจ็บแปล๊บมาตั้งแต่เมื่อสักครู่นี้
คงเพราะสิ้นหวังที่จะเอาชีวิตรอด หรือขึงขังที่จะต่อสู้จนวินาทีสุดท้าย ผู้รุกรานจากอวกาศจึงฟาดหางลงกับพื้น แล้วสะบัดไปมาอย่างน่าหวาดเสียว ปลายหางของมันสะกิดเข้ากับอาคารหลังหนึ่งจนผนังแตกร่อนเหมือนกับทราย ก่อนส่งเสียงร้องให้กับแองเจลอยด์ห้าคนกับเครื่องบินรบอีก 15 ลำในพื้นที่เปลี่ยวร้างแห่งนี้
“โจมตีนำร่องไปก่อน เปิดจังหวะให้ฟูจิมิยะ ฮานามิโจมตีต่อ” หัวหน้าชุดบินอัลฟ่าเชสเซอร์คนใหม่มอบคำสั่ง
เครื่องบินรบทุกลำเล็งเป้าโจมตีไปยังผู้รุกรานจากอวกาศ ก่อนจะเริ่มยิงกระสุนแสงเข้าสู่เป้าหมายพร้อมกัน
แต่ว่า การโจมตีทุกนัดชนกับสิ่งกีดขวางกลางอากาศ แล้วสะท้อนกลับทุกทิศทาง ไม่มีนัดไหนเข้าถึงตัวศัตรูได้เลย มันเป็นม่านป้องกันทรงกลมสีฟ้าเงินกับม่านป้องกันโค้งเว้าสีแดงเข้ม คนที่สร้างมันขึ้นมาก็เพิ่งเป็นที่รู้จักในหมู่เซย์ริด้วยกันเมื่อสามวันก่อนทั้งคู่
“ทำอะไรน่ะ” ฮานามิแปลกใจจนยกเลิกการโจมตี “พวกเธอคิดอะไรอยู่ หลีกทางไปสิ”
“จะโจมตีเข้าไปตอนนี้ไม่ได้ ไม่ว่ายังไงก็ไม่ได้ค่ะ” ชิโอริยื่นคำขาดจนเซย์ริทุกคนต้องตกใจไปตามกัน
ทั้งสองคนไม่พูดอะไรต่อจากนั้น แต่เหลือบตาไปยังซากอาคารที่ตั้งอยู่ใกล้กับผู้รุกรานจากอวกาศ ผนังของอาคารหลังนั้นถูกหางของมันทำลายจนเป็นช่องโหว่ เพราะถูกฝุ่นที่ฟุ้งขึ้นมาบังจนมองไม่เห็นในตอนแรก แต่เมื่อมาโดกะเพ่งมองเข้าไปดีๆ แล้วก็ทราบถึงเหตุผลที่พวกเธอเข้าไปขัดขวางการโจมตีนั้น แล้วรีบออกคำสั่งโดยไม่ให้เสียเวลา
“ทุกคนหยุดโจมตีแล้วมารวมตัวที่ฉัน เดี๋ยวนี้เลย”
สิ้นเสียงของมาโดกะ แองเจลอยด์ทุกคนก็เกิดความสงสัย แต่ก็เข้าไปรวมตัวตามคำสั่งของเธอ ต่อหน้าผู้รุกรานจากอวกาศที่สงสัยในสิ่งที่เกิดขึ้น นักบินอัลฟ่าเชสเซอร์ก็สงสัยเช่นกันจึงขยายภาพเข้าไปที่ใบหน้าของพวกชิโอริที่ขัดขวางการโจมตีของพวกเขา พวกเขาเห็นสายตาของทั้งคู่มองไปในทิศทางเดียวกันจึงขยับภาพตาม แล้วก็ได้พบสาเหตุที่ทำให้พวกเขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“แย่ล่ะสิ เป็นไปได้ยังไง ทำไมถึงมีคนอยู่ที่นี่ได้ล่ะ”
ในภาพที่แสดงขึ้น ปรากฏร่างของชายหนุ่มนอนหลับอยู่ในอาคารที่เป็นช่องโหว่จากฝีมือของผู้รุกรานจากอวกาศ เสื้อผ้าและเนื้อตัวดูสะอาดเกินกว่าจะเป็นผู้อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยฝุ่นควัน ไร้ซึ่งแหล่งน้ำเช่นนี้ เมื่อระบุตัวได้จึงเริ่มกระจายคำสั่งหยุดการโจมตีไปยังเครื่องบินทุกลำ ยกเว้นลำหนึ่งที่รู้เรื่องนี้มาตั้งแต่แรก
ก็เพราะว่านักบินที่ควบคุมเครื่องบินลำนั้นเป็นคนที่พาชายคนนั้นมาจากเขตอยู่อาศัยที่ 101 ด้วยตัวเอง
“ทำไมไม่อยู่ฟังเรื่องที่ฮานามิคนนั้นพูดล่ะ เธอเป็นคนถามเองไม่ใช่เหรอ”
“พวกชิโอริเริ่มคุยกันเองแล้วล่ะ ถึงฉันจะอยู่ฟังก็ไม่เข้าใจอยู่ดี” ฮิโรมิทำหน้าตาซึม แล้วเดินวนต่อไปเรื่อยๆ
“เธอกำลังทำอะไรอยู่ ถึงกับเดินมาไกลขนาดนี้เชียว” แสงสุทินหันไปถามหลังจากที่กลั้นน้ำตาได้แล้ว
“ฉันคงเอาตัวเองไปเสี่ยงกับเก้าอี้ไฟฟ้าเพื่อบอกนายไม่ได้หรอกนะ แล้วทำไมนายถึงจมูกแดงอย่างนั้นล่ะ เปลี่ยนสีเหมือนกับสัตว์เหรอ พวกมนุษย์มีฤดูผสมพันธุ์ในช่วงเดือนนี้พอดีสินะ”
“เป็นแค่เด็กแต่ใช้คำพูดล่อแหลมซะจริง” เขาถอนหายใจให้กับเด็กประถมตรงหน้า
“ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะ อายุก็หนึ่งปีครึ่ง ผู้รุกรานจากอวกาศก็เคยสู้มาแล้ว ยังมีตรงไหนที่เหมือนกับเด็กอยู่อีกเหรอ ความจริงแล้ว นายต่างหากที่เหมือนกับเด็ก ดื้อรั้น สั่งให้ทำอะไรก็ชอบทำอีกอย่าง นี่คือนิสัยของเด็กที่เคยได้ยินสินะ” ฮิโรมิโวยวายราวกับเด็ก แสงสุทินมองเด็กประถมผมแดงที่แก่แดดแก่ลม แล้วจึงถอนหายใจอีกครั้ง
“ช่างเถอะ ไม่มีเด็กที่ไหนจะกล้าต่อสู้กับสัตว์ประหลาดตัวใหญ่เท่าตึกหรอก เธอชนะก็ได้” เขาพูดจบแล้วกำลังจะเดินขึ้นเขาต่อไปอีก แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ “แต่… พวกเธอต่อสู้กับมันมาตลอด ต่อสู้กับตัวที่เรียกว่าผู้รุกรานจากอวกาศมาตลอดเลยเหรอ ทั้งที่มันก็ตัวใหญ่กว่าตั้งขนาดนั้น ขาของเธอไม่เป็นไรแล้วนะ ฉันคิดว่าจะกลับมาเป็นปกติไม่ได้แล้วซะอีก”
“ก็ถ้าพวกฉันไม่สู้ แล้วใครจะปกป้องมนุษย์ได้ล่ะ” ฮิโรมิทำคอตก ทั้งที่กำลังพูดเรื่องที่น่าภาคภูมิใจอยู่ “แต่ว่านาย ทำไมตอนนั้นถึงไม่หนีไป ทั้งที่ฉันก็บอกไปแล้วว่านายจะตายได้ ทำไมถึงยังช่วยฉันที่ไม่มีประโยชน์แล้วอีกล่ะ”
“เธอพูดเรื่องอะไรน่ะ” แสงสุทินถามย้อน
“ทิ้งให้เซย์ริตายแล้วมีชีวิตรอดไปได้ มันเป็นเรื่องพื้นฐานของมนุษย์อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ สถานีวิจัยยังบอกเอาไว้เลย ถ้ามีทางเลือกให้ฉันต้องตายเพื่อรักษาชีวิตของมนุษย์ ฉันก็ต้องทำ แล้วตอนนั้นก็ยังมีคนอื่นอีกเป็นสิบ เสียแค่ฉันคนเดียวก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย นายแค่ต้องเอาตัวรอดไปให้ได้เท่านั้นไม่ใช่เหรอ”
แสงสุทินอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน เขาพยายามพูดแทรกอยู่หลายครั้ง แต่คำสุดท้ายทำให้เขาพูดไม่ออก
ก็เคยได้ยินจากชิโอริแล้วว่าเซย์ริต้องต่อสู้เพื่อปกป้องมนุษย์ แต่ไม่คิดเลยว่าจะมีเบื้องหลังอะไรอย่างนี้ เซย์ริทุกคนถูกสอนให้ทิ้งชีวิตของตัวเองเพื่อให้มนุษย์เอาตัวรอดไปได้ ไม่มีคำว่ารักตัวเองสำหรับพวกเธอเลย มีหน้าที่ต่อสู้เมื่อต้องต่อสู้และตายเมื่อต้องตาย วงจรชีวิตของเซย์ริมีอยู่แค่นี้
ก่อนหน้านี้ แสงสุทินเคยคิดว่าชิโอริเป็นพวกเห็นแก่ตัว แต่เมื่อได้ยินเรื่องนี้จากฮิโรมิ เขาคิดว่าเธอตัดสินใจถูกแล้ว
“ฉันไม่รู้…” เขาตอบ “ถ้าเธอคิดว่าการที่เธอต้องตายเพื่อให้ฉันรอดเป็นสิ่งที่ถูก ฉันน่าจะโยนเธอทิ้งไปตั้งแต่แรก ไม่สิ ก็มีความคิดว่าจะทำอยู่เหมือนกัน แต่สุดท้าย ฉันก็วิ่งไปกับเธอจนได้ชิโอริมาช่วย ฉันต้องกลับขอบคุณชิโอริแล้วสินะ แต่ว่า คนแรกที่ฉันต้องขอบคุณก็คือเธอ… คือเธอนะ ฮิโรมิ”
“ขอบคุณฉัน ขอบคุณเรื่องอะไรเหรอ” ฮิโรมิอ้ำอึ้งไปเมื่อได้ยินคำพูดนั้น
“ถ้าเธอไม่มาจับชิโอริในวันนั้น ฉันคงคิดว่าชิโอริเป็นคนเห็นแก่ตัวจนถึงตอนนี้ ฉันคงไม่ได้เห็นพวกเธอต่อสู้กับผู้รุกรานจากอวกาศ แล้วก็คงไม่ได้รู้ว่าพวกเธอต้องเจออะไรบ้างในการต่อสู้แต่ละครั้ง ถ้าฉันยังเอาแต่อยู่ในสถานหลบภัย ฉันก็ไม่มีทางรู้เรื่องพวกนี้หรอก ต้องขอบคุณเธอจริงๆ นะ”
“ไม่รับได้ไหม ฉันไม่เหมาะกับคำขอบคุณอย่างนั้นหรอก” ฮิโรมิก้มหน้าลงต่ำ แสงสุทินเห็นสีผมของเธอเป็นสีแดงสว่างขึ้น แต่คงตาฝาดไปเอง “ถ้าจะขอบคุณ ไปบอกชิโอริที่ช่วยนายเอาไว้ดีกว่า หรือไม่ก็นักบินอัลฟ่าเชสเซอร์ที่พานายไปรักษาตัวที่สถานีวิจัย อย่ามาบอกกับฉันเลย”
ภายใต้ใบหน้าที่ก้มลงต่ำ แสงสุทินคงไม่มีทางเห็นรอยยิ้มอันลำบากใจของเธอ แต่ฝ่ามือที่ประสานกันตรงหน้าอกกำลังบอกว่าเธอตื้นตันมากแค่ไหน
