สงครามนางฟ้าชีวอาวุธ

-

เขียนโดย สิงหาศัพท์

วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 21.57 น.

  8 ตอน
  0 วิจารณ์
  9,545 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 มีนาคม พ.ศ. 2560 22.09 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) สนามรบของเหล่านางฟ้า

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     เขาภาวนาว่าสิ่งที่กังวลจะไม่เป็นจริง แต่สิ่งที่เห็นหลังจากที่วิ่งผ่านแมกไม้หนาทึบกลางภูเขาขึ้นไปแล้ว มันทำให้เขาต้องไม่เชื่อสายตาตัวเอง บ้านเพียงหลังเดียวที่สร้างอยู่กลางภูเขาได้รับความเสียหาย ผนังส่วนที่เป็นห้องครัวถูกบางอย่างกระแทกเป็นช่องโหว่ เศษไม้และคอนกรีตที่ใช้บุเป็นผนังกระจัดกระจายเต็มพื้นบ้าน และตรงช่องโหว่ที่เกิดขึ้นก็เห็นเด็กผู้หญิงสองคนอยู่ตรงนั้น คนหนึ่งมีเส้นผมสีแดงกำลังเหยียบอีกคนหนึ่งที่มีเส้นผมสีฟ้าเงินเอาไว้ โดยที่ข้างลำตัวของคนที่ถูกเหยียบมีเลือดไหลนอง คิดว่าเกิดจากดาบแสงที่เด็กผมสีแดงถืออยู่ในมือ

     “นี่มันอะไรกัน แล้วทำไมเธอถึงได้…” แสงสุทินเอ่ยตามสิ่งที่เห็นเบาๆ

     เด็กผู้หญิงผมแดงได้ยินเสียงของเขาแล้วหันกลับมา ใบหน้าของเธอช่างคุ้นเหลือเกิน ก็เพราะว่าเธอเพิ่งคุยกับเขาในสวนสาธารณะเมื่อไม่กี่นาทีก่อน แต่สายตาที่เธอใช้มองเขาในตอนนี้ราวกับกำลังเยาะเย้ยเขา และริมฝีปากก็แสยะยิ้มจนน่ากลัวพิลึก เมื่อรวมกับชุดหนังสีแดงเข้มที่เธอสวมอยู่ มันให้ความรู้สึกเหมือนถูกสัตว์กระหายเลือดจ้องมอง

     “สวัสดีค่ะ เซย์ริที่คุณรู้จักเป็นคนเดียวกับที่ฉันตามหาจริงๆ ด้วยล่ะ”

     คำพูดนั้นทำให้ชิโอริเงยหน้าขึ้นด้วยความสงสัย ชิโอริน่าจะมองเห็นแสงสุทินแล้ว ดวงตาของเธอจึงตกใจเล็กน้อย ทั้งสงสัยว่าทำไมเขาถึงกลับมาที่นี่อีกครั้ง และท่าทางของฮิโรมิที่เหมือนกับรู้จักกับเขามาก่อนแล้ว แต่เท่าที่ฟังจากฮิโรมิแล้วเหมือนกับว่าแสงสุทินเป็นคนนำทางให้เธอมาถึงที่นี่ ชิโอริจึงคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้อีกแล้ว

     “แสงสุทิน นายรู้จักกับฮิโรมิเหรอ หรือว่า…” ชิโอริกัดฟันแน่น เศษคอนกรีตชิ้นเล็กๆ ถูกบดจนแตกด้วยฟันของเธอ “นั่นสินะ คิดอยู่แล้วว่านายมันน่าสงสัย ที่แท้แล้ว นายเป็นคนของสถานีวิจัยสินะ นายเข้ามาตีสนิทกับฉันเพื่อที่จะเก็บข้อมูลกลับไปให้ฮิโรมิตามตัวฉันเจอสินะ” เธออยากจะพูดมากกว่านี้ แต่บาดแผลสาหัสที่ลำตัวก็หยุดคำพูดของเธอ

     “คุณแสงสุทินเป็นคนของสถานีวิจัย… ความคิดนี้น่าสนใจเหมือนกันนะ แล้วถ้าเขาเป็นอย่างที่เธอคิดจริงๆ เธอจะทำอะไรกับเขาต่อล่ะ” ฮิโรมิหัวเราะในลำคอ สายตาที่มองลงไปอย่างเอ็นดูมีเลศนัยแฝงอยู่ ในขณะที่แสงสุทินไม่เข้าใจสิ่งที่ชิโอริพูดเลยสักนิด ตั้งแต่เกิดมา เขายังไม่เคยได้ยินชื่อสถานีวิจัยด้วยซ้ำ

     “เป็นอย่างที่คิดจริงๆ เหรอ อย่าเอาแต่เงียบ ตอบฉันมาสิ” ชิโอริพร่ำตะโกนขึ้นอีกครั้ง

     “ไม่ใช่นะ เธอกำลังพูดถึงสถานีวิจัยอะไร ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยนะ” แสงสุทินปฏิเสธ แต่ชิโอริไม่ฟังเขาเลย แล้วคนที่ช่วยหยุดการโต้เถียงครั้งนี้เอาไว้ก่อนที่จะบานปลายก็คือ ฮิโรมิ

     “หึๆ เล่นด้วยง่ายจริงนะ ไม่นึกว่าจะเป็นการตอบกลับของอดีตเจ้าหน้าที่ประจำสถานีวิจัยอย่างคุณ” ฮิโรมิหัวเราะในลำคอ “ให้ตายสิ แค่หยอกเข้านิดหน่อยก็คิดไปเองซะแล้ว ถ้าอย่างนั้น บอกเอาไว้เลยว่าคุณแสงสุทินไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานีวิจัยเลยสักนิด ฉันก็แค่หลอกถามเรื่องของเธอนิดหน่อยเท่านั้นเอง ความจริงก็อยากจะปล่อยไปในฐานะที่ให้ความร่วมมือ แต่ในเมื่อคุณรู้ตัวจริงของเซย์ริแล้ว คงต้องพาไปที่สถานีวิจัยด้วยอีกคน หวังว่าครั้งนี้ก็จะให้ความร่วมมือนะคะ”

