Tear of Snow เทพนิยายทะลุมิติ
8.1
เขียนโดย zusuran
วันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 21.12 น.
28 ตอน
0 วิจารณ์
28.14K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 เมษายน พ.ศ. 2562 13.53 น. โดย เจ้าของนิยาย
16) เงื่อนไขของยมทูต
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ตอน เงื่อนไขของยมทูต
ปลายสุดของหุบเขาอันวังเวงและไร้ซึ่งแสงตะวันที่สาดส่องเข้าถึง ภายในปราสาทสีดำที่มืดมิดยิ่งกว่า แสงจากไฟเวทมนตร์กับหินศิลาส่องสะท้อนให้เห็นเพียงเงาของจอมปีศาจที่กำลังไต่สวนการกระทำอันล่วงล้ำของเมด์
“เจ้ามีอะไรจะแก้ตัวไหม เมด์!”
“ไม่มีเจ้าค่ะ ท่านจอมมาร”
“แต่ข้ากำจัดเซนริกับสมุนคู่ใจของมันไปเรียบร้อยแล้ว แต่หากความใจร้อนของข้าทำให้ท่านไม่พอใจ ก็สุดแล้วแต่การตัดสินใจของท่านเถอะ”
เมด์เอ่ยขึ้นพร้อมก้มหน้ารับชะตากรรม ยูระไม่ปริปากเพราะไม่ใช่คนที่ชอบสอดรู้เรื่องราวคนอื่น ถึงแม้ว่าเมด์จะเป็นสมุนรับใช้ แต่หล่อนก็ไม่ได้สนใจตำแหน่งนั้นแม้แต่น้อย
“เจ้าว่ายังไง ยูระ”
“เรื่องนี้ข้าไม่ขอยุ่ง”
“เอางั้นก็ได้ จงสำนึกซะจวิหคดำ! ครั้งนี้ข้าจะไม่ถือโทษเจ้า เพราะอย่างน้อยเจ้าก็ช่วยกำจัดคนทรยศให้หายไป ข้าจะอภัยให้เจ้าก็ได้ แต่อย่าทำอะไรนอกเหนือคำสั่งของข้า จำเอาไว้!”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
“ไปได้แล้ว”
ร่างกายของเมด์สลายกลายเป็นม่านควันสีดำล่องลอยออกไปจากห้องโถงที่มืดมิด แต่ก่อนที่ยูระจะหายไปจอมปีศาจก็รั้งเธอให้หยุด
“เจ้าอยู่ก่อน ยูระ”
“ท่านมีอะไรกับข้างั้นรึ”
“ข้ามีงานสำคัญให้เจ้าทำ”
“งานสำคัญ?...”
“ข้าต้องการให้เจ้าเอาทายาทแห่งราชันย์มาให้ข้า”
“ทายาทแห่งราชันย์…คนไหน”
“ฟุยูกิ!”
ยูระไม่ตอบสนองนอกจากจ้องมองร่างที่ถูกผ้าผืนบางบดบังอยู่บนแท่นศิลา ก่อนจะหายไปโดยไม่พูดอะไร
หลังจากที่ไร้ซึ่งผู้คนผ้าผืนบางนั้นก็โบกสะบัดและเปิดออกให้เห็นร่างบางของหญิงงาม ผมยาวสลวยงดงามยิ่งกว่าอาภรณ์ใดในหล้ารับกับใบหน้าที่งามพริ้ง นามของเธอผู้นี้คือ คัยรีว!
คัยรีวเริ่มเขยื้อนกายลงจากแท่นศิลาและตรงไปยังอีกห้องที่ถูกปิดตายเอาไว้ ดั่งคุกเวทมนตร์ที่คุมขังบางอย่างเอาไว้ ทันทีที่เข้าไปในห้องนั้น แสงสว่างวูบวาบก็ปรากฏและประจักษ์ต่อหน้า ต้นกำเนิดของแสงนั้นคือวงแหวนกลมเกลี้ยงที่มีแสงเป็นประกายสุกสว่างดั่งพระจันทร์
“กี่ร้อยปีมาแล้วที่เจ้าต้องอยู่ในแก้วผลึกนี้”
ริมฝีปากสีแดงเอิบอิ่มเริ่มขยับและเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งปนท้อ ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลจ้องมองไปที่วงแหวนที่วางอยู่บนแท่นศิลาตรงหน้าท่ามกลางวงเวทสะกดพลัง เธอพยายามแตะต้องมันหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยสำเร็จ แม้จะเข้าไปใกล้เพียงคืบก็ไม่สามารถที่จะทำได้เลย
“อีกไม่นานหรอก ถ้าข้าได้ศาสตราของเทพกษัตริย์องค์อื่นๆมาจนครบเมื่อไหร่ เมื่อนั้นความปรารถนาของข้าก็จะเป็นจริง”
‘ฝันไปเถอะ’
น้ำเสียงใสๆแต่เย็นเยียบและมีพลังดังเข้ามาแทรก คัยรีวเหลือกตามองวงแหวนอย่างหงุดหงิด ดวงวิญญาณสุกสกาวล่องลอยอยู่รอบๆวงแหวนเหมือนกำลังปกป้องอันตรายรอบด้านที่จะเข้ามาหา
“ยังปากดีเหมือนเดิมนะ ถึงขนาดนี้ยังดื้อรั้นอยู่ได้ โคฮาคุ ซัทสึมิ!”