“ฉันต้องขอบคุณเธออีกอย่างหนึ่ง” แสงสุทินยกมือขึ้นประนม แล้วก้มศีรษะอย่างอ่อนน้อม “ขอบคุณที่ต่อสู้เพื่อพวกเรามาตลอดนะ เธอคงจะเหนื่อยมาตลอด ขอบคุณที่เห็นพวกเรามีค่าถึงขนาดที่ยอมเสี่ยงชีวิตให้ ขอบคุณจริงๆ”
“บอกแล้วไงว่าไม่รับคำขอบคุณ” ฮิโรมิกัดฟันแน่น แต่สุดท้ายแล้วก็เงยหน้าขึ้นมา พร้อมกับรอยยิ้มที่ได้เห็นเป็นครั้งแรก แตกต่างจากรอยยิ้มน่ากลัวที่เคยเห็นโดยสิ้นเชิง “แต่ก็… ขอบคุณนะ”
คำพูดสุดท้ายที่เปล่งออกมา ร่างกายของฮิโรมิก็เรืองแสงสีแดง ต่อหน้าแสงสุทินที่เคยเห็นสิ่งนั้นเกิดขึ้นกับเซย์ริคนหนึ่งมาแล้ว เขานึกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นก็ร้องเสียงหลง แต่ฮิโรมิกลับไม่ทุกข์ร้อนเลย กลับมองความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นด้วยสายตาทึ่ง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอไม่ใช่การสลายไปในอากาศ ร่างกายของเด็กประถมมีการเติบโตอย่างพรวดพราด จนหยุดที่ความสูงระดับอกของแสงสุทิน แล้วแสงสว่างก็เลือนหายไป เหลือเอาไว้แต่ฮิโรมิที่ดูเป็นผู้หญิงมากขึ้น
เด็กประถมกลายเป็นเด็กมัธยมต้นภายในเวลาแค่ไม่กี่วินาที เสื้อผ้าที่ชิโอริเลือกให้ใส่ได้พอดีรัดตึงจนฉีกขาด เผยสัดส่วนที่เริ่มเติบโตให้เห็นได้ชัดเจนขึ้น แต่แทนที่เธอจะปกปิดส่วนที่โผล่ขึ้นมา ฮิโรมิยังคงจ้องมองฝ่ามือราวกับมีอะไรอยู่ในนั้น แต่ในมือทั้งสองข้างไม่มีอะไรเลย
“โตขึ้นมาแล้ว รู้สึกเหมือนพลังก็เพิ่มขึ้นด้วย หรือว่านี่คือร่างวิวัฒนาการระดับสอง”
ฮิโรมิพูดจบก็ลองขยับแขนขา แต่เมื่อรู้สึกว่าเสื้อผ้ากำลังรั้งร่างกายอยู่ก็เปลี่ยนไปสวมอาภรณ์เทพธิดาแทน เซลล์ผิวหนังแบ่งตัวจนเป็นอาภรณ์เทพธิดาสวมทับเสื้อผ้าเดิม แต่อาภรณ์เทพธิดาก็มีความเปลี่ยนแปลงเช่นกัน แทนที่จะเป็นชุดหนังสีแดงเข้มตามปกติ มันกลับมีรูปร่างเป็นชุดเกราะหนาสีแดงไร้ลวดลายคล้ายกับของชิโอริสวมทับชุดหนังสีแดงแขนกุด กระทั่งดาบแสงที่หยิบขึ้นมาก็มีรูปร่างเป็นดาบอยู่แล้ว ไม่ได้มีแค่ปลอกที่ต้องใส่พลังลงไปเพื่อสร้างเป็นคม
เธอกระโดดโลดโผนเหวี่ยงดาบไปทุกทิศทางด้วยความเร็วสูง เกิดเสียงใบไม้ไหวขึ้นรอบตัว
“วิวัฒนาการแล้ว แข็งแกร่งขึ้นแล้ว แต่เสื้อผ้าขาดหมดเลยนี่สิ” เมื่อทดสอบร่างกายเสร็จแล้ว ฮิโรมิก็กลับมาอยู่ต่อหน้าแสงสุทิน แล้วดาบแสงก็กลายเป็นแสงกลับคืนสู่ร่างกาย แต่ก็ยังสวมอาภรณ์เทพธิดาอยู่อย่างนั้น “กลับกันดีไหม คิดว่าพวกชิโอริน่าจะคุยกันเสร็จแล้ว เอาไว้ค่อยให้ชิโอริสรุปเรื่องที่คุยกันให้ฟังทีหลังแล้วกันนะ” เธอยื่นมือขวาให้แสงสุทิน เขาคิดอะไรไม่ออกนอกจากเอื้อมมือไปคว้าไว้ ก่อนจะเดินกลับไปที่บ้านของชิโอริทั้งสภาพแบบนั้น
“จริงสิ เธอเดินมาถึงตรงนี้ตั้งแต่แรกทำไมเหรอ” แสงสุทินเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องที่ยังคุยกันไม่จบ “แล้วตอนแรกฉันเห็นเธอใส่หูฟังใช่ไหม เธอกำลังคุยกับใครอยู่หรือเปล่า”
แต่ก็สายเกินไปแล้ว
“ขืนฉันบอกก็ซวยน่ะสิ” ฮิโรมิเลี่ยงที่จะไม่ตอบคำถาม แต่จับมือแสงสุทินกระชับขึ้น แล้วกระซิบกับตัวเอง
ทั้งสองกลับมาถึงบ้านของชิโอริในไม่กี่นาทีต่อมา พวกเขาคาดหวังว่าชิโอริกับฮานามิจะคุยกันจบแล้ว และกำลังรอให้พวกเขากลับเข้ามาในบ้าน แต่ว่าเปล่าเลย พวกเธอยังไม่ต้องการให้พวกเขากลับมาในตอนนี้ ชิโอริกำลังนั่งจดจ่ออยู่กับโต๊ะเขียนหนังสือโดยมีฮานามินั่งประกบอยู่ข้างๆ และกำลังคุยเรื่องที่ฟังแล้วก็ไม่เข้าใจสักนิด แต่เป็นคนละเรื่องกับที่คุยกันตอนแรกอย่างแน่นอน มีแค่ไม่กี่คำที่พอจะจับใจความได้
นั่นคือ (ปลูกถ่าย) และ (รุ่นที่สอง)
“ไม่ต้องแอบฟังก็ได้ เข้ามานั่งคุยกันดีๆ ฉันจะเล่าให้ฟังตั้งแต่ต้นเอง” ฮานามิหันมาทางแสงสุทินที่แอบฟังอยู่จากช่องประตู แล้วยังเพ่งมองเหมือนรู้อยู่แล้วว่าถูกแอบฟัง เขาจึงเปิดประตูเข้าไปพร้อมกับฮิโรมิ “พวกเธอหายไปไหนกันเหรอ ปล่อยให้ฉันคุยอยู่กับชิโอริคนเดียวก็เลยครั่นตัวอยากจะสอนขึ้นมา แต่เกิดอะไรขึ้นกับฮิโรมิเหรอ โตขึ้นผิดหูผิดตาเลยนี่”
ชิโอริหันมาตามคำพูดของฮานามิ แล้วก็ได้เห็นเด็กสาวผมสีแดงเข้มในรูปร่างใหม่ แต่สายตาของเธอจับจ้องไปยังหน้าอกที่ใหญ่ขึ้นมาก สลับกับหน้าอกของฮานามิที่ใหญ่กว่านั้นอีก ก่อนจะแผ่รังสีอาฆาตอย่างชัดเจน ถึงกับพึมพำสาปส่งกันเลย ฮิโรมิที่เห็นสายตาคู่นั้นจึงเดินเข้าไปใกล้ แล้วตบไหล่เป็นการให้กำลังใจหนึ่งครั้ง แต่นั่นให้ผลตรงกันข้าม
“พวกเธอคุยอะไรกันอยู่เหรอ แล้วชิโอริกำลังเขียนอะไรอยู่ ท่าทางเป็นเรื่องยากมากเลยนี่นา”
แสงสุทินเอ่ยถาม แต่คำตอบที่ฮานามิให้กลับมาถูกเสียงโวยวายของชิโอริกลบจนแทบไม่ได้ยิน
“แค่พูดคุยเรื่องงานเก่าเท่านั้นเอง ว่าแต่พวกเธอเถอะ หายไปทำอะไรกันเหรอ ถึงกับวิวัฒนาการเป็นระดับสองเลย แต่ท่าทางเธอก็ไม่รู้ด้วยเหมือนกันสินะ” ฮานามิยิ้มหยอก “ไม่มีใครรู้กลไกที่ทำให้พวกเราวิวัฒนาการตัวเองได้แน่ชัด แม้แต่เรื่องที่พวกเราวิวัฒนาการได้ก็เพิ่งจะมารู้เมื่อปี 2145 ขนาดฉันที่วิวัฒนาการมาแล้วก็ยังไม่รู้เลยว่าวิวัฒนาการได้ยังไง ตอนนั้นจำได้แค่ว่าพวกมนุษย์กำลังจะตาย แล้วร่างกายมันก็ร้อนวูบ พอรู้สึกตัวอีกทีก็วิวัฒนาการไปซะแล้ว”
“งานของเธอคือวิจัยและพัฒนาเซย์ริใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นเธอก็ต้องรู้สิ ตอนที่ฮิโรมิกลายเป็นอย่างนี้ ฉันตกใจแทบแย่เลยนะ นึกว่าเธอจะกลายเป็นเหมือนกับคนที่ฉันเคยเจอ…” แสงสุทินพูดแล้วหยุดอยู่แค่ตรงนี้ ภาพคนตายที่ได้เห็นทำให้เขาเริ่มรู้สึกไม่ดีขึ้นมาอีกครั้ง
“ความตายสินะ…” ฮานามิปล่อยยิ้ม “ก็ไม่แปลกหรอก เธอเคยเห็นผู้รุกรานจากอวกาศมาแล้ว จริงสินะ เข้าใจแล้วล่ะ เหตุผลที่เธอให้คุณมนุษย์คนนี้อาศัยอยู่ด้วยก็เพราะเรื่องนี้เองสินะ” เธอหันไปหาชิโอริที่กำลังยื้อยุดกับฮิโรมิโดยพุ่งเป้าไปที่หน้าอกเป็นหลัก
ชิโอริปล่อยมือจากฮิโรมิ แล้วหันกลับมาพยักหน้าพร้อมทำสีหน้าเครียด เมื่อเห็นดังนั้น ฮานามิก็ถอนหายใจ
“ใช่จริงๆ สินะ ตอนนั้นค่อนข้างฉุกละหุกก็เลยจำไม่ค่อยได้ สรุปว่าเธอคือมนุษย์ที่ตกค้างในตอนนั้นนี่เอง”
“ใช่จริงๆ… เหรอ เธอรู้เรื่องนั้นได้ยังไง ใครเป็นคนบอกเธอ” แสงสุทินถามย้อน
“เห็นกับตาตัวเองน่ะ” ฮานามิตอบ ก่อนจะหันมองไปรอบตัวด้วยสายตาเพ่งพินิจ
ในบ้านหลังนี้มีชิโอริที่หลบหนีจากสถานีวิจัยเมื่อสองปีก่อนด้วยเหตุผลที่ไม่แน่ชัด แสงสุทินที่มีส่วนรู้เห็นในการต่อสู้เมื่อสองวันก่อน เธอที่ถูกปลดจากตำแหน่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิจัยและพัฒนาเซย์ริและเพิ่งหลบหนีมาจากสถานีวิจัยเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน และฮิโรมิอยู่ข้างนอกสถานีวิจัยเพราะคำสั่งจากทางนั้น ทุกอย่างมีจุดเชื่อมโยงกันอยู่อย่างหนึ่ง
“อย่างนี้นี่เอง ท่าทางเข้าเค้าอย่างไม่น่าเชื่อเลยนะ ยอมรับเลยว่าพวกนั้นมองการณ์ไกลกว่าฉันจริงๆ” แล้วฮานามิก็ถอนหายใจเป็นครั้งที่สาม
“พูดถึงอะไรอยู่ ว่าแต่เธอเห็นฉันอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยเหรอ ได้ยังไงกัน” แสงสุทินถามอีกครั้ง
