Tear of Snow เทพนิยายทะลุมิติ
8.1
เขียนโดย zusuran
วันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 21.12 น.
28 ตอน
0 วิจารณ์
28.10K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 เมษายน พ.ศ. 2562 13.53 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) สิ่งนั้นที่ต้องรักษา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 6 สิ่งนั้นที่ต้องรักษา
ต้นไม้สูงใหญ่สีดำราวกับไร้ชีวิต แสงสีทองอร่ามส่องประกายระยิบระยับปรากฏร่างของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆขึ้นรางๆ บนโขดหินใหญ่ใต้ต้นไม้ที่มีร่างโปร่งบางของเด็กหนุ่มนอนราบอยู่ไม่ไหวติง
“สามคนที่เหลือดูท่าจะกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้สินะ แต่ว่า…จะมีชีวิตรอดจากป่ามรณะนั่นรึเปล่าก็คงต้องวัดดวงกันหน่อยแล้วล่ะ”
เด็กหญิงปริศนาที่มีร่างกายสีทองเอื้อนเอ่ยพร้อมกับทอดสายตามองไปยังป่าสีดำที่อยู่ไกลโพ้น ก่อนที่จะลดสายตาลงต่ำมองเจ้าของร่างโปร่งที่นอนราบอยู่ใกล้ๆ
“พวกเขาต้องมาหาท่านแน่ เพราะฉะนั้นจงหลับต่อไปอีกสักพักเถอะนะ ท่านฟุยูกิ”
ริมฝีปากบางเรียวเล็กขยับเล็กน้อยเอ่ยชื่อของเด็กหนุ่มที่หลับใหลอยู่ตรงหน้า ก่อนที่ร่างกายอันเลือนรางนั้นจะกลับกลายเป็นละอองแสงและค่อยๆจางหายไปกับธาตุอากาศ
ภายในป่าที่แสนจะมืดดำ ทั้งโฮโนโอะและมิราอิคอยปกป้องซาคุโระจากพวกปีศาจที่เริ่มจะโผล่ออกมาทีละตัวสองตัว
“เป็นอะไรรึเปล่าทั้งสองคน”
“แฮ่กๆๆ…ถามโง่ๆ แค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอกน่า”
“พูดอะไรน่ะ! สะบักสะบอมขนาดนั้น…”
“เดินต่อไปได้แล้ว”
ชายหนุ่มพูดตัดบทโดยพลันพร้อมกับเดินนำหน้าไปอย่างไม่สนใจ ซาคุโระไม่อยากไถ่ถามอีกและได้เพียงเดินตามไปเงียบๆพลางจับจ้องแผ่นหลังกว้างของคนที่เดินนำหน้าอยู่อย่างท้อใจ
เธอมันช่างอ่อนแอเป็นภาระให้คนอื่นต้องเหนื่อยอยู่เรื่อย…
ยิ่งคิดก็ยิ่งสมเพชตัวเอง และทำให้หมดกำลังที่จะก้าวเดินต่อไปเสียดื้อๆ ในระหว่างนั้นก็รู้สึกเหมือนมีมืออุ่นๆเข้ามาสัมผัสไหล่อย่างหนักหน่วงพอที่จะให้สติของกลับมา
“แค่คนปากแข็ง อย่าไปถือสาเลยขอรับ”
ซาคุโระหันกลับไปมองเจ้าของมืออุ่นๆที่วางทาบกับไหล่ตัวเอง มิราอิยิ้มให้แผ่วบาง สภาพของเขาก็สะบักสะบอมไม่ได้ต่างไปจากโฮโนโอะเท่าไหร่นัก แต่เขาก็ยังมีรอยยิ้มออกมาพอให้หายหดหู่ได้บ้าง ชายหนุ่มผลักหลังเธอเบาๆให้เดินไปข้างหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซาคุโระเริ่มรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับเดินไปข้างหน้าตามแรงผลักอย่างไม่ขัดขืน
พอมองจนแน่ใจว่าหญิงสาวได้เดินไปชิดกับหลังของพี่ชายเรียบร้อยแล้ว มิราอิก็ลดฝีเท้าและหลับตาท่องคาถาเวทมนตร์เบาๆ
“ประตูแห่งสรวงสวรรค์จงเปิดออก เนตรสวรรค์ของข้าจงเบิกกว้าง”
พอจบคำพูดเพียงไม่กี่คำมิราอิก็ลืมตาขึ้นช้าๆ บัดนี้ดวงตาของเขาได้กลายเป็นสีขาวไร้ซึ่งประกายและสิ่งสะท้อนใดๆ ชายหนุ่มกวาดสายตาไปรอบๆทั้งบนฟ้าและพื้นดินที่พวกเขากำลังเหยียบย่ำ และสิ่งที่มองเห็นผ่านม่านตาสีขาวนั้นก็ทำให้เขาหยุดชะงักไปทันที
รอบกายไม่ใช่ป่าอย่างที่เห็น แต่กลับเป็นปีศาจที่อำพลางร่างกายของมันไว้ไม่ให้คนธรรมดามองเห็น ทั้งพื้นดินและบนฟ้าสีดำนั่น ร่างที่แท้จริงของมันคือปีศาจที่บินฉวัดเฉวียนไปมาจนเกิดพายุสลาตัน
“พวกมันคงไม่ได้เอาฟุยูกิไปหรอกนะ”
มิราอิพึมพำอย่างหวาดหวั่น หากน้องชายคนเล็กของเขาถูกปีศาจเอาตัวไปละก็ เขาจะไม่มีทางยกโทษให้ตัวเองเลยตลอดชีวิต ระหว่างนั้นสายตาก็เหลือบไปมองใต้ฝ่าเท้าที่กำลังเหยียบย่ำ ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูงทันทีที่รู้ว่าตัวเองได้ยืนอยู่บนเมือกสีแดงก่ำ และพอมองไปยังพี่ชายของตนและหญิงสาวที่เดินนำหน้า เขาก็ต้องรีบสาวเท้าตามอย่างไม่ยั้งรอ
“แย่แล้ว! ทั้งสองคนหมอบลงเร็วเข้า!”
“มีอะไรเหรอ”
“ไม่มีเวลาแล้ว! บอกให้หมอบก็หมอบสิ!”
มิราอิพุ่งตัวเข้ามาผลักซาคุโระให้ล้มไปกองกับพื้นและคร่อมไว้ ในขณะที่โฮโนโอะเอียงคอหลบสิ่งที่พุ่งเข้ามาได้อย่างเฉียดฉิว
ฉัวะ!
“อึก! อะไรกันเนี่ย”
โฮโนโอะสบถขึ้นอย่างใจหาย เมื่อรู้ว่าตัวเองหลบไม่พ้นสิ่งที่พุ่งเข้ามา มือเรียวยาวยกขึ้นลูบไปบนแก้มเนื้อเนียนที่รู้สึกเจ็บ แก้มเนียนสีเข้มถูกของมีคมบาดเข้าเป็นแนวยาวเกือบถึงใบหู เลือดไหลซิบออกมาตามบาดแผล
“มันเกิดอะไรขึ้น”
“ที่นี่น่ะ ในป่านี้น่ะ เป็นปีศาจ”
“ว่ายังไงนะ!”
“บนฟ้านั่นเป็นปีศาจ คนที่กระชากฟุยูกิไปจากข้าก็คือพวกมันแน่!”
มิราอิพูดขึ้นอย่างเคียดแค้นพร้อมทั้งแหงนมองบนฟ้า โฮโนโอะมองไม่เห็นแต่ก็ไม่ยากถ้าอยากเห็น ชายหนุ่มหลับตาลงและร่ายเวทอักขระที่ต่างจากน้องชายนิดหน่อย
“เปลวเพลิงแห่งขุมนรกจงลุกโชน จงเบิกกว้าง….เนตรสีเพลิง”
เมื่อท่องคาถาจบชายหนุ่มก็ลืมตาโพลงและแหงนมองขึ้นไปบนฟ้าทางทิศที่น้องชายได้บอก บัดนี้ดวงตาของชายหนุ่มกลายเป็นสีแดงดุจเพลิงที่ลุกโชติช่วงและร้อนรุ่ม
“อย่างนี้เองเหรอ ฟุยูกิถูกเจ้าพวกนั้นกระชากไปงั้นเหรอ”
“ไม่แน่ใจ แต่ก็ไม่มีสิ่งอื่นนอกจากพวกมัน”
“อย่างนั้นเหรอ”
โฮโนโอะกำมือแน่นจนสั่น สิ่งที่เขาได้เห็นผ่านดวงตาสีเพลิงนั้น มันช่างโหดร้ายและน่าแค้นเคืองที่ไม่เอะใจตั้งแต่แรก แต่สิ่งที่โฮโนโอะและมิราอิมองเห็น ซาคุโระไม่สามารถที่จะมองเห็นได้ หญิงสาวงุนงงกับเสียงพึมพำของชายหนุ่มทั้งสองจนเก็บเอาไว้ในใจไม่ไหว
“นี่ พวกนายมองดูอะไรกัน มีเรื่องอะไรเหรอ”
“ท่านซาคุโระ”
“อะไรเหรอ”
หญิงสาวเอียงคอเพื่อรอฟังคำตอบจากชายหนุ่ม แต่พอพวกเขาทั้งสองหันมาเผชิญหน้าเธอก็ชะงักไปทันที ดวงตาที่เธอคุ้นเคยได้หายไปจนหมดสิ้น ถึงกับทำให้เธอสั่นสะท้านเพราะความหวาดกลัวที่ผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
“อย่าตกใจไปเลยขอรับ ท่านซาคุโระ นี่เป็นเวทมนตร์ของพวกเรา”
มิราอิรีบชี้แจง แต่หญิงสาวก็ไม่เชื่อทั้งหมดและยังตั้งคำถามต่อไปอย่างข้องใจ
“ถะ ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ ทะ ทำไมต้องใช้เวทมนตร์ด้วยล่ะ”
“เพราะว่าจะได้เห็นพวกที่ลอบกัดพวกเราได้ชัดๆไงล่ะ”
มิราอิเอ่ยเสียงเข้มพลางหันกลับไปมองที่เดิม และไม่ทันที่ซาคุโระจะหายตกใจ ตัวการใหญ่จะเริ่มปรากฏตัวออกมาให้เห็นซะแล้ว
‘รู้ตัวจนได้สินะ ช่างฉลาดปราดเปรื่องเสียจริง’
“เสียงใคร”
“ออกมา! ไม่อย่างนั้นข้าจะทำให้เจ้าออกมาเอง”
ทั้งโฮโนโอะและมิราอิจับจ้องไปทางทิศเดียวกัน ตรงหน้าคือเส้นทางที่พวกเขาจะต้องเดินผ่าน เกิดเป็นเงาสีเดียวกับความมืดมัวของป่าได้ขยับเขยื้อนเข้ามาใกล้พวกเขาเรื่อยๆ ซาคุโระมองเห็นแค่เงารางๆ ผิดกับโฮโนโอะและมิราอิที่เห็นมันผ่านม่านตาเวทมนตร์เป็นรูปร่างปีศาจแมงมุมอัปลักษณ์ชัดเจน
“อะไรน่ะ เงาสีดำนั่น มันคืออะไรกัน”
‘เห็นข้าด้วยรึ แต่น่าเสียดายที่พวกเจ้าจะไม่ได้ออกไปจากที่นี่’
“ชิ แค่จัดการกับแมงมุมที่ขวางทางอยู่นี่ก็จบใช่ไหมล่ะ”
แล้วมิราอิก็พุ่งเข้าไปหาปีศาจแมงมุมเจ้าเล่ห์แสนอัปลักษณ์นั่นทันที โดยไม่ทันคิดว่านั่นอาจจะเป็นกับดักหรือหลุมพลางสำหรับดักเหยื่อ
‘เข้ามาแล้วรึ เข้ามาเลย หึๆๆ’
“มิราอิ อย่าเข้าไปนะ!”โฮโนโอะฉุกใจคิดและรีบร้องห้ามแต่รู้สึกว่ามันสายไปเสียแล้ว
“แย่แล้ว!!”