     สายตาเพ่งเล็งของฮิโรมิจับจ้องมาที่แสงสุทิน เขาก้าวถอยหลังด้วยความกลัว ทั้งที่อีกฝ่ายเตี้ยกว่าชิโอริเสียอีก แต่อีกมุมหนึ่ง เธอเป็นเซย์ริที่ทำเรื่องเหนือธรรมดาได้เหมือนกับชิโอริ ลองทำตัวกล้าเข้าไปช่วยชิโอริ สภาพของเขาก็คงไม่ต่างจากต้นไม้ที่ถูกชิโอริโค่นในคืนนั้น แต่เขาก็ต้องรับผิดชอบในส่วนที่ทำให้เรื่องต้องกลายเป็นอย่างนี้ด้วยเหมือนกัน

     แต่ในคำพูดของฮิโรมิเมื่อครู่นี้มีบางอย่างผิดปกติ

     “เดี๋ยวก่อนนะ ฮิโรมิ” แสงสุทินข่มสายตา “เธอหลอกให้ฉันเล่าเรื่องของชิโอริ ถ้าอย่างนั้น เธอรู้ได้ยังไงว่าฉันรู้จักชิโอริอยู่ก่อนแล้ว แล้วถ้าเธอรู้อยู่ตั้งแต่แรก ทำไมเธอถึงไม่เข้ามาที่นี่ตั้งแต่แรกเลยล่ะ มันไม่เข้าท่าเลยสักอย่างใช่ไหมล่ะ”

     “ถามได้ดีค่ะ” ฮิโรมิยกนิ้วแตะริมฝีปากที่ฉีกกว้าง ขณะที่ชิโอริทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกได้ตอนที่แสงสุทินพูดเรื่องนี้ขึ้นมา “ทำไมฉันถึงไม่เข้ามาที่นี่ตั้งแต่แรก ทั้งที่ตอนที่ไปถามคุณในเขตอยู่อาศัยก็รู้เรื่องของชิโอริอยู่ก่อนแล้ว เหตุผลก็ง่ายมากเลย นั่นก็เพราะว่าฉันต้องการทดสอบอะไรบางอย่างค่ะ”

     “ทดสอบ… เธอจะทดสอบอะไร” ชิโอริพูดเสียงแหบ

     “ทดสอบว่าเธอเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนที่แล้วให้คุณแสงสุทินฟังหรือเปล่าไงคะ” มือของฮิโรมิกุมดาบแน่นขึ้นเมื่อพูดถึงตรงนี้ “ตั้งแต่วันนั้นก็ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้วใช่ไหม ถ้าเกิดว่าเธอเล่าเรื่องที่เจอกับฉันให้ฟัง คุณแสงสุทินที่เจอกับฉันจะต้องแสดงอาการต่อต้านให้เห็น เพราะว่าฉันคือเซย์ริที่ถูกส่งมาพาตัวเธอกลับไป หรือไม่อย่างนั้น เธอก็น่าจะไล่เขาไปจากชีวิตของเธอตั้งนานแล้ว ไม่น่าจะเพิ่งไล่ไปวันนี้หรอก แต่ถ้าเธอจงใจไล่ออกไปในวันที่ฉันตั้งใจว่าจะจับตัวเธอพอดี มันก็คงจะบังเอิญเกินไปนะ แต่ถึงฉันจะไม่ได้ถามที่อยู่ของเธอจากเขา ฉันก็รู้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วล่ะน่า”

     “ถ้าอย่างนั้น ทำไมถึงต้องทำเรื่องที่เสียเวลาเปล่าอย่างนั้นด้วย ในเมื่อเธอรู้ว่าฉันอยู่ที่นี่ แค่เข้ามาจับตัวฉัน แล้วค่อยตามไปจับแสงสุทินที่กำลังหาที่อยู่ใหม่ในเขตอยู่อาศัยก็ได้ไม่ใช่เหรอ” ชิโอริถามกลับ

     “โดนถามก็ตอบยากนะ จะว่ายังไงดี” ฮิโรมิใช้ความคิดอยู่พักหนึ่ง แต่แล้ว เธอก็ใช้เท้าเหยียบตรงแผลที่ข้างลำตัวของชิโอริ “ก็เพราะว่าถ้าทำอย่างนั้น จะมีมนุษย์ที่เห็นฉันมากกว่าทำเรื่องยุ่งยากอย่างนี้ยังไงล่ะ แล้วถ้ากลับไปที่สถานีวิจัยทั้งอย่างนั้น ฉันก็จะถูกเอาไปลงโทษอีกไม่ใช่เหรอ”

     เสียงร้องของชิโอริทรมานมาก บาดแผลลึกถูกเหยียบซ้ำเข้าไปจนเลือดไหลมากขึ้นกว่าเดิม ฮิโรมิที่เห็นดังนั้นจึงเงื้อดาบลงไปประกบที่ปากแผล ความร้อนจากดาบที่ก่อตัวจากพลังงานแทบจะย่างเนื้อของชิโอริจนสุก แต่ก็ช่วยให้ปากแผลปิดเข้าหากันจนเลือดหยุดไหล ฮิโรมิก้มลงไปหาชิโอริที่กัดฟันแน่นด้วยความเจ็บปวด

     “คราวนี้ก็มาสะสางเรื่องที่ติดค้างกันเถอะ” ฮิโรมิเก็บดาบแสง แล้วเริ่มใช้เท้าเตะชิโอริที่ขยับตัวไม่ได้ “ดูเหมือนว่าเดือนที่แล้วจะทำแสบเอาไว้เหลือเกินนะ ไม่ใช่แค่เจ็บตัวอย่างเดียว แต่บทลงโทษที่ฉันทำงานไม่สำเร็จมันเหมือนกับตกนรกทั้งเป็นเลยนะ รู้ไหมว่าเซย์ริไม่ถูกกับกระแสไฟฟ้า ฉันเคยบอกว่าจะกลับมาเอาคืน ตอนนี้ฉันกลับมาแล้ว แล้วก็จะทำให้เธอต้องลิ้มรสความทรมานที่ฉันเคยโดนมาด้วยเหมือนกัน หวังว่าเธอคงจะชอบมันนะ”