“เธอรู้ความแตกต่างระหว่างแองเจลอยด์กับเทอร์รารอยด์หรือเปล่า” ฮานามิพูดต่อโดยไม่สนใจสิ่งที่แสงสุทินพูด “นอกจากสีผมที่เทอร์รารอยด์ถูกกำหนดเป็นโทนสีแดงแล้ว ความแตกต่างที่ชัดเจนคือ แองเจลอยด์จะมีพลังต่อสู้ระยะไกล อย่างเช่นที่เธอเห็นพวกแองเจลอยด์ใช้แสงโจมตีใส่ผู้รุกรานจากอวกาศ ส่วนเทอร์รารอยด์จะมีพลังต่อสู้ระยะประชิด เช่น ดาบแสงที่เทอร์รารอยด์ใช้ฟันผู้รุกรานจากอวกาศ แต่ว่า นอกจากเรื่องของพลังแล้ว ปีกก็เหมือนกันนะ”
ฮานามิพูดจบแล้วก็สยายปีกขนนกสีขาวของตัวเองขึ้น ขนาดของมันใหญ่กว่าของชิโอริอย่างชัดเจน
“แองเจลอยด์จะมีปีกแบบนี้เพื่อเน้นความเบาเป็นหลัก ความเร็วสูงสุดที่ทำได้ก็คือ มัค 6 ส่วนปีกของเทอร์รารอยด์จะเป็นแผ่นปีกสีน้ำตาลไร้ขน ปีกลักษณะนั้นจะเน้นการแหวกผ่านอากาศได้ดีกว่าแองเจลอยด์ ไม่ใช่แค่เร่งความเร็วได้ถึงมัค 8 แต่ยังใช้หักเลี้ยวเป็นมุมฉากได้กะทันหัน ถึงจะใช้ความเร็วสูงสุดก็สามารถทำได้นะ เหมือนกับที่ฮิโรมิทำในตอนนั้น”
“เอ่อ… เธอไม่ฟังที่ฉันพูดเลยสินะ” แสงสุทินได้รับข้อมูลที่เข้าใจยากอีกครั้ง แล้วฮานามิก็ดึงปีกของเธอกลับเข้าไปใต้แผ่นหลัง ก่อนจะพูดต่อโดยไม่สนใจแสงสุทิน คราวนี้ทั้งฮิโรมิและชิโอริต่างมองที่เธอด้วยความตกตะลึง เพราะไม่คิดว่าเธอจะพูดถึงเรื่องนั้นกับมนุษย์ได้อย่างโจ่งแจ้งถึงขนาดนี้
“นอกจากนั้นแล้ว เธอรู้เรื่องที่พวกเรามีการแบ่งเป็น (รุ่นแรก) กับ (รุ่นที่สอง) ด้วยหรือเปล่า ความแตกต่างนี้แยกไม่ได้ด้วยสายตา แต่ในการต่อสู้ มีวิธีแยกทั้งสองรุ่นได้ง่ายมากเลยนะ” ฮานามิจับแสงสุทินหันหลัง ก่อนจะใช้นิ้วลากลงไปตามกระดูกสันหลังจนไปถึงจุดหนึ่ง “สองคนนั้นรู้อยู่แล้ว ใต้กระดูกตรงนี้มีสิ่งที่เรียกว่า (แกนปีก) ฝังอยู่ มันทำหน้าที่เป็นตัวสงวนพลังงานให้ใช้ได้แค่อัตราที่จำกัด ประโยชน์ของมันคือทำให้มีโอกาสสร้างสำเร็จง่ายขึ้น แต่ผลตอบแทนก็ร้ายแรงสุดขีด มันทำให้พวกรุ่นที่สองใช้พลังได้น้อยลง พวกรุ่นที่สองถึงทำอะไรผู้รุกรานจากอวกาศไม่ค่อยได้น่ะ”
“แล้วมีอย่างอื่นอีกหรือเปล่า” แสงสุทินเห็นว่าฮานามิไม่ยอมหยุดพูดจึงยอมตามน้ำไปก่อน
“คำนำหน้าชื่อ…” ชิโอริพูดแทรกขึ้นมา “เซย์ริรุ่นที่สองมีคำนำหน้าชื่อว่า (ฟูจิซากิ) ส่วนฮานามิที่เป็นรุ่นแรกคนสุดท้ายมีคำนำหน้าว่า (ฟูจิมิยะ) อย่างเช่น (ฟูจิซากิ ชิโอริ) กับ (ฟูจิมิยะ ฮานามิ) แต่ฉันไม่เข้าใจเลย ทำไมเธอต้องเล่าเรื่องพวกนี้ให้แสงสุทินฟังด้วย ถ้าแค่พูดให้ฮิโรมิฟังก็พอเข้าใจนะ”
“ไม่ใช่คนสุดท้ายสักหน่อย ต้องมีอีกคนหนึ่งเหลืออยู่แน่” ฮานามิเถียงกลับ
“ฉันขี้เกียจเถียงกับเธอเรื่องนี้แล้วล่ะ” ชิโอริปัดรำคาญล่วงหน้า “ฉันยังมีเรื่องที่คุยกับเธอไม่จบ ถ้าเธอมาอยู่ที่นี่ แล้วเด็กคนนั้นที่เธอรับไปดูแลจะเป็นยังไง เธอคงไม่ได้ปัดความรับผิดชอบแล้วหนีมาเฉยๆ ใช่ไหม”
“เด็กคนนั้น… เรียกด้วยชื่อนี้จนติดเป็นนิสัยแล้วสินะ” ฮานามิเผยยิ้มที่มุมปาก “ริคาอะรับไปดูแลต่อแล้วล่ะ เห็นว่าเป็นตัวอย่างที่ดีกับงานวิจัยก็เลยจะเลี้ยงดูในฐานะตัวอย่างเทียบ เท่านี้ก็หมดห่วงได้แล้วนะ”
“ถ้าเป็นริกะก็โล่งอกได้หน่อย” ชิโอริถอนหายใจ “อย่างน้อยก็ดีกว่าปล่อยให้อยู่กับเธอเป็นร้อยเท่า!”
“ยังไม่หายโกรธอีกเหรอ” ฮานามิถอนหายใจจนแสงสุทินเกือบถอนหายใจตาม “เอาเป็นว่าตกลงแล้วใช่ไหม ฉันจะขออยู่ที่นี่กับเธอ แลกกับสอนความก้าวหน้าของการสร้างเซย์ริตลอดสองปีที่ผ่านมา มีหลายอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่ที่เธอไม่อยู่นะ แล้วในระหว่างที่ฉันกำลังสอนเรื่องนี้อยู่ ฉันอยากให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปก่อนนะ ตอนนี้เลย”
ฮานามิพูดจบแล้วก็ผลักฮิโรมิกับแสงสุทินออกไปจากห้อง แต่แสงสุทินยังมีอย่างสุดท้ายที่ต้องการคำตอบ เขาหันกลับไปมองฮานามิที่กำลังจะปิดประตู แล้วเอ่ยคำถามขึ้นมา
“เรื่องที่ว่าจำกัดการใช้พลังน่ะ รุ่นที่สองจำกัดเอาไว้ที่เท่าไหร่เหรอ”
ฮานามิตอบอย่างมั่นใจ นั่นเพราะคนที่สร้างและกำหนดมาตรฐานของอุปกรณ์เสริม (แกนปีก) ก็คือเธอเอง
“ปกติจะอยู่ที่ 1/10 แต่ชิโอริเป็นกรณีพิเศษนิดหน่อย เธอใช้พลังได้แค่ 1/25 เชื่อไหมล่ะ ร่างวิวัฒนาการระดับสองของเธอยังมีพลังสู้แองเจลอยด์รุ่นที่สองที่ยังอยู่ในร่างพื้นฐานไม่ได้เลยนะ”
เธอพูดจบแล้วก็ปิดประตูห้องของชิโอริ ก่อนจะเริ่มการสอนตัวต่อตัวทันที ทั้งสองคนหมกตัวอยู่ในห้องจนเกือบลืมเวลา ถ้าแสงสุทินไม่ทำอาหารเย็นจนกลิ่นโชยไปถึงข้างในห้อง ทั้งสองคนก็คงข้ามอาหารมื้อนั้นไปเลย และหลังจากที่กินมื้อเย็นเสร็จ พวกเธอก็กลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง คนที่เดินผ่านหน้าห้องรู้สึกได้ถึงความตึงเครียดที่ส่งผ่านอากาศเข้ามาอย่างชัดเจน นอกจากเนื้อหาที่ยากจนคนธรรมดาไม่มีทางเข้าใจ ดูเหมือนว่าชิโอริจะมีความหลังไม่ค่อยดีกับฮานามิด้วย
เมื่อทั้งสองอย่างรวมกันก็เกิดเป็นตัวขับไล่ดีๆ นี่เอง แสงสุทินจึงขึ้นบันไดไปนอนที่ห้องชั้นสอง ส่วนฮิโรมิที่เป็นเซย์ริ เธอไม่สามารถนอนได้จึงต้องทนกับบรรยากาศอึมครึมจนถึงเช้า แต่เธอยังมีสิ่งที่ต้องทำจึงหันไปสนใจกับสิ่งนั้นแทน ฮิโรมิหยิบหูฟังติดต่อสถานีวิจัยอีกครั้ง แล้วครั้งนี้ก็ไม่สามารถติดต่อได้อีกเช่นเคย
เธอคิดว่าเป็นเพราะไม่มีสัญญาณ แต่เสียงรอสายเปลี่ยนไปจากตอนที่เธอติดต่อกับสถานีวิจัยได้ ในทุกครั้งที่เธอลองหลังจากนั้นไม่มีเสียงรอสายเลย เหมือนไม่สามารถติดต่อได้ แล้วกว่าที่เธอจะติดต่อไปได้ก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว
เสียงรอสายกลับมาดังอีกครั้ง ตามมาด้วยการตอบรับจากปลายสายที่แตกต่างไปจากช่วงเที่ยงวัน
ในครั้งนี้ การตอบรับกลายเป็นเสียงตะโกน เหมือนกับทางนั้นไม่พอใจอย่างมาก
ดูเหมือนว่าสถานีวิจัยจะจำกัดจำนวนครั้งในการติดต่อให้ทำได้แค่หนึ่งครั้งต่อวันเท่านั้น ถ้าเธอติดต่อในวันนั้นไปแล้วครั้งหนึ่งก็จะติดต่อไปไม่ได้อีกจนกว่าจะพ้นเที่ยงคืนของวันนั้นไป นั่นเป็นสาเหตุที่ฮิโรมิติดต่อกับสถานีวิจัยไม่ได้สักที ต้องลำบากให้ทางนั้นแก้ไขระบบให้ฮิโรมิสามารถติดต่อได้สองครั้งเฉพาะวันนี้ ครั้งแรกก็คือครั้งนี้ ส่วนอีกครั้งก็คือตอนที่เธอจะรายงานผลการสังเกตการณ์ในส่วนของวันนี้ไปอีกครั้ง
แต่เรื่องที่ทำให้ปลายสายไม่พอใจไม่ได้มีแค่เรื่องที่เธอตัดสายไปก่อนที่จะรายงานความคืบหน้าเมื่อวานนี้
“ฟูจิซากิ ฮิโรมิ เราสั่งให้เธอสังเกตการณ์ฟูจิซากิ ชิโอริ แต่เมื่อวานนี้ รู้สึกว่าเธอจะเข้าไปหาเป้าหมายแล้วก็มีเรื่องให้ต้องต่อสู้กันใช่ไหม หลังจากนั้นก็อยู่ติดกับเป้าหมายตลอดเวลาอีก เรากำชับเอาไว้แล้วว่าอย่าให้เป้าหมายรู้สึกตัวเด็ดขาด หวังว่าหนึ่งวันที่ผ่านมาจะทำให้เธอคิดคำแก้ตัวที่ฟังขึ้นได้ใช่ไหม”
ฮิโรมิฟังแล้วติดใจขึ้นมา ปลายสายรู้ความเคลื่อนไหวของเธอทุกอย่าง แต่มีบางเรื่องที่พวกเขาไม่ได้พูดถึง แต่นั่นก็ทำให้เรื่องทุกอย่างง่ายขึ้นเช่นกัน