เหล่าปีศาจที่สิงสู่อยู่ในป่าก็กรูเข้ามาล้อมมิราอิเอาไว้ ในชั่วพริบตาที่พวกมันปรากฏตัวมิราอิก็ไม่มีทางหลีกหนีแม้แต่น้อย แมงมุมเจ้าเล่ห์แสยะยิ้มอย่างพอใจก่อนที่จะออกคำสั่งลูกสมุนให้รุมชายหนุ่มที่อยู่ท่ามกลางวงล้อมของพวกมัน
‘จัดการมัน!’
“มิราอิ!”
“ชิ บ้าจริง!”
โฮโนโอะสบถออกมาอย่างหัวเสีย แต่ในขณะที่กำลังก้าวเท้าเข้าไปช่วยก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อมิราอิผู้ที่ถูกล้อมมีสีหน้านิ่งเฉยและกำลังรายเวทมนตร์ ชายหนุ่มยกแขนซ้ายขึ้นเหนือหัว ชึ้นิ้วขึ้นไปบนฟ้าเป็นสัญญาณของเวทมนตร์ที่จะใช้ โฮโนโอะรู้ดีว่าคืออะไร เขาไม่คิดที่จะเข้าไปเสี่ยงและยังต้องพาหญิงสาวที่ยืนนิ่งไม่รู้เรื่องอยู่ด้านหลังหลบออกไปให้พ้นจากวิถีทำลายนั่นด้วย
“เมฆเอ๋ยจงมืดดำ...ส่วนที่ลึกที่สุดของบรรยากาศ…ฟ้าเอ๋ยจงลงทัณฐ์โกรธเกรี้ยวให้เหมือนดั่งใจข้า!”
“หลบเร็วเข้า!”
“ว้าย!!!”
“อัศนีสายฟ้าฟาด!!”
ตูม!!
ทันทีที่ลั่นวาจาอันหนักแน่น แสงสว่างจ้าจนแสบตาก็ปรากฏทะลุผ่านเมฆหมอกและพายุหมุนบนท้องฟ้าลงมายังฝูงปีศาจที่รายล้อมอยู่อย่างบ้าคลั่ง นั่นคือสายฟ้าฟาดที่มิราอิเรียกมาด้วยความโกรธ พลังรุนแรงจนทำให้ทุกสิ่งมอดไหม้ออกไปเป็นบริเวณกว้าง ซาคุโระถูกโฮโนโอะฉุดกระชากออกมาจากวิถีทำลายแรงสั่นสะเทือนของผืนดินที่ถูกสายฟ้าฟาดทำให้เธอกลิ้งไปบนพื้นพร้อมกับเขา
“ไม่เป็นไรใช่ไหม”
เสียงกระซิบแผ่วเบาดังอยู่ข้างหู ซาคุโระเบิกตากว้างจับจ้องใบหน้าของชายหนุ่มที่คร่อมเธออยู่ แรงสั่นสะเทือนที่ตามมาเป็นระลอกทำให้ใบหน้าของเธอซุกเข้ากับอกของเขาโดยปริยาย และเป็นอีกครั้งที่เธอรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งดวงหน้า
โฮโนโอะยันกายลุกพร้อมทั้งฉุดแขนเธอให้ลุกตาม ซาคุโระมองสภาพของพื้นดินที่ยุบตัวลงมากกว่าครึ่งอย่างอึ้งๆ ไม่อยากเชื่อว่าคนที่ทำลายปีศาจนับร้อยได้ในชั่วพริบตาคือมิราอิที่ยืนอยู่ตรงนั้น แต่แทนที่ทุกอย่างจะเรียบร้อย โฮโนโอะกลับมีสีหน้าเคร่งเครียดเข้าไปอีก
“อยู่ที่นี่อย่าขยับไปไหนนะ”
“แต่ว่านาย…”
“อย่าถามมาก!”
“เฮือกกกกกก!!!!”
ซาคุโระจ้องตาสีเพลิงที่หันมาหา เพียงเสี้ยวนาทีเธอก็รู้สึกเหมือนถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยสิ่งที่มองไม่เห็น ดวงตาที่เปล่งประกายสุกใสเมื่อครู่ไม่มีอีกแล้ว เพราะมันได้เปลี่ยนเป็นความว่างเปล่าเหมือนวังวนที่ไร้ทางมองเห็น
ร่างของหญิงสาวทรุดฮวบลงสู่อ้อมแขนที่รอรับ โฮโนโอะวางร่างที่แน่นิ่งของหญิงสาวเอาไว้กับผิวขรุขระของต้นไม้ก่อนที่จะพุ่งเข้าไปหามิราอิที่ยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางชิ้นส่วนแขนขาและซากของปีศาจที่ถูกสายฟ้าทำลาย ชายหนุ่มรู้ดีถึงพลังของน้องชาย หากว่าปล่อยพลังออกมามากจนเกินขีดจำกัด ร่างของมิราอิก็จะเหมือนถูกทับด้วยภูเขาร้อยลูกทำให้เขาขยับตัวไม่ได้ชั่วคราว ซึ่งโอกาสดีๆอย่างนี้มีหรือที่ปีศาจจะปล่อยให้หลุดลอยไปง่ายๆ
‘เป็นอะไรไป หมดแล้วรึ ไอ้เวทมนตร์ประหลาดของเจ้าน่ะ เจ้าหนู’
“หนวกหูน่ะ”
‘ฮี่ๆๆ ดูท่าทางจะขยับไม่ได้สินะ อ้า~หิวจัง ไม่ได้กินอะไรมาเป็นปีแล้ว จงมาเป็นเหยื่อโอชะของข้าเสียเถอะ!’
จบคำพูดของปีศาจแมงมุม เส้นใยสีดำก็เลื้อยขึ้นมาพันธนาการแขนขาของมิราอิช้าๆ ชายหนุ่มทำอะไรไม่ได้นอกจากขบกรามอย่างแค้นเคือง ดวงตาสีขาวบริสุทธิ์ฉายแววความเหี้ยมเกรียมจับจ้องปีศาจพร้อมทั้งข้อกังขาที่อยากรู้มานาน
“ข้ามีเรื่องอยากจะถาม”
‘อะไรล่ะ หากเจ้าถามมาข้าจะยอมตอบให้ก็ได้ ถือว่าเป็นคำสั่งเสียก่อนตายละกัน’
“ข้อแรก…ที่นี่คือที่ไหน”
‘หึๆๆ ถามได้ดี เอาเถอะ จะบอกให้ก็ได้ ที่นี่คือป่ามรณะยังไงล่ะ!’
คำตอบเย็นเยียบชวนให้เสียวสันหลัง แต่ก็ยิ่งทำให้มิราอิจ้องปีศาจแมงมุมเขม็ง ก่อนที่จะต่อด้วยคำถามที่อยากรู้คำตอบที่สุด
“ข้อสุดท้าย เจ้าได้กินมนุษย์ที่หน้าตาเหมือนพวกเราเข้าไปรึเปล่า”
‘มนุษย์รึ’
“เด็กผู้ชาย ผมสีเงิน”
มิราอิอธิบายลักษณะโดดเด่นของฟุยูกิไปคร่าวๆ และคิดหวังไว้ลึกๆว่าจะไม่ได้ยินคำตอบที่ทำให้เขาและโฮโนโอะต้องใจหายขาดช่วง
“ว่ายังไง เจ้าได้กินน้องชายของข้าเข้าไปรึเปล่า!”
‘อ้อ! เจ้าเด็กผมสีเงินนั่นเป็นน้องชายเจ้ารึ…อย่างนี้นี่เอง’
ปีศาจแมงมุมพยักหน้าทำท่าทำทางเหมือนเข้าใจทุกอย่าง มิราอิยิ่งกำมือแน่นจนสั่นกึก ในใจตอนนี้คิดไปถึงฟุยูกิเพียงคนเดียว หากว่าปีศาจตนนี้รู้จักใบหน้าค่าตาของเด็กหนุ่มแล้วล่ะก็ ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน
“น้องชายข้า อยู่ที่ไหน”
‘บอกให้โง่รึ ยังไงๆพวกเจ้าก็ต้องตายกันให้หมดนั่นแหล่ะ เอาไว้ไปหากันในนรกเถอะ ฮ่าๆๆขอกินเจ้าเป็นคนแรกล่ะนะ!’
ว่าแล้วเขี้ยวแหลมคมที่อาบโชกไปด้วยน้ำลายก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของปีศาจแมงมุม พร้อมทั้งเส้นใยสีดำของมันที่กำลังดึงร่างมิราอิเข้าไปใกล้เรื่อยๆ มิราอิขยับตัวไม่ได้และหมดหนทางต่อต้านพละกำลังที่เหนือกว่า ใยแมงมุมที่เหนียวแน่นพันธนาการแขนขาจนไม่สามารถที่จะทนทานแรงฉุดกระชากให้เข้าไปหาเขี้ยวแหลมคมอันน่าขยะแขยงนั้นได้ ยิ่งใกล้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งเห็นใบหน้าและรูปร่างอัปลักษณ์ของมันชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น ม่านตาสีขาวหรี่ลงอย่างเจ็บแค้น และในขณะนั้นเอง
“คมเขี้ยวของอสูรกายจากนรกจงปรากฏ! หัตถ์แห่งสวรรค์ทั้งเจ็ดจงโอบอุ้มร่างสีขาวที่ไร้ปีก!!!”
ฉัวะ!!!!
ควากกกกกกกก!!!!!
ทันทีที่ประโยคสุดท้ายดังก้องกังวานออกมา มิราอิก็รู้สึกเหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นฉุดกระชากออกจากใยแมงมุมอย่างรวดเร็วและลอยละลิ่วออกไปไกลจากปีศาจแมงมุมหลายเมตร พอตั้งสติและลุกขึ้นก็มองเห็นแผ่นหลังของพี่ชายที่ยืนเผชิญหน้ากับปีศาจ เขารู้ดีว่านี่คือพลังของโฮโนโอะเพราะคนที่ใช้วิชาเทพกึ่งมารได้มีเพียงเขาคนนี้คนเดียว
“ไม่เป็นไรนะ มิราอิ”
“หึ ข้าน่ะเหรอจะเป็นอะไร”
“อย่างนั้นเหรอ”
โฮโนโอะแสยะยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนที่จะหันไปจับจ้องปีศาจเจ้าเล่ห์ที่ร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บเพราะสูญเสียแขนขาไป
‘อ๊ากกก!!’
“ดูท่าจะเจ็บหนักนี่นะ”
ชายหนุ่มเยาะเย้ยซ้ำเติมกับภาพที่เห็นผ่านม่านตาสีแดงเพลิง
‘เจ้าทำกับข้าได้ขนาดนี้เชียวรึ เจ้าต้องตาย!’
ปีศาจแมงมุมกล่าวด้วยน้ำเสียงพยาบาท แต่ชายหนุ่มกลับนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้านกับคำพูดที่ได้ยินแต่อย่างใด มิราอิพยายามลุกขึ้น หลังจากขยับเนื้อตัวได้ก็เพ่งมองที่มือขวาของพี่ชายไม่วางตา เพลิงบรรลัยกัลป์รูปร่างคล้ายกรงเล็บของอสูรกายที่เรียกออกมาเพื่อช่วยเขาเมื่อครู่ยังไม่หายไป และยังคงลุกโชนดุจไฟนรกที่กำลังลุกไหม้อย่างบ้าคลั่ง
‘จะรุมรึ เข้ามาเลยเจ้าพวกขี้ขลาด!’
“ใครกันแน่ที่ขี้ขลาด ถ้าไม่บอกว่าน้องชายข้าอยู่ที่ไหนล่ะก็ เจ้าได้แหลกเป็นผงแน่”
สิ้นเสียงเย็นเยียบของโฮโนโอะ กรงเล็บสีเพลิงของเขาก็ยื่นยาวออกมาจรดที่หน้าผากของปีศาจพร้อมกับเพลิงที่ห่อหุ้มที่พร้อมจะระเบิดออกมาทุกเมื่อ
“บอกมาว่าฟุยูกิอยู่ที่ไหน!”