     ทุกครั้งที่ฮิโรมิเตะลงไป เสียงกรีดร้องของชิโอริก็ยิ่งดังขึ้น เธอเตะใส่เต็มแรงไม่ยั้งมือ แถมทุกครั้งยังเน้นเข้าที่ปากแผลที่เพิ่งใช้ความร้อนลนปิดไปเมื่อสักครู่นี้เอง แรงกระเทือนทำให้ปากแผลเปิดขึ้นมาอีกครั้ง เลือดสีแดงไหลท่วมบริเวณที่ชิโอรินอนอยู่ แสงสุทินไม่สามารถจินตนาการถึงความเจ็บปวดที่ชิโอริได้รับในตอนนี้ได้เลย แต่ดูเหมือนว่าฮิโรมิจะรู้สึกถึงมันได้ และจะยิ่งทำให้ความเจ็บปวดนั้นเพิ่มขึ้นไปอีก

     “พอเถอะ… พอได้แล้ว…” แสงสุทินช็อกกับสิ่งที่ได้เห็น แต่ก็พยายามรวบรวมสติให้ได้มากที่สุด “หยุดได้แล้ว เดี๋ยวชิโอริก็ตายพอดี พวกเธอเป็นเซย์ริเหมือนกันไม่ใช่เหรอ ถ้าอย่างนั้น ทำไมถึงทำร้ายพวกเดียวกันถึงขนาดนี้ล่ะ”

     “แค่นี้ยังน้อย” ฮิโรมิหันกลับมาตะคอกใส่เขา ก่อนจะเตะชายโครงของชิโอริเป็นครั้งสุดท้าย “ถ้าเทียบกับความผิดของชิโอริ แล้วก็สิ่งที่เธอทำเอาไว้ ต่อให้ถูกพิพากษาให้ประหารชีวิตก็ยังไม่พอด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ เมื่อสองปีก่อน มันคงไม่เกิดเรื่องนั้นขึ้นมาหรอก”

     “ทำไมถึงต้องทำขนาดนี้ การที่เซย์ริหลบหนีจากสถานีวิจัย มันเป็นเรื่องร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ”

     “ร้ายแรงที่สุด ถ้าจัดอันดับได้ มันเป็นความสูญเสียอันดับสามเท่าที่เคยเกิดขึ้นมาเลยล่ะ”

     แสงสุทินถูกจ้องเขม็งอีกครั้ง เส้นผมกับดวงตาสีแดงเข้มมืดลงด้วยก้อนเมฆหนาที่ปกคลุมแสงอาทิตย์ทำให้ยิ่งดูน่ากลัวเข้าไปใหญ่ ฮิโรมิคว้าปลอกดาบที่เคยเก็บไปแล้วขึ้นมาสร้างคมดาบสีแดงเข้ม แล้วชี้ไปตรงหน้าแสงสุทิน

     “ไม่ใช่เรื่องที่คุณจะต้องรู้” ฮิโรมิยื่นคำขาด “แต่ถ้าอยากรู้นัก ตามฉันมาที่สถานีวิจัยด้วยกัน หลังจากที่จัดการเรื่องทุกอย่างกับคุณเสร็จแล้ว ไม่แน่ว่าฉันอาจจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังก็ได้ แต่ว่า เราอาจไม่ได้เจอกันอีกแล้วก็ได้นะ”

     ทุกอย่างถูกปกคลุมด้วยความเงียบ ทั้งชิโอริที่เจ็บหนักจนเปล่งเสียงไม่ออก แสงสุทินที่ถูกข่มจนไม่กล้าพูดอะไรต่อจากนั้น และฮิโรมิที่เก็บกดอยู่ในใจจนไม่รู้สึกว่าอยากพูดอะไรต่ออีกแล้ว มีเพียงเสียงลมที่พัดแรงขึ้นทุกขณะทำให้ใบไม้ไหวเท่านั้น แล้วก็มีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นจากก้อนเมฆที่ก่อตัวหนาทึบ ทั้งที่เมื่อไม่นานนี้ ท้องฟ้ายังแจ่มใสปราศจากเมฆอยู่เลย แล้วสุดท้าย ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ที่ติดตั้งอยู่ทั่วทุกจุดในเขตอยู่อาศัยที่ 101

     เป็นเสียงที่แสงสุทินเคยได้ยินมา 5 ครั้งแล้ว และทุกครั้งที่เสียงนั้นดังขึ้น มันเป็นคำสั่งอพยพประชาชนลงใต้ดิน

     “สัญญาณเตือนภัย…” แสงสุทินเอ่ยชื่อสัญญาณที่ได้ยินกระทบใบหู

     “ทำไมต้องเป็นช่วงเวลาสำคัญด้วยนะ” ฮิโรมิเธอละสายตาจากแสงสุทิน แล้วหันมองป่าไม้ในทิศตรงกันข้ามกับเขตอยู่อาศัย “อีกเดี๋ยวก็มากันแล้วสินะ ถึงจะกลับไปตอนนี้ก็คงโดนสั่งให้วกกลับมาที่นี่อีกครั้งแน่ แต่จะให้ปล่อยเอาไว้ตรงนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง ช่วยไม่ได้นะ เธอรีบพามนุษย์คนนี้ไปที่สถานหลบภัยซะ เข้าไปอยู่ข้างในนั้นจนกว่าจะกลับขึ้นมาได้ แล้วพอขึ้นมาถึงข้างบนดินเมื่อไหร่ ฉันจะพาทั้งเธอและมนุษย์นั่นไปที่สถานีวิจัยทันที อย่าคิดจะหนีเชียวล่ะ”

     เธอกัดฟันขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะหันกลับมาสั่งชิโอริที่เพิ่งจะดันตัวขึ้นจากพื้นได้ด้วยแขนที่ไม่มีแรง