‘ไม่ว่ายังไงข้าก็ไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือของคนที่ละทิ้งจิตใจของเทพมาเป็นปีศาจเช่นเจ้าหรอก คัยรีว’
“หึ พูดได้ดี แต่ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เจ้าจะดูหมิ่นข้าได้ เพราะอีกไม่นานจะมีคนที่มากำหราบเจ้าแล้ว ถ้าหากยังดื้อรั้นไม่ยอมเชื่อฟัง ก็เตรียมตัวรับความทรมานได้เลย!”
‘เจ้าไม่มีทางสมหวัง เพราะอีกไม่นานเทพธิดาสีเงินก็จะมากำจัดเจ้า’
“งั้นรึ เทพธิดาสีเงิน หึ…ก็แค่เด็กที่เจ้านายของเจ้ายอมสละชีวิตชีวิตตัวเองเป็นภาชนะให้กำเนิดขึ้นมาเท่านั้น!”
‘โจคาไม่ใช่คนโง่เขลา เจ้าต่างหากที่โง่เขลา คัยรีวเอ๋ย เจ้ายอมละทิ้งตำแหน่งของเทพกษัตริย์ ทิ้งได้กระทั่งลูกแท้ๆที่เป็นสายเลือดของตัวเอง ใครกันแน่ที่โง่เขลา’
“หุบปาก!!!”
น้ำเสียงแข็งกร้าวดังก้องกังวานสะท้อนอยู่ในห้องอันคับแคบและมิดชิด ความโกรธของคัยรีวทำให้เกิดแรงกดดันทั่วทั้งปราสาทไปจนถึงหุบเขาที่กว้างใหญ่ไพศาล แต่ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถทำให้วิญญาณที่สิงสถิตในแหวนตรงหน้าสะท้านได้ เสียงหัวเราะเล็กๆของเด็กน้อยแรกรุ่นทำให้จอมปีศาจถึงกับขบกราม และทางเดียวที่จะทำได้ก็คือเดินหนีจากเสียงหัวเราะที่เย้ยหยันนั้น เพราะคำพูดของดวงวิญญาณที่สิงสถิตอยู่ในวงแหวนนามว่าซาทซึมิ ทำให้จิตใจของปีศาจที่เย็นชาและอำมหิตเกิดอ่อนระทวยลงอย่างสิ้นแรง
หลังจากจอมปีศาจได้จากไป ภายในห้องอันคับแคบและมืดมนก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง แสงสว่างสีนวลผ่องก็ปรากฏเป็นรูปร่างของเด็กสาวแรกรุ่นขึ้นใกล้ๆผลึกแก้ว ดวงตาสีฟ้าสดใสที่ถูกเส้นผมสีดำบดบังเอาไว้เกือบครึ่ง กลอกกลิ้งไปมาก่อนที่จะมาหยุดอยู่ที่วงแหวนที่ส่องประกายอยู่ในผลึกแก้วใส พร้อมกับคำพูดที่เหมือนจะเป็นการปลงตกและสมเพช
‘ไม่ว่ามนุษย์หรือเทพ แม้กระทั่งปีศาจผู้ยิ่งใหญ่คับฟ้าแค่ไหน ก็ต้องมีด้านที่อ่อนแอกันทั้งนั้น เจ้าเองก็เป็นหนึ่งในนั้น คัยรีว…เพียงแต่เจ้าไม่ยอมรับ ทิ้งอะไรก็ทิ้งได้เดี๋ยวก็ลืม แต่จิตใจของคนเป็นแม่เจ้าไม่สามารถที่จะละจากมันได้หรอก อา…นายคนใหม่ของข้า ในที่สุดก็จะได้พบกันแล้วสินะ มาหาข้าเร็วเข้าเถอะ มาปลดปล่อยข้า สายเลือดของโจคา ฟุยูกิ’
พูดจบร่างของเด็กสาวก็หายกลับเข้าไปในวงแหวนเหมือนเดิม ความเยือกเย็นและความวังเวงของหุบเขาที่ต้องคำสาปยังคงอยู่ ยิ่งเศร้ามันก็ยิ่งหดหู่ กระทั่งจอมปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ที่เชื่อว่าตัวเองแข็งแกร่งที่สุดก็ตาม
“ข้าหวั่นไหวงั้นรึ……น่าสมเพชจริงๆ”
ค่ำคืนอันแสนยาวนานและโศกเศร้าได้ผ่านพ้นไป ตะวันทอแสงพาดปลายหุบเขาขับไล่รัตติกาลให้พ้นผ่าน เปลือกตาคู่บางที่แสนหนักได้เปิดออกช้าๆพร้อมกับเสียงสะอื้นที่ยังหลงเหลือ ภาพแรกที่ประจักษ์ต่อสายตาคือท้องฟ้าสีเข้มที่ถูกย้อมด้วยสีทองของดวงอาทิตย์วันใหม่
“เช้าแล้วเหรอ”
“อึ้ก~…แค่กๆๆ~”
“อะ โฮโนโอะ!”
“ไม่….ไม่จริง ท่านแม่”
ซาคุโระยันกายลุกและพยายามพาร่างกายอันอ่อนล้าเข้าไปหาชายหนุ่มที่นอนกระสับกระส่ายอยู่ไม่ไกล ใบหน้าโฮโนโอะโซมด้วยเหงื่อที่ผุดพรายขึ้นมาเต็มใบหน้า เขากำลังฝันร้ายและคงจะเป็นฝันที่กี่ยวกับแม่ของเขาอย่างแน่นอน
“ท่านแม่…ท่านแม่ขอรับ”
“โฮโนโอะ...”