“เรื่องที่ฉันอยู่กับชิโอริสินะ ฉันคิดว่าอย่างนี้ค่ะ” ฮิโรมิเริ่มพูดเร็วขึ้น ขณะที่ระวังประตูห้องของชิโอริที่ไม่รู้ว่าจะเปิดขึ้นเมื่อไหร่ “หลักการสังเกตการณ์คือ ต้องรู้ความเคลื่อนไหวทั้งหมดของอีกฝ่าย แล้วรายงานให้มีข้อผิดพลาดน้อยที่สุด แต่ถ้าฉันเฝ้ามองจากระยะไกลก็จะมีบางช่วงที่มองไม่เห็นความเคลื่อนไหว แล้วก็มีโอกาสที่อีกฝ่ายจะระวังตัว ทำให้ช่วงที่ตกหล่นไปมีมากขึ้น ฉันคิดว่าถ้าหาทางเข้าใกล้อีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร มันจะมีโอกาสให้อีกฝ่ายไม่ทันระวังตัวและทำให้ฉันเก็บข้อมูลที่เป็นความจริงได้มากขึ้นค่ะ”
“แล้วเรื่องที่เธอต่อสู้กับฟูจิซากิ ชิโอริจะอธิบายว่ายังไง” ปลายสายเชื่อสิ่งที่เธอพูดเสียสนิท เพราะมันเป็นสิ่งที่เธอตั้งใจว่าจะทำตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
“เรื่องนั้นสินะ คือว่า…” ฮิโรมิเว้นช่วงคิดอยู่พักหนึ่ง “ก่อนจะหลบหนีจากสถานีวิจัย ชิโอริเคยเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิจัยและพัฒนาเซย์ริมาก่อน แล้วก็ยังพ่วงหน้าที่ฝึกสอนเซย์ริก่อนเข้ารับการทดสอบสมรรถภาพ คงเพราะว่าฉันผูกมิตรได้แล้ว เธอก็เลยสอนทักษะการต่อสู้ที่ฉันยังขาดให้ค่ะ พวกคุณก็คงรู้ว่าวิธีการสอนของชิโอริเป็นยังไงใช่ไหมคะ”
ทางนั้นเงียบลงไปพักหนึ่ง คงเพราะทำงานอยู่ก่อนที่ชิโอริจะหลบหนีจึงทำความเข้าใจในสิ่งที่เธอพูดโดยไม่ต้องอธิบายเพิ่ม แล้วในที่สุด เธอก็ได้รับคำตอบที่น่าพึงพอใจจากอีกฝ่าย
“อย่างนั้นเองเหรอ เอาเป็นว่าเราเข้าใจในสิ่งที่เธอพูดแล้ว เธอมีเรื่องที่จะรายงานอีกไหม”
“มีค่ะ” ฮิโรมิพูดต่อ “นอกจากเรื่องที่ฉันแฝงตัวอยู่กับชิโอริแล้ว มนุษย์ที่อาศัยอยู่กับเธอก็ไม่ค่อยน่าสงสัย แต่รู้สึกว่าพวกคุณจะไม่เชื่อใจฉันสินะคะ ถึงกับส่งเซย์ริที่ชื่อฟูจิมิยะ ฮานามิมาด้วย มีคนรายงานถึงสองคนจะไม่สับสนเหรอคะ”
เมื่อพูดถึงชื่อนั้น ปลายสายก็มีความกระวนกระวายอย่างชัดเจน คำพูดที่แตกตื่นดังเข้าหูฟังราวกับต้องการให้เธอได้ยินด้วย แต่คงเป็นเพราะทางนั้นเก็บอาการไม่อยู่ แล้วเจ้าหน้าที่คนเดิมก็พูดกับเธออีกครั้งด้วยเสียงที่ไม่มั่นใจนัก
“ฟูจิมิยะ ฮานามิ เมื่อกี้เธอพูดถึงชื่อนี้เหรอ เธอพูดจริงใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ” ฮิโรมิตอบกลับ เสียงตอบรับจากปลายสายขาดช่วงไปนับนาที
“แปลว่า… แผนการของผู้การก็ได้ผลสิ” เสียงที่เล็ดลอดจากข้างนอกพูดอย่างนั้น แล้วเจ้าหน้าที่ที่คุยกับฮิโรมิตั้งแต่ต้นก็พูดต่อ “เธอพูดจริงเหรอ ช่วยไม่ได้ ถ้าเราจะเพิ่มหน้าที่จับตามองฟูจิมิยะ ฮานามิอีกคน แล้วรายงานความเคลื่อนไหวในการติดต่อครั้งต่อไปด้วย เพราะว่าฟูจิมิยะ ฮานามิก็เป็นเซย์ริหนีทัพเหมือนกับฟูจิซากิ ชิโอริ เธอจะรับงานนี้ไหวใช่ไหม ต้องสังเกตการณ์ถึงสามคนในเวลาเดียวกันเลยนะ”
“ค่ะ” ฮิโรมิพยักหน้ารับ เพราะถึงเธอจะปฏิเสธไป ทางนั้นก็ไม่สนใจอยู่แล้ว
“จริงสิ… ฉันอยากเตือนเธอเอาไว้หนึ่งเรื่อง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ห้ามต่อสู้กับฟูจิมิยะ ฮานามิในทุกกรณี ถ้าเห็นว่าต้องต่อสู้กับอีกฝ่าย ให้รีบถอยกลับมาที่สถานีวิจัยทันที นั่นไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เธอจะเอาชนะได้ ฉันรู้ว่าเธอวิวัฒนาการเป็นระดับสองแล้ว แต่เซย์ริรุ่นแรกที่ระดับวิวัฒนาการเดียวกันมีพลังเหนือกว่ารุ่นที่สองมาก แต่ฟูจิมิยะ ฮานามิเหนือกว่านั้นไปอีก”
คำสั่งใหม่ที่แถมคำเตือนมาให้ทำให้ฮิโรมิเกิดสงสัยขึ้นมา
“ทำไมถึงสู้ไม่ได้คะ ฉันเป็นเทอร์รารอยด์ ถ้าใช้ความเร็วเข้าสู้…” ฮิโรมิรู้สึกเสียวมากขึ้นทุกครั้งที่โต้แย้ง แต่เธอก็รู้สึกไม่สบายใจเช่นกันถ้าต้องถอยโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย แต่คำตอบที่ได้กลับมาทำให้ความคิดนั้นกระเด็นไปโดยสิ้นเชิง
“ก็เพราะว่าฟูจิมิยะ ฮานามิ เป็นเซย์ริร่างวิวัฒนาการระดับสาม”
คำตอบนั้นสั้นมาก ไม่มีการอธิบายในด้านเหตุผล แต่มันทำให้ฮิโรมิยอมรับได้มากที่สุด
เธอตัดการติดต่อกับสถานีวิจัย แล้วใช้ความคิดว่าจะทำอย่างไรกับเวลาอีก 6 ชั่วโมงก่อนฟ้าสาง ตอนนี้เหลือเธอที่ยังตื่นและว่างอยู่เพียงคนเดียว จะเข้าไปในเขตอยู่อาศัยที่ 101 ก็ไม่มีอะไรให้ทำ จะกลับไปที่สถานีวิจัยเพื่อหาเรื่องคุยเล่นและปรึกษากลยุทธ์กับพวกมาโดกะก็ไม่ได้เช่นกัน จะเข้าไปในห้องของชิโอริ หรือเฝ้าดูแสงสุทินนอนหลับก็ไม่ไหวด้วย สุดท้ายเธอก็ต้องนั่งคอยอย่างสงบในห้องครัวตามลำพัง
เวลาราวตีห้าครึ่ง ประตูห้องของชิโอริก็เปิดออก ฮานามิโผล่หน้าเข้ามากวักมือเรียกเธอเข้าไปในห้อง
แล้วหลังจากนั้น ในช่วงเช้าตรู่ของอีกวันหนึ่ง…
“พวกเธออยู่กันถึงเช้าจริงๆ เหรอเนี่ย ก็เข้าใจว่าเซย์รินอนหลับไมได้นะ แต่ว่า…” แสงสุทินที่กำลังงัวเงียขยี้ตาแรง ภาพที่เห็นในห้องครัวตอนนี้มีสิ่งที่ต่างไปจากปกติ ก็ใช่ที่ฮานามิเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ด้วย แล้วก็ใช่ที่ฮิโรมิมีร่างกายเป็นเด็กมัธยมต้นแล้ว แต่ว่า… “เป็นเธอเป็นใครเหรอ เป็นคนรู้จักของเซย์ริพวกนี้ใช่หรือเปล่า”
“เสียมารยาทสุดๆ เลยนะนั่น” ฮานามิเริ่มพูดทั้งรอยยิ้ม กรรไกรในมือของเธอสับไปมาด้วยความประทับใจ
“นายจำไม่ได้จริงเหรอ” ชิโอริที่นั่งเท้าคางรอบนโต๊ะอาหารเริ่มพูดบ้าง
“ฉันไม่รู้จักเด็กผู้หญิงผมแดงคนนี้จริงๆ ถึงสีผมจะเหมือนกับฮิโรมิก็เถอะ”
“ก็นี่แหละ ฮิโรมิที่นายพูดถึง” ชิโอริตอบด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย
คำตอบที่ได้ทำให้แสงสุทินขยี้ตาสุดแรงเกิด แล้วยื่นหน้าเข้าไปจนใกล้จะชนใบหน้าของเด็กสาวมัธยมต้นคนนั้น แล้วก็เพิ่งจำได้ว่าเธอคือฮิโรมินั่นเอง แต่ฮิโรมิที่เขาเพิ่งเห็นเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อคืนนี้ไม่ได้ไว้ผมยาวถึงแค่ไหล่อย่างนี้ เจ้าตัวไม่ค่อยสนใจความสวยความงามเลยด้วยซ้ำ แต่ผ่านมาแค่ 10 ชั่วโมง เรียกว่าดูดีขึ้นเพราะเปลี่ยนทรงผมใหม่ก็คงได้ ทั้งในตอนนี้ เธอก็สวมเสื้อผ้าปกติที่มีขนาดใหญ่พอดีตัว คงเป็นเสื้อผ้าของฮานามิล่ะมั้ง
“ฉันบอกแล้วว่าไม่ต้องตัดหรอก กลายเป็นเรื่องยุ่งยากจนได้” ฮิโรมิพูดเหมือนไม่พอใจทรงผมใหม่ของตัวเอง แต่ดวงตาสีแดงเข้มมองไปทางแสงสุทินเหมือนรอการตอบรับอย่างอื่นจากเขา
“ไม่หรอก อย่างนี้ดูดีกว่าเดิมนะ เข้ากับเธอมากกว่าตอนที่ผมยาวเยอะเลยล่ะ”
“อย่างนั้นหรอกเหรอ…” ฮิโรมิตอบแล้วมุดหน้าลง นั่นเป็นนิสัยตอนเขินอายของเจ้าตัวหรือเปล่านะ
“ฝีมือการตัดผมของฉันเข้าท่าใช่ไหม ถ้าไม่รังเกียจแองเจลอยด์ เธอจะให้ฉันตัดผมด้วยไหม” ฮานามิขยับกรรไกรจนเกิดเสียงแหลม ซึ่งแสงสุทินยกมือปฏิเสธทันควัน ทำให้เธอทำหน้าไม่พอใจเล็กน้อย ก่อนจะหันไปหาเหยื่ออีกคนที่กำลังกุมมือที่รู้สึกปวดจากการเขียนหนังสือมาตลอดทั้งคืน เส้นผมสีฟ้าเงินช่างยาวน่าตัดเสียเหลือเกิน
“มองอะไรล่ะ ฉันไม่อยากให้เธอมายุ่งกับฉันหรอกนะ” ชิโอริพูดไปอย่างนั้น แต่ก็อาจไม่รอดพ้นจากเธอไปได้ สุดท้ายก็ต้องนั่งหันหลังปล่อยให้ฮานามิยุ่งกับเส้นผมของเธอตามใจชอบอยู่ดี