‘บะ บอกแล้วจ้ะ บอกแล้ว’
“อยู่ที่ไหน!!~” ชายหนุ่มทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกันด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
‘เอ่อ คือว่า…’
แมงมุมเจ้าเล่ห์ลนลานหาทางรอด และในที่สุดมันก็เจอ เพียงเสี้ยวนาทีที่ชายหนุ่มทั้งสองรอคำตอบ มันก็เหวี่ยงตัวเข้าไปหาซาคุโระที่หมดสติอยู่ไม่ไกลและรีบจับเธอเป็นเครื่องมือต่อรอง
‘ฮ่าๆๆ! บอกไปพวกเจ้าก็ต้องฆ่าข้าอยู่ดี หลีกทางไปซะ ไม่อย่างนั้นนังผู้หญิงคนนี้ต้องตาย!’
เสียงที่ดังกึกก้องผสมปนเปไปด้วยความหวาดกลัวอยู่ลึกๆ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายมีอาการตกใจแต่อย่างใด โฮโนโอะนิ่งเฉยไม่มีท่าทีกดดันอะไร ยิ่งมิราอิด้วยแล้วก็ยิ่งไร้อารมณ์ใดๆบนใบหน้า
‘มะ ไม่ตกใจรึ ทำไม ชีวิตของเด็กนี่ไม่มีความสำคัญหรอกรึ!’
ปีศาจแมงมุมเอ่ยถามอย่างร้อนรน พร้อมทั้งจี้ปลายเล็บเข้าที่ลำคอระหงของหญิงสาว สายตาของโฮโนโอะเริ่มแข็งกร้าว ฉายแววความโกรธขึ้นมาทันที
‘ดีล่ะ มันไม่สำคัญใช่ไหม’
“สำคัญสิ สำคัญมากกว่าชีวิตของข้าด้วยซ้ำ”
‘ว่าไงนะ! แล้วทำไมยังนิ่งเฉยได้อีก นางเด็กนี่จะเป็นยังไงก็ช่างสินะ’
“ถ้าเจ้าบังอาจล่วงเกินนางไปมากกว่านี้ล่ะก็ข้าไม่ให้อภัยแน่”
ชายหนุ่มคำรามอย่างโกรธแค้น ตรงข้ามกับสีหน้าท่าทางที่ดูเยือกเย็นผิดปกติ
‘ปากกล้าดีนี่ แต่ก็คงจะดีแต่พูดล่ะมั้ง ถ้าหากห่วงนักก็เข้ามาแย่งไปให้สิ’
“เสียเวลาเปล่า”
‘ว่าไงนะ อ๊ะ!’
ฉัวะ!
ทันทีที่มองเห็นรอยยิ้มผุดขึ้นมาบนใบหน้าของชายหนุ่ม แขนขาอีกสองข้างของปีศาจแมงมุมก็ขาดสะบั้นออกจากร่างของมันอย่างน่าประหลาด
‘อ๊ากกกกกกกกก!! แขนของข้า ใคร ใครมันทำกับข้าอย่างนี้!’
“ข้าเอง”
น้ำเสียงเย็นเยียบยิ่งกว่าน้ำแข็งดังขึ้นใกล้ พอหันไปมองตามทิศทางนั้นก็ทำให้ปีศาจเจ้าเล่ห์ถึงกับหน้าหงายไปทันที
มิราอิเข้ามาประชิดอย่างเงียบงันและทำลายแขนขาของปีศาจแมงมุมถึงสองข้าง แต่ในมือกลับไร้ซึ่งอาวุธใดๆ ทำให้ปีศาจเจ้าเล่ห์ไม่อยากเชื่อว่าเป็นฝีมือของเขา และรีบหันมาใช้ขาขาที่เหลือปลิดลมหายใจของหญิงสาวทันที
“เจ้าลอบกัด! จงรับร่างไร้วิญญาณของนางไปเถอะ!”
“ทำได้ก็เอาสิ”
ในชั่วพริบตาที่ปีศาจแมงมุมใช้แขนขาที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียว เหวี่ยงร่างของซาคุโระขึ้นไปกลางอากาศเพื่อจะปลิดลมหายใจโดยกการใช้กรงเล็บแทงทะลุร่าง ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อดวงตาสีขาวของมิราอิเข้ามาประชิดกับตาของมันเพียงคืบ พร้อมกันนั้นแขนขาที่เหลือของมันก็ถูกของมีคมที่มองไม่เห็นตัดขาดลอยละลิ่วขึ้นเหนือหัว
ร่างอันบอบบางหล่นลงในอ้อมแขนที่อ้ารอรับได้อย่างพอดิบพอดี ดวงตาสีเพลิงจับจ้องใบหน้าคมปนหวานที่หลับตาพริ้มอยู่ในอ้อมแขนนั้นอย่างโล่งใจ ก่อนที่จะหันกลับไปจับจ้องปีศาจแมงมุมที่ตอนนี้เหลือเพียงตัวกลมๆกลิ้งไปมาบนพื้นเฉอะแฉะพร้อมกับเสียงร้องครวญครางของมัน
“อ๊า!! แขนขาของข้า เจ้าทำอะไรกับแขนขาของข้า!”
“เกะกะนักก็ช่วยตัดให้ไงเล่า ไม่ดีเหรอ”
“ไอ้เด็กไม่เจียมตัว ข้าจะฆ่าเจ้า!!!”
“อย่าพูดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้จะดีกว่า เจ้าหมดโอกาสแก้ตัวแล้ว และเจ้าก็ทำให้พวกข้าเสียเวลามามากพอแล้วด้วย”
มิราอิเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างเยือกเย็น พร้อมทั้งยกมือขึ้นเหนือหัวเหมือนเงื้อดาบจะฟาดฟันศัตรู
“ดะเดี๋ยวก่อน! ข้ามีเรื่องของน้องชายเจ้าจะบอก”
“มันสายไปแล้วล่ะ”
“มะ ไม่นะ! ไว้ชีวิตข้าด้วยเถอะ!”
“เพื่อให้เจ้ามาฆ่าพวกเราอีกเหรอ”
“อ๋า!! เอ่อคือ…”
“พอกันที สำหรับปีศาจเจ้าเล่ห์หลอกลวงอย่างเจ้า ไม่สมควรจะมาร้องขอชีวิตหรอก!”
“อ๊ากก!! ม่ายยยยยยย!!!”
ฉัวะ!
ควากกกกก!!!
เพียงเสี้ยวนาทีที่มิราอิตวัดมือและทิ้งแขนลงมาไว้ข้างลำตัว ร่างของปีศาจแมงมุมก็ถูกผ่าจนฉีกออกเป็นสองส่วน แต่ไม่มีร่องรอยของอาวุธชิ้นใดในมือของชายหนุ่ม เพราะของมีคมชนิดนี้ไร้ซึ่งตัวตนและมีเพียงเขาเท่านั้นที่ใช้ได้
ชายหนุ่มมองร่างที่ฉีกขาดผ่านม่านตาสีขาวอย่างเยือกเย็นพร้อมกับเสียงพึมพำที่ดังออกมาผสมกับเสียงลมที่พัดผ่าน
“จบกันที”
“หาทางไปต่อกันเถอะ”
โฮโนโอะแทรกขึ้นพลางเดินนำหน้าออกไปพร้อมๆกับร่างบางที่อยู่ในอ้อมแขนโดยไม่ปริปากพูดอะไร สิ่งที่ช่วยทำให้มองเห็นเส้นทางก็คงมีแค่ดวงตาสีเพลิงของเขาเท่านั้น มิราอิเดินตามหลังอยู่ห่างๆ พร้อมกันนั้นก็มองดูมือของตัวเองด้วยสายตาที่เหมือนจะคิดถึงอะไรบางอย่าง แต่พอสักพักเสียงโฮโนโอะก็ทำให้เขาชะงักกำมือแน่น
“ยังไม่เลิกโทษตัวเองอีกเหรอ”
“ข้า…”
“ไม่สมกับเป็นเจ้าเลยนะ มิราอิ”
โฮโนโอะหยุดฝีเท้าและไม่หันมามองผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหลัง มิราอิชะงักและได้แต่หลบหน้าอย่างละอาย ความเงียบได้เข้ามาเยือนอีกครั้ง
“เจ้าคงไม่รู้ว่าเจ้ามีความสำคัญมากแค่ไหน”
“….!”
“ไม่ว่าใครก็มีความทรงจำที่เจ็บปวดกันทั้งนั้น หากคิดถึงแต่อดีตก็คงไม่มีทางจะก้าวไปข้างหน้าได้ อย่าลืมข้อนี้ซะล่ะ”
เหมือนเป็นการย้ำเตือนถึงอดีตที่ทำยังไงก็ลืมไม่ลง อดีตที่อยากหนีมันไปให้ไกลแต่ก็ทำไม่ได้ แต่ถึงยังไงก็ไม่อยากได้ยินคำพูดที่เหมือนบทเทศนาน่ารำคาญ
“ข้ารู้น่า ไม่ต้องมาสอนข้าให้มากนักก็ได้”
“อย่างนั้นเหรอ”
ครืนนนน~….
“อะไรกันอีกล่ะเนี่ย”
“แย่แล้ว รีบวิ่งเร็วเข้า!”
แรงสั่นสะเทือนทำให้ผืนป่าทั้งหมดเริ่มยุบตัวไล่ตามหลังของพวกเขาและเข้ามาประชิดอย่างรวดเร็ว ทั้งสองวิ่งออกมาไม่นานนักก็พบกับแสงสว่างริบหรี่ที่เพิ่งปรากฏให้เห็นอยู่ตรงหน้า
“เจอแล้ว นั่นทางออก”
“เร็วเข้า!!”
ตูม!!
“อะไร”
“อันตราย!!”
โฮโนโอะร้องลั่นพร้อมทั้งเข้ามาผลักมิราอิออกจากวิถีระเบิดที่ปะทุขึ้นต่อหน้า พื้นดินที่ระเบิดขึ้นขวางทางนั้นไม่ใช่อะไรนอกจากปีศาจร่างยักษ์ที่โผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน และมันก็เข้าโจมตีเป้าหมายทันทีอย่างบ้าคลั่ง
‘ไม่ให้ใครหนีออกไปได้หรอกน่า!!!’
“ท่านพี่!”
มิราอิร้องเรียกพยายามเอื้อมมือไปไขว่คว้าร่างของโฮโนโอะที่ถูกกระชากลอยขึ้นกลางอากาศ แต่กลับคว้าได้เพียงซาคุโระที่โฮโนโอะโยนลงมาให้
“รีบออกไปซะ!”
“แต่ว่า…”
“ไม่ต้องเถียง! เร็วเข้า!”
โฮโนโอะตะคอกเสียงดุ มิราอิไม่มีทางเลือกนอกจากจะทำตามคำสั่งที่เด็ดขาดของพี่ชาย ชายหนุ่มกระชับร่างของหญิงสาวเอาไว้แนบอกและรีบวิ่งออกไปยังทางออกที่อยู่ไม่ไกล แต่ก่อนที่จะก้าวเท้าพ้นจากอาณาเขตของป่า แรงระเบิดพลังมหาศาลก็ปะทุขึ้นและอัดกระแทกพวกเขาอย่างแรง ร่างของชายหนุ่มทั้งสองลอยละลิ่วออกไปจากป่ามรณะที่กำลังพังทลายลงสู่ใต้ผืนดิน
ตุ้บ!
พลั่ก!!
เสียงแผ่นหลังกำยำกระแทกพื้นหญ้าที่รองรับอย่างแรง ที่ๆพวกเขาอยู่ตอนนี้ไม่หลงเหลือเศษเสี้ยวของป่ามรณะสีดำนั่นอีกแล้ว
“แฮ่กๆๆ…ออกมาได้แล้ว”
“เกือบไปแล้วไหมล่ะ หึ”
โฮโนโอะเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มๆนึกขำในความมุทะลุของตัวเอง แต่เพียงไม่นานเขาก็ต้องหยุดชะงักเมื่อรู้สึกว่าขาดใครบางคนไป
“ว่าแต่ ท่านซาคุโระ…ท่านซาคุโระ!!”
“มิราอิ เจ้า!!”