“แฮ่กๆ~… ท่านแม่รอข้าด้วย อย่าทิ้งข้าให้คนอื่น ท่านแม่…ท่านแม่!!!!!!”
“โฮโนโอะ!!!”
เพียะ! เพียะ!!!
ซาคุโระตบหน้าโฮโนโอะสองฉาดแรงๆ และมันก็ได้ผลเมื่อเขาลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“แฮ่กๆๆ~ ซะ ซาคุโระ!”
“นายเป็นอะไรไป!”
“ขะ ข้าเป็นอะไร นี่ข้าฝันงั้นเหรอ ข้า…ไม่ได้อยู่ในน้ำหรอกเหรอ”
“น้ำเหรอ พูดอะไร”
ยิ่งถามซาคุโระก็ยิ่งสงสัย โฮโนโอะไม่ต่างจากคนละเมอที่ยังไม่ตื่น ชายหนุ่มยันกายลุกนั่งและใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อบนใบหน้าอย่างลวกๆ ซาคุโระเอื้อมมือเข้าไปแตะไหล่เขาเบาๆและรู้สึกว่าเขายังสั่นสะท้านเหมือนกำลังหวาดกลัวอะไรซักอย่าง
“นายไม่เป็นไรนะ”
“อย่ามาแตะตัวข้า!”
“เอ๊ะ”
“มันร้อน”
“ขะ…ขอโทษ”
“ขอผ้าผืนนั้น คืนให้ข้าเถอะ”
ซาคุโระดึงผ้าที่คลุมไหล่ส่งคืนโฮโนโอะที่ยื่นมือเข้ามาขอ เธอจำได้ติดตาว่าเขาไม่เคยห่างจากผ้าผืนนี้เลย แต่ว่ามันมาอยู่ที่เธอได้ยังไง ทำไมความทรงจำบางส่วนหายไปเหลือเพียงความว่างเปล่า เธอจำได้เพียงใบหน้าของเนรีวและปีศาจหมาป่าเซนริพร้อมด้วยสมุนหน้าตาอัปลักษณ์ของเธอนามจากะ และหลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรหลงเหลือนอกจากความว่างเปล่า และพอลืมตาขึ้นมาก็ได้พบโฮโนโอะเท่านั้น
โฮโนโอะรีบคว้าผ้าไปจากมือเธอและซบหน้ากับผ้าผืนนั้น ไม่นานนักเสียงหายใจหอบถี่และอาการสั่นเทานั้นก็หายไปอย่างประหลาด ซาคุโระมองด้วยความสงสัย ผ้าผืนนั้นไร้ลวดลายและเบาบางแต่กลับทำให้เขาอบอุ่นได้
“ไม่เป็นไรนะ”
“อือ”
“ผ้าผืนนั้นคงสำคัญกับนายมากสินะ”
ซาคุโระเอ่ยถามออกไปลอยๆ แต่ก็ทำให้โฮโนโอะจ้องมองผ้าผืนนั้นด้วยสายตาเศร้าสร้อยขึ้นมาทันที
“มันสำคัญกว่าชีวิตของข้าเสียอีก”
“เอ๊ะ”
“นี่เรียกว่าอาภรณ์สวรรค์ถักทอมาจากเส้นผมของแม่ข้า เป็นผ้าที่ห่อตัวข้าตอนเกิด สำหรับข้าแล้วมันเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง”
“อย่างนั้นเหรอ แม่ของพวกนายนี่คงจะใจดีมากเลยเนาะ”
“ไม่ใช่!”
ชายหนุ่มขัดขึ้นเสียงแข็ง ซาคุโระชะงักและจ้องมองเขาอย่างสงสัย สายตาที่เศร้าสลดนั้นหันมามองเธอชั่วพริบตาหนึ่งเหมือนจะพิจารณาอะไรบางอย่างในตัวเธอก่อนที่จะหันกลับไปมองทิวทัศน์ของแม่น้ำที่ไหลเอื่อยๆอยู่ตรงหน้า และพูดตัดบทไปเสียดื้อๆ
“ไม่มีอะไร เรื่องบางเรื่องเจ้าก็ไม่สมควรจะรู้หรอก”
“ทั้งที่ฉันอุตส่าห์เป็นห่วง”
“ข้าไม่ต้องการ”
โฮโนโอะพูดพร้อมผูกผ้าติดกับเอวไว้ดังเดิม ซาคุโระรู้สึกฉุนกึก หากรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้เธอน่าจะปล่อยให้นอนฝันร้ายต่อซะก็ดี
“ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก ฉันไม่ยุ่งกับนายแล้วก็ได้ ต่อไปนี้ก็ตัวใครตัวมันละกัน”
“ดี”
นี่แหล่ะคือนิสัยดั้งเดิมของโฮโนโอะ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรครั้งนี้ถึงได้รู้สึกน้อยใจขึ้นมาตงิดๆ ซาคุโระพยายามลุกเพื่อจะเดินออกไปห่างๆ แต่พอลุกยืนไม่ถึงนาที ร่างกายก็เริ่มโงนเงนและล้มลงไปอย่างไร้เรี่ยวแรง
พลั่ก!!
“ฮึก~….เจ็บ!!!”