     “แต่เธอแข็งแรงกว่าฉันไม่ใช่เหรอ เธอน่าจะเป็นคนพาไปเองสิ” ชิโอริตอบเสียงหอบ สภาพของเธอในตอนนี้ไม่น่าจะมีแรงเหลืออยู่อีกแล้ว

     “จะไปที่สถานหลบภัยก่อน หรือจะไปที่สถานีวิจัยตอนนี้เลย ฉันให้เธอตัดสินใจเอาเอง แต่ถ้าฉันเลือกแทนได้ ฉันอยากให้เธอได้รับคำพิพากษาที่สถานีวิจัยเดี๋ยวนี้เลยยังไงล่ะ น่าเสียดายที่ฉันต้องไปต่อสู้ก่อน น่าอิจฉาเธอที่มีโอกาสเลือกว่าจะไม่ต่อสู้เหลือเกินนะ” ฮิโรมิพูดจบแล้วก็บินจากไป เธอเร่งความเร็วขึ้นจนมองเห็นเป็นเส้นสีแดงตัดผ่านก้อนเมฆสีเทา ก่อนจะมองตามไม่ทันแล้ว

     สัญญาณเตือนภัยดังขึ้นแล้ว อีกไม่นาน สิ่งก่อสร้างจะถูกเคลื่อนย้ายลงใต้ดิน ตามมาด้วยทางเข้าสถานหลบภัยที่จะปิดตัวและเคลื่อนย้ายตามไปในหลังจากนั้น ถ้าแสงสุทินไม่รีบไปให้ถึงในเร็วๆ นี้ เขาก็จะถูกทิ้งพร้อมกับชิโอริที่บาดเจ็บสาหัส ในขณะที่มนุษย์คนอื่นไม่รู้ว่าพวกเขาไม่ได้ตามลงไปด้วยกันในครั้งนี้

     แสงสุทินหันไปมองชิโอริ แต่ก็ได้ยินเสียงของเธอกำลังพูดกับเขาอยู่

     “ฉันรู้ว่านายคิดอะไรอยู่ นายคงอยากให้ฉันพานายไปที่ทางเข้าสถานหลบภัยใช่ไหมล่ะ ถ้านายไปที่นั่นด้วยตัวเองตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว ฉันมีค่ากับนายแค่ตอนนี้สินะ” ชิโอริฝืนแผลฉกรรจ์ลุกขึ้นในสภาพที่ท่อนขาสั่นระรัว ท่าทางเหมือนพร้อมจะล้มลงไปอีกรอบ แต่เธอก็ใช้ขาทั้งสองข้างเดินเข้ามาใกล้เขา ขณะที่กางปีกขึ้นพร้อมบิน “แค่ครั้งนี้เท่านั้น พอฉันไปส่งนายที่สถานหลบภัยเสร็จแล้ว ฉันจะตามฮิโรมิกลับไปที่สถานีวิจัยทันที แล้วนายจะไม่ได้เห็นฉันอีกแล้ว นั่นคือสิ่งที่นายต้องการใช่ไหมล่ะ”

     “ไม่ใช่นะ” แสงสุทินปฏิเสธอีกครั้ง แต่แล้ว เขาก็ต้องหยุดนิ่ง

     มือที่ชิโอริโอบตัวเขาสั่นเทา ถึงเธอจะมีแรงมากเพราะเป็นเซย์ริ แต่ในตอนนี้ เขาไม่มั่นใจแล้วว่ามือและปีกคู่นั้นจะส่งเขาไปถึงจุดหมายหรือเปล่า แต่เมื่อคิดเช่นนั้น ร่างกายของแสงสุทินก็ถูกยกลอยขึ้นจากพื้น แล้วมุ่งหน้าเข้าไปในเขตอยู่อาศัยที่สิ่งก่อสร้างเริ่มเคลื่อนย้ายลงใต้ดินไปแล้วอย่างช้าๆ โดยที่แผ่นหลังของเขารู้สึกเหมือนมีน้ำไหลซึมตลอดเวลา คงเป็นเลือดที่ไหลจากแผลข้างลำตัวของเธอ ชิโอริในตอนนี้น่าจะเสียเลือดมากไปพอตัว

     “ชิโอริ เธอไม่ต้องไปส่งฉันก็ได้นะ เธอปล่อยฉันลงตรงนี้เถอะ แล้วฉันจะรีบไปที่สถานหลบภัยให้ทัน ถ้าเป็นตอนนี้ก็น่าจะไปได้ทันเฉียดฉิวอยู่นะ แล้วเธอก็ค่อยใช้เวลานั้นรักษาแผลของตัวเอง ถ้าเป็นอย่างนี้จะแย่เอาทั้งคู่นะ”

     แสงสุทินพยายามพูดให้เธอวางเขาลง แต่มือของชิโอริกลับยิ่งรัดแน่นกว่าเดิม

     “ความผิดร้ายแรงที่สุดของเซย์ริก็คือ การปล่อยให้มนุษย์ต้องรับความเสี่ยงจากผู้รุกรานจากอวกาศ นั่นคือสิ่งที่ฉันถูกสอนมาตลอด” ชิโอริเริ่มพูดด้วยริมฝีปากที่สั่นระรัว “นายก็น่าจะรู้ใช่ไหม เวลาที่เห็นคนเดือดร้อนใกล้ตายอยู่ตรงหน้า แต่ก็เข้าไปช่วยอะไรไม่ได้ ฉันเคยเจอเรื่องแบบนั้นมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วล่ะ แต่สิ่งที่ฉันทำหลังจากนั้น แทนที่จะเสนอตัวเป็นคนที่คอยปกป้อง ฉันกลับสร้างทางเดินอันตรายให้กับเด็กพวกนั้น โดยที่ตัวเองนั่งมองจากที่ปลอดภัยอย่างเดียว”

     “เธอพูดถึงเรื่องอะไร แล้วทำไมถึงต้องพูดเอาป่านนี้ อย่างกับ…”