“ข้าเปล่านะ! แรงระเบิดขนาดนั้น เอ่อ…”
โฮโนโอะลุกพรวดด้วยความตกใจพลางหันกลับไปมองทางป่ามรณะที่จมหายไปจนหมดสิ้น หัวใจกระตุกวูบเหมือนมีใครเอามีดมาเฉือน แต่ในขณะนั้นเองเสียงกรีดร้องจนแสบแก้วหูก็ดังก้องกังวานมาจากบนฟ้า ก่อนที่เจ้าของเสียงนั่นจะหล่นลงมาทับจนทำให้ล้มลงไปกองกับพื้นอีกหน
“กรี๊ดดดดด!!!”
“เฮ้ย!!”
พลั่ก!
โครมมมม!!
“อูย~เจ็บ เอ๊ะ! ไม่เจ็บเลยแฮะ”
ซาคุโระโอดครวญกะพริบตาปริบๆ ยังตกใจไม่หายที่จู่ๆก็ลืมตาขึ้นมาและรู้ว่าตัวเองลอยละล่องอยู่กลางอากาศ
“ทะ…ท่านซาคุโระ เป็นอะไรมากรึเปล่าขอรับ” เมื่อหันไปมองที่มาของเสียงก็พบกับมิราอิที่นั่งจมปุกอยู่ใกล้ๆและยิ้มแห้งๆเหมือนจะตกใจกับอะไรบางอย่าง
“ฉันไม่เป็นไรเลย แปลกแฮะ…”
“แต่ข้าเป็น~”
เสียงคำรามอู้อี้ดังขึ้น ซาคุโระเหลียวมองหาจนกระทั่งได้มาพบกับโฮโนโอะที่หมอบกระแตจมพื้นหญ้าก็ถึงบางอ้อทันที ที่แท้เบาะนุ่มๆที่รองรับร่างของเธอก็คือหลังของเขานี่เอง
“โฮโนโอะเองหรอกเหรอ”
“อื้อ~ลุกซะทีสิโว้ย! หายใจไม่ออก ยายผู้หญิงบ้าตัวหนักอย่างกับช้าง”
ซาคุโระตั้งใจจะลุกออกตั้งแต่ตอนแรกที่รู้ แต่พอได้ฟังประโยคสุดท้ายเธอก็เดือดปุดๆหน้าแดงก่ำ และเปลี่ยนใจไม่ลุกออก
“นายว่าใครหนักเหมือนช้างยะ!”
“หนวกหู ลุกเดี๋ยวนี้นะยายอ้วน!”
คำสุดท้ายเต็มสองรูหูที่กำลังมีควันพุ่งออกมาเหมือนรถจักรไอน้ำ กระทั่งมิราอิก็ยังต้องถอยออกไปเงียบๆ
“ถอนคำพูดซะตาบ้าลามกแอบมาอยู่ใต้บั้นท้ายผู้หญิง!”
“หนอย~ ก็แล้วตัวอะไรมันหล่นลงมาจากฟ้ามานั่งอยู่บนหัวข้าเนี่ย!”
คำพูดของโฮโนโอะทำเอาซาคุโระเดือดพล่าน เธอลุกขึ้นยืนและกระทืบเท้าข้างหนึ่งลงกลางหลังของเขาเสียแรงๆ ไม่ว่ายังไงเธอก็คงญาติดีกับเขายากยิ่งกว่าปีนเขาร้อยลูก
“นายกล้าดียังไงมาเปลียบฉันเป็นสัตว์!”
ปึ้ก!
“อ๊าก!...หลังข้า!”
โฮโนโอะร้องลั่นแต่หญิงสาวกลับไม่แยแสทั้งยังกลับไปนั่งลงบนหลังของเขาอีกหน และใช้กำปั้นเล็กๆแต่หนักหน่วงบดขมับทั้งสองข้างของเขาไปมา
“นี่ๆๆ! จะถอนคำพูดไหม ตัวฉันออกจะเบาปานนุ่นนายมีสิทธิ์อะไรมาว่าฉันตัวหนัก หา!”
“ก็มันหนักจริงๆนี่ ลุกเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นข้าจะอัดเจ้าให้กระเด็นออกไปนอกโลก!”
“กล้าเหรอ นายกล้าอัดฉันที่เป็นผู้พิทักษ์งั้นเหรอ!”
“ไม่สน! ไม่ว่าใครข้าก็อัดได้ทั้งนั้นล่ะ แล้วตอนนี้เจ้ามันก็แค่เด็กกะโปโลไม่รู้จักกาลเทสะ!”
“ว่าไงนะ!”
“อ๊าก!”
ซาคุโระออกแรงบดขยี้โดยไม่แยแสเสียงร้องของชายหนุ่ม มิราอิถอยห่างและรีบลุกเดินออกไปเพราะไม่อยากโดนลูกหลงอีกคน โดยที่มีเสียงสวรรค์ของพี่ชายร้องเรียกตามหลัง
“เฮ้ย!! จะไปไหนมิราอิ มาช่วยเอายัยบ้านี่ออกไปจากหลังข้าที!”
“ข้าไม่อยากโดนลูกหลงไปด้วยหรอกนะ….เดี๋ยวพอข้าอดใจไม่ไหวจะได้จุมพิตสาวงามเข้า”
มิราอิเอื้อนเอ่ยประโยคสุดท้ายด้วยสีหน้าทะเล้นอย่างแจ่มแจ้ง ซาคุโระเดือดปุดๆหันกลับมาระบายความอัดอั้นที่โฮโนโอะแทน ชายหนุ่มร้องเสียงหลงอย่างนึกเคืองเจ้าน้องชายปากเสียซะจริง
“ไม่ว่าหน้าไหนก็ไม่ต่างกันเลย!”
“แล้วทำไมต้องมาลงที่ข้าด้วย!”
“หนวกหู”
“อ๊ากกก!!”
“ฮะๆๆๆร้องเสียงดีนี่”
ระหว่างที่ทั้งสามกำลังครึกครื้นกันอยู่นั้น ใครคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหยุดอยู่ไม่ไกลพร้อมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ท่าทางสนุกกันจังเลย”
“เฮือก!!”
น้ำเสียงทุ้มหวานๆที่ทั้งนิ่งและเยือกเย็น ทำให้ทั้งสามคนที่กำลังวุ่นวายกันอยู่ถึงกับหยุดชะงักและหันมามองทางเดียวกัน สิ่งที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าแทบจะทำให้พวกเขาพูดไม่ออก มิราอิเดินโซซัดโซเซเข้ามาช้าๆพยายามเพ่งมองเด็กหนุ่มที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า
“จะ เจ้า….”
“ก็ข้ายังไงขอรับ ฟุยูกิ ทำไมต้องทำหน้าอย่างนั้นด้วย”
เด็กหนุ่มเอียงคอเอ่ยถามด้วยความสงสัยในท่าทางของพี่ชายที่เดินเข้ามาหา ไม่มีคำตอบจากพี่ชายทั้งสอง พักหนึ่งก็รู้สึกว่าถูกอุ้มจนปลิวว่อนไปตามแรงเหวี่ยง
พรึ่บ!!!
“เหวอออออ!” เด็กหนุ่มโพล่งขึ้นด้วยความตกใจแต่กลับได้รับการตอบสนองเพียงรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของพี่ชายที่เข้ามาอุ้ม ความดีใจพรั่งพรูออกมาจนต้านไม่อยู่ และแสดงออกมาอย่างไม่กลัวอาย
“อย่าหายไปแบบนี้อีกนะ รู้ไหม”
“ข้าขอโทษขอรับ ปล่อยข้าลงเถอะ”
โฮโนโฮะรู้ความหมายของท่าทางที่แสดงออกมา มันคือความรู้สึกที่ขาดหายมานาน เสียงหัวเราะชอบใจแบบนี้หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่อาจจำได้ แต่ตอนนี้มันได้กลับมาอยู่บนใบหน้าของชายหนุ่มที่เย็นชาคนนั้นอีกครั้ง เพียงเพราะเด็กหนุ่มที่กลับมาหา
“ดูท่าทางมิราอิจะดีใจจนออกนอกหน้านะ” ซาคุโระพูดขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มๆ เธอเองก็ชอบภาพที่อบอุ่นแบบนี้เหมือนกัน
“คงจะเป็นครั้งแรกที่รู้คุณค่าของสิ่งสำคัญ”
“ครั้งแรก…”
ความคิดของชายหนุ่มหลุดลอยนึกไปเห็นภาพในอดีต นานจนจำไม่ได้กับเสียงหัวเราะครั้งสุดท้ายของชายหนุ่มผู้ร่าเริงยิ้มแย้มและอบอุ่นก่อนที่จะกลับกลายเป็นคนเย็นชาอยู่ลึกๆ มันช่างเป็นภาพที่เจ็บปวด เสมือนเข็มที่ทิ่มแทงหัวใจให้เจ็บอยู่ตลอดเวลา
สติของโฮโนโอะกลับมาทันทีที่เห็นหน้าหญิงสาวโผล่เข้ามาจับจ้องอยู่เพียงคืบ ตอนนี้เขานอนหงายส่วนเธอก็ขึ้นนั่งคร่อมแถมยังบีบคอเขาเอาไว้ด้วย และใบหน้าที่ใกล้กันเพียงคืบสองคืบนี้ชักทำให้ใจเต้นรัว แถมเจ้าหล่อนยังทำเฉยเมยไม่สนใจ ถ้าไม่ทำอะไรซักอย่างมีหวังหัวใจได้แหกอกออกมาตากลมข้างนอกแน่
“ว่าแต่ เมื่อไหร่เจ้าจะลงไปจากหลังข้า หนักนะยายอ้วน!”
“วะ ว่าไงนะ!”
คำพูดของชายหนุ่มทำให้ความเดือดพล่านของซาคุโระกลับมาทวีความรุนแรงอีกหน เธอบีบคอ ดึงหู ทุบอก บิดจมูก และสารพัดวิธีที่จะทำได้
“บอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าไม่ใช่ ถอนคำพูดซะ!”
“โอ๊ยยย!!”
เสียงร้องของชายหนุ่มดังก้องกังวานเรียกสายตาสองคู่ให้หันกลับมามอง ฟุยูกิและมิราอิหยุดชะงักและหันกลับมาหาพี่ชายตัวเองที่ถูกหญิงสาวทรมานอยู่อย่างไร้ปราณี น่าแปลกที่พี่ชายของเขาสองคนไม่มีท่าทีว่าจะตอบโต้เลย
ห่างออกมาไกลจากกลุ่มคนที่กำลังโวยวายอยู่หลายสิบเมตร ที่ต้นไม้สีดำต้นใหญ่ต้นเดิม ดวงตาสีทองทอดมองไปยังกลุ่มคนที่กำลังหัวเราะครึกครื้นอยู่กลางทุ่งหญ้า แสงสีทองระยิบระยับก่อรูปร่างเป็นเด็กน้อยร่างเลือนรางนั่งอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่
“การเดินทางต่อจากนี้คงจะไม่ราบรื่นอย่างที่คิดแล้วล่ะนะ เหล่าทายาทแห่งราชันย์”
สิ้นสุดน้ำเสียงเล็กๆ ร่างเด็กน้อยที่เลือนรางนั้นก็ค่อยกลายเป็นละอองสีทองล่องลอยไปพร้อมกับธาตุอากาศจนหมดสิ้น ก่อนที่สายตาของใครบางคนจะหันกลับมามองเพราะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกแปลกประหลาด
“มีอะไรเหรอ ฟุยูกิ”
“ไม่มีอะไรขอรับ”
ฟุยูกิตอบเสียงแผ่ว แต่มีบางอย่างที่กระตุ้นให้เขาหันกลับไปมองอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ แต่สายตาก็พบพานเพียงความว่างเปล่า มีเพียงต้นไม้ประหลาดสีดำขนาดใหญ่และโขดหินที่เขาได้พักพิงเมื่อตอนที่หลับอยู่ก่อนหน้านั้นเท่านั้นเอง
มิราอิมองน้องชายอยู่เงียบๆ รู้สึกคลางแคลงใจอยู่ตั้งแต่ที่พบกัน น้องชายของเขาออกมาจากป่ามรณะนั่นได้ยังไง ก้อนหินใหญ่ใต้ต้นไม้ที่เห็นอยู่ลิบลิ่ว ยิ่งมองก็ยิ่งอยากรู้ว่าที่ตรงนั้นมีอะไรอยู่นอกจากต้นไม้กับโขดหินธรรมดาๆ
...............................................
ต้นไม้สูงใหญ่สีดำราวกับไร้ชีวิต แสงสีทองอร่ามส่องประกายระยิบระยับปรากฏร่างของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆขึ้นรางๆ บนโขดหินใหญ่ใต้ต้นไม้ที่มีร่างโปร่งบางของเด็กหนุ่มนอนราบอยู่ไม่ไหวติง
“สามคนที่เหลือดูท่าจะกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้สินะ แต่ว่า…จะมีชีวิตรอดจากป่ามรณะนั่นรึเปล่าก็คงต้องวัดดวงกันหน่อยแล้วล่ะ”
เด็กหญิงปริศนาที่มีร่างกายสีทองเอื้อนเอ่ยพร้อมกับทอดสายตามองไปยังป่าสีดำที่อยู่ไกลโพ้น ก่อนที่จะลดสายตาลงต่ำมองเจ้าของร่างโปร่งที่นอนราบอยู่ใกล้ๆ
“พวกเขาต้องมาหาท่านแน่ เพราะฉะนั้นจงหลับต่อไปอีกสักพักเถอะนะ ท่านฟุยูกิ”
ริมฝีปากบางเรียวเล็กขยับเล็กน้อยเอ่ยชื่อของเด็กหนุ่มที่หลับใหลอยู่ตรงหน้า ก่อนที่ร่างกายอันเลือนรางนั้นจะกลับกลายเป็นละอองแสงและค่อยๆจางหายไปกับธาตุอากาศ
ภายในป่าที่แสนจะมืดดำ ทั้งโฮโนโอะและมิราอิคอยปกป้องซาคุโระจากพวกปีศาจที่เริ่มจะโผล่ออกมาทีละตัวสองตัว
“เป็นอะไรรึเปล่าทั้งสองคน”
“แฮ่กๆๆ…ถามโง่ๆ แค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอกน่า”
“พูดอะไรน่ะ! สะบักสะบอมขนาดนั้น…”
“เดินต่อไปได้แล้ว”
ชายหนุ่มพูดตัดบทโดยพลันพร้อมกับเดินนำหน้าไปอย่างไม่สนใจ ซาคุโระไม่อยากไถ่ถามอีกและได้เพียงเดินตามไปเงียบๆพลางจับจ้องแผ่นหลังกว้างของคนที่เดินนำหน้าอยู่อย่างท้อใจ
เธอมันช่างอ่อนแอเป็นภาระให้คนอื่นต้องเหนื่อยอยู่เรื่อย…
ยิ่งคิดก็ยิ่งสมเพชตัวเอง และทำให้หมดกำลังที่จะก้าวเดินต่อไปเสียดื้อๆ ในระหว่างนั้นก็รู้สึกเหมือนมีมืออุ่นๆเข้ามาสัมผัสไหล่อย่างหนักหน่วงพอที่จะให้สติของกลับมา
“แค่คนปากแข็ง อย่าไปถือสาเลยขอรับ”
ซาคุโระหันกลับไปมองเจ้าของมืออุ่นๆที่วางทาบกับไหล่ตัวเอง มิราอิยิ้มให้แผ่วบาง สภาพของเขาก็สะบักสะบอมไม่ได้ต่างไปจากโฮโนโอะเท่าไหร่นัก แต่เขาก็ยังมีรอยยิ้มออกมาพอให้หายหดหู่ได้บ้าง ชายหนุ่มผลักหลังเธอเบาๆให้เดินไปข้างหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซาคุโระเริ่มรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับเดินไปข้างหน้าตามแรงผลักอย่างไม่ขัดขืน
พอมองจนแน่ใจว่าหญิงสาวได้เดินไปชิดกับหลังของพี่ชายเรียบร้อยแล้ว มิราอิก็ลดฝีเท้าและหลับตาท่องคาถาเวทมนตร์เบาๆ
“ประตูแห่งสรวงสวรรค์จงเปิดออก เนตรสวรรค์ของข้าจงเบิกกว้าง”
พอจบคำพูดเพียงไม่กี่คำมิราอิก็ลืมตาขึ้นช้าๆ บัดนี้ดวงตาของเขาได้กลายเป็นสีขาวไร้ซึ่งประกายและสิ่งสะท้อนใดๆ ชายหนุ่มกวาดสายตาไปรอบๆทั้งบนฟ้าและพื้นดินที่พวกเขากำลังเหยียบย่ำ และสิ่งที่มองเห็นผ่านม่านตาสีขาวนั้นก็ทำให้เขาหยุดชะงักไปทันที
รอบกายไม่ใช่ป่าอย่างที่เห็น แต่กลับเป็นปีศาจที่อำพลางร่างกายของมันไว้ไม่ให้คนธรรมดามองเห็น ทั้งพื้นดินและบนฟ้าสีดำนั่น ร่างที่แท้จริงของมันคือปีศาจที่บินฉวัดเฉวียนไปมาจนเกิดพายุสลาตัน
“พวกมันคงไม่ได้เอาฟุยูกิไปหรอกนะ”
มิราอิพึมพำอย่างหวาดหวั่น หากน้องชายคนเล็กของเขาถูกปีศาจเอาตัวไปละก็ เขาจะไม่มีทางยกโทษให้ตัวเองเลยตลอดชีวิต ระหว่างนั้นสายตาก็เหลือบไปมองใต้ฝ่าเท้าที่กำลังเหยียบย่ำ ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูงทันทีที่รู้ว่าตัวเองได้ยืนอยู่บนเมือกสีแดงก่ำ และพอมองไปยังพี่ชายของตนและหญิงสาวที่เดินนำหน้า เขาก็ต้องรีบสาวเท้าตามอย่างไม่ยั้งรอ
“แย่แล้ว! ทั้งสองคนหมอบลงเร็วเข้า!”
“มีอะไรเหรอ”
“ไม่มีเวลาแล้ว! บอกให้หมอบก็หมอบสิ!”
มิราอิพุ่งตัวเข้ามาผลักซาคุโระให้ล้มไปกองกับพื้นและคร่อมไว้ ในขณะที่โฮโนโอะเอียงคอหลบสิ่งที่พุ่งเข้ามาได้อย่างเฉียดฉิว
ฉัวะ!
“อึก! อะไรกันเนี่ย”
โฮโนโอะสบถขึ้นอย่างใจหาย เมื่อรู้ว่าตัวเองหลบไม่พ้นสิ่งที่พุ่งเข้ามา มือเรียวยาวยกขึ้นลูบไปบนแก้มเนื้อเนียนที่รู้สึกเจ็บ แก้มเนียนสีเข้มถูกของมีคมบาดเข้าเป็นแนวยาวเกือบถึงใบหู เลือดไหลซิบออกมาตามบาดแผล
“มันเกิดอะไรขึ้น”
“ที่นี่น่ะ ในป่านี้น่ะ เป็นปีศาจ”
“ว่ายังไงนะ!”
“บนฟ้านั่นเป็นปีศาจ คนที่กระชากฟุยูกิไปจากข้าก็คือพวกมันแน่!”
มิราอิพูดขึ้นอย่างเคียดแค้นพร้อมทั้งแหงนมองบนฟ้า โฮโนโอะมองไม่เห็นแต่ก็ไม่ยากถ้าอยากเห็น ชายหนุ่มหลับตาลงและร่ายเวทอักขระที่ต่างจากน้องชายนิดหน่อย
“เปลวเพลิงแห่งขุมนรกจงลุกโชน จงเบิกกว้าง….เนตรสีเพลิง”
เมื่อท่องคาถาจบชายหนุ่มก็ลืมตาโพลงและแหงนมองขึ้นไปบนฟ้าทางทิศที่น้องชายได้บอก บัดนี้ดวงตาของชายหนุ่มกลายเป็นสีแดงดุจเพลิงที่ลุกโชติช่วงและร้อนรุ่ม
“อย่างนี้เองเหรอ ฟุยูกิถูกเจ้าพวกนั้นกระชากไปงั้นเหรอ”
“ไม่แน่ใจ แต่ก็ไม่มีสิ่งอื่นนอกจากพวกมัน”
“อย่างนั้นเหรอ”
โฮโนโอะกำมือแน่นจนสั่น สิ่งที่เขาได้เห็นผ่านดวงตาสีเพลิงนั้น มันช่างโหดร้ายและน่าแค้นเคืองที่ไม่เอะใจตั้งแต่แรก แต่สิ่งที่โฮโนโอะและมิราอิมองเห็น ซาคุโระไม่สามารถที่จะมองเห็นได้ หญิงสาวงุนงงกับเสียงพึมพำของชายหนุ่มทั้งสองจนเก็บเอาไว้ในใจไม่ไหว
“นี่ พวกนายมองดูอะไรกัน มีเรื่องอะไรเหรอ”
“ท่านซาคุโระ”
“อะไรเหรอ”
หญิงสาวเอียงคอเพื่อรอฟังคำตอบจากชายหนุ่ม แต่พอพวกเขาทั้งสองหันมาเผชิญหน้าเธอก็ชะงักไปทันที ดวงตาที่เธอคุ้นเคยได้หายไปจนหมดสิ้น ถึงกับทำให้เธอสั่นสะท้านเพราะความหวาดกลัวที่ผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
“อย่าตกใจไปเลยขอรับ ท่านซาคุโระ นี่เป็นเวทมนตร์ของพวกเรา”
มิราอิรีบชี้แจง แต่หญิงสาวก็ไม่เชื่อทั้งหมดและยังตั้งคำถามต่อไปอย่างข้องใจ
“ถะ ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ ทะ ทำไมต้องใช้เวทมนตร์ด้วยล่ะ”
“เพราะว่าจะได้เห็นพวกที่ลอบกัดพวกเราได้ชัดๆไงล่ะ”
มิราอิเอ่ยเสียงเข้มพลางหันกลับไปมองที่เดิม และไม่ทันที่ซาคุโระจะหายตกใจ ตัวการใหญ่จะเริ่มปรากฏตัวออกมาให้เห็นซะแล้ว
‘รู้ตัวจนได้สินะ ช่างฉลาดปราดเปรื่องเสียจริง’
“เสียงใคร”
“ออกมา! ไม่อย่างนั้นข้าจะทำให้เจ้าออกมาเอง”
ทั้งโฮโนโอะและมิราอิจับจ้องไปทางทิศเดียวกัน ตรงหน้าคือเส้นทางที่พวกเขาจะต้องเดินผ่าน เกิดเป็นเงาสีเดียวกับความมืดมัวของป่าได้ขยับเขยื้อนเข้ามาใกล้พวกเขาเรื่อยๆ ซาคุโระมองเห็นแค่เงารางๆ ผิดกับโฮโนโอะและมิราอิที่เห็นมันผ่านม่านตาเวทมนตร์เป็นรูปร่างปีศาจแมงมุมอัปลักษณ์ชัดเจน
“อะไรน่ะ เงาสีดำนั่น มันคืออะไรกัน”
‘เห็นข้าด้วยรึ แต่น่าเสียดายที่พวกเจ้าจะไม่ได้ออกไปจากที่นี่’
“ชิ แค่จัดการกับแมงมุมที่ขวางทางอยู่นี่ก็จบใช่ไหมล่ะ”
แล้วมิราอิก็พุ่งเข้าไปหาปีศาจแมงมุมเจ้าเล่ห์แสนอัปลักษณ์นั่นทันที โดยไม่ทันคิดว่านั่นอาจจะเป็นกับดักหรือหลุมพลางสำหรับดักเหยื่อ
‘เข้ามาแล้วรึ เข้ามาเลย หึๆๆ’
“มิราอิ อย่าเข้าไปนะ!”โฮโนโอะฉุกใจคิดและรีบร้องห้ามแต่รู้สึกว่ามันสายไปเสียแล้ว
“แย่แล้ว!!”
เหล่าปีศาจที่สิงสู่อยู่ในป่าก็กรูเข้ามาล้อมมิราอิเอาไว้ ในชั่วพริบตาที่พวกมันปรากฏตัวมิราอิก็ไม่มีทางหลีกหนีแม้แต่น้อย แมงมุมเจ้าเล่ห์แสยะยิ้มอย่างพอใจก่อนที่จะออกคำสั่งลูกสมุนให้รุมชายหนุ่มที่อยู่ท่ามกลางวงล้อมของพวกมัน
‘จัดการมัน!’
“มิราอิ!”
“ชิ บ้าจริง!”
โฮโนโอะสบถออกมาอย่างหัวเสีย แต่ในขณะที่กำลังก้าวเท้าเข้าไปช่วยก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อมิราอิผู้ที่ถูกล้อมมีสีหน้านิ่งเฉยและกำลังรายเวทมนตร์ ชายหนุ่มยกแขนซ้ายขึ้นเหนือหัว ชึ้นิ้วขึ้นไปบนฟ้าเป็นสัญญาณของเวทมนตร์ที่จะใช้ โฮโนโอะรู้ดีว่าคืออะไร เขาไม่คิดที่จะเข้าไปเสี่ยงและยังต้องพาหญิงสาวที่ยืนนิ่งไม่รู้เรื่องอยู่ด้านหลังหลบออกไปให้พ้นจากวิถีทำลายนั่นด้วย
“เมฆเอ๋ยจงมืดดำ...ส่วนที่ลึกที่สุดของบรรยากาศ…ฟ้าเอ๋ยจงลงทัณฐ์โกรธเกรี้ยวให้เหมือนดั่งใจข้า!”
“หลบเร็วเข้า!”
“ว้าย!!!”
“อัศนีสายฟ้าฟาด!!”
ตูม!!
ทันทีที่ลั่นวาจาอันหนักแน่น แสงสว่างจ้าจนแสบตาก็ปรากฏทะลุผ่านเมฆหมอกและพายุหมุนบนท้องฟ้าลงมายังฝูงปีศาจที่รายล้อมอยู่อย่างบ้าคลั่ง นั่นคือสายฟ้าฟาดที่มิราอิเรียกมาด้วยความโกรธ พลังรุนแรงจนทำให้ทุกสิ่งมอดไหม้ออกไปเป็นบริเวณกว้าง ซาคุโระถูกโฮโนโอะฉุดกระชากออกมาจากวิถีทำลายแรงสั่นสะเทือนของผืนดินที่ถูกสายฟ้าฟาดทำให้เธอกลิ้งไปบนพื้นพร้อมกับเขา
“ไม่เป็นไรใช่ไหม”
เสียงกระซิบแผ่วเบาดังอยู่ข้างหู ซาคุโระเบิกตากว้างจับจ้องใบหน้าของชายหนุ่มที่คร่อมเธออยู่ แรงสั่นสะเทือนที่ตามมาเป็นระลอกทำให้ใบหน้าของเธอซุกเข้ากับอกของเขาโดยปริยาย และเป็นอีกครั้งที่เธอรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งดวงหน้า
โฮโนโอะยันกายลุกพร้อมทั้งฉุดแขนเธอให้ลุกตาม ซาคุโระมองสภาพของพื้นดินที่ยุบตัวลงมากกว่าครึ่งอย่างอึ้งๆ ไม่อยากเชื่อว่าคนที่ทำลายปีศาจนับร้อยได้ในชั่วพริบตาคือมิราอิที่ยืนอยู่ตรงนั้น แต่แทนที่ทุกอย่างจะเรียบร้อย โฮโนโอะกลับมีสีหน้าเคร่งเครียดเข้าไปอีก
“อยู่ที่นี่อย่าขยับไปไหนนะ”
“แต่ว่านาย…”
“อย่าถามมาก!”
“เฮือกกกกกก!!!!”
ซาคุโระจ้องตาสีเพลิงที่หันมาหา เพียงเสี้ยวนาทีเธอก็รู้สึกเหมือนถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยสิ่งที่มองไม่เห็น ดวงตาที่เปล่งประกายสุกใสเมื่อครู่ไม่มีอีกแล้ว เพราะมันได้เปลี่ยนเป็นความว่างเปล่าเหมือนวังวนที่ไร้ทางมองเห็น
ร่างของหญิงสาวทรุดฮวบลงสู่อ้อมแขนที่รอรับ โฮโนโอะวางร่างที่แน่นิ่งของหญิงสาวเอาไว้กับผิวขรุขระของต้นไม้ก่อนที่จะพุ่งเข้าไปหามิราอิที่ยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางชิ้นส่วนแขนขาและซากของปีศาจที่ถูกสายฟ้าทำลาย ชายหนุ่มรู้ดีถึงพลังของน้องชาย หากว่าปล่อยพลังออกมามากจนเกินขีดจำกัด ร่างของมิราอิก็จะเหมือนถูกทับด้วยภูเขาร้อยลูกทำให้เขาขยับตัวไม่ได้ชั่วคราว ซึ่งโอกาสดีๆอย่างนี้มีหรือที่ปีศาจจะปล่อยให้หลุดลอยไปง่ายๆ
‘เป็นอะไรไป หมดแล้วรึ ไอ้เวทมนตร์ประหลาดของเจ้าน่ะ เจ้าหนู’
“หนวกหูน่ะ”
‘ฮี่ๆๆ ดูท่าทางจะขยับไม่ได้สินะ อ้า~หิวจัง ไม่ได้กินอะไรมาเป็นปีแล้ว จงมาเป็นเหยื่อโอชะของข้าเสียเถอะ!’
จบคำพูดของปีศาจแมงมุม เส้นใยสีดำก็เลื้อยขึ้นมาพันธนาการแขนขาของมิราอิช้าๆ ชายหนุ่มทำอะไรไม่ได้นอกจากขบกรามอย่างแค้นเคือง ดวงตาสีขาวบริสุทธิ์ฉายแววความเหี้ยมเกรียมจับจ้องปีศาจพร้อมทั้งข้อกังขาที่อยากรู้มานาน
“ข้ามีเรื่องอยากจะถาม”
‘อะไรล่ะ หากเจ้าถามมาข้าจะยอมตอบให้ก็ได้ ถือว่าเป็นคำสั่งเสียก่อนตายละกัน’
“ข้อแรก…ที่นี่คือที่ไหน”
‘หึๆๆ ถามได้ดี เอาเถอะ จะบอกให้ก็ได้ ที่นี่คือป่ามรณะยังไงล่ะ!’
คำตอบเย็นเยียบชวนให้เสียวสันหลัง แต่ก็ยิ่งทำให้มิราอิจ้องปีศาจแมงมุมเขม็ง ก่อนที่จะต่อด้วยคำถามที่อยากรู้คำตอบที่สุด
“ข้อสุดท้าย เจ้าได้กินมนุษย์ที่หน้าตาเหมือนพวกเราเข้าไปรึเปล่า”
‘มนุษย์รึ’
“เด็กผู้ชาย ผมสีเงิน”
มิราอิอธิบายลักษณะโดดเด่นของฟุยูกิไปคร่าวๆ และคิดหวังไว้ลึกๆว่าจะไม่ได้ยินคำตอบที่ทำให้เขาและโฮโนโอะต้องใจหายขาดช่วง
“ว่ายังไง เจ้าได้กินน้องชายของข้าเข้าไปรึเปล่า!”
‘อ้อ! เจ้าเด็กผมสีเงินนั่นเป็นน้องชายเจ้ารึ…อย่างนี้นี่เอง’
ปีศาจแมงมุมพยักหน้าทำท่าทำทางเหมือนเข้าใจทุกอย่าง มิราอิยิ่งกำมือแน่นจนสั่นกึก ในใจตอนนี้คิดไปถึงฟุยูกิเพียงคนเดียว หากว่าปีศาจตนนี้รู้จักใบหน้าค่าตาของเด็กหนุ่มแล้วล่ะก็ ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน
“น้องชายข้า อยู่ที่ไหน”
‘บอกให้โง่รึ ยังไงๆพวกเจ้าก็ต้องตายกันให้หมดนั่นแหล่ะ เอาไว้ไปหากันในนรกเถอะ ฮ่าๆๆขอกินเจ้าเป็นคนแรกล่ะนะ!’
ว่าแล้วเขี้ยวแหลมคมที่อาบโชกไปด้วยน้ำลายก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของปีศาจแมงมุม พร้อมทั้งเส้นใยสีดำของมันที่กำลังดึงร่างมิราอิเข้าไปใกล้เรื่อยๆ มิราอิขยับตัวไม่ได้และหมดหนทางต่อต้านพละกำลังที่เหนือกว่า ใยแมงมุมที่เหนียวแน่นพันธนาการแขนขาจนไม่สามารถที่จะทนทานแรงฉุดกระชากให้เข้าไปหาเขี้ยวแหลมคมอันน่าขยะแขยงนั้นได้ ยิ่งใกล้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งเห็นใบหน้าและรูปร่างอัปลักษณ์ของมันชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น ม่านตาสีขาวหรี่ลงอย่างเจ็บแค้น และในขณะนั้นเอง
“คมเขี้ยวของอสูรกายจากนรกจงปรากฏ! หัตถ์แห่งสวรรค์ทั้งเจ็ดจงโอบอุ้มร่างสีขาวที่ไร้ปีก!!!”
ฉัวะ!!!!
ควากกกกกกกก!!!!!
ทันทีที่ประโยคสุดท้ายดังก้องกังวานออกมา มิราอิก็รู้สึกเหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นฉุดกระชากออกจากใยแมงมุมอย่างรวดเร็วและลอยละลิ่วออกไปไกลจากปีศาจแมงมุมหลายเมตร พอตั้งสติและลุกขึ้นก็มองเห็นแผ่นหลังของพี่ชายที่ยืนเผชิญหน้ากับปีศาจ เขารู้ดีว่านี่คือพลังของโฮโนโอะเพราะคนที่ใช้วิชาเทพกึ่งมารได้มีเพียงเขาคนนี้คนเดียว
“ไม่เป็นไรนะ มิราอิ”
“หึ ข้าน่ะเหรอจะเป็นอะไร”
“อย่างนั้นเหรอ”
โฮโนโอะแสยะยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนที่จะหันไปจับจ้องปีศาจเจ้าเล่ห์ที่ร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บเพราะสูญเสียแขนขาไป
‘อ๊ากกก!!’
“ดูท่าจะเจ็บหนักนี่นะ”
ชายหนุ่มเยาะเย้ยซ้ำเติมกับภาพที่เห็นผ่านม่านตาสีแดงเพลิง
‘เจ้าทำกับข้าได้ขนาดนี้เชียวรึ เจ้าต้องตาย!’
ปีศาจแมงมุมกล่าวด้วยน้ำเสียงพยาบาท แต่ชายหนุ่มกลับนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้านกับคำพูดที่ได้ยินแต่อย่างใด มิราอิพยายามลุกขึ้น หลังจากขยับเนื้อตัวได้ก็เพ่งมองที่มือขวาของพี่ชายไม่วางตา เพลิงบรรลัยกัลป์รูปร่างคล้ายกรงเล็บของอสูรกายที่เรียกออกมาเพื่อช่วยเขาเมื่อครู่ยังไม่หายไป และยังคงลุกโชนดุจไฟนรกที่กำลังลุกไหม้อย่างบ้าคลั่ง
‘จะรุมรึ เข้ามาเลยเจ้าพวกขี้ขลาด!’
“ใครกันแน่ที่ขี้ขลาด ถ้าไม่บอกว่าน้องชายข้าอยู่ที่ไหนล่ะก็ เจ้าได้แหลกเป็นผงแน่”
สิ้นเสียงเย็นเยียบของโฮโนโอะ กรงเล็บสีเพลิงของเขาก็ยื่นยาวออกมาจรดที่หน้าผากของปีศาจพร้อมกับเพลิงที่ห่อหุ้มที่พร้อมจะระเบิดออกมาทุกเมื่อ
“บอกมาว่าฟุยูกิอยู่ที่ไหน!”
‘บะ บอกแล้วจ้ะ บอกแล้ว’
“อยู่ที่ไหน!!~” ชายหนุ่มทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกันด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
‘เอ่อ คือว่า…’
แมงมุมเจ้าเล่ห์ลนลานหาทางรอด และในที่สุดมันก็เจอ เพียงเสี้ยวนาทีที่ชายหนุ่มทั้งสองรอคำตอบ มันก็เหวี่ยงตัวเข้าไปหาซาคุโระที่หมดสติอยู่ไม่ไกลและรีบจับเธอเป็นเครื่องมือต่อรอง
‘ฮ่าๆๆ! บอกไปพวกเจ้าก็ต้องฆ่าข้าอยู่ดี หลีกทางไปซะ ไม่อย่างนั้นนังผู้หญิงคนนี้ต้องตาย!’
เสียงที่ดังกึกก้องผสมปนเปไปด้วยความหวาดกลัวอยู่ลึกๆ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายมีอาการตกใจแต่อย่างใด โฮโนโอะนิ่งเฉยไม่มีท่าทีกดดันอะไร ยิ่งมิราอิด้วยแล้วก็ยิ่งไร้อารมณ์ใดๆบนใบหน้า
‘มะ ไม่ตกใจรึ ทำไม ชีวิตของเด็กนี่ไม่มีความสำคัญหรอกรึ!’
ปีศาจแมงมุมเอ่ยถามอย่างร้อนรน พร้อมทั้งจี้ปลายเล็บเข้าที่ลำคอระหงของหญิงสาว สายตาของโฮโนโอะเริ่มแข็งกร้าว ฉายแววความโกรธขึ้นมาทันที
‘ดีล่ะ มันไม่สำคัญใช่ไหม’
“สำคัญสิ สำคัญมากกว่าชีวิตของข้าด้วยซ้ำ”
‘ว่าไงนะ! แล้วทำไมยังนิ่งเฉยได้อีก นางเด็กนี่จะเป็นยังไงก็ช่างสินะ’
“ถ้าเจ้าบังอาจล่วงเกินนางไปมากกว่านี้ล่ะก็ข้าไม่ให้อภัยแน่”
ชายหนุ่มคำรามอย่างโกรธแค้น ตรงข้ามกับสีหน้าท่าทางที่ดูเยือกเย็นผิดปกติ
‘ปากกล้าดีนี่ แต่ก็คงจะดีแต่พูดล่ะมั้ง ถ้าหากห่วงนักก็เข้ามาแย่งไปให้สิ’
“เสียเวลาเปล่า”
‘ว่าไงนะ อ๊ะ!’
ฉัวะ!
ทันทีที่มองเห็นรอยยิ้มผุดขึ้นมาบนใบหน้าของชายหนุ่ม แขนขาอีกสองข้างของปีศาจแมงมุมก็ขาดสะบั้นออกจากร่างของมันอย่างน่าประหลาด
‘อ๊ากกกกกกกกก!! แขนของข้า ใคร ใครมันทำกับข้าอย่างนี้!’
“ข้าเอง”
น้ำเสียงเย็นเยียบยิ่งกว่าน้ำแข็งดังขึ้นใกล้ พอหันไปมองตามทิศทางนั้นก็ทำให้ปีศาจเจ้าเล่ห์ถึงกับหน้าหงายไปทันที
มิราอิเข้ามาประชิดอย่างเงียบงันและทำลายแขนขาของปีศาจแมงมุมถึงสองข้าง แต่ในมือกลับไร้ซึ่งอาวุธใดๆ ทำให้ปีศาจเจ้าเล่ห์ไม่อยากเชื่อว่าเป็นฝีมือของเขา และรีบหันมาใช้ขาขาที่เหลือปลิดลมหายใจของหญิงสาวทันที
“เจ้าลอบกัด! จงรับร่างไร้วิญญาณของนางไปเถอะ!”
“ทำได้ก็เอาสิ”
ในชั่วพริบตาที่ปีศาจแมงมุมใช้แขนขาที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียว เหวี่ยงร่างของซาคุโระขึ้นไปกลางอากาศเพื่อจะปลิดลมหายใจโดยกการใช้กรงเล็บแทงทะลุร่าง ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อดวงตาสีขาวของมิราอิเข้ามาประชิดกับตาของมันเพียงคืบ พร้อมกันนั้นแขนขาที่เหลือของมันก็ถูกของมีคมที่มองไม่เห็นตัดขาดลอยละลิ่วขึ้นเหนือหัว
ร่างอันบอบบางหล่นลงในอ้อมแขนที่อ้ารอรับได้อย่างพอดิบพอดี ดวงตาสีเพลิงจับจ้องใบหน้าคมปนหวานที่หลับตาพริ้มอยู่ในอ้อมแขนนั้นอย่างโล่งใจ ก่อนที่จะหันกลับไปจับจ้องปีศาจแมงมุมที่ตอนนี้เหลือเพียงตัวกลมๆกลิ้งไปมาบนพื้นเฉอะแฉะพร้อมกับเสียงร้องครวญครางของมัน
“อ๊า!! แขนขาของข้า เจ้าทำอะไรกับแขนขาของข้า!”
“เกะกะนักก็ช่วยตัดให้ไงเล่า ไม่ดีเหรอ”
“ไอ้เด็กไม่เจียมตัว ข้าจะฆ่าเจ้า!!!”
“อย่าพูดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้จะดีกว่า เจ้าหมดโอกาสแก้ตัวแล้ว และเจ้าก็ทำให้พวกข้าเสียเวลามามากพอแล้วด้วย”
มิราอิเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างเยือกเย็น พร้อมทั้งยกมือขึ้นเหนือหัวเหมือนเงื้อดาบจะฟาดฟันศัตรู
“ดะเดี๋ยวก่อน! ข้ามีเรื่องของน้องชายเจ้าจะบอก”
“มันสายไปแล้วล่ะ”
“มะ ไม่นะ! ไว้ชีวิตข้าด้วยเถอะ!”
“เพื่อให้เจ้ามาฆ่าพวกเราอีกเหรอ”
“อ๋า!! เอ่อคือ…”
“พอกันที สำหรับปีศาจเจ้าเล่ห์หลอกลวงอย่างเจ้า ไม่สมควรจะมาร้องขอชีวิตหรอก!”
“อ๊ากก!! ม่ายยยยยยย!!!”
ฉัวะ!
ควากกกกก!!!
เพียงเสี้ยวนาทีที่มิราอิตวัดมือและทิ้งแขนลงมาไว้ข้างลำตัว ร่างของปีศาจแมงมุมก็ถูกผ่าจนฉีกออกเป็นสองส่วน แต่ไม่มีร่องรอยของอาวุธชิ้นใดในมือของชายหนุ่ม เพราะของมีคมชนิดนี้ไร้ซึ่งตัวตนและมีเพียงเขาเท่านั้นที่ใช้ได้
ชายหนุ่มมองร่างที่ฉีกขาดผ่านม่านตาสีขาวอย่างเยือกเย็นพร้อมกับเสียงพึมพำที่ดังออกมาผสมกับเสียงลมที่พัดผ่าน
“จบกันที”
“หาทางไปต่อกันเถอะ”
โฮโนโอะแทรกขึ้นพลางเดินนำหน้าออกไปพร้อมๆกับร่างบางที่อยู่ในอ้อมแขนโดยไม่ปริปากพูดอะไร สิ่งที่ช่วยทำให้มองเห็นเส้นทางก็คงมีแค่ดวงตาสีเพลิงของเขาเท่านั้น มิราอิเดินตามหลังอยู่ห่างๆ พร้อมกันนั้นก็มองดูมือของตัวเองด้วยสายตาที่เหมือนจะคิดถึงอะไรบางอย่าง แต่พอสักพักเสียงโฮโนโอะก็ทำให้เขาชะงักกำมือแน่น
“ยังไม่เลิกโทษตัวเองอีกเหรอ”
“ข้า…”
“ไม่สมกับเป็นเจ้าเลยนะ มิราอิ”
โฮโนโอะหยุดฝีเท้าและไม่หันมามองผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหลัง มิราอิชะงักและได้แต่หลบหน้าอย่างละอาย ความเงียบได้เข้ามาเยือนอีกครั้ง
“เจ้าคงไม่รู้ว่าเจ้ามีความสำคัญมากแค่ไหน”
“….!”
“ไม่ว่าใครก็มีความทรงจำที่เจ็บปวดกันทั้งนั้น หากคิดถึงแต่อดีตก็คงไม่มีทางจะก้าวไปข้างหน้าได้ อย่าลืมข้อนี้ซะล่ะ”
เหมือนเป็นการย้ำเตือนถึงอดีตที่ทำยังไงก็ลืมไม่ลง อดีตที่อยากหนีมันไปให้ไกลแต่ก็ทำไม่ได้ แต่ถึงยังไงก็ไม่อยากได้ยินคำพูดที่เหมือนบทเทศนาน่ารำคาญ
“ข้ารู้น่า ไม่ต้องมาสอนข้าให้มากนักก็ได้”
“อย่างนั้นเหรอ”
ครืนนนน~….
“อะไรกันอีกล่ะเนี่ย”
“แย่แล้ว รีบวิ่งเร็วเข้า!”
แรงสั่นสะเทือนทำให้ผืนป่าทั้งหมดเริ่มยุบตัวไล่ตามหลังของพวกเขาและเข้ามาประชิดอย่างรวดเร็ว ทั้งสองวิ่งออกมาไม่นานนักก็พบกับแสงสว่างริบหรี่ที่เพิ่งปรากฏให้เห็นอยู่ตรงหน้า
“เจอแล้ว นั่นทางออก”
“เร็วเข้า!!”
ตูม!!
“อะไร”
“อันตราย!!”
โฮโนโอะร้องลั่นพร้อมทั้งเข้ามาผลักมิราอิออกจากวิถีระเบิดที่ปะทุขึ้นต่อหน้า พื้นดินที่ระเบิดขึ้นขวางทางนั้นไม่ใช่อะไรนอกจากปีศาจร่างยักษ์ที่โผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน และมันก็เข้าโจมตีเป้าหมายทันทีอย่างบ้าคลั่ง
‘ไม่ให้ใครหนีออกไปได้หรอกน่า!!!’
“ท่านพี่!”
มิราอิร้องเรียกพยายามเอื้อมมือไปไขว่คว้าร่างของโฮโนโอะที่ถูกกระชากลอยขึ้นกลางอากาศ แต่กลับคว้าได้เพียงซาคุโระที่โฮโนโอะโยนลงมาให้
“รีบออกไปซะ!”
“แต่ว่า…”
“ไม่ต้องเถียง! เร็วเข้า!”
โฮโนโอะตะคอกเสียงดุ มิราอิไม่มีทางเลือกนอกจากจะทำตามคำสั่งที่เด็ดขาดของพี่ชาย ชายหนุ่มกระชับร่างของหญิงสาวเอาไว้แนบอกและรีบวิ่งออกไปยังทางออกที่อยู่ไม่ไกล แต่ก่อนที่จะก้าวเท้าพ้นจากอาณาเขตของป่า แรงระเบิดพลังมหาศาลก็ปะทุขึ้นและอัดกระแทกพวกเขาอย่างแรง ร่างของชายหนุ่มทั้งสองลอยละลิ่วออกไปจากป่ามรณะที่กำลังพังทลายลงสู่ใต้ผืนดิน
ตุ้บ!
พลั่ก!!
เสียงแผ่นหลังกำยำกระแทกพื้นหญ้าที่รองรับอย่างแรง ที่ๆพวกเขาอยู่ตอนนี้ไม่หลงเหลือเศษเสี้ยวของป่ามรณะสีดำนั่นอีกแล้ว
“แฮ่กๆๆ…ออกมาได้แล้ว”
“เกือบไปแล้วไหมล่ะ หึ”
โฮโนโอะเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มๆนึกขำในความมุทะลุของตัวเอง แต่เพียงไม่นานเขาก็ต้องหยุดชะงักเมื่อรู้สึกว่าขาดใครบางคนไป
“ว่าแต่ ท่านซาคุโระ…ท่านซาคุโระ!!”
“มิราอิ เจ้า!!”
“ข้าเปล่านะ! แรงระเบิดขนาดนั้น เอ่อ…”
โฮโนโอะลุกพรวดด้วยความตกใจพลางหันกลับไปมองทางป่ามรณะที่จมหายไปจนหมดสิ้น หัวใจกระตุกวูบเหมือนมีใครเอามีดมาเฉือน แต่ในขณะนั้นเองเสียงกรีดร้องจนแสบแก้วหูก็ดังก้องกังวานมาจากบนฟ้า ก่อนที่เจ้าของเสียงนั่นจะหล่นลงมาทับจนทำให้ล้มลงไปกองกับพื้นอีกหน
“กรี๊ดดดดด!!!”
“เฮ้ย!!”
พลั่ก!
โครมมมม!!
“อูย~เจ็บ เอ๊ะ! ไม่เจ็บเลยแฮะ”
ซาคุโระโอดครวญกะพริบตาปริบๆ ยังตกใจไม่หายที่จู่ๆก็ลืมตาขึ้นมาและรู้ว่าตัวเองลอยละล่องอยู่กลางอากาศ
“ทะ…ท่านซาคุโระ เป็นอะไรมากรึเปล่าขอรับ” เมื่อหันไปมองที่มาของเสียงก็พบกับมิราอิที่นั่งจมปุกอยู่ใกล้ๆและยิ้มแห้งๆเหมือนจะตกใจกับอะไรบางอย่าง
“ฉันไม่เป็นไรเลย แปลกแฮะ…”
“แต่ข้าเป็น~”
เสียงคำรามอู้อี้ดังขึ้น ซาคุโระเหลียวมองหาจนกระทั่งได้มาพบกับโฮโนโอะที่หมอบกระแตจมพื้นหญ้าก็ถึงบางอ้อทันที ที่แท้เบาะนุ่มๆที่รองรับร่างของเธอก็คือหลังของเขานี่เอง
“โฮโนโอะเองหรอกเหรอ”
“อื้อ~ลุกซะทีสิโว้ย! หายใจไม่ออก ยายผู้หญิงบ้าตัวหนักอย่างกับช้าง”
ซาคุโระตั้งใจจะลุกออกตั้งแต่ตอนแรกที่รู้ แต่พอได้ฟังประโยคสุดท้ายเธอก็เดือดปุดๆหน้าแดงก่ำ และเปลี่ยนใจไม่ลุกออก
“นายว่าใครหนักเหมือนช้างยะ!”
“หนวกหู ลุกเดี๋ยวนี้นะยายอ้วน!”
คำสุดท้ายเต็มสองรูหูที่กำลังมีควันพุ่งออกมาเหมือนรถจักรไอน้ำ กระทั่งมิราอิก็ยังต้องถอยออกไปเงียบๆ
“ถอนคำพูดซะตาบ้าลามกแอบมาอยู่ใต้บั้นท้ายผู้หญิง!”
“หนอย~ ก็แล้วตัวอะไรมันหล่นลงมาจากฟ้ามานั่งอยู่บนหัวข้าเนี่ย!”
คำพูดของโฮโนโอะทำเอาซาคุโระเดือดพล่าน เธอลุกขึ้นยืนและกระทืบเท้าข้างหนึ่งลงกลางหลังของเขาเสียแรงๆ ไม่ว่ายังไงเธอก็คงญาติดีกับเขายากยิ่งกว่าปีนเขาร้อยลูก
“นายกล้าดียังไงมาเปลียบฉันเป็นสัตว์!”
ปึ้ก!
“อ๊าก!...หลังข้า!”
โฮโนโอะร้องลั่นแต่หญิงสาวกลับไม่แยแสทั้งยังกลับไปนั่งลงบนหลังของเขาอีกหน และใช้กำปั้นเล็กๆแต่หนักหน่วงบดขมับทั้งสองข้างของเขาไปมา
“นี่ๆๆ! จะถอนคำพูดไหม ตัวฉันออกจะเบาปานนุ่นนายมีสิทธิ์อะไรมาว่าฉันตัวหนัก หา!”
“ก็มันหนักจริงๆนี่ ลุกเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นข้าจะอัดเจ้าให้กระเด็นออกไปนอกโลก!”
“กล้าเหรอ นายกล้าอัดฉันที่เป็นผู้พิทักษ์งั้นเหรอ!”
“ไม่สน! ไม่ว่าใครข้าก็อัดได้ทั้งนั้นล่ะ แล้วตอนนี้เจ้ามันก็แค่เด็กกะโปโลไม่รู้จักกาลเทสะ!”
“ว่าไงนะ!”
“อ๊าก!”
ซาคุโระออกแรงบดขยี้โดยไม่แยแสเสียงร้องของชายหนุ่ม มิราอิถอยห่างและรีบลุกเดินออกไปเพราะไม่อยากโดนลูกหลงอีกคน โดยที่มีเสียงสวรรค์ของพี่ชายร้องเรียกตามหลัง
“เฮ้ย!! จะไปไหนมิราอิ มาช่วยเอายัยบ้านี่ออกไปจากหลังข้าที!”
“ข้าไม่อยากโดนลูกหลงไปด้วยหรอกนะ….เดี๋ยวพอข้าอดใจไม่ไหวจะได้จุมพิตสาวงามเข้า”
มิราอิเอื้อนเอ่ยประโยคสุดท้ายด้วยสีหน้าทะเล้นอย่างแจ่มแจ้ง ซาคุโระเดือดปุดๆหันกลับมาระบายความอัดอั้นที่โฮโนโอะแทน ชายหนุ่มร้องเสียงหลงอย่างนึกเคืองเจ้าน้องชายปากเสียซะจริง
“ไม่ว่าหน้าไหนก็ไม่ต่างกันเลย!”
“แล้วทำไมต้องมาลงที่ข้าด้วย!”
“หนวกหู”
“อ๊ากกก!!”
“ฮะๆๆๆร้องเสียงดีนี่”
ระหว่างที่ทั้งสามกำลังครึกครื้นกันอยู่นั้น ใครคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหยุดอยู่ไม่ไกลพร้อมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ท่าทางสนุกกันจังเลย”
“เฮือก!!”
น้ำเสียงทุ้มหวานๆที่ทั้งนิ่งและเยือกเย็น ทำให้ทั้งสามคนที่กำลังวุ่นวายกันอยู่ถึงกับหยุดชะงักและหันมามองทางเดียวกัน สิ่งที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าแทบจะทำให้พวกเขาพูดไม่ออก มิราอิเดินโซซัดโซเซเข้ามาช้าๆพยายามเพ่งมองเด็กหนุ่มที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า
“จะ เจ้า….”
“ก็ข้ายังไงขอรับ ฟุยูกิ ทำไมต้องทำหน้าอย่างนั้นด้วย”
เด็กหนุ่มเอียงคอเอ่ยถามด้วยความสงสัยในท่าทางของพี่ชายที่เดินเข้ามาหา ไม่มีคำตอบจากพี่ชายทั้งสอง พักหนึ่งก็รู้สึกว่าถูกอุ้มจนปลิวว่อนไปตามแรงเหวี่ยง
พรึ่บ!!!
“เหวอออออ!” เด็กหนุ่มโพล่งขึ้นด้วยความตกใจแต่กลับได้รับการตอบสนองเพียงรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของพี่ชายที่เข้ามาอุ้ม ความดีใจพรั่งพรูออกมาจนต้านไม่อยู่ และแสดงออกมาอย่างไม่กลัวอาย
“อย่าหายไปแบบนี้อีกนะ รู้ไหม”
“ข้าขอโทษขอรับ ปล่อยข้าลงเถอะ”
โฮโนโฮะรู้ความหมายของท่าทางที่แสดงออกมา มันคือความรู้สึกที่ขาดหายมานาน เสียงหัวเราะชอบใจแบบนี้หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่อาจจำได้ แต่ตอนนี้มันได้กลับมาอยู่บนใบหน้าของชายหนุ่มที่เย็นชาคนนั้นอีกครั้ง เพียงเพราะเด็กหนุ่มที่กลับมาหา
“ดูท่าทางมิราอิจะดีใจจนออกนอกหน้านะ” ซาคุโระพูดขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มๆ เธอเองก็ชอบภาพที่อบอุ่นแบบนี้เหมือนกัน
“คงจะเป็นครั้งแรกที่รู้คุณค่าของสิ่งสำคัญ”
“ครั้งแรก…”
ความคิดของชายหนุ่มหลุดลอยนึกไปเห็นภาพในอดีต นานจนจำไม่ได้กับเสียงหัวเราะครั้งสุดท้ายของชายหนุ่มผู้ร่าเริงยิ้มแย้มและอบอุ่นก่อนที่จะกลับกลายเป็นคนเย็นชาอยู่ลึกๆ มันช่างเป็นภาพที่เจ็บปวด เสมือนเข็มที่ทิ่มแทงหัวใจให้เจ็บอยู่ตลอดเวลา
สติของโฮโนโอะกลับมาทันทีที่เห็นหน้าหญิงสาวโผล่เข้ามาจับจ้องอยู่เพียงคืบ ตอนนี้เขานอนหงายส่วนเธอก็ขึ้นนั่งคร่อมแถมยังบีบคอเขาเอาไว้ด้วย และใบหน้าที่ใกล้กันเพียงคืบสองคืบนี้ชักทำให้ใจเต้นรัว แถมเจ้าหล่อนยังทำเฉยเมยไม่สนใจ ถ้าไม่ทำอะไรซักอย่างมีหวังหัวใจได้แหกอกออกมาตากลมข้างนอกแน่
“ว่าแต่ เมื่อไหร่เจ้าจะลงไปจากหลังข้า หนักนะยายอ้วน!”
“วะ ว่าไงนะ!”
คำพูดของชายหนุ่มทำให้ความเดือดพล่านของซาคุโระกลับมาทวีความรุนแรงอีกหน เธอบีบคอ ดึงหู ทุบอก บิดจมูก และสารพัดวิธีที่จะทำได้
“บอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าไม่ใช่ ถอนคำพูดซะ!”
“โอ๊ยยย!!”
เสียงร้องของชายหนุ่มดังก้องกังวานเรียกสายตาสองคู่ให้หันกลับมามอง ฟุยูกิและมิราอิหยุดชะงักและหันกลับมาหาพี่ชายตัวเองที่ถูกหญิงสาวทรมานอยู่อย่างไร้ปราณี น่าแปลกที่พี่ชายของเขาสองคนไม่มีท่าทีว่าจะตอบโต้เลย
ห่างออกมาไกลจากกลุ่มคนที่กำลังโวยวายอยู่หลายสิบเมตร ที่ต้นไม้สีดำต้นใหญ่ต้นเดิม ดวงตาสีทองทอดมองไปยังกลุ่มคนที่กำลังหัวเราะครึกครื้นอยู่กลางทุ่งหญ้า แสงสีทองระยิบระยับก่อรูปร่างเป็นเด็กน้อยร่างเลือนรางนั่งอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่
“การเดินทางต่อจากนี้คงจะไม่ราบรื่นอย่างที่คิดแล้วล่ะนะ เหล่าทายาทแห่งราชันย์”
สิ้นสุดน้ำเสียงเล็กๆ ร่างเด็กน้อยที่เลือนรางนั้นก็ค่อยกลายเป็นละอองสีทองล่องลอยไปพร้อมกับธาตุอากาศจนหมดสิ้น ก่อนที่สายตาของใครบางคนจะหันกลับมามองเพราะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกแปลกประหลาด
“มีอะไรเหรอ ฟุยูกิ”
“ไม่มีอะไรขอรับ”
ฟุยูกิตอบเสียงแผ่ว แต่มีบางอย่างที่กระตุ้นให้เขาหันกลับไปมองอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ แต่สายตาก็พบพานเพียงความว่างเปล่า มีเพียงต้นไม้ประหลาดสีดำขนาดใหญ่และโขดหินที่เขาได้พักพิงเมื่อตอนที่หลับอยู่ก่อนหน้านั้นเท่านั้นเอง
มิราอิมองน้องชายอยู่เงียบๆ รู้สึกคลางแคลงใจอยู่ตั้งแต่ที่พบกัน น้องชายของเขาออกมาจากป่ามรณะนั่นได้ยังไง ก้อนหินใหญ่ใต้ต้นไม้ที่เห็นอยู่ลิบลิ่ว ยิ่งมองก็ยิ่งอยากรู้ว่าที่ตรงนั้นมีอะไรอยู่นอกจากต้นไม้กับโขดหินธรรมดาๆ
...............................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