“คนของสถานีวิจัยรู้ความเคลื่อนไหวของพวกเรา ยกเว้นเรื่องที่เธอพูดกับฉันเมื่อวานนี้ แล้วก็เรื่องที่ฮานามิอยู่ที่นี่” ฮิโรมิพูดให้กับชิโอริที่ถูกจับให้นั่งอยู่กับที่ “เรื่องที่ว่าจะกลับไปที่สถานีวิจัย เธอพูดเรื่องนั้นก็เพื่อทดสอบเรื่องนี้สินะ เพื่อทดสอบว่าสถานีวิจัยจับตามองความเคลื่อนไหวของฉันหรือเปล่า แต่ทางนั้นน่าจะระแวงฉันที่ไม่รายงานเรื่องคุณแสงสุทินในครั้งก่อน ทำไมถึงไม่ใช้เครื่องดักฟังกับดาวเทียมเพื่อให้รู้เรื่องทุกอย่างไปเลยล่ะ”
“ก็เพราะว่าเป็นหน้าที่ ทางนั้นก็เลยไม่ติดเครื่องดักฟังกับเธอน่ะสิ” ฮานามิตอบ “จะไม่รู้ว่าฉันอยู่ที่นี่ก็ไม่แปลก ก่อนมาถึงที่นี่ ฉันทำลายเครื่องดักฟังกับอุปกรณ์ติดตามที่พวกนั้นติดมากับเสื้อผ้าของฉันไปแล้ว สถานีวิจัยขอแค่รู้ตำแหน่งของเธอก็ไม่จำเป็นต้องใช้กล้องดาวเทียมติดตามตัวแล้วล่ะ”
ได้ยินดังนั้น ฮิโรมิก็หน้าซีดขึ้นมา เธอรีบลุกขึ้นไปค้นเสื้อผ้าที่เธอใส่มาจากสถานีวิจัย ซึ่งขณะนี้ถูกตากเอาไว้ข้างนอกบ้าน คนที่รับผิดชอบซักมันก็คือแสงสุทิน ถ้ามีเครื่องมือติดมากับเสื้อผ้า เขาก็คงรู้ตัวในทันที แล้วเธอก็ตรวจสอบไปถึงอาภรณ์เทพธิดาของตัวเอง แต่ก็ไม่พบสิ่งแปลกปลอมเช่นกัน
“หาไปก็ไม่เจอหรอก สิ่งที่ทำให้สถานีวิจัยรู้ตำแหน่งของเธอถูกฝังอยู่ในตัว แต่ถ้าเธอกรีดมันออกมา เธอคงตายทันทีเลยล่ะ” ชิโอริพูด “สิ่งที่ทำให้รู้ตำแหน่งของเซย์ริรุ่นที่สองก็คือแกนปีก เพราะเครื่องมือที่พกพาภายนอกจะเสียหายในการต่อสู้ได้ง่าย และในการต่อสู้แต่ละครั้งค่อนข้างจะวุ่นวาย สถานีวิจัยเลยไม่รู้ตำแหน่งของเซย์ริที่ยังมีชีวิตอยู่ ตอนที่พัฒนาแกนปีกเพื่อเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการสร้างเซย์ริ เธอก็เลยติดตั้งอุปกรณ์ติดตามตัวลงไปด้วย เธอถึงได้รู้ตำแหน่งของฉันตอนที่เข้ามาจับตัวไงล่ะ แต่เซย์ริรุ่นแรกไม่มีแกนปีก ทางนั้นก็เลยต้องใช้เครื่องติดตามแทนน่ะ”
ระหว่างที่ชิโอริพูดอยู่ ฮานามิก็วางกรรไกรแล้วใช้หวีจัดทรงให้กับชิโอริ เธอเก็บเส้นผมที่ตัดแล้วในถุงพลาสติกเพื่อนำไปกำจัดทีหลัง แล้วเธอก็ลุกขึ้นไปหยิบกระจกจากในห้องน้ำ เพราะในบ้านหลังนี้ไม่มีกระจกพกพาเลยสักบาน
“เสร็จแล้วล่ะ ทรงผมใหม่ของเธอสวยดีใช่ไหมล่ะ”
ฮานามิพูดอย่างมั่นใจ แต่ทรงผมใหม่ของชิโอรินั้นแทบจะไม่ต่างจากเดิมเลย แค่เล็มส่วนที่ยาวเกินกลางหลังขึ้นมาให้เท่านั้น แสงสุทินเปรียบเทียบความแตกต่างก่อนหน้านี้แล้วรู้สึกว่าชิโอริดูดีขึ้นมาเล็กน้อย อาจเพราะเธอตัวเตี้ยเท่ากับเอวของเขาอยู่แล้วทำให้ความเปลี่ยนแปลงแค่เล็กน้อยดูชัดเจนขึ้นมา
แล้วเขาก็ฉุกคิดขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง
“จริงสิ แกนปีกมีรูปร่างยังไงเหรอ เหมือนแกนบังคับของหุ่นยนต์อะไรประมาณนี้หรือเปล่า”
“เป็นแผ่นกลมน่ะ แผ่นทรงกระบอกเหมือนกับเหรียญกษาปณ์สมัยก่อน ขนาดประมาณครึ่งฝ่ามือ” ชิโอริตอบ
“แต่เซย์ริที่ตายต่อหน้าฉันไม่มีของอะไรหล่นลงมาเลยนะ” แสงสุทินย้อนนึกถึงความทรงจำในการต่อสู้ครั้งก่อน ถึงภาพที่เห็นจะโหดร้ายเกินไป แต่หลังจากที่เซย์ริที่เสียชีวิตกลายเป็นละอองแสงไป ไม่มีอะไรเหลืออยู่ตรงที่เธอตายเลย แม้แต่เลือดก็ไม่มีสักหยด
“เพราะว่า… ฉันกำหนดให้มันถูกย่อยสลายไปพร้อมกับคนที่ตายไปแล้วน่ะสิ”
ฮานามิเอากระจกไปคืนที่ แล้วเดินไปหยิบกระเป๋าเดินทางที่พกมาตอนที่เข้ามาในบ้านหลังนี้ครั้งแรก เธอควานหาของในกระเป๋าที่มีของอัดแน่นเต็มไปหมด แล้วหยิบกระปุกแก้วที่ใส่ผงสีฟ้าขึ้นมา เมื่อเห็นของที่หยิบขึ้นมา ชิโอริก็หลบไปอยู่ข้างหลังแสงสุทิน ฮานามิก็ถือมันอย่างระมัดระวังเช่นกัน ยกเว้นฮิโรมิที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
“นั่นมันอะไรเหรอ” แสงสุทินกับฮิโรมิถามขึ้นมาพร้อมกัน
“ตัวการที่ทำให้เซย์ริกลายเป็นละอองแสงไงล่ะ สิ่งที่นายเห็นมันสวยมากเลยสินะ” ชิโอริพูดประชด สีหน้าของเธอแย่ลงจนแทบจะเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่ง “ถ้าฉันไม่ได้ถูกช่วยเอาไว้ ฉันก็จะมีสภาพอย่างนั้นเหมือนกัน ฮิโรมิก็ด้วย”
“หมายความว่ายังไง” แสงสุทินถามซ้ำ
“อย่างนี้ไงล่ะ” ฮานามิพูดแล้วหยิบเส้นผมของฮิโรมิในถุงอีกใบขึ้นมา เปิดฝาขวดแล้วโรยเส้นผมจำนวนหนึ่งลงไป เมื่อเส้นผมสัมผัสกับผงสีฟ้า มันก็กลายเป็นละอองแสงสีแดงเข้มในทันที “น่าทึ่งใช่ไหมล่ะ ถ้าฉันเอามันไปโรยใส่ใครสักคนที่นี่ก็จะกลายเป็นแบบเดียวกัน แต่เธอจะจับมันก็ได้นะ ไม่เป็นอันตรายกับมนุษย์หรอก แล้วฉันก็ฝากปิดฝาให้ด้วยนะ ฉันไม่ค่อยไว้ใจว่าจะมีพวกมันฟุ้งขึ้นมาด้วยหรือเปล่า”
“ฉันไม่เข้าใจ แต่มันคงเป็นเรื่องที่ไม่ดีแน่ใช่ไหม” ฮิโรมิเห็นเช่นนั้นก็เริ่มมีสีหน้าตื่นกลัว
ชิโอริมีสีหน้าแย่มาก เธอเผ่นไปหลบอยู่ข้างหลังฮิโรมิหลังจากที่แสงสุทินรับขวดแก้วมาไว้ในมือ ท่าทางเธอจะมีความหลังกับมันเยอะมาก แล้วในระหว่างที่ไม่มีใครสนใจ เครื่องมือชิ้นหนึ่งในกระเป๋าของฮานามิเริ่มมีแสงส่องขึ้นมา
“ฉันไม่ควรเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง แม้แต่การฝึกสอนก็ยังไม่เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังด้วยสิ แต่เธอเคยเห็นเซย์ริที่เป็นอย่างนี้มาแล้วสินะ” ชิโอริพูดเสียงสั่น “มันคือแบคทีเรียที่สังเคราะห์ขึ้นเพื่อกำจัดพวกเราโดยเฉพาะ ไม่ใช่ว่าพวกมนุษย์อยากจะฆ่าพวกเราหรอกนะ ฉันก็ไม่รู้ว่ามีไว้เพื่ออะไร แต่แบคทีเรียพวกนี้ถูกเก็บเอาไว้ในแกนปีก ในสภาวะปกติจะไม่ทำงานหรอก มันจะเริ่มการทำงานก็ต่อเมื่อหัวใจของพวกเราหยุดเต้นไปแล้ว 4 วินาที แกนปีกจะปล่อยแบคทีเรียพวกนี้ไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย พวกมันจะจับกับพันธุกรรมของเซย์ริแล้วเริ่มกระบวนการย่อยสลายอย่างรวดเร็ว แค่พวกมันครึ่งช้อนชาก็ย่อยพวกเราได้ทั้งตัวแล้ว จนป่านนี้ ฉันก็ไม่เข้าใจเลยว่าฮานามิจะเอาพวกมันมาใส่ในแกนปีกด้วยทำไม”
“กำจัดศพน่ะ” ฮานามิรู้สึกว่าฮิโรมิเริ่มกลัวขึ้นมาเพราะคำพูดของเธอ “อย่างที่ชิโอริพูด มีแค่สองกรณีที่พวกมันจะหลุดออกมา หนึ่งก็คือเรื่องที่ชิโอริพูดมา อีกกรณีคือแกนปีกเสียหายจนกักพวกมันเอาไว้ไม่อยู่ แต่มีโอกาสเกิดได้น้อยมาก นอกจากจะโดนโจมตีเข้าเน้นๆ ที่กลางหลัง ความจริงแกนปีกก็แข็งแรงมากอยู่แล้ว ยิ่งถูกปกป้องด้วยอาภรณ์เทพธิดาอีกชั้น ไม่ต้องห่วงว่าต่อสู้อยู่ดีๆ แล้วจะถูกย่อยสลายไปหรอกนะ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริง มันคงไม่มีทางผ่านการทดสอบคุณภาพหรอก แต่ถ้าเธอไม่มั่นใจ ฉันจะพกไปในปริมาณน้อยๆ ในการต่อสู้ครั้งถัดไปก็ได้”
เธอแบ่งแบคทีเรียในขวดแก้วใส่ในขวดที่เล็กกว่าส่วนหนึ่ง แล้วหันกลับมายังแสงสุทินที่จับใจความไม่ได้
“ได้ฟังเรื่องทั้งหมดแล้ว ทีนี้ก็ถึงตาเธอเล่าบ้างแล้วล่ะ คุณมนุษย์ที่มาจากอนาคต”
แสงสุทินหันมองรอบตัวว่าเธอกำลังพูดกับใคร แล้วก็นึกได้ว่าคนที่มาจากอนาคตมีแค่เขาเพียงคนเดียว
“ชิโอริเล่าให้ฟังแล้วล่ะ เธอบอกว่ามาจากอนาคตใช่ไหม แล้วก็ยังพูดถึงเรื่องที่ไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไหร่ ช่วยเล่าให้ฟังอีกครั้งได้ไหมว่าในอีก 27 ปีข้างหน้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น หรือมันเป็นแค่เรื่องล้อเล่นเพื่อให้ชิโอริสนใจเท่านั้น”
แสงสุทินอยากจะส่ายหน้าสุดแรงเกิด แต่สายตาจริงจังของฮานามิก็ทำให้เขาหยุด
เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกสอบปากคำอีกครั้ง ครั้งแรกตอนที่ได้สติในโรงพยาบาล ครั้งที่สองก็ตอนที่รู้จักกับชิโอริครั้งแรก เขาน่าจะชินกับมันได้แล้ว สิ่งที่ต้องทำมีแค่เล่าเรื่องทุกอย่างไปตามความจริง แม้ว่าแค่เรื่องที่เขาบอกว่าเดินทางมาจากอนาคตจะดูเป็นเรื่องโกหกมากที่สุดแล้วก็ตาม
แต่วินาทีที่เขาขยับปาก กระเป๋าของฮานามิก็มีเสียงเหมือนกับนาฬิกาปลุกดังขึ้น แต่เจ้าของกระเป๋าตอบสนองต่อเสียงนั้นยิ่งกว่าคนที่เพิ่งตื่นนอน เธอหยิบเครื่องมือที่คล้ายกับโทรศัพท์มือถือรุ่นปุ่มกดขึ้นมาปิดเสียง เมื่อเธอจัดการปุ่มกดไปได้สักพัก เธอก็เริ่มทำสีหน้าไม่ค่อยดี คิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากันเหมือนมีเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้น
“พวกมันมาอีกแล้วล่ะ พิกัดอยู่ที่…” ฮานามิเล่าสิ่งที่เครื่องมือนั้นบอกกับเธอค้างเอาไว้ สีหน้าของฮานามิในตอนนี้แย่เอามากๆ ราวกับนึกถึงความทรงจำที่เลวร้ายที่สุดขึ้นมาได้
“เธอกำลังพูดถึงพวกไหน หวังว่าคงจะไม่ได้หมายถึง…” แสงสุทินตอบสนองต่อสิ่งที่ได้ยินด้วยท่าทางตื่นกลัว แต่ข้างในใจก็เตรียมใจสำหรับคำตอบที่จะได้รับเอาไว้แล้ว ในเมื่อสิ่งที่ทำให้เซย์ริเครียดได้ถึงขนาดนี้น่าจะมีแค่อย่างเดียว
“ผู้รุกรานจากอวกาศน่ะ” ชิโอริรับช่วงพูดต่อจนจบ “ปฏิกิริยาของมันอยู่ทางตะวันออก 300 กิโลเมตร”
“ไกลเอาเรื่องเลยนะ” ฮิโรมิเอ่ย “ทำไมมันถึงไปปรากฏตัวไกลขนาดนั้นล่ะ ที่นั่นมีอะไรดึงดูดมันเหรอ”
“ไม่มีเลยสักอย่าง” ฮานามิให้คำตอบโดยไม่ยอมสบตากับใคร “ตรงนั้นเคยเป็นจุดที่ผู้รุกรานจากอวกาศปรากฏตัวบ่อยที่สุด แต่หลังจากเกิดเรื่องเมื่อ 25 ปีก่อนทำให้พวกมันย้ายมาปรากฏตัวที่เขตอยู่อาศัยที่ 101 แทน แล้วก็ไม่เคยไปปรากฏตัวที่นั่นอีกเลย” แล้วเธอก็หยุดพูด มือทั้งสองกำแน่นจนห้อเลือด ขณะที่ทำตาเหมือนกำลังจะร้องไห้
อาจเป็นความทรงจำที่เลวร้ายที่สุดของเธอ แสงสุทินก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจ เขาก็เพิ่งจะผ่านเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตมาเหมือนกัน จนถึงตอนนี้ยังสลัดภาพที่เห็นไม่ได้สักที กลิ่นเลือดของฮิโรมิยังคลุ้งติดจมูก มันเพิ่งจะผ่านมาได้สามวันนี่เอง แต่ในการมาถึงของผู้รุกรานจากอวกาศครั้งนี้ มีสิ่งหนึ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้น…
“ไม่สิ ไม่ใช่แล้วๆ” แสงสุทินสะบัดหน้าสุดแรง “ผู้รุกรานจากอวกาศเหรอ พูดเป็นเล่นไปได้ สัญญาณเตือนภัยก็ไม่ดังเลยไม่ใช่เหรอ อากาศข้างนอกก็สดใสจะตาย พวกเธอมองให้ดีสิ” เขาเดินไปที่หน้าต่าง แสงแดดร้อนระอุยังส่องลงมา สายลมก็ยังพัดเอื่อย ไม่มีเสียงไซเรนแสบแก้วหูดังขึ้นด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าเขตอยู่อาศัยที่ 101 ยังคงอยู่อย่างสงบสุข
แต่พวกเซย์ริไม่คิดเช่นนั้น
“เพราะมันไกลจนไม่ต้องอพยพคนต่างหาก” คำตอบของฮิโรมิทำให้ความมั่นใจของแสงสุทินลดลง “เท่าที่ฉันได้เรียนมา ถ้าผู้รุกรานจากอวกาศปรากฏตัวที่ไหน ที่อื่นก็ไม่จำเป็นต้องอพยพคน เพราะเขตอยู่อาศัยแต่ละแห่งตั้งอยู่ห่างกันจนไม่โดนลูกหลง แล้วถ้านายอยู่ในพื้นที่ที่ไกลออกไป นายก็คงไม่อยากหนีลงสถานหลบภัยทุกสัปดาห์หรอกใช่ไหม”
“เหตุผลที่ทุกคนรีบร้อนตอนที่ผู้รุกรานจากอวกาศขึ้นบินก็เพราะเรื่องนี้แหละ” ฮานามิกล่าวเสริม “กลไกอพยพจะทำงานเฉพาะบริเวณใกล้กับจุดที่ผู้รุกรานจากอวกาศปรากฏตัวเท่านั้น ปกติแล้ว พวกมันจะถูกจัดการลงตรงนั้นเลย แต่ถ้าไม่ มนุษย์จะไม่ปลอดภัยแน่นอน ฉันก็ตั้งใจว่าจะกำจัดมันตอนที่บินขึ้นแล้วนะ ถ้าฮิโรมิไม่เข้ามาในแนวยิงของฉันซะก่อน”
“สรุปว่า คนที่โจมตีผู้รุกรานจากอวกาศในตอนนั้นก็คือเธอเองสินะ” ชิโอริพูดถึงแสงสีน้ำเงินที่กำราบผู้รุกรานจากอวกาศได้อย่างง่ายดาย แล้วจ้องไปยังฮานามิไม่ละสายตา แม้ว่าอีกฝ่ายจะมองเธอกลับมาแล้วก็ตาม
“ไม่รีบไปตอนนี้จะดีเหรอ ไม่ห่วงว่าสัตว์ประหลาดนั่นจะหนีมาที่นี่เลยเหรอ”
“ไม่ต้องรีบหรอก” ฮานามิเผยยิ้ม “ถึงจะจับปฏิกิริยาของมันได้ แต่กว่าผู้รุกรานจากอวกาศจะโผล่มาก็หลังจากนั้นนานหน่อย แล้วก็ตามสัญญานะ ฉันจะพกเชื้อนี่ติดตัวไปด้วย เธอจะได้รู้ว่าถึงจะได้รับบาดเจ็บระหว่างต่อสู้ก็ไม่มีทางที่จะถูกย่อยได้ง่ายๆ… ไปกันเลยดีกว่านะ”
เธอหยิบขวดแก้วขนาดเล็กที่ใส่แบคทีเรียสุดอันตรายใส่ในกระเป๋า แล้วเดินไปที่หน้าต่าง ก่อนที่เซย์ริทั้งสามจะสยายปีกที่เก็บซ่อนอยู่ใต้แผ่นหลังขึ้นมา ปีกของฮานามิเป็นปีกที่ปกคลุมด้วยขนนกสีขาวเช่นเดียวกับชิโอริ แต่มีขนาดใหญ่กว่าตามขนาดตัว และฮานามิสูงเกือบจะเท่ากับแสงสุทินเลย น่าจะพ้น 170 เซนติเมตรไปแล้ว
ฮานามิหันกลับมาพูดกับแสงสุทินเป็นครั้งสุดท้าย ขณะที่อีกสองคนออกเดินทางไปแล้ว
“นี่เป็นคำแนะนำจากฉัน ระหว่างที่พวกเราไม่อยู่ เธอเข้าไปอยู่กับคนเยอะๆ ในเขตอยู่อาศัยก่อนนะ แต่อย่ากลับมาที่บ้านหลังนี้จนกว่าฉันหรือพวกชิโอริจะไปรับกลับมาเอง แล้วก็… ถ้ามีใครชวนเธอไปไหนก็อย่าตามไปเด็ดขาดเลยนะ”
“เห็นฉันเป็นเด็กเหรอ” แสงสุทินหัวเราะเยาะ “แต่เอาอย่างนั้นก็ได้ ขอให้พวกเธอรอดกลับมาให้ได้นะ”
“ถ้านับตามอายุก็คงใช่ แต่คนที่ควรได้รับการอวยพรน่าจะเป็นเธอมากกว่านะ”
เธอพูดจบแล้วก็บินตามพวกชิโอริไปนอกเขตอยู่อาศัยที่ 101 แล้วเร่งความเร็วสูงสุดไปยังจุดหมาย ด้วยความเร็วมัค 6 ทำให้เธอใช้เวลาแค่สองนาทีในการเดินทาง พื้นที่ป่าสิ้นสุดลงใน 10 กิโลเมตรแรก ทุ่งสีน้ำตาลของดินที่ไร้แร่ธาตุที่ทอดยาวต่อไปจนสุดสายตาทำให้ข้างในหัวใจเริ่มปวดร้าว ภาพที่อยากจะลืมก็หวนกลับมาอีกครั้ง
มันเริ่มต้นจากแสงสีขาว ความร้อนมหาศาล เสียงกรีดร้อง และการยืนหยัดของเด็กสาวที่เป็นต้นแบบของเธอ
เมื่อฮานามิเดินทางไปถึงที่หมายก็พบว่า มีสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์กำลังต่อสู้กับเซย์ริกลุ่มหนึ่งและเครื่องบินรบอยู่ก่อนแล้ว สนามรบในครั้งนี้อยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังของอาคารบ้านเรือนที่แห้งกรอบ กินพื้นที่เท่ากับเขตอยู่อาศัยที่ 101 และดูเหมือนว่าจะยังไม่มีใครเสียชีวิตเลยสักคนเดียว
ผู้รุกรานจากอวกาศตัวใหม่ใหญ่ขึ้นจากตัวที่แล้ว มันสูงสัก 40 เมตรท่าจะได้ ผิวหนังสีน้ำตาลเหลืองมีความแข็งยิ่งขึ้น และมีเกล็ดปกคลุมยาวคล้ายกับเส้นขน ราวกับว่ามันพัฒนาตัวเองขึ้นไปอีกขั้น
“แสนรู้นักนะ” ฮานามิกัดฟันแน่น ก่อนจะลงพื้นห่างจากการต่อสู้ไปราวหนึ่งกิโลเมตร