     “สิ่งที่นายเห็นก่อนจะมาที่นี่ ฉันคิดว่าน่าจะเป็นมันนั่นแหละ เรื่องที่นายถามฉัน ใช่แล้วล่ะ มีสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์อยู่ในเมฆหลังจากที่สัญญาณเตือนภัยดังขึ้นจริงๆ พวกเราเรียกมันว่า ผู้รุกรานจากอวกาศ หน้าที่ของเซย์ริอย่างฉันก็คือ ต่อสู้กับมันด้วยพลังทั้งหมดที่มีอยู่ แต่ว่าฉันอ่อนแอเกินไป หลังจากที่หลบหนีมาจากสถานีวิจัยเมื่อสองปีก่อน ฉันก็มีโอกาสที่จะได้ต่อสู้กับมัน แต่สุดท้าย ฉันก็เป็นแค่คนขี้ขลาดคนหนึ่ง แล้วก็เอาแต่หนีเข้าไปในสถานหลบภัยเหมือนกับพวกมนุษย์”

     “เธอไม่ต้องพูดแล้ว เธอแค่เพี้ยนเพราะว่าเสียเลือดมากเท่านั้น เอาไว้เข้าไปในสถานหลบภัยเมื่อไหร่ ฉันจะเรียกหน่อยพยาบาลเข้ามารักษาเธอเอง เพราะงั้นเก็บแรงเอาไว้เถอะนะ ตอนนี้เริ่มเห็นทางเข้าแล้วด้วย”

     “…ถ้านายกลับมาจากสถานีวิจัยได้ ฉันเก็บสมุดเงินฝากเอาไว้ในห้องของฉันเอง เงินที่มีอยู่ในบัญชีมีมากพอที่นายจะใช้ชีวิตสุขสบายไปได้ตลอดชีวิต นายเอาเงินของฉันไปซื้อบ้านสักหลัง หาใครสักคนมาแต่งงานด้วยเพื่อให้มีสถานภาพในเขตอยู่อาศัยนี้ แล้วก็ไปหางานทำ… ใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวที่นายสร้างขึ้นมา”

     “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว” แสงสุทินตะโกนทั้งน้ำตา ความพยายามที่ชิโอริแสดงให้เห็นตลอดทางทำให้เขาทนฟังคำพูดที่พยายามลดทอนค่าของตัวเองต่อไปไม่ไหว “เธออ่อนแอ เพราะงั้นถึงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนที่แข็งแรงกว่าเธอ แล้วเฝ้ามองทุกอย่างอยู่ด้านหลังคนที่แข็งแรงกว่า แต่ฉันบอกเธอไปตั้งแต่แรกแล้วนี่ คนอ่อนแออย่างเธอก็มีสิ่งที่เธอทำได้อยู่เหมือนกัน”

     “อะไรที่ฉันทำได้ล่ะ คนที่อ่อนแอมีหน้าที่อย่างเดียว คือเป็นตัวเปรียบเทียบให้คนที่แข็งแรงกว่ารู้ว่าตัวเองไม่ได้อ่อนแอ นอกจากนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไรไม่ใช่เหรอ”

     คำถามนี้ทำให้แสงสุทินต้องกลั้นใจตอบ เขาไม่คิดเลยว่าจะต้องอธิบายเรื่องนั้นในเวลาที่เหมือนจะสายเกินไปแล้ว

     “เธออ่อนแอ แต่เธอก็กำลังช่วยคนที่อ่อนแอยิ่งกว่าเธออยู่ไม่ใช่เหรอ ดูอย่างฮิโรมิที่ว่าแข็งแกร่งกว่าเธอสิ เคยสนใจฉันซะที่ไหนล่ะ ทั้งที่เป็นคนทำให้เธอเจ็บก็ยังทิ้งภาระให้เธอรับผิดชอบต่อไม่ใช่เหรอ อย่างนี้ไม่ใช่ว่าเธอมีประโยชน์กว่าคนที่แข็งแกร่งกว่าแล้วหรอกเหรอ”

     ได้ยินดังนั้น ชิโอริก็พูดไม่ออกไปพักหนึ่ง ก่อนจะผ่อนรอยยิ้มโดยไม่ให้แสงสุทินเห็น

     “อย่างนั้นเหรอ นายพูดเหมือนกับเธอเลยนะ” ชิโอริพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เห็นแล้วล่ะ ทางเข้าสถานหลบภัย มันยังไม่ปิดลง” แล้วเธอก็เร่งความเร็วขึ้น สายลมที่พัดเข้าสู่ใบหน้าของแสงสุทินยิ่งแรงขึ้นไปอีก แต่เขาเริ่มชอบความรู้สึกในตอนนี้ขึ้นมาเสียแล้ว เพราะว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นภายในใจของชิโอริเป็นครั้งแรก

     แต่แล้ว สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ประตูทางเข้าสถานหลบภัยเริ่มปิดตัวลง มันกำลังจะเคลื่อนย้ายลงไปใต้ดินแล้ว แต่ถ้าชิโอริยังคงบินด้วยความเร็วเท่านี้ ไม่มีทางที่พวกเขาจะเข้าไปได้ทันเวลาเลย แล้วในตอนที่คิดอย่างนั้น ชิโอริก็คลายอ้อมแขนที่กอดเอวของแสงสุทินให้หลวม แต่ใช้มือจับตัวเขาให้แน่นขึ้น พอมีสายลมพัดเข้ามา ความรู้สึกเปียกและอุ่นที่เขารู้สึกได้จากเสื้อก็เริ่มเหนียวขึ้น ของเหลวที่เปื้อนเสื้อของเขาเป็นวงกว้างก็คือเลือดของชิโอริไม่ผิดแน่

     “พร้อมหรือเปล่า…” เสียงของชิโอริเปลี่ยนเป็นความหนักแน่นขึ้น

     ดูเหมือนว่าแสงสุทินจะพอรู้ว่าเธอกำลังสื่อถึงอะไร เขาจึงกลืนน้ำลายลงคอ แล้วพยายามไม่ตอบกลับไป แต่ว่า

     “เอาล่ะนะ!”