ซาคุโระเบนความสนใจไปที่ต้นขาและพบว่ามีผ้าพันไว้อย่าแน่นหนา เลือดสีแดงสดไหลซึมออกมาให้เห็นและเพิ่มความเจ็บปวดให้ทวีคูณ โฮโนโอะเข้ามาประคองเธอลุกขึ้นพร้อมทั้งก้มมองแผลที่มีเลือดไหลซึมอย่างกังวล
“บาดแผลของเจ้าลึกเกินกว่าจะเดินได้เองในตอนนี้”
“ฉันเป็นอะไรไป ทำไมจู่ๆก็จำอะไรไม่ได้เลย แล้วที่นี่มันที่ไหนกันเหรอ”
“เจ้าจำอะไรไม่ได้เลยเหรอ”
“มะ ไม่แน่ใจ แต่ว่ามีภาพรางๆ แต่ไม่รู้ว่านั่นคืออะไร ทำไมฉันถึง….”
“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย เจ้าต้องพัก”
“มะ ไม่ ฉันๆ อะ…ใช่แล้ว! เนรีว ฉันจำได้ เนรีวลักพาตัวฉันมาแล้วฉันก็ได้เจอเซนริ แต่ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นล่ะ มันเกิดอะไรขึ้น!”
หมับ!
มือใหญ่ที่ประคองไหล่ทั้งสองข้างกระชับแน่นเรียกสติที่กำลังหลุดลอยให้กลับมา ซาคุโระมองหน้าโฮโนโอะที่ทำทีมองไปทางอื่น แต่ชั่วพริบตาหนึ่งเธอเห็นดวงตาคู่นั้นสั่นระริกเหมือนมีอะไรในใจ
“ถ้าคิดไม่ออกก็อย่าฝืน บางอย่างก็ไม่สมควรที่เจ้าจะจดจำ”
โฮโนโอะพาเธอมาที่โขดหิน ซาคุโระจำต้องเอนกายพิงกับผิวขรุขระของหินอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ยังแปลกใจว่าความทรงจำทั้งหมดหายไปไหน แล้วทำไมถึงได้หมดเรี่ยวแรงขนาดนี้
“ทำไมฉันไม่มีแรงเลย”
“บาดแผลที่ขาเจ้ามันทำให้เจ้าชาไปทั้งตัวเท่านั้นเอง พักซักหน่อยเดี๋ยวก็หายแล้ว”
“จริงเหรอ”
“อย่าห่วงเลย” ชายหนุ่มพูดพร้อมดึงอาภรณ์สวรรค์จากเอวและคลุมให้ซาคุโระดังเดิม
“แล้วนายไม่จำเป็นต้องใช้รึไง”
“ข้าไม่เป็นไร”
“แต่ว่า…”
“นอนซะเถอะ”
โฮโนโอะเอื้อมมือมาปิดตาซาคุโระเบาๆ และไม่นานสติของเธอก็ดำดิ่งลงสู่ห้วงนิทราอย่างง่ายดาย ร่างกายบอบบางที่พยายามจะรั้นในตอนแรกได้นิ่งไปเพราะเวทมนตร์สั้นๆ โฮโนโอะละฝ่ามือจากใบหน้าหญิงสาวก่อนจะเอ่ยเรียกใครบางคนที่กำบังกายอยู่ใกล้ๆตั้งแต่แรก
“เร็นกะ”
วูบ!
“เตรียมตัวเตรียมใจแล้วสินะ”
คำถามราบเรียบและเร่งรัดดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงโปร่งในชุดผ้าคลุมสีรัตติกาลขาดวิ่นที่ปรากฏขึ้นเบื้องหลังโฮโนโอะไม่ถึงเมตร โฮโนโอะหลับตานิ่งเพื่อปรับลมหายใจเฮือกสุดท้ายที่จะได้อยู่ที่นี่ ก่อนที่จะดำดิ่งลงสู่นรกตามข้อตกลงของเขากับยมทูต
“ข้าพร้อมแล้ว”
“ดี”
ฉึก!
“เฮือกกกกกกก!!!!”
สิ้นเสียงยมทูตโฮโนโอะก็รู้สึกกระตุกวูบที่หัวใจอย่างแรง เพียงชั่วพริบตาปลายดาบของยมทูตเร็นกะก็แทงทะลุจากด้านหลังมายังด้านหน้าโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว ความเจ็บปวดไม่มีให้รู้สึกนอกจากความอ่อนล้าและสายตาอันพล่ามัวลงทุกทีๆ มือที่กำลังสลายกลายเป็นฝุ่นเอื้อมไปประคองใบหน้าหญิงสาวที่หลับตาพริ้มอยู่เบื้องหน้า ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะดำดิ่งลงสู่ความมืดมิดที่ไร้แสงสว่าง
“ขอโทษที่ข้าอยู่กับเจ้าไม่ได้ ซาคุโระ….”