ครั้งก่อนเธอก็เว้นระยะห่างเท่านี้ มันทำให้เธอมองเห็นภาพรวมของการต่อสู้ได้อย่างชัดเจน อัลฟ่าเชสเซอร์ที่เพิ่มจำนวนขึ้นเป็น 15 ลำคือกำลังหลักในการเข้าโจมตี โดยมีเซย์ริคอยสนับสนุน เธอเห็นทั้งชิโอริกับฮิโรมิอยู่ในกลุ่มเซย์ริด้วย แต่จำนวนของเซย์ริที่เข้าร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้มีแค่ 7 คน ไม่นับพวกชิโอริก็มีแค่ 5 คนเท่านั้นเอง
“มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงมีคนน้อยขนาดนั้นล่ะ”
“มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงมีเซย์ริน้อยขนาดนี้ล่ะ!” ชิโอริตะโกนถามแข่งกับเสียงร้องของมังกรยักษ์
มาโดกะที่เป็นผู้บัญชาการเซย์ริหลบการโจมตีประเภทลำแสงของผู้รุกรานจากอวกาศ แล้วตอบกลับมา
“จากการต่อสู้ครั้งก่อนก็เพิ่งจะผ่านมาได้แค่สามวัน เซย์ริที่เข้าร่วมในการต่อสู้ก็ไม่อยากกลับมาต่อสู้อีก โดยเฉพาะเทอร์รารอยด์ที่ต้องเข้าต่อสู้ประชิดตัว แค่แองเจลอยด์ 4 คนนี่คือทั้งหมดที่ฉันชักชวนมาได้แล้วล่ะ” มาโดกะตอบ แล้วชะเง้อมองชิโอริด้วยความสงสัย “ฉันไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ คุณคือคุณชิโอริใช่ไหมคะ ต้องขอบคุณที่ช่วยฮิคาริเอาไว้นะคะ แต่ว่า ตอนนี้เธออยู่ไหนแล้วเหรอคะ”
“ไม่ต้องไปขอบคุณหรอกน่า แล้วฉันคือฮิโรมิ ดูสีผมให้ดีสิ สีผมน่ะ” ฮิโรมิชี้เส้นผมสีแดงเข้ม ก่อนจะหลบลำแสงที่ผู้รุกรานจากอวกาศพ่นออกมา แล้วบุกเข้าไปโจมตีคืนด้วยดาบแสง แต่ก็สร้างบาดแผลให้กับอีกฝ่ายไม่ได้เลย “ผิวของมันจะแข็งอะไรนักหนา ขนาดฉันวิวัฒนาการแล้วยังฟันไม่เข้าเลย ตัวก่อนยังโดนฉันที่ยังไม่ได้วิวัฒนาการฟันปีกขาดเลยนะ”
“โจมตีที่ดวงตาก็ไม่ได้ผลเหมือนกันค่ะ” แองเจลอยด์ใต้การนำของมาโดกะรายงาน
การโจมตีของแองเจลอยด์ทั้งสี่ที่วิวัฒนาการแล้วยังทำอะไรส่วนที่บอบบางที่สุดไม่ได้ กนะสุนของอัลฟ่าเชสเซอร์ยังมีผลกับมันแค่เล็กน้อยเท่านั้น เป็นเพราะเกล็ดที่แข็งช่วยปกป้องมันเอาไว้ แต่การโจมตีของมันเบากว่าตัวที่แล้วมาก แต่ถ้าเซย์ริโดนเข้าไปก็ถึงตายได้เหมือนกัน
สิ่งที่พวกเธอต้องการในตอนนี้คือ พลังที่รุนแรงพอจะทะลุผ่านเกล็ดแข็งลงไปได้
แล้วคนที่มีพลังขนาดนั้น…
เกิดเสียงดังสนั่น พร้อมกับเกล็ดยาวที่แตกหักและร่วงลงไปที่พื้นดิน เผยให้เห็นชั้นเนื้อสีเขียวคล้ำขางใต้ผิวหนังที่ถูกทำลาย แรงระเบิดที่เกิดขึ้นกับร่างกายทำให้ผู้รุกรานจากอวกาศร่างยักษ์ล้มไม่เป็นท่าร่างกายอันใหญ่โตล้มทับซากอาคารจนพังราบเป็นหน้ากลอง แรงอัดระเบิดยังแผ่ขยายไปทั่วทิศทางทำให้อาคารโดยรอบถล่มเป็นวงกว้าง
พลังที่ต่างชั้นโดยสิ้นเชิงทำให้เหล่าแองเจลอยด์เริ่มหวาดระแวง แต่นักบินทั้ง 15 ชีวิตที่เฝ้ามองอยู่ต้องตกใจยิ่งกว่าแน่ เพราะนี่คือครั้งแรกที่ผู้รุกรานจากอวกาศตัวนี้เสียท่า
ทุกสายตามองหาคนที่ทำการโจมตี จนพบกับเงาของนางฟ้าคนหนึ่งอยู่ห่างออกไปนับกิโลเมตร เธอสวมอาภรณ์เทพธิดาสีน้ำเงินเข้มทับชุดเดรสไร้แขนสีขาว ชุดเกราะนั้นประดับด้วยลวดลายสีเงิน ต่างจากอาภรณ์เทพธิดาของแองเจลอยด์ทุกคนในที่นี้ที่ไม่มีลวดลาย ดวงตาสีน้ำเงินของเธอจ้องมองไปยังผู้รุกรานจากอวกาศอย่างเคียดแค้น
ฝ่ามือที่ยื่นตรงไปยังร่างที่กำลังจะลุกขึ้นมีแสงสีน้ำเงินสว่างขึ้นมา ก่อนจะมีลำแสงสีน้ำเงินยิงซ้ำเข้าไปยังเกล็ดแข็ง เกิดแรงระเบิดที่คว้านลงไปถึงผิวหนังเป็นร่องลึก เสียงคำรามด้วยความเจ็บปวดดังก้องไปทั่วทั้งซากเมือง
“ทำร้ายผู้รุกรานจากอวกาศได้ถึงขนาดนี้เชียว ใครกันน่ะ” มาโดกะมองไปยังคนที่เห็นอยู่ไกลลิบราวกับต้องมนต์
“ฟูจิมิยะ ฮานามิ เซย์ริรุ่นแรกน่ะ” ชิโอริชิงตอบก่อนที่ฮิโรมิจะทันขยับปาก
นอกจากฮิโรมิแล้ว เซย์ริทั้ง 5 คนต่างทำสายตาไม่อยากเชื่อ พวกเธอถูกคำพูดนั้นดึงความสนใจจากผู้รุกรานจากอวกาศไปจนหมด แล้วเริ่มมีการปรึกษาดังขึ้นภายในกลุ่ม
“ฟูจิมิยะ ฮานามิ… พูดจริงเหรอ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ ไม่ใช่ว่าคุณฮานามิทำงานอยู่ที่สถานีวิจัยเหรอคะ”
“โดนปลดแล้วล่ะ” ชิโอริตอบเสียงนิ่ง “ดูเหมือนว่า ผู้รุกรานจากอวกาศตัวก่อนก็ถูกฮานามิโค่น แต่ความจริงแล้ว เธอก็เข้าร่วมในการต่อสู้ทุกครั้งนั่นแหละ พลังต่อสู้ของฮานามิเหนือกว่าพวกเธอทั้งหมด ดังนั้น อย่าโดนลูกหลงเข้าล่ะ”
มาโดกะใช้ความคิดประเมินสถานการณ์อีกครั้งทันที แผนการต่อสู้ใหม่ถูกคิดขึ้นโดยรวมสถานการณ์ที่มีฮานามิอยู่ด้วยแล้ว ในสนามรบที่มีอัลฟ่าเชสเซอร์อยู่ 15 ลำกับเซย์ริอีก 7 คน ความเสียหายที่เกิดขึ้นยังเป็นศูนย์ สนามรบในครั้งนี้ไม่ใช่เขตอยู่อาศัยโล่งๆ แต่เป็นซากปรักหักพังที่มีจุดพรางตาหลายแห่ง โครงสร้างอาคารแต่ละหลังทรุดโทรมมาก เมื่อถล่มก็จะเกิดฝุ่นฟุ้งกระจายบดบังการมองเห็น ขณะที่ศัตรูในครั้งนี้สูงพ้นอาคารทุกหลัง
และมีเซย์ริรุ่นแรกที่แข็งแกร่งกว่าพวกเธอเป็นสิบๆ เท่าอยู่ด้วย
คำสั่งที่เธอจะกระจายให้กับเซย์ริทุกคนคือ…
“ออกไปจากโลกเดี๋ยวนี้! พวกแกไม่มีสิทธิ์ใช้อากาศที่นี่หายใจด้วยซ้ำ!”
เสียงตะโกนของหญิงสาวดังขึ้น เส้นสีน้ำเงินเข้มแล่นตรงไปยังผู้รุกรานจากอวกาศที่เริ่มฟื้นฟูบาดแผล ก่อนที่เธอคนนั้นจะใช้กำปั้นชกลงไปยังร่างกายขนาดยักษ์ด้วยความเร็วสูง เสียงปะทะของโลหะดังขึ้น แต่ฝ่ายที่บาดเจ็บกลับเป็นฝ่ายที่ชกลงไปเอง ขณะที่ผู้รุกรานจากอวกาศไม่สะดุ้งสะเทือนสักนิด แต่เสียงปะทะก็ยังคงดังขึ้นจากทั่วทุกส่วนของเกล็ดแข็ง
“คิดจะทำอะไรน่ะ” ชิโอริกระโจนเข้าไปขวางฮานามิที่กำลังจะชกหมัดต่อไป แรงฉุดจากความเร็วสูงทำให้แขนของเธอส่งเสียงแปลกๆ “คิดให้ดีก่อนจะบุกเข้าไปสิ เธอไม่เคยเป็นอย่างนี้ไม่ใช่เหรอ”
“ชิโอริ…” ฮานามิเริ่มใจเย็นลง “ขอโทษนะ ฉันแค่ขาดสติไปนิดหน่อย ตอนนี้เป็นยังไงแล้วล่ะ”
“ยังไม่มีใครเสียชีวิตค่ะ” มาโดกะพูด เสียงของเธอถูกกลบโดยการโจมตีของเครื่องบินรบ “คุณฮานามิมาที่นี่ได้ยังไงคะ ทิ้งงานมาช่วยพวกฉันที่นี่จะไม่เป็นไรเหรอคะ”
“ไม่มีงานแล้วล่ะ” ฮานามิตอบ “ฉันถูกปลดจากตำแหน่งแล้ว หน้าที่และงานวิจัยทุกอย่างของฉันถูกเวนคืนไปแล้ว ตั้งแต่วันนี้ไป ฉันไม่ได้ขึ้นตรงกับสถานีวิจัยอีกแล้ว จริงสินะ ฉันอยากบอกว่าที่ผ่านมา เธอทำหน้าที่ในฐานะผู้บัญชาการได้ดีมาก มั่นใจในความสามารถของตัวเองเข้าไว้นะ มาโดกะ”
มาโดกะได้ฟังดังนั้นก็มุดหน้าหลบ เธอไม่อยากรับคำชมนั้นเอาไว้
“ไม่ค่ะ ที่ผ่านมามีเซย์ริที่ต้องตายเพราะคำสั่งของฉันไปไม่รู้กี่ศพแล้ว ชัยชนะทุกครั้งก็เป็นเพราะคุณฮานามิทั้งนั้น ฉันไม่ได้ทำอะไรให้สมกับที่เป็นผู้นำเลยสักนิด แค่เพราะว่ามีชีวิตอยู่นานกว่าคนอื่นก็เลยได้รับตำแหน่งนี้มาเท่านั้น ฉันไม่มีความสามารถในฐานะผู้บัญชาการเลยสักนิดค่ะ”
“แผนการตัดคอผู้รุกรานจากอวกาศ” เมื่อฮานามิพูดคำนี้ มาโดกะก็ผงะหน้า “ฉันคิดว่าเป็นแผนการที่ไม่เลวนะ ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครทำมาก่อน… ไม่กล้าทำมาก่อนเพราะความเสี่ยงสูงเกินไปต่างหาก แต่เธอก็นำเทอร์รารอยด์ตั้งหลายคนเข้าร่วมในแผนการครั้งนั้นได้ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเธอเป็นผู้นำที่ดีจนคนอื่นไว้วางใจ แล้วเพราะอะไรที่ทำให้เด็กพวกนั้นยอมทำตามแผนการที่เสี่ยงจะโดนฆ่าซะเองล่ะ”
“นั่นมันเพราะ…”
“เพราะว่าเป็นแผนการของเธอไงล่ะ” ฮานามิดึงมาโดกะเข้ามาในอ้อมแขน “เพราะทุกคนไว้ใจเธอถึงได้ยอมทำตามแผนการที่เสี่ยงชีวิตได้ เธอรู้ไหมว่าก่อนที่เธอจะเข้าร่วมในการต่อสู้ ขนาดในตอนที่คุณเซริยังอยู่ มีคนตายมากกว่านี้อีกนะ นั่นแปลว่าเธอเป็นผู้นำที่ดีไม่ใช่เหรอ ฉันถึงอยากให้เธอทำหน้าที่นี้ต่อไป แล้วก็ทำอย่างภาคภูมิใจด้วยนะ เพื่อเด็กทุกคนที่คาดหวังในตัวเธอ”
คำพูดนั้นเป็นเหมือนหยดในหัวใจที่แห้งเหือดของผู้บัญชาการเซย์ริคนนี้ มันเป็นแรงขับเคลื่อนที่ทำให้มือขวาที่ออกคำสั่งให้เซย์ริที่ยังเด็กมากมุ่งหน้าสู่ความตายมานับไม่ถ้วนมีแรงยกขึ้น และทำให้ปีกสีน้ำตาลคู่นั้นมีแรงขยับอีกครั้ง
“เข้าใจแล้วค่ะ คุณฮานามิ” มาโดกะผละออกจากอ้อมแขนที่อบอุ่น ก่อนจะหันไปหาผู้รุกรานจากอวกาศที่ส่งเสียงคำรามอันเยือกเย็น “เซย์ริทุกคนฟังคำสั่งจากฉัน แองเจลอยด์ทุกคนกระจายตัวไปตามอาคารที่ยังตั้งอยู่รอบตัวผู้รุกรานจากอวกาศ ทำการโจมตีพร้อมกับอัลฟ่าเชสเซอร์ ฮิโรมิรอเป็นกำลังเสริมอยู่ตรงนี้ ถ้าเห็นว่าสถานการณ์เปลี่ยนแปลงก็ตัดสินใจด้วยตัวเองได้เลย ส่วนคุณฮานามิ… ช่วยเป็นกำลังหนุนให้ฉันด้วยนะคะ”
“ได้สิ” ฮิโรมิกับฮานามิพยักหน้ารับ
“ตกลงค่ะ!” แองเจลอยด์ทั้งสี่คนตอบรับพร้อมกัน ก่อนจะเริ่มกระจายตัวไปทุกทิศทาง
ผู้รุกรานจากอวกาศเห็นพวกเซย์ริแยกตัวออกไปก็เริ่มปั่นป่วน ก่อนหน้านี้ มันมีสิ่งที่ต้องระวังมากพออยู่แล้ว ทั้งเครื่องบินรบที่สลับกันเข้ามาโจมตี พวกแองเจลอยด์ที่คอยโจมตีหลอกล่อ และฮานามิที่เล่นงานมันได้อย่างหนักหน่วงเป็นคนแรก เมื่อตัดตัวเลือกที่ไม่เป็นภัยออกไป สิ่งที่มันต้องระวังจึงมีแค่เครื่องบินรบกับแองเจลอยด์เกราะสีน้ำเงินเท่านั้น
มันโน้มลำคอขึ้น แล้วพ่นลำแสงใส่แองเจลอยด์ที่เล่นงานมันจนเสียท่าสุดกำลัง
แต่นั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิด…
เพียงปล่อยพลังชั่วอึดใจ การโจมตีของผู้รุกรานจากอวกาศก็สลายไป แล้วสิ่งที่รุกเข้าหามันก็คือ เทอร์รารอยด์สองคนที่ไม่เคยโจมตีใส่มันเลยสักครั้งเดียว ดาบของมาโดกะและฮิโรมิที่มีพลังสูงขึ้นฟันใส่เกล็ดทั่วร่างอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่พวกเธอเล็งเอาไว้ไม่ใช่การฟันส่งๆ มันคือเกล็ดที่เพิ่งงอกทดแทนส่วนที่ถูกฮานามิทำลายไปซึ่งยังไม่แข็งแรงเท่ากับส่วนอื่น เกล็ดที่เพิ่งงอกถูกตัดไปทีละเส้น แล้วชั่วพริบตาถัดมา…
“เอาไปเลย!”
การโจมตีสุดกำลังของฮานามิซัดเข้าตรงจุดที่เกล็ดถูกตัด แรงระเบิดที่รุนแรงกว่าเก่าเกิดขึ้นในจุดที่การป้องกันบางลง เกิดเป็นหลุมลึกที่มีเลือดสีเขียวไหลเป็นสาย ส่งกลิ่นเหม็นเน่าไปทั่วบริเวณ แล้วการโจมตีซ้ำจากระยะไกลก็กระหน่ำเข้าไปตรงบาดแผลเดิม เสียงร้องของผู้รุกรานจากอวกาศดังก้องไปจนได้ยินถึงเขตอยู่อาศัยที่ 100 และ 101
ในขณะนั้น ไม่มีใครสังเกตเห็นเครื่องบินสีแดง-ขาวที่ปรากฏขึ้นมาจากซากอาคารหลังหนึ่งที่อยู่ข้างหลังผู้รุกรานจากอวกาศเข้าไปรวมกับฝูงบินรบเลยสักคนเดียว แม้แต่นักบินก็ไม่เฉลียวใจเลยสักนิด คิดว่าเป็นกำลังเสริมจากสถานีวิจัย
ผู้รุกรานจากอวกาศถูกไล่ต้อนอย่างหนัก มันอยู่ในสภาพย่ำแย่จนไม่น่าเชื่อว่าการต่อสู้เพิ่งจะเริ่มต้นได้แค่ 10 นาทีเท่านั้น มันล่าถอยไปยังอาคารที่เครื่องบินลำนั้นปรากฏขึ้น เสียงหายใจหอบและดวงตาสีน้ำตาลเหลืองที่จ้องขมึงทำให้รู้ว่ามันพร้อมจะแลกทุกอย่างแล้ว การโจมตีครั้งถัดไปต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก แต่ก็ไม่มีประโยชน์
เมื่อคนที่อยู่ต่อหน้ามันในตอนนี้คือ อาวุธชีวภาพที่ทรงพลังที่สุดเป็นอันดับสองเท่าที่เคยถูกสร้างขึ้นมา
“พร้อมจะรับกรรมแล้วหรือยัง” ฮานามิเดินเข้าหาผู้รุกรานจากอวกาศด้วยสายตาที่ว่างเปล่า มือขวาที่ชูขึ้นฟ้าไม่ได้ทำเพื่อเตรียมออกคำสั่ง แต่เป็นการเตรียมโจมตีครั้งสุดท้าย “แกคงไม่รู้หรอกว่าพวกแกตัวหนึ่งเคยทำอะไรเอาไว้ที่นี่ ใช่! แกเลือกสถานที่ปรากฏตัวได้เหมาะพอดี เพราะว่านี่คงเป็นสิ่งเดียวที่ฉันจะทำได้เพื่อชดเชยความผิดที่เคยก่อเอาไว้”
“พูดถึงเรื่องนี้อีกแล้วเหรอ” ชิโอริเปรยในลำคอ ขณะที่กุมแขนที่เจ็บแปล๊บมาตั้งแต่เมื่อสักครู่นี้
คงเพราะสิ้นหวังที่จะเอาชีวิตรอด หรือขึงขังที่จะต่อสู้จนวินาทีสุดท้าย ผู้รุกรานจากอวกาศจึงฟาดหางลงกับพื้น แล้วสะบัดไปมาอย่างน่าหวาดเสียว ปลายหางของมันสะกิดเข้ากับอาคารหลังหนึ่งจนผนังแตกร่อนเหมือนกับทราย ก่อนส่งเสียงร้องให้กับแองเจลอยด์ห้าคนกับเครื่องบินรบอีก 15 ลำในพื้นที่เปลี่ยวร้างแห่งนี้
“โจมตีนำร่องไปก่อน เปิดจังหวะให้ฟูจิมิยะ ฮานามิโจมตีต่อ” หัวหน้าชุดบินอัลฟ่าเชสเซอร์คนใหม่มอบคำสั่ง
เครื่องบินรบทุกลำเล็งเป้าโจมตีไปยังผู้รุกรานจากอวกาศ ก่อนจะเริ่มยิงกระสุนแสงเข้าสู่เป้าหมายพร้อมกัน
แต่ว่า การโจมตีทุกนัดชนกับสิ่งกีดขวางกลางอากาศ แล้วสะท้อนกลับทุกทิศทาง ไม่มีนัดไหนเข้าถึงตัวศัตรูได้เลย มันเป็นม่านป้องกันทรงกลมสีฟ้าเงินกับม่านป้องกันโค้งเว้าสีแดงเข้ม คนที่สร้างมันขึ้นมาก็เพิ่งเป็นที่รู้จักในหมู่เซย์ริด้วยกันเมื่อสามวันก่อนทั้งคู่
“ทำอะไรน่ะ” ฮานามิแปลกใจจนยกเลิกการโจมตี “พวกเธอคิดอะไรอยู่ หลีกทางไปสิ”
“จะโจมตีเข้าไปตอนนี้ไม่ได้ ไม่ว่ายังไงก็ไม่ได้ค่ะ” ชิโอริยื่นคำขาดจนเซย์ริทุกคนต้องตกใจไปตามกัน
ทั้งสองคนไม่พูดอะไรต่อจากนั้น แต่เหลือบตาไปยังซากอาคารที่ตั้งอยู่ใกล้กับผู้รุกรานจากอวกาศ ผนังของอาคารหลังนั้นถูกหางของมันทำลายจนเป็นช่องโหว่ เพราะถูกฝุ่นที่ฟุ้งขึ้นมาบังจนมองไม่เห็นในตอนแรก แต่เมื่อมาโดกะเพ่งมองเข้าไปดีๆ แล้วก็ทราบถึงเหตุผลที่พวกเธอเข้าไปขัดขวางการโจมตีนั้น แล้วรีบออกคำสั่งโดยไม่ให้เสียเวลา
“ทุกคนหยุดโจมตีแล้วมารวมตัวที่ฉัน เดี๋ยวนี้เลย”
สิ้นเสียงของมาโดกะ แองเจลอยด์ทุกคนก็เกิดความสงสัย แต่ก็เข้าไปรวมตัวตามคำสั่งของเธอ ต่อหน้าผู้รุกรานจากอวกาศที่สงสัยในสิ่งที่เกิดขึ้น นักบินอัลฟ่าเชสเซอร์ก็สงสัยเช่นกันจึงขยายภาพเข้าไปที่ใบหน้าของพวกชิโอริที่ขัดขวางการโจมตีของพวกเขา พวกเขาเห็นสายตาของทั้งคู่มองไปในทิศทางเดียวกันจึงขยับภาพตาม แล้วก็ได้พบสาเหตุที่ทำให้พวกเขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“แย่ล่ะสิ เป็นไปได้ยังไง ทำไมถึงมีคนอยู่ที่นี่ได้ล่ะ”
ในภาพที่แสดงขึ้น ปรากฏร่างของชายหนุ่มนอนหลับอยู่ในอาคารที่เป็นช่องโหว่จากฝีมือของผู้รุกรานจากอวกาศ เสื้อผ้าและเนื้อตัวดูสะอาดเกินกว่าจะเป็นผู้อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยฝุ่นควัน ไร้ซึ่งแหล่งน้ำเช่นนี้ เมื่อระบุตัวได้จึงเริ่มกระจายคำสั่งหยุดการโจมตีไปยังเครื่องบินทุกลำ ยกเว้นลำหนึ่งที่รู้เรื่องนี้มาตั้งแต่แรก
ก็เพราะว่านักบินที่ควบคุมเครื่องบินลำนั้นเป็นคนที่พาชายคนนั้นมาจากเขตอยู่อาศัยที่ 101 ด้วยตัวเอง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