     เสียงเปลี่ยนเป็นแรงส่งไปที่แขน ชิโอริเหวี่ยงตัวให้ร่างของแสงสุทินหมุนรอบร่างกายของเธอ แล้วโยนเข้าไปยังทางเข้าสถานหลบภัยที่ใกล้จะปิดสนิททุกขณะ แสงสุทินรู้สึกถึงแรงเหวี่ยงเหมือนกำลังนั่งรถไฟเหาะจึงส่งเสียงร้องออกมา ระยะห่างจากทางเข้าหดสั้นลงอย่างรวดเร็ว ภาพรอบตัวกลายเป็นเส้นลากผ่านสายตาจากการหมุนอันน่าหวาดเสียว

     แล้วทันใดนั้น…

     แรงต้านการเคลื่อนที่ก็ปะทะเข้าที่กลางหลัง ตามมาด้วยเสียงโลหะที่ดังขึ้น และก็แรงกระแทกอีกครั้งที่พื้นดิน ภาพที่มองเห็นเริ่มชัดขึ้น ภาพตรงหน้าที่เขาเห็นคือ ฉากสีเทาที่หมุนวน มีเส้นสีขาวสว่างขีดคล้ายรอยแตกของแก้ว สายลมแรงยังพัดไม่หยุด แล้วก็มีเสียงดังขึ้นราวกับท้องฟ้าจะฉีกเป็นเสี่ยงๆ ตามมาทุกครั้งที่มองเห็นเส้นสีขาว อีกด้านหนึ่ง ชิโอริที่มองผลงานของตัวเองจากความสูงจากพื้นไม่มากนักกำลังลดระดับลงไปที่พื้นดิน แล้วทรุดลงไปอย่างไร้เรี่ยวแรง

     “พลาดเหรอเนี่ย…” เธอก้มลงมองพื้นด้วยความเจ็บใจ มือทั้งสองข้างกำแน่นราวกับการลงโทษตัวเอง

     “พลาดหรอกเหรอ ฉันคิดว่าเธอจะใช้ได้มากกว่านี้ซะอีก เสียดายที่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเธอจริงๆ”

     เสียงของเด็กผู้หญิงดังขึ้นจากด้านบน ฮิโรมิที่ล่วงหน้ามาก่อนค่อยๆ ลดระดับลงมาใกล้เคียงกับเธอ ขณะที่มองไปยังทางเข้าสถานีวิจัยที่เคลื่อนตัวลงไปใต้ดินเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่เห็นอยู่ตรงนั้นก็คือ ชายหนุ่มที่เข้าไปในสถานที่ปลอดภัยไม่ทัน เขายกมือขึ้นแตะหลังที่บาดเจ็บจากการกระแทกสองครั้งติด ครั้งหนึ่งที่ประตูเหล็กทางเข้าสถานหลบภัย อีกครั้งหนึ่งคือตอนที่ตกกระแทกพื้น ส่วนทางเข้าที่เคลื่อนตัวลงไปใต้ดินก็ถูกปิดทับด้วยกลไกพื้นคอนกรีตหนาหลายชั้น ซึ่งแต่ละชั้นถูกเสริมแรงให้ทนได้แม้แต่แรงระเบิดระดับการก่อการร้าย

     ชิโอริที่มองเห็นฮิโรมิจึงเริ่มพูดอย่างอารมณ์เสีย

     “ก็เพราะว่าเธอไม่พาเขามาที่นี่เองต่างหาก อย่าพูดว่าเป็นความผิดของฉันนะ”

     “ฉันถึงได้ให้เลือกว่าจะไปที่สถานีวิจัยไง ทั้งที่เธอน่าจะไปที่นั่นมากกว่าแท้ๆ มันเป็นเพราะการตัดสินใจผิดพลาดของเธอต่างหากล่ะ ถ้าจะมีคนที่ต้องรับผิดชอบก็คือเธอ ไม่ใช่ฉันแล้ว” ฮิโรมิพูดปัดรำคาญ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองก้อนเมฆหนาทึบที่หมุนวนเป็นก้นหอยเหนือเขตอยู่อาศัย “แล้วเธอจะทำยังไงต่อ เธออ่อนแอเกินกว่าจะต่อสู้ใช่ไหมล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็รีบพามนุษย์คนนั้นหนีไปซะ ส่วนฉันจะไปต่อสู้เอง แล้วถ้าเธอยังทำไม่ได้ ฉันจะให้สถานีวิจัยเพิ่มโทษให้เธออีก”

     “แล้วทำไม… เธอถึงไม่พาไปเองเลยล่ะ”

     ฮิโรมิไม่ตอบคำถาม แต่ว่ามองไปยังภูเขาลูกที่บ้านของชิโอริตั้งอยู่ เหนือภูเขาลูกนั้นมีเงาของนกตัวใหญ่จำนวนหนึ่งกำลังบินเข้ามายังใจกลางเมฆดำ แต่เมื่อทั้งสองเพ่งมองให้ดี นั่นคือกลุ่มของมนุษย์ที่มีปีกอยู่กลางหลังเช่นเดียวกับพวกเธอ ทั้งหมดนั้นอยู่ใต้การนำของเซย์ริผมสีน้ำตาลแก่เพียงคนเดียวเท่านั้น หลังจากที่พวกเธอเดินทางมาถึงแล้ว เครื่องบินรบที่ขับตามมาทีหลังก็ลอยอยู่เหนือน่านฟ้าของเขตอยู่อาศัยที่ 101

     “มากันแล้วสินะ พวกเซย์ริ… อัลฟ่าเชสเซอร์” ฮิโรมิพูดอย่างคิดถึง

     “ถ้าเด็กพวกนั้นมากันแล้ว แปลว่าใกล้แล้วสินะ” ชิโอริดันตัวลุกขึ้น แต่ความเจ็บปวดที่ข้างลำตัวก็กดให้เธอทรุดลงไปอีก ท่าทางนั้นเป็นที่น่าดูแคลนสำหรับฮิโรมิ เธอหันกลับไปมองแสงสุทินที่นั่งคุกเข่าตัวสั่นอยู่ใกล้ทางเข้าสถานหลบภัย สติของเขาเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้ามีแต่ความทรงจำที่เจ็บปวดที่สะท้อนอยู่ในก้อนเมฆสีเทา

     มันกำลังจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง แต่ว่าในครั้งนี้ เขาจะได้มีส่วนร่วมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง

     ฮิโรมิมองขึ้นไปยังเหล่าผู้ที่เพิ่งเดินทางมาถึง พวกเขาเข้าประจำตำแหน่งเตรียมรับสถานการณ์ มันเป็นสิ่งที่ฮิโรมิเคยเห็นมาแล้วหลายครั้ง แล้วมันก็ถึงเวลาที่เธอจะไปเข้าร่วมกับเซย์ริเหล่านั้น ปีกสีน้ำตาลของฮิโรมิกางต้านแรงลม พาร่างของเธอลอยสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า

     “นั่นเธอจะไปไหน…” ชิโอริถามเสียงแห้ง

     “ไม่ต้องบอกก็รู้ไม่ใช่เหรอ ฉันก็จะไปต่อสู้น่ะสิ” ฮิโรมิตอบ “รีบพามนุษย์คนนั้นหนีไปซะสิ มันเป็นสิ่งที่เธอถนัดอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ เพราะถึงยังไง ถึงจะมากับฉันก็ไม่ได้ช่วยอะไรแล้ว บางครั้งก็ลองทำตัวให้เป็นประโยชน์ดูบ้างสิ” แล้วเธอก็ไต่ระดับสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนมองเห็นตัวเธอเล็กลงเท่าเม็ดถั่ว ทิ้งให้ชิโอริอยู่กับแสงสุทินตามลำพัง

     พวกเซย์ริที่เดินทางมาถึงเขตอยู่อาศัยที่ 101 รอคำสั่งถัดไปจากผู้นำของพวกเธอ ประกอบด้วยแองเจลอยด์ 9 คน และเทอร์รารอยด์ 5 คน พวกแองเจลอยด์ส่วนใหญ่มีเส้นผมโทนสีเขียว มีทั้งคนที่สวมชุดเดรสสีขาวอมฟ้า กับคนที่สวมชุดเกราะเบาสีเดียวกับสีผมของตัวเองทับชุดเดรส ส่วนเทอร์รารอยด์มีเส้นผมโทนสีแดง ผู้นำการโจมตีที่ชื่อว่ามาโดกะเฝ้ามองใจกลางของกลุ่มเมฆที่หมุนวนมาได้พักใหญ่ เธอได้ยินเสียงซุบซิบของเซย์ริใต้การควบคุมจึงหันกลับมา แล้วก็ได้เห็นฮิโรมิอยู่ในกลุ่มด้วย เธอจำไม่ได้เลยว่าตอนที่รายงานตัวในสถานีวิจัยมีฮิโรมิอยู่ด้วย

     ดวงตาของมาโดกะบ่งบอกความแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็เก็บอาการเอาไว้ก่อนที่ฮิโรมิจะเข้ามาถึงตัวเธอ

     “สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง เตรียมความพร้อมไปถึงไหนแล้วล่ะ” ฮิโรมิเริ่มพูดทักทายผู้นำเซย์ริอย่างเป็นกันเอง

     “ก็คิดว่าพร้อมกว่าครั้งก่อน ว่าแต่ฮิคาริ รู้สึกว่าเธอต่างจากตอนที่เจอกันครั้งสุดท้ายนะ”

     “ตอนนี้ฉันคือฮิโรมิ ดูจากสีผมก็น่าจะรู้ไม่ใช่เหรอ”

ฮิโรมิลูบเส้นผมสีแดงเข้ม มาโดกะเห็นแล้วจึงพยักหน้าสั้นๆ แล้วเข้าไปพูดคุยเรื่องส่วนตัวกันเพียงสองคน ซึ่งเซย์ริคนอื่นๆ รู้สึกแปลกใจกับบรรยากาศเป็นกันเองของทั้งสองคนมาก เพราะเซย์ริที่อยู่ที่นี่ มีบางคนที่เพิ่งเข้าร่วมการต่อสู้เป็นครั้งแรก กับบางคนที่เข้าร่วมมาหลายครั้งแล้ว แต่ก็แทบจะไม่เคยเจอฮิโรมิมาก่อนเลย เมื่อเห็นคนที่ไม่รู้จักคุยกับผู้นำอย่างสนิทสนมก็เกิดความสงสัยขึ้นมา

     “ผู้รุกรานจากอวกาศปรากฏตัวไม่รู้จักเวลาจริงๆ ฉันเกือบจะทำงานเสร็จแล้วเชียวนะ” ฮิโรมิตัดพ้อ

     “เข้าใจความรู้สึกเลยล่ะ” มาโดกะถอนหายใจ “ฉันเองก็เกือบเสร็จแล้วด้วยเหมือนกัน แต่โชคดีที่โดนเรียกตัวมาที่นี่ก่อน ไม่อย่างนั้นคงได้อายเซย์ริพวกนี้ไปแล้ว”

     “เธอหมายถึงหมากรุกใช่ไหม” ฮิโรมิถามกลับด้วยใบหน้ายิ้มกริ่ม “พูดถึงหมากรุกแล้ว ให้ฉันแก้มือกับเธอไหมล่ะ คราวนี้ไม่ใช่ฮิคาริที่เดินหมากไม่คิดอีกแล้วนะ”

     “ก็เอาสิ… แต่ตอนนี้สนใจสถานการณ์ตอนนี้ก่อนดีกว่า”

     เสียงฟ้าร้องดังขึ้นกว่าทุกครั้ง ใจกลางเมฆดำที่หมุนเป็นแกนพายุเริ่มบิดโค้ง เครื่องบินรบสีแดง-ขาวเริ่มเคลื่อนตัวหนีจากความบิดเบี้ยวนั้นไปรวมพลอยู่ข้างนอก แล้วสายตาของเหล่าเซย์ริที่เคยมีประสบการณ์ต่อสู้มาก่อนก็เริ่มจริงจังหนักแน่นขึ้น ความกดดันทำให้เซย์ริที่ไม่เคยต่อสู้มาก่อนระวังตัวมากขึ้น และยังส่งลงไปถึงชิโอริที่อยู่บนพื้นดิน เธอฝืนคัวเองลุกขึ้นไปเขย่าตัวแสงสุทินให้ได้สติ แล้วบอกให้เขารีบหนีไป