ร่างกายชายหนุ่มค่อยๆสลายและกลายเป็นฝุ่นล่องลอยลงสู่หลุมลึกสีดำที่เพิ่งปรากฏขึ้นต่อหน้า ไม่นานมันก็หายไปเมื่อหมดหน้าที่ ยมทูตเร็นกะตวัดดาบและเก็บเข้าฝักที่เหน็บอยู่ด้านหลัง พลางมองมายังหญิงสาวที่หลับเพราะถูกมนตร์สะกด
“เทพธิดาสีเงินงั้นรึ”
ร่างบางที่ห่อหุ้มด้วยผืนผ้างดงามถูกช้อนขึ้นมาแนบอก คลื่นพายุสีดำพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินห่อหุ้มพาร่างของเขาและเธอหายไปเหลือไว้เพียงความว่างเปล่า
__________________________________________________-
ปลายสุดของหุบเขาอันวังเวงและไร้ซึ่งแสงตะวันที่สาดส่องเข้าถึง ภายในปราสาทสีดำที่มืดมิดยิ่งกว่า แสงจากไฟเวทมนตร์กับหินศิลาส่องสะท้อนให้เห็นเพียงเงาของจอมปีศาจที่กำลังไต่สวนการกระทำอันล่วงล้ำของเมด์
“เจ้ามีอะไรจะแก้ตัวไหม เมด์!”
“ไม่มีเจ้าค่ะ ท่านจอมมาร”
“แต่ข้ากำจัดเซนริกับสมุนคู่ใจของมันไปเรียบร้อยแล้ว แต่หากความใจร้อนของข้าทำให้ท่านไม่พอใจ ก็สุดแล้วแต่การตัดสินใจของท่านเถอะ”
เมด์เอ่ยขึ้นพร้อมก้มหน้ารับชะตากรรม ยูระไม่ปริปากเพราะไม่ใช่คนที่ชอบสอดรู้เรื่องราวคนอื่น ถึงแม้ว่าเมด์จะเป็นสมุนรับใช้ แต่หล่อนก็ไม่ได้สนใจตำแหน่งนั้นแม้แต่น้อย
“เจ้าว่ายังไง ยูระ”
“เรื่องนี้ข้าไม่ขอยุ่ง”
“เอางั้นก็ได้ จงสำนึกซะจวิหคดำ! ครั้งนี้ข้าจะไม่ถือโทษเจ้า เพราะอย่างน้อยเจ้าก็ช่วยกำจัดคนทรยศให้หายไป ข้าจะอภัยให้เจ้าก็ได้ แต่อย่าทำอะไรนอกเหนือคำสั่งของข้า จำเอาไว้!”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
“ไปได้แล้ว”
ร่างกายของเมด์สลายกลายเป็นม่านควันสีดำล่องลอยออกไปจากห้องโถงที่มืดมิด แต่ก่อนที่ยูระจะหายไปจอมปีศาจก็รั้งเธอให้หยุด
“เจ้าอยู่ก่อน ยูระ”
“ท่านมีอะไรกับข้างั้นรึ”
“ข้ามีงานสำคัญให้เจ้าทำ”
“งานสำคัญ?...”
“ข้าต้องการให้เจ้าเอาทายาทแห่งราชันย์มาให้ข้า”
“ทายาทแห่งราชันย์…คนไหน”
“ฟุยูกิ!”
ยูระไม่ตอบสนองนอกจากจ้องมองร่างที่ถูกผ้าผืนบางบดบังอยู่บนแท่นศิลา ก่อนจะหายไปโดยไม่พูดอะไร
หลังจากที่ไร้ซึ่งผู้คนผ้าผืนบางนั้นก็โบกสะบัดและเปิดออกให้เห็นร่างบางของหญิงงาม ผมยาวสลวยงดงามยิ่งกว่าอาภรณ์ใดในหล้ารับกับใบหน้าที่งามพริ้ง นามของเธอผู้นี้คือ คัยรีว!
คัยรีวเริ่มเขยื้อนกายลงจากแท่นศิลาและตรงไปยังอีกห้องที่ถูกปิดตายเอาไว้ ดั่งคุกเวทมนตร์ที่คุมขังบางอย่างเอาไว้ ทันทีที่เข้าไปในห้องนั้น แสงสว่างวูบวาบก็ปรากฏและประจักษ์ต่อหน้า ต้นกำเนิดของแสงนั้นคือวงแหวนกลมเกลี้ยงที่มีแสงเป็นประกายสุกสว่างดั่งพระจันทร์
“กี่ร้อยปีมาแล้วที่เจ้าต้องอยู่ในแก้วผลึกนี้”
ริมฝีปากสีแดงเอิบอิ่มเริ่มขยับและเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งปนท้อ ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลจ้องมองไปที่วงแหวนที่วางอยู่บนแท่นศิลาตรงหน้าท่ามกลางวงเวทสะกดพลัง เธอพยายามแตะต้องมันหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยสำเร็จ แม้จะเข้าไปใกล้เพียงคืบก็ไม่สามารถที่จะทำได้เลย
“อีกไม่นานหรอก ถ้าข้าได้ศาสตราของเทพกษัตริย์องค์อื่นๆมาจนครบเมื่อไหร่ เมื่อนั้นความปรารถนาของข้าก็จะเป็นจริง”
‘ฝันไปเถอะ’
น้ำเสียงใสๆแต่เย็นเยียบและมีพลังดังเข้ามาแทรก คัยรีวเหลือกตามองวงแหวนอย่างหงุดหงิด ดวงวิญญาณสุกสกาวล่องลอยอยู่รอบๆวงแหวนเหมือนกำลังปกป้องอันตรายรอบด้านที่จะเข้ามาหา
“ยังปากดีเหมือนเดิมนะ ถึงขนาดนี้ยังดื้อรั้นอยู่ได้ โคฮาคุ ซัทสึมิ!”
‘ไม่ว่ายังไงข้าก็ไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือของคนที่ละทิ้งจิตใจของเทพมาเป็นปีศาจเช่นเจ้าหรอก คัยรีว’
“หึ พูดได้ดี แต่ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เจ้าจะดูหมิ่นข้าได้ เพราะอีกไม่นานจะมีคนที่มากำหราบเจ้าแล้ว ถ้าหากยังดื้อรั้นไม่ยอมเชื่อฟัง ก็เตรียมตัวรับความทรมานได้เลย!”
‘เจ้าไม่มีทางสมหวัง เพราะอีกไม่นานเทพธิดาสีเงินก็จะมากำจัดเจ้า’
“งั้นรึ เทพธิดาสีเงิน หึ…ก็แค่เด็กที่เจ้านายของเจ้ายอมสละชีวิตชีวิตตัวเองเป็นภาชนะให้กำเนิดขึ้นมาเท่านั้น!”
‘โจคาไม่ใช่คนโง่เขลา เจ้าต่างหากที่โง่เขลา คัยรีวเอ๋ย เจ้ายอมละทิ้งตำแหน่งของเทพกษัตริย์ ทิ้งได้กระทั่งลูกแท้ๆที่เป็นสายเลือดของตัวเอง ใครกันแน่ที่โง่เขลา’
“หุบปาก!!!”
น้ำเสียงแข็งกร้าวดังก้องกังวานสะท้อนอยู่ในห้องอันคับแคบและมิดชิด ความโกรธของคัยรีวทำให้เกิดแรงกดดันทั่วทั้งปราสาทไปจนถึงหุบเขาที่กว้างใหญ่ไพศาล แต่ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถทำให้วิญญาณที่สิงสถิตในแหวนตรงหน้าสะท้านได้ เสียงหัวเราะเล็กๆของเด็กน้อยแรกรุ่นทำให้จอมปีศาจถึงกับขบกราม และทางเดียวที่จะทำได้ก็คือเดินหนีจากเสียงหัวเราะที่เย้ยหยันนั้น เพราะคำพูดของดวงวิญญาณที่สิงสถิตอยู่ในวงแหวนนามว่าซาทซึมิ ทำให้จิตใจของปีศาจที่เย็นชาและอำมหิตเกิดอ่อนระทวยลงอย่างสิ้นแรง
หลังจากจอมปีศาจได้จากไป ภายในห้องอันคับแคบและมืดมนก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง แสงสว่างสีนวลผ่องก็ปรากฏเป็นรูปร่างของเด็กสาวแรกรุ่นขึ้นใกล้ๆผลึกแก้ว ดวงตาสีฟ้าสดใสที่ถูกเส้นผมสีดำบดบังเอาไว้เกือบครึ่ง กลอกกลิ้งไปมาก่อนที่จะมาหยุดอยู่ที่วงแหวนที่ส่องประกายอยู่ในผลึกแก้วใส พร้อมกับคำพูดที่เหมือนจะเป็นการปลงตกและสมเพช
‘ไม่ว่ามนุษย์หรือเทพ แม้กระทั่งปีศาจผู้ยิ่งใหญ่คับฟ้าแค่ไหน ก็ต้องมีด้านที่อ่อนแอกันทั้งนั้น เจ้าเองก็เป็นหนึ่งในนั้น คัยรีว…เพียงแต่เจ้าไม่ยอมรับ ทิ้งอะไรก็ทิ้งได้เดี๋ยวก็ลืม แต่จิตใจของคนเป็นแม่เจ้าไม่สามารถที่จะละจากมันได้หรอก อา…นายคนใหม่ของข้า ในที่สุดก็จะได้พบกันแล้วสินะ มาหาข้าเร็วเข้าเถอะ มาปลดปล่อยข้า สายเลือดของโจคา ฟุยูกิ’
พูดจบร่างของเด็กสาวก็หายกลับเข้าไปในวงแหวนเหมือนเดิม ความเยือกเย็นและความวังเวงของหุบเขาที่ต้องคำสาปยังคงอยู่ ยิ่งเศร้ามันก็ยิ่งหดหู่ กระทั่งจอมปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ที่เชื่อว่าตัวเองแข็งแกร่งที่สุดก็ตาม
“ข้าหวั่นไหวงั้นรึ……น่าสมเพชจริงๆ”
ค่ำคืนอันแสนยาวนานและโศกเศร้าได้ผ่านพ้นไป ตะวันทอแสงพาดปลายหุบเขาขับไล่รัตติกาลให้พ้นผ่าน เปลือกตาคู่บางที่แสนหนักได้เปิดออกช้าๆพร้อมกับเสียงสะอื้นที่ยังหลงเหลือ ภาพแรกที่ประจักษ์ต่อสายตาคือท้องฟ้าสีเข้มที่ถูกย้อมด้วยสีทองของดวงอาทิตย์วันใหม่
“เช้าแล้วเหรอ”
“อึ้ก~…แค่กๆๆ~”
“อะ โฮโนโอะ!”
“ไม่….ไม่จริง ท่านแม่”
ซาคุโระยันกายลุกและพยายามพาร่างกายอันอ่อนล้าเข้าไปหาชายหนุ่มที่นอนกระสับกระส่ายอยู่ไม่ไกล ใบหน้าโฮโนโอะโซมด้วยเหงื่อที่ผุดพรายขึ้นมาเต็มใบหน้า เขากำลังฝันร้ายและคงจะเป็นฝันที่กี่ยวกับแม่ของเขาอย่างแน่นอน
“ท่านแม่…ท่านแม่ขอรับ”
“โฮโนโอะ...”
“แฮ่กๆ~… ท่านแม่รอข้าด้วย อย่าทิ้งข้าให้คนอื่น ท่านแม่…ท่านแม่!!!!!!”
“โฮโนโอะ!!!”
เพียะ! เพียะ!!!
ซาคุโระตบหน้าโฮโนโอะสองฉาดแรงๆ และมันก็ได้ผลเมื่อเขาลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“แฮ่กๆๆ~ ซะ ซาคุโระ!”
“นายเป็นอะไรไป!”
“ขะ ข้าเป็นอะไร นี่ข้าฝันงั้นเหรอ ข้า…ไม่ได้อยู่ในน้ำหรอกเหรอ”
“น้ำเหรอ พูดอะไร”
ยิ่งถามซาคุโระก็ยิ่งสงสัย โฮโนโอะไม่ต่างจากคนละเมอที่ยังไม่ตื่น ชายหนุ่มยันกายลุกนั่งและใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อบนใบหน้าอย่างลวกๆ ซาคุโระเอื้อมมือเข้าไปแตะไหล่เขาเบาๆและรู้สึกว่าเขายังสั่นสะท้านเหมือนกำลังหวาดกลัวอะไรซักอย่าง
“นายไม่เป็นไรนะ”
“อย่ามาแตะตัวข้า!”
“เอ๊ะ”
“มันร้อน”
“ขะ…ขอโทษ”
“ขอผ้าผืนนั้น คืนให้ข้าเถอะ”
ซาคุโระดึงผ้าที่คลุมไหล่ส่งคืนโฮโนโอะที่ยื่นมือเข้ามาขอ เธอจำได้ติดตาว่าเขาไม่เคยห่างจากผ้าผืนนี้เลย แต่ว่ามันมาอยู่ที่เธอได้ยังไง ทำไมความทรงจำบางส่วนหายไปเหลือเพียงความว่างเปล่า เธอจำได้เพียงใบหน้าของเนรีวและปีศาจหมาป่าเซนริพร้อมด้วยสมุนหน้าตาอัปลักษณ์ของเธอนามจากะ และหลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรหลงเหลือนอกจากความว่างเปล่า และพอลืมตาขึ้นมาก็ได้พบโฮโนโอะเท่านั้น
โฮโนโอะรีบคว้าผ้าไปจากมือเธอและซบหน้ากับผ้าผืนนั้น ไม่นานนักเสียงหายใจหอบถี่และอาการสั่นเทานั้นก็หายไปอย่างประหลาด ซาคุโระมองด้วยความสงสัย ผ้าผืนนั้นไร้ลวดลายและเบาบางแต่กลับทำให้เขาอบอุ่นได้
“ไม่เป็นไรนะ”
“อือ”
“ผ้าผืนนั้นคงสำคัญกับนายมากสินะ”
ซาคุโระเอ่ยถามออกไปลอยๆ แต่ก็ทำให้โฮโนโอะจ้องมองผ้าผืนนั้นด้วยสายตาเศร้าสร้อยขึ้นมาทันที
“มันสำคัญกว่าชีวิตของข้าเสียอีก”
“เอ๊ะ”
“นี่เรียกว่าอาภรณ์สวรรค์ถักทอมาจากเส้นผมของแม่ข้า เป็นผ้าที่ห่อตัวข้าตอนเกิด สำหรับข้าแล้วมันเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง”
“อย่างนั้นเหรอ แม่ของพวกนายนี่คงจะใจดีมากเลยเนาะ”
“ไม่ใช่!”
ชายหนุ่มขัดขึ้นเสียงแข็ง ซาคุโระชะงักและจ้องมองเขาอย่างสงสัย สายตาที่เศร้าสลดนั้นหันมามองเธอชั่วพริบตาหนึ่งเหมือนจะพิจารณาอะไรบางอย่างในตัวเธอก่อนที่จะหันกลับไปมองทิวทัศน์ของแม่น้ำที่ไหลเอื่อยๆอยู่ตรงหน้า และพูดตัดบทไปเสียดื้อๆ
“ไม่มีอะไร เรื่องบางเรื่องเจ้าก็ไม่สมควรจะรู้หรอก”
“ทั้งที่ฉันอุตส่าห์เป็นห่วง”
“ข้าไม่ต้องการ”
โฮโนโอะพูดพร้อมผูกผ้าติดกับเอวไว้ดังเดิม ซาคุโระรู้สึกฉุนกึก หากรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้เธอน่าจะปล่อยให้นอนฝันร้ายต่อซะก็ดี
“ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก ฉันไม่ยุ่งกับนายแล้วก็ได้ ต่อไปนี้ก็ตัวใครตัวมันละกัน”
“ดี”
นี่แหล่ะคือนิสัยดั้งเดิมของโฮโนโอะ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรครั้งนี้ถึงได้รู้สึกน้อยใจขึ้นมาตงิดๆ ซาคุโระพยายามลุกเพื่อจะเดินออกไปห่างๆ แต่พอลุกยืนไม่ถึงนาที ร่างกายก็เริ่มโงนเงนและล้มลงไปอย่างไร้เรี่ยวแรง
พลั่ก!!
“ฮึก~….เจ็บ!!!”
ซาคุโระเบนความสนใจไปที่ต้นขาและพบว่ามีผ้าพันไว้อย่าแน่นหนา เลือดสีแดงสดไหลซึมออกมาให้เห็นและเพิ่มความเจ็บปวดให้ทวีคูณ โฮโนโอะเข้ามาประคองเธอลุกขึ้นพร้อมทั้งก้มมองแผลที่มีเลือดไหลซึมอย่างกังวล
“บาดแผลของเจ้าลึกเกินกว่าจะเดินได้เองในตอนนี้”
“ฉันเป็นอะไรไป ทำไมจู่ๆก็จำอะไรไม่ได้เลย แล้วที่นี่มันที่ไหนกันเหรอ”
“เจ้าจำอะไรไม่ได้เลยเหรอ”
“มะ ไม่แน่ใจ แต่ว่ามีภาพรางๆ แต่ไม่รู้ว่านั่นคืออะไร ทำไมฉันถึง….”
“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย เจ้าต้องพัก”
“มะ ไม่ ฉันๆ อะ…ใช่แล้ว! เนรีว ฉันจำได้ เนรีวลักพาตัวฉันมาแล้วฉันก็ได้เจอเซนริ แต่ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นล่ะ มันเกิดอะไรขึ้น!”
หมับ!
มือใหญ่ที่ประคองไหล่ทั้งสองข้างกระชับแน่นเรียกสติที่กำลังหลุดลอยให้กลับมา ซาคุโระมองหน้าโฮโนโอะที่ทำทีมองไปทางอื่น แต่ชั่วพริบตาหนึ่งเธอเห็นดวงตาคู่นั้นสั่นระริกเหมือนมีอะไรในใจ
“ถ้าคิดไม่ออกก็อย่าฝืน บางอย่างก็ไม่สมควรที่เจ้าจะจดจำ”
โฮโนโอะพาเธอมาที่โขดหิน ซาคุโระจำต้องเอนกายพิงกับผิวขรุขระของหินอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ยังแปลกใจว่าความทรงจำทั้งหมดหายไปไหน แล้วทำไมถึงได้หมดเรี่ยวแรงขนาดนี้
“ทำไมฉันไม่มีแรงเลย”
“บาดแผลที่ขาเจ้ามันทำให้เจ้าชาไปทั้งตัวเท่านั้นเอง พักซักหน่อยเดี๋ยวก็หายแล้ว”
“จริงเหรอ”
“อย่าห่วงเลย” ชายหนุ่มพูดพร้อมดึงอาภรณ์สวรรค์จากเอวและคลุมให้ซาคุโระดังเดิม
“แล้วนายไม่จำเป็นต้องใช้รึไง”
“ข้าไม่เป็นไร”
“แต่ว่า…”
“นอนซะเถอะ”
โฮโนโอะเอื้อมมือมาปิดตาซาคุโระเบาๆ และไม่นานสติของเธอก็ดำดิ่งลงสู่ห้วงนิทราอย่างง่ายดาย ร่างกายบอบบางที่พยายามจะรั้นในตอนแรกได้นิ่งไปเพราะเวทมนตร์สั้นๆ โฮโนโอะละฝ่ามือจากใบหน้าหญิงสาวก่อนจะเอ่ยเรียกใครบางคนที่กำบังกายอยู่ใกล้ๆตั้งแต่แรก
“เร็นกะ”
วูบ!
“เตรียมตัวเตรียมใจแล้วสินะ”
คำถามราบเรียบและเร่งรัดดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงโปร่งในชุดผ้าคลุมสีรัตติกาลขาดวิ่นที่ปรากฏขึ้นเบื้องหลังโฮโนโอะไม่ถึงเมตร โฮโนโอะหลับตานิ่งเพื่อปรับลมหายใจเฮือกสุดท้ายที่จะได้อยู่ที่นี่ ก่อนที่จะดำดิ่งลงสู่นรกตามข้อตกลงของเขากับยมทูต
“ข้าพร้อมแล้ว”
“ดี”
ฉึก!
“เฮือกกกกกกก!!!!”
สิ้นเสียงยมทูตโฮโนโอะก็รู้สึกกระตุกวูบที่หัวใจอย่างแรง เพียงชั่วพริบตาปลายดาบของยมทูตเร็นกะก็แทงทะลุจากด้านหลังมายังด้านหน้าโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว ความเจ็บปวดไม่มีให้รู้สึกนอกจากความอ่อนล้าและสายตาอันพล่ามัวลงทุกทีๆ มือที่กำลังสลายกลายเป็นฝุ่นเอื้อมไปประคองใบหน้าหญิงสาวที่หลับตาพริ้มอยู่เบื้องหน้า ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะดำดิ่งลงสู่ความมืดมิดที่ไร้แสงสว่าง
“ขอโทษที่ข้าอยู่กับเจ้าไม่ได้ ซาคุโระ….”
ร่างกายชายหนุ่มค่อยๆสลายและกลายเป็นฝุ่นล่องลอยลงสู่หลุมลึกสีดำที่เพิ่งปรากฏขึ้นต่อหน้า ไม่นานมันก็หายไปเมื่อหมดหน้าที่ ยมทูตเร็นกะตวัดดาบและเก็บเข้าฝักที่เหน็บอยู่ด้านหลัง พลางมองมายังหญิงสาวที่หลับเพราะถูกมนตร์สะกด
“เทพธิดาสีเงินงั้นรึ”
ร่างบางที่ห่อหุ้มด้วยผืนผ้างดงามถูกช้อนขึ้นมาแนบอก คลื่นพายุสีดำพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินห่อหุ้มพาร่างของเขาและเธอหายไปเหลือไว้เพียงความว่างเปล่า
__________________________________________________-
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