     “เธอไม่ไปด้วยกันเหรอ” แสงสุทินที่ได้สติแล้วถามชิโอริที่เหลือบหางตามองใจกลางกลุ่มเมฆ

     “ฉันไปไม่ไหวหรอก ตอนนี้นายรีบหนีไปคนเดียวเถอะ รีบไปก่อนที่จะไม่มีโอกาสให้หนีอีกแล้วนะ”

     “แล้วเธอล่ะ ฉันทิ้งเธอเอาไว้ตรงนี้คนเดียวไม่ได้หรอกนะ” แสงสุทินเอื้อมมือไปให้ชิโอริ แต่ก็ถูกปัดทิ้งสุดแรง ก่อนจะถูกดวงตาสีฟ้าเงินจ้องเขม็ง ราวกับจะบอกว่าสิ่งที่เธอพูดเมื่อสักครู่นี้เป็นคำสั่งเด็ดขาด

     “ไม่เข้าใจเหรอ นายเป็นแค่มนุษย์ สิ่งเดียวที่นายต้องทำคือหนีไปอยู่ในที่ปลอดภัยซะ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเซย์ริอย่างฉันจัดการเอง ถึงจะเห็นฉันเป็นอย่างนี้ ฉันก็ยังมีเรื่องที่ทำได้อยู่นะ” ชิโอริพูดจบก็กางปีกขึ้นมา แต่ปีกทั้งสองข้างลู่ลงอย่างไม่มีแรง เมื่อขนนกสัมผัสกับเสื้อที่เปื้อนเลือดของชิโอริ มันก็ถูกย้อมเป็นสีแดงสด

     …หันหลังแล้ววิ่งหนีไปคนเดียว มันเป็นความคิดที่ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย แต่เมื่อคิดให้ดีแล้ว มันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่แสงสุทินทำได้ในเวลาอย่างนี้ เพราะสิ่งที่กำลังจะปรากฏตัวออกมาในไม่ช้า เป็นถึงสิ่งที่แม้แต่ชิโอริที่มีพลังเหนือธรรมชาติยังไม่มั่นใจว่าจะสู้ด้วยได้ ร่างกายของเขาถูกสั่งให้หันไปข้างหลัง แล้วกำลังจะก้าวขาไปข้างหน้าอย่างไม่รีรอ

     “แล้วเจอกันนะ” เขาพูดทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจะวิ่งจากไป

     แต่ว่า เสียงร้องที่ดังสนั่นก็ทำให้แสงสุทินไม่กล้าขยับไปต่อ ใจกลางวังวนของเมฆมีวัตถุขนาดราว 20 เมตรปรากฏขึ้นมา รูปร่างของมันเป็นคล้ายกับก้อนหินขรุขระที่มีสีน้ำตาลเหลือง แต่ไม่ใช่แค่นั้น ยังมีลำตัวที่ยาวแตกกิ่งก้านเป็นสี่ข้าง ด้านบนและด้านล่างอย่างละสองทางซ้ายและขวา ตรงปลายของแต่ละกิ่งมีของแข็งยาวแหลมคมที่สะท้อนแสงจากสายฟ้า และหางที่ยาวต่อไปคล้ายกับแส้ วัตถุชิ้นนั้นร่วงลงไปที่พื้นดิน ตกกระแทกพื้นคอนกรีตราวกับชิ้นอุกกาบาต แรงกระแทกส่งผลให้คอนกรีตที่แตกกระเด็นไปทั่วทิศทาง

     “มันมาถึงแล้ว” มาโดกะกัดฟัน ชูแขนขึ้นเป็นสัญญาณให้กับเซย์ริทุกคน “แองเจลอยด์ทั้งหมดล้อมรอบมันเอาไว้ เทอร์รารอด์ทุกคนตามฉันมา เริ่มทำการโจมตีเมื่อได้รับคำสั่งจากฉัน”

     เธอพาเทอร์รารอยด์รวมทั้งฮิโรมิเข้าไปอยู่ตรงหน้าวัตถุทรงรีที่มีการสั่นไหวอยู่ภายใน แล้วก้อนหินขนาดใหญ่ก็เปลี่ยนรูปร่าง กิ่งก้านที่เห็นในตอนแรกถูกใช้เพื่อยืนด้วยตัวเอง ปลายหางสะบัดฟาดลงที่พื้นเต็มแรง แล้วข้างใต้ผิวอันขรุขระ ลำคอและศีรษะที่มีดวงตาสะท้อนความกราดเกรี้ยวโผล่ยาวขึ้นมา แล้วส่งเสียงคำรามที่ดังราวกับเสียงฟ้าผ่า

     “นั่นน่ะเหรอ นั่นเองน่ะเหรอ…” แสงสุทินที่ล้มลงจากแรงสั่นสะเทือนของพื้นดินหันกลับไปมองต้นเสียง แล้วสิ่งที่ได้เห็นตรงนั้นก็ทำให้แทบลมจับ มันอยู่เหนือสามัญสำนึกของเขาไปมาก

     “เจ้านั่นเองน่ะเหรอ ผู้รุกรานจากอวกาศ”

     เซย์ริที่เพิ่งเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งแรกเริ่มตัวสั่นทีละคน แต่เซย์ริคนอื่นที่เคยมีประสบการณ์ต่อสู้ก็เข้าไปอยู่ข้างๆ จนเริ่มกลับมามีขวัญกำลังใจอีกครั้ง มือขวาของมาโดกะชี้ตรงขึ้นฟ้า ในแนวเดียวกับที่เครื่องบินรบทั้ง 5 ลำที่ถูกส่งมาพร้อมกันจัดเตรียมรูปแบบพร้อมรบ แล้วเสียงอันกังวานของของมาโดกะก็ดังขึ้น กลืนไปในเสียงคำรามของผู้รุกรานจากอวกาศ

 

     “ทุกคน! เริ่มปฏิบัติการโจมตีได้"

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา