Laurel ภาค เสียงเพรียกหาจากดินแดนที่ถูกลืม
เขียนโดย zusuran
วันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 21.15 น.
แก้ไขเมื่อ 20 มีนาคม พ.ศ. 2565 13.21 น. โดย เจ้าของนิยาย
13) อุบัติเหตุกลางเมือง การมาของบาซิลิสก์
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“อย่างนั้นเหรอ เพราะงั้นคุณก็เลยตรงดิ่งกลับมาที่ฟีนิกส์โดยไม่แวะพักที่ไหนสินะ”
“ใช่”
เสียงพูดคุยระหว่างครูฝึกสอนทั้งสองดังออกมาจากร่มไม้ข้างหอคอย
การทำภารกิจมักมีเรื่องเปลี่ยนแปลงแบบไม่คาดไม่ถึงอยู่ตลอด ซึ่งคนในทีมภารกิจจะเข้าใจเรื่องนี้ดี ยกเว้นเจ้าพวกลูกศิษย์ด้อยประสบการณ์ที่ไรเกอร์หิ้วไปด้วย
ทันทีที่ลงจากยานเสียงบ่นเป็นหมีกินผึ้งของไรรีย์ก็เล่นงานเขาจนหูชา ถ้าไม่รีบปลีกตัวออกมาก่อนมีหวังเขาคงได้หูตึงก่อนวัยอันควรแน่
“แล้วเซเลียเป็นยังไงบ้าง”
“อารยันถอนพิษของอสูรทมิฬออกไปได้ทันเวลา ฉันปล่อยให้แกกลับไปพักที่หอพักแล้วล่ะ”
“อย่างนั้นเหรอ....เอาจนได้สิน่า”
“คุณรู้เรื่องนี้มาก่อนแล้วงั้นเหรอ ไรเกอร์”
“ก็เปล่าหรอก”
“เรื่องที่คุณเคยบอกฉันเมื่อก่อน.....”
“ขอให้คุณคิดซะว่ามันเป็นนิทานของผู้ชายเสียสติจากสงครามก็แล้วกันนะ แอนนา”
“แต่ฉันคิดแบบนั้นไม่ได้แล้วนะสิคะ”
“อย่างนั้นเหรอ นั่นสินะ....”
“ไรเกอร์”
“ผมอยากพักซักประเดี๋ยว แล้วเจอกันนะ”
ว่าเสร็จไรเกอร์ก็เดินหายไปในเวลาไม่นาน แม้แต่คนข้างล่างยังใช้สายตาส่งไม่ทัน
“เฮ้อ.....เป็นผู้ชายน่ารำคาญจริงๆ”
พูดจบครูสาวก็หันหลังเดินกลับไปอีกทาง
โรงเรียนเวทมนตร์ ฟีนิกส์
ความครึกครื้นของนักเรียนตัวแสบยังคงสร้างรอยย่นบนหน้าผากให้กับอาจารย์ได้ไม่เว้นแต่ละวัน
“วันหยุดฤดูหนาวคราวนี้ โรงเรียนจะเปิดเส้นทางสู่เมืองเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในรอบปี และอนุญาตให้นักเรียนออกไปในเมืองได้ แต่มีข้อแม้ว่าพวกเธอต้องกลับเข้ามาที่โรงเรียนก่อนที่ประตูจะปิด นั่นก็คือก่อนเที่ยงคืน ถ้าใครเข้ามาไม่ทันจะถือว่าคนนั้นไม่ใช่นักเรียนของฟีนิกส์อีกต่อไป และอาจจะถูกสัตว์เทพเล่นงาน เอาล่ะ เข้าใจตรงกันแล้วใช่ไหม!”
“ครับ/ค่ะ!”
การประกาศในคาบเช้าของคลาสเรียนจบลงภายในไม่ถึงห้านาที แต่ก็ยังเกิดเสียงเซ็งแซ่ของเหล่านักเรียนที่ดูจะตื่นเต้นกับข่าวดีในคราวนี้
เมืองเอิร์น ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่รวบรวมสิ่งมหัศจรรย์เอาไว้มากมาย ยั่วยวนให้เหล่านักเดินทางย่างกรายเข้ามาลิ้มลองไม่ขาดสาย หรืออีกนัยหนึ่งคือเป็นหนึ่งในสามเมืองหลวงที่เป็นเสาหลักค้ำจุนโลกมนุษย์ เหนือกว่าอาณาจักรตะวันออกซาลันกับเมืองกลางหาวลาริแมร์
“จะว่าไป ตั้งแต่มาที่ฟีนิกส์ นอกจากจะออกไปทำภารกิจแล้วเราก็ไม่เคยออกไปที่เมืองเอิร์นเลยนะ”
บรุ๊คพูดขึ้นระหว่างที่เล่นหมากรุกกับโลเวล ในวันพักผ่อนที่หนึ่งเดือนจะมีสักสองวัน สมาชิกของบ้านตะวันออกเลือกที่จะอยู่ในหอพักตัวเองทุกคน บ้างก็หมกตัวอยู่กับสิ่งที่ชอบ แต่สถานที่รวมตัวกันก็หนีไม่พ้นห้องโถงของหอพักที่ต้องมารวมตัวกันเป็นประจำ
“นั่นสินะ….นายแพ้อีกแล้ว”
โลเวลรุกฆาตหมากรุกในกระดาน จบเกมลงอย่างสวยงามท่ามกลางเสียงโอดครวญของชายหนุ่มผู้ด้อยประสบการณ์ที่แพ้เป็นรอบที่สามของวัน
“ให้ตายสิ ยังไงก็ไม่ชนะนายเลย เก่งเกินไปแล้วนะ”
บรุ๊คสบถส่งๆ พร้อมกับโยนขนมห่อเล็กๆ ให้ฝ่ายตรงข้ามตามสัญญา
“นี่ ใครจะเล่นกับหมอนี่บ้าง ฉันหมดตัวแล้ว”
“หมากรุกพ่อมดเหรอ น่าเบื่อจะตาย” ไรรีย์สวนกลับมา ในระหว่างที่เอนกายอยู่บนฟูกรังนกที่ประจำของตัวเองอ่านนิตยสารประจำเดือน
"แล้วไอ้ที่อ่านอยู่นั่นไม่น่าเบื่อกว่ารึไง”
“นายนี่ไม่เข้าใจผู้หญิงเอาซะเลยนะ บรุ๊ค”
“เฮ้อ คร้าบๆ ผมไม่เข้าใจเจ๊หรอก เพราะผมมันยังเด็ก”
เรื่องของความกวนโทสะ นอกจากคีระแล้วก็ยังมีบรุ๊คนี่แหละที่ยั่วอารมณ์เดือดของเธอได้เป็นบางคราว
จะว่าไปแล้ว วันนี้ตั้งแต่เช้าเธอก็ยังไงม่เห็นเจ้าชายปากเสียนั่นเลย ทั้งที่เมื่อก่อนจะปะทะคารมกับเธอตลอดแท้ๆ
อาการกระสับกระส่ายของไรรีย์หนีไม่พ้นสายตาของโลเวล และชายหนุ่มก็พูดให้ความกระจ่างแก่เธอโดยที่ตัวไม่ต้องเอ่ยปาก
“ถ้าจะหาคีระละก็ ฝึกดาบอยู่ที่ลานกลางแจ้งแน่ะ”
“ใครเขาหาหมอนั่นกัน”
“อ้าว นึกว่าอยากรู้ซะอีก”
“ไม่ได้อยากรู้ซะหน่อย”
ไรรีย์เชิดหน้าเหมือนไม่ใส่ใจและก้มมองนิตยสารของตัวเองต่อ แต่สายตายังล่อกแล่กมองไปยังหน้าต่างกระจกบานใหญ่ที่ทะลุออกไปยังลานกลางแจ้งอย่างที่โลเวลได้บอก
“ถ้าอย่างนั้นเซเลียก็น่าจะอยู่ตรงนั้นด้วยสิ”
“หืม...อาจจะอยู่นะ”
“ฉันไปหาเซเลียดีกว่า”
แล้วแม่สาวสายฟ้าก็ลุกพรวดออกจากที่นั่งประจำเดินตรงไปที่ประตู
“จะบอกว่ายังไงดีนะ โกหกไม่เนียนเอาซะเลย”
“คนปากแข็งก็แบบนี้แหละ ว่าแต่จะเล่นไหม”
“ฮืม….จาเลน มาเล่นแทนฉันหน่อยสิ”
“ไม่เอาหรอก” ปฏิเสธทันควันโดยที่ไม่ละสายตาจากหนังสือ
“ทำไม!!!”
ลานฝึกกลางแจ้งด้านหน้าหอพักตะวันออก มีทั้งสนามหญ้าและลานหินที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์การฝึกหลากหลายไว้ให้เลือก
เซเลียยังใช้เวทมนตร์ไม่ได้เรื่องเหมือนเดิม ถึงจะเรียนพิเศษจากครูแอนนามาตลอดแต่พอเอาเข้าจริงก็เหมือนไม่ได้ช่วยอะไรเลย
ฟึ่บ!
อีกครั้งที่พายุหมุนในมือสลายไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ เหลือไม่เพียงใบหน้าหงิกงอของหญิงสาว
“อะไรกันน่ะ อีกแล้วเหรอเนี่ย”
“ให้ตายสิ เธอนี่นะ”
คีระที่แบกดาบเหล็กสิบตันของตัวเองยืนอยู่ข้างๆ ถึงกับบ่นกระปอดกระแปด
“หนวกหูน่ะ ฉันไม่ใช่นายนี่ที่จะเก่งไปซะทุกอย่าง”
“แล้วจะมาลงที่ฉันทำไมเนี่ย”
เซเลียทำหน้าตูม มันอาจจะดูน่ารักเหมือนแมวขี้อ้อนถ้าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ใช่คีระ
“เลิกทำหน้าทุเรศแบบนั้นซะทีเถอะ เห็นแล้วจะอ้วก”
“ทำไม ฉันไม่สวยเหรอ”
“.............”
ทำไม ข้าไม่งามรึ......
“.........อย่างเจ้ารึ ไม่เลยสักนิด”
“เอ๋? ....อะไรเหรอ”
“อะ! เปล่า ไม่มีอะไร”
คีระอึกอักทำตัวไม่ถูกหลังจากได้สติกลับมา เซเลียมองตาใส นึกสงสัยจริงๆ ว่าทำไมจู่ๆ เพื่อนสนิทตรงหน้าถึงได้มีท่าทางแปลกไป
“เซเลีย!!!!”
เสียงไรรีย์ดังมาแต่ไกลก่อนที่ร่างระหงของเธอจะโดดเข้ามากอดเซเลียเอาไว้เต็มรัก
“อะไรเนี่ย มาฝึกกันเองไม่ชวนฉันเลย”
“อ่า แหะๆ”
เซเลียยิ้มแห้ง แต่ยังไม่วายจะหันไปมองคีระที่เงียบจนผิดปกติ
“ว่าแต่นายน่ะ กินนมบูดมารึไงหน้าตาไม่ค่อยดีเลย”
ไรรีย์ทักทายคีระ ซึ่งเป็นปกติที่จะใช้คำจิกกัดเพื่อให้อีกฝ่ายมีน้ำโห แต่ทว่าคราวนี้กลับได้รับเพียงความเงียบกลับมา
“ฉันไปอาบน้ำก่อน”
“อ้าว นี่เดี๋ยวสิ ร่างกายหายเจ็บแล้วไม่ใช่รึไงมาสู้กับฉันสักยกสิตาบ้า”
“หนวกหูน่ะ!”
คีระเดินกลับเข้าไปในหอพักแบบไม่หันมองใคร
“แปลกคนจัง หรือว่าจะเป็นไข้”
“คีระไม่เคยป่วยเลยตั้งแต่ที่ฉันรู้จักเขามา”
“แล้วเป็นอะไร เป็นโรคเดือนห้ารึไง”
“โรคเดือนห้าคืออะไร”
“ไม่พูดละ เอาเป็นว่าถ้าไม่สบายก็ออกไปที่เมืองกับพวกเราไม่ได้ก็แค่นั้นแหละ”
“จริงสิ!”
เซเลียเริ่มตาเป็นประกายเมื่อได้ยินที่ไรรีย์กล่าว โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ แน่นอนว่าเซเลียไม่พลาดอยู่แล้ว
ข้าจะอยู่กับเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ไหน ในร่างของใคร ข้าจะติดตามเจ้าตลอดกาล องค์หญิงของข้า….
เสียงใคร ทำไมดูเศร้าจังเลย
อา.......มืดจัง แต่ทำไมดูอบอุ่นอย่างนี้ล่ะ
พรึ่บ!
เปลือกตาสีขาวคลี่เปิดขึ้นกะทันหันเผยให้เห็นดวงตาสีทองประกายกร้าว
ร่างบางในชุดนอนดีดตัวลุกขึ้นมานั่งบนเตียง
พอมองไปที่นาฬิกาก็พบว่าเพิ่งจะเลยเที่ยงคืนมาได้ไม่เท่าไหร่
“ฝันเหรอเนี่ย....”
เซเลียพึมพำกับตัวเองก่อนจะลุกเดินออกไปจับบานหน้าต่างที่ยังเปิดอ้ารับลมพัดเข้ามาเป็นระยะๆ
“แปลกแฮะ นี่เราลืมปิดหน้าต่างเหรอ”
บ่นไปพลางจะแง้มปิด ทว่า สายตาเหลือบไปเห็นปีกสีขาวที่โผล่พ้นผ้าม่านออกมาให้เห็นเสียก่อน
“อ๊ะ! แกนี่เอง ออกมาหาอาหารเหรอ”
เซเลียเดินมาที่ระเบียงและทักทายนกฮูกสีขาวที่เกาะขอบระเบียงหันหน้ามาหาเธอ มันดูเชื่องเสียจนเด็กสาวสงสัยว่ามันเจ้าของ
“หรือว่าแกจะหลงทาง”
พูดไปทั้งที่ในใจก็คิดว่ามันคงไม่มีทางรู้เรื่องหรอก
แต่ก็เอาเถอะ อย่างน้อยๆ ก็ไม่ต้องนั่งเจ่าอยู่คนเดียวเพราะนอนไม่หลับ
หญิงสาวทรุดลงนั่งชันเข่าบนพื้นใช้ผนังห้องต่างพนักพิง อากาศข้างนอกเย็นสบายจนชวนให้เคลิ้มหลับ หากแต่ความฝันมันยังคงฝังในใจจนข่มตาลงลำบาก
“ฉันฝันร้ายล่ะ”
เซเลียพูดกับนกฮูกหิมะที่ยังเกาะริมระเบียง
มันมองหน้าเธอนิ่ง เหมือนกำลังตั้งใจฟัง
“เหมือนไม่ใช่ฝันเลย......มันทั้งน่ากลัว ทั้งโศกเศร้าจนข่มตาหลับไม่ไหวเลย รู้ไหม....”
“.............”
“ฮื้อออออ!!!! แต่ก็เอาเถอะ ยังไงฝันก็คือฝันละเนาะ”
เซเลียปัดเป่าความอึมครึมออกไปง่ายๆ และในระหว่างนั้นเสียงทุ้มของแขกผู้มาเยือนก็ดังแทรกเข้ามา
“ฝันร้ายเหรอ”
“หืม..... โลเวล มาทำอะไรข้างนอกดึกๆ ดื่นๆ น่ะ”
เซเลียทักทายแขกมาใหม่ที่ยืนอยู่บนเนินหญ้าใกล้ระเบียง
โลเวลยังสวมชุดเนี้ยบเหมือนเดิม หากแต่ชายหนุ่มไม่ได้สวมเสื้อคลุมของฟีนิกส์
ขาที่ทั้งยาวและแข็งแรงกระโดดทีเดียวก็ขึ้นมานั่งเทียบเคียงกับเจ้านกฮูกหิมะที่ยังเกาะอยู่แบบไม่ไหวติง
“ยังไม่นอนอีกเหรอ”
“อา....พอดีออกมาตามหาของน่ะ”
“ของ?”
“เจ้านี่ไง”
โลเวลหันมองเจ้านกฮูกที่ยังนิ่งเป็นปูนปั้น
ถึงว่าสิทำไมมันเชื่องจัง ที่แท้ก็มีเจ้าของนี่เอง
“เห... นี่นกของโลเวลเองเหรอ”
“เปล่าหรอก เป็นของจาเลนเขาน่ะ....... นะ”
โลเวลตอบคำถามและยังหันไปมองเจ้านกฮูกแสนเชื่องเหมือนจะคุยกับมันรู้เรื่องยังไงอย่างนั้น ก่อนจะหันกลับมามองเซเลียที่ยังตาใส
“ว่าแต่ สวมเสื้อบางๆ ออกมาข้างนอกดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้เดี๋ยวก็ไม่สบายเอาหรอก”
“ฉัน นอนไม่หลับน่ะ”
“อย่างนั้นเหรอ”
“นี่ โลเวล”
“อะไร”
“มียานอนหลับไหม ขอสักเม็ดสิ”
“ก็มีหรอก แต่จะเอาไปทำอะไร”
“ฉันฝันร้ายนะสิ จะกลับไปนอนอีกก็ไม่ได้ร่างกายมันไม่เชื่อฟังเลย ถ้าได้ยาสักเม็ดคงจะหลับง่ายขึ้น”
“ฮืม.....”
โลเวลเอียงคอทำท่าคิดอยู่สักพัก
“ก็ได้ เดี๋ยวจะทำให้หลับเอง แบบไม่ต้องใช้ยา”
“เฮ้ๆๆ อย่าบอกนะว่าจะชกฉันน่ะ”
“ใช่ซะที่ไหนกันเล่า”
โลเวลยิ้มขำและเดินเข้ามาคุกเข่าตรงหน้าเซเลีย ก่อนที่จะ
จุ๊บ!
จุมพิตแผ่วเบาบนหน้าผาก
“อะ! อะไรเนี่ย”
“นอนซะ”
สิ้นเสียงชายหนุ่มเซเลียก็มึนงงและทุกอย่างก็ดับวูบลงโดยไม่ต้องฝืน
พรืด!
“เอาล่ะ เด็กดีได้เวลาเข้านอนแล้ว”
โลเวลพูดพร้อมกับประคองร่างเด็กสาวที่หลับไม่รู้เรื่อง
ฟึ่บ!
“นึกว่าจะอยู่ในร่างนกต่อซะอีกนะเนี่ย”
ชายหนุ่มทักทายคนที่ปรากฏกายอยู่ด้านหลัง ดวงตาสีน้ำเงินเข้มที่มองผิวเผินอาจเห็นเป็นสีดำจ้องมองหญิงสาวที่หลับใหลอยู่สักพัก ก่อนจะเข้ามาแย่งเธอไปอุ้มเอาไว้และส่งเธอเข้านอนห่มผ้าให้เสร็จสรรพ
“ฝันร้ายเนี่ย มันน่ากลัวขนาดไหนกันนะ”
“........มองไม่เห็นหรอก”
“หืม?”
“มันยุ่งเหยิงจนฉันเองก็อ่านไม่ออกเลย”
“..........อย่างนั้นเหรอ”
“กลับกันเถอะ จาเลน”
“.......อืม”
บานกระจกหน้าต่างถูกปิดสนิทและเบามือที่สุดเพราะไม่อยากรบกวนเจ้าของห้องที่กำลังเข้าสู่ห้วงนิทรา
.................
“ส่งตัวเจ้าหญิงมาซะ!!!”
“ข้ามศพข้าไปก่อนเถอะ!”
………………………………
“ว่าไง................... มองตาข้าสิ”
………………………
“อ้า! ข้าจะฉีกเลือดฉีกเนื้อเจ้าหญิง.....ของเจ้าแล้วกินซะ”
เจ้าลิ้นสองแฉกน่ารังเกียจ...........มันคือใคร
“เอาล่ะ ลืมตาขึ้นมาดูวาระสุดท้ายของคนที่เจ้ารักเสียเถอะ!!!”
“กริฟฟินดอร์!”
ฉัวะ!!!!
เฮือก!!!!!!
ร่างโปร่งเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อสะดุ้งตัวโยนดีดตัวจากที่นอนพร้อมกับคว้ามีดสั้นที่ซุกซ่อนไว้ใต้หมอนออกมาตวัดกรีดอากาศจนได้ยินเสียงโหยหวน
“แฮ่กๆๆๆ”
คีระหอบตัวโยน ตาพร่าเลือนพยายามเพ่งมองเบื้องหน้าที่เป็นเพียงกำแพงห้องมืดๆ แสงจากดวงไฟเวทมนตร์ด้านนอกส่องเข้ามาพอให้เห็นเฟอร์นิเจอร์รางๆ
ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอและหอบหายใจตัวโยน ก่อนจะปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดและได้ข้อสรุปว่า
เขาฝันร้าย
มันเป็นฝันร้ายที่น่ากลัวและน่าขยะแขยงที่สุดเท่าที่เคยสัมผัสมา
เสียงสุดท้ายที่ยังกังวานอยู่ในหัวคือเสียงสตรีนางหนึ่ง เธอกำลังร้องเรียกเขา แต่นั่นไม่ใช่ชื่อของเขา
“ฝันน่ะ.......มันก็แค่ฝัน”
คีระผ่อนลมหายใจให้กลับมาสงบอีกครั้ง มือข้างหนึ่งยกปาดเหงื่อและเสยผมที่เปียกลู่ออกจากใบหน้าอย่างลวกๆ
คนเดียวที่คีระคิดถึงตอนนี้ก็มีเพียง
“........เซเลีย เหรอ”
มีบางอย่างขาดหายไปรึเปล่านะ
ตั้งแต่ที่รู้จักกันมาคีระก็ไม่เคยสงสัยและไม่เคยหาคำตอบ ว่าทำไมเซเลียถึงได้มีเลือดสีขาว และทำไมตัวเองต้องดื่มเลือด และก็ทำไมอีกนั่นแหละ ทำไมเขาถึงได้หวงแหนและคอยปกป้องเพื่อนคนนี้นัก
จะบอกว่าเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวก็คงใช่ แต่จะเป็นแค่นั้นเหรอ
พวกผู้ใหญ่มองว่าเขากับเธอเป็นคู่ครองกันในอนาคต แต่ในใจของคีระกลับไม่ได้คิดกับเซเลียแบบนั้น
สรุปแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอคืออะไรกันแน่
เหมือนกับว่ามีบางอย่างที่หายไป
แล้วมันหล่นหายไปที่ไหนล่ะ
“ฮ้า......”
ในค่ำคืนที่ทุกอย่างหลับใหล มีเพียงเสียงถอนหายใจของผู้ที่ตื่นจากฝันร้ายที่นั่งมองออกไปยังป่าครึ้มด้านนอกเพียงลำพัง
เช้าวันสดใส
และมันก็สดใสกว่าทุกวัน เพราะวันนี้เป็นวันที่เหล่านักเรียนของฟีนิกส์รอคอย
เส้นทางของฟีนิกส์ได้เปิดออกและทอดยาวเข้าไปในเมืองเอิร์น
“ดูนั่นสิ”
“เห็นแล้วน่า ตื่นเต้นอะไรนักหนานะ เธอนี่”
“นายเองก็ทำหน้าให้มันสดใสหน่อยเถอะ คีระ”
“ช่างฉันเถอะน่า”
“ฮะๆๆๆ คีระเหมือนคนอดนอนมาเป็นชาติเลย”
บรุ๊คที่ยังสดใสได้ตลอดกล่าวทักออกมาโต้งๆ และเหมือนจะจริง เพราะเจ้าตัวที่ถูกพูดถึงสะอึกไปชั่วขณะ
“อย่าบอกนะว่าตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ”
“เฮอะ! ที่บ้านฉันก็มีทำไมต้องตื่นเต้นด้วย”
“เออๆ นายมันเจ้าชายนี่นะ”
“พูดอีกทีฉันโกรธละนะ”
“เอาน่ะ ถือว่าฉันไม่ได้พูด โอเค๊”
เทศกาลฤดูหนาวของเมืองหลวง ช่างเป็นอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจอะไรอย่างนี้ มองไปทางไหนก็มีแต่สีสันของโคมไฟ ร้านรวงมากมาย ดึงดูดผู้สัญจรผ่านให้แวะเข้าไปเชยชม
“ดูนี่สิ กริซสายฟ้า งานฝีมือจากลาริแมร์ บ้านเกิดฉันเองล่ะ”
ไรรีย์หยิบกริซสีฟ้าเทอร์คอยด์ที่มีแสงสว่างอ่อนๆ ขึ้นมาและบอกเล่าอย่างภาคภูมิใจ ต่อหน้าเพื่อนๆ ที่ดูจะสนใจเป็นพิเศษ
“โอ๊ะ! อันนี้คงจะมาจากมอลดาไวด์สินะ”
บรุ๊คพูดออกมาบ้างพลางก้มมองเครื่องประดับอัญมณีสีน้ำเงินที่ร้านข้างๆ
สายตาแต่ละคนมองหาของที่น่าสนใจสำหรับตัวเอง และกองทัพก็ต้องเดินด้วยท้องตามระเบียบ
ของกินจากร้านค้าต่างถิ่นถูกวางไว้บนโต๊ะหินอ่อนท่ามกลางเด็กหนุ่มสาวที่กำลังลิ้มลองรสชาติอย่างเอร็ดอร่อย
“คีระ ไม่กินเหรอ”
“หืม อ้อ อืม......”
“เป็นอะไรรึเปล่า ท่าทางนายจะไม่สบายจริงๆ นะเนี่ย”
“ห่วงอะไรไม่เข้าท่าน่ะ ฉันสบายดีหรอก”
“นี่ๆ กินเสร็จแล้วเราไปดูละครกลางแจ้งกันไหม”
“ละครกลางแจ้ง? คืออะไรเหรอ”
“ฮะๆๆ เซเลียไม่รู้จักสินะ มันไม่เชิงว่าเป็นละครหรอก แต่เป็น….”
“การอันเชิญเทพเจ้าน่ะ”
จาเลนชิงตอบก่อน ทั้งเรียบง่ายและได้ใจความ
เซเลียเอียงคอเล็กน้อยพยายามทำความเข้าใจกับประโยคแสนห้วน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถามอะไรอีก ในโลกนี้คงมีอะไรที่เธอยังไม่รู้อีกเยอะเลย
“แต่ได้ยินมาว่าต้องมีบัตรเข้าไปนี่นา” เลล่าพูดออกมาบ้าง
“ฮะๆๆ เราจะดูแบบไม่ต้องใช้บัตรไง”
โลเวลยิ้มตาหยีและหันไปมองหน้าจาเลน เหมือนทั้งคู่จะรู้กันดี ก่อนที่มือของทั้งสองคนจะชี้ขึ้นข้างบนพร้อมกัน เรียกสายตาเพื่อนๆ ให้แหงนมองตาม
มันคือหอคอยด้านหลังพวกเขานั่นเอง
“อย่าบอกใครนะ”
โลเวลยกนิ้วจรดปากตัวเองพร้อมกับขยิบตาข้างหนึ่ง เป็นที่รู้กันว่าพวกเขากำลังทำในสิ่งต้องห้าม
ใช้พลังวิเศษแอบขึ้นไปบนยอดหอคอย
“สุดยอดเลย”
เซเลียชะเง้อมองลงไปด้านหลังที่เต็มไปด้วยผู้คนกำลังยืนล้อมวงดูการแสดงกลางสระน้ำขนาดใหญ่กลางเมือง ละครกลางแจ้งที่โลเวลพูดถึง ที่แท้ก็เป็นการร่ายรำของนักเวทกับสัตว์เทพนี่เอง
“นี่เหรอการอันเชิญเทพเจ้า สวยจัง”
“เธอนี่ตื่นตาตื่นใจไปซะทุกเรื่องเลยนะ”
คีระไม่วายจะแขวะไปเสียทีหนึ่ง แต่ตัวเองก็ยังมองการแสดงเบื้องล่างอย่างสนใจเหมือนกัน
“อย่าเสียงดังล่ะ ทหารของฟีนิกส์ถูกไหว้วานให้มาดูแลความเรียบร้อยของงานนี้ ถ้าพวกเขาจับได้ว่าเราแอบขึ้นมาละก็ จบไม่สวยแน่”
“นั่นสินะ”
ทุกคนเห็นตรงกันและไม่วายจะก้มมองลงไปข้างล่างที่ยังมีทหารเฝ้ายามอยู่
เซเลียมองการร่ายรำตรงหน้าอย่างหลงใหล ความงดงามที่ไม่เคยเห็นในคะยา แม้แต่ในอาณาจักรซาลันก็ยังหาดูยาก สัตว์เทพร่ายรำตามจังหวะไปพร้อมๆ กับนักเวท ท่ามกลางแสงเหนือที่กำลังเริงระบำอยู่เบื้องบน
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงเรียกว่าการอัญเชิญเทพเจ้า เหมือนกับว่าถูกมนตร์สะกดให้ล่องลอยเข้าไปหา
หมับ!
“เฮือก!”
“มันอันตรายนะ”
จาเลนพูดขึ้นพร้อมกับมือสองข้างของเขาจับแขนเซเลียเอาไว้ทั้งสองข้าง และเมื่อรู้สึกตัวอีกที เท้าสองข้างของเซเลียก็กำลังแกว่งอยู่กลางอากาศ
นี่เธอกำลังกระโดดหอคอยเหรอเนี่ย
พอหันไปมองเพื่อนๆ ก็เห็นแต่ละคนกำลังเพลิดเพลินแต่ก็ไม่มีใครเป็นเหมือนเธอเลย
“เพลงของสัตว์เทพบางท่อนสามารถสะกดจิตคนฟังได้ ระวังเอาไว้หน่อยก็แล้วกัน”
จาเลนอธิบายง่ายๆ ในขณะที่มือสองข้างช้อนใต้รักแร้เซเลียพาเธอกลับเข้ามา
“ขะ ขอบใจนะ จาเลน”
จาเลนตอบรับแค่เพียงการพยักหน้าน้อยๆ เขาไม่ใช่คนช่างพูด แต่กลับแสดงออกได้ชัดเจนยิ่งกว่า
เซเลียหันกลับไปมองการร่ายรำนั้นอีกครั้ง ภาพแห่งความสุขของผู้คนสะท้อนในดวงตาของเด็กสาว และก่อนที่จะได้เคลิบเคลิ้มกับมันไปมากกว่านี้ แรงสั่นสะเทือนประหลาดก็ทำให้เซถลาล้มหงายหลัง
ครืนนน!!!
“เฮือก!”
ตุ้บ!
“อะ! อะไรน่ะ”
“เกิดอะไรขึ้น”
เสียงอึกทึกครึกโครมดังมาจากกลุ่มคนด้านล่าง และเมื่อชะเง้อลงไปก็เห็นว่าผู้คนกำลังวิ่งหนีเอาตัวรอดจากอสุรกายที่โผล่ออกมาจากประตูมิติที่ปรากฏขึ้นกลางงานเต้นรำ
“อะไรกัน นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
“งานเทศกาลกลายเป็นสนามรบภายในเวลาไม่นาน ทหารและนักเวทตามจุดต่างๆ กำลังต่อสู้กับอสุรกายที่โผล่ออกมาเล่นงานชาวเมือง ผู้คนบางส่วนถูกสังหารอย่างไร้ปรานี ต่อหน้าต่อตา
“แม่ครับ! ฮืออออ!!!!”
เสียงเด็กร้องท่ามกลางความอลหม่าน เบื้องหน้าคืออสุรกายที่กำลังเยื้องย่างเข้ามาหมายจะกัดกระชากร่างเด็กน้อยคนนั้น
กร๊าซ!!!
ฉัวะ!
ควาก!!!
ร่างของอสุรกายน่าเกลียดน่ากลัวถูกผ่าออกเป็นสองซีกจากหัวไปถึงหางก่อนที่จะมันจะได้กัดกระชากเด็กน้อยเพียงเส้นยาแดงผ่าแปด
แปะๆๆๆ .....
หยดเลือดสีแดงกลิ่นคาวคลุ้งไหลเยิ้มบนดาบเหล็กสีดำ
“นี่เธอ เป็นนักเรียนของฟีนิกส์เหรอ” ทหารกลุ่มหนึ่งที่มาถึงทักขึ้น
“ถ้ามีเวลาว่างขนาดนั้นก็พาคนออกไปจากที่นี่ซะก่อนเถอะ”
คีระตอบปนหงุดหงิดก่อนจะตวัดดาบฟันร่างอสูรอีกตนจนขาดครึ่ง
พวกอสุรกายกำลังทยอยออกมาจากประตูมิติ และกำลังตีวงล้อมเข้ามาเรื่อยๆ
กรรรร!!!
“ชิ! ไอ้พวกสกปรก”
เปรี้ยง!!!
สายฟ้าเส้นหนึ่งพุ่งลงมาเจาะเข้ากลางหัวของอสุรกายตนหนึ่ง พร้อมกับร่างของหญิงสาวเจ้าของสายฟ้าที่ร่อนตัวลงมายืนอยู่ด้านหลังคีระ
“ให้ตายซี่ นายนี่ ช่องโหว่เต็มไปหมด”
“ยังอยู่อีกเหรอ”
“อยู่ไม่ได้รึไง”
ถึงจะพูดจาแดกดันกันสุดท้ายก็ต้องระวังหลังให้กันอยู่ดี
กรรรร!!!
“อ๊ากกกกกกกก!!!”
กร้วม!
“ย้ากกกกกกก!!!!”
ผลั๊วะ!!!!
กร๊อบบบบบ!!!!
ตู้มมมมมมม!!!!
ร่างของอสูรตนหนึ่งถูกกระแทกจนหักครึ่งและกระเด็นเข้าไปอัดกับกำแพงจนทะลุไปอีกฝั่งของถนน
“ฮือออออ!!!!”
“ไม่เป็นไรนะ มาทางนี้เร็ว”
เซเลียเข้ามาอุ้มเด็กที่อีกคนออกไปจากซากปรักหักพังและกระโดดหลบกรงเล็บของอสูรอีกตนได้อย่างหวุดหวิด
โครมมมม!!!
ตุบ!
แต่ก็ยังมีอีกตนที่พุ่งเข้ามาจากด้านหลังแบบไม่ทันตั้งตัวเสียนี่
กรรรร!!!
“อะ!”
ฟึ่บ!
กร๊าสสสสสส!!!!
พายุหมุนรุนแรงถูกส่งมาอัดร่างของอสูรจนแหลกไปต่อหน้าเซเลีย ที่มาของกระสุนวายุนั้นมาจากจาเลนที่กำลังพุ่งตัวมาจากอีกฟากของถนน
“ไม่เป็นไรนะ”
“อะ อื้อ”
“ไปกันเถอะ”
“อื้ม”
เซเลียอุ้มเด็กวิ่งตามหลังจาเลนไปติดๆ แต่ถูกอสุรกายเข้าจู่โจมกลางอากาศ
กรรรรรรร!!!!
กร๊าสสสสสสสสสสสส!!!!
“อ่ะ!”
ตู้มมมมม!!!
“จาเลน!”
จาเลนถูกอสูรหลายตนรุมทึ้งจนตกลงไปในแม่น้ำ ในขณะที่เซเลียพยายามยื่นมือไปคว้าเพียงชายเสื้อของชายหนุ่มแรงระเบิดจากตึกข้างๆ ถล่มลงมา
ครืนนนนน!!!!
เซเลียกอดเด็กน้อยไว้แน่นและพุ่งตัวสุดแรงที่มีเพื่อหลบเศษซากปรักหักพังที่ร่วงกราวลงมา
พลั่ก!
“อึก!”
“พี่สาว” เด็กน้อยคลานออกมาจากอ้อมกอดของเซเลียและพยายามทั้งเรียกทั้งดึงแขนของเธอให้ออกมาจากเศษซากปรักหักพัง แตก็ไม่ได้ทำให้สิ่งใดขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย
“ไม่เป็นไร รีบไปหาทหารตรงนั้นนะ วิ่งไป! เร็วเข้า!”
เด็กน้อยเชื่อฟังและวิ่งเข้าไปหาทหารที่อยู่ใกล้ที่สุด ส่วนเซเลียยังพยายามลุก แต่ก็ต้องพบกับข่าวร้ายเมื่อขาข้างหนึ่งถูกเหล็กแหลมแทงทะลุยึดติดกับพื้นเอาไว้ ขยับไปไหนไม่ได้
“อึก!”
เหล็กแหลมเสียบทะลุขาเซเลียและแถมตอนนี้ซากปรักหักพังก็ร่วงกราวลงมมทับร่างเซเลียซ้ำจนแทบจะจมไปกับเศษซากของความหายนะพวกนี้แล้ว
“รอสักประเดี๋ยว เราจะยกมันออก”
เสียงทหารดังเข้ามาพร้อมกับผู้คนบางส่วนที่เข้ามาช่วยกันยกเศษอิฐเศษปูนที่ทับเซเลียอยู่ออกไป
แย่ล่ะสิ ถ้าพวกเขาเห็นว่าเซเลียมีเลือดสีขาวแล้วละก็ เป็นเรื่องแน่
ทำไงดีล่ะ
ทำไงดี
“นั่นอะไรน่ะ”
“งูเหรอ”
“ไม่ใช่ นั่นมัน อ๊ากกกก!!!!”
“อ๊ากกกกกกกกกก!!!”
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นเพียงชั่วขณะก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบลงไป ราวกับว่ารอบตัวเซฌลียตอนนี้ไม่มีผู้คนอยู่เลย และเมื่อเงยหน้าขึ้นมองถึงได้เห็นความจริง ผู้คนกลายเป็นหินและแตกสลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย บ้างก็กลายเป็นฝุ่นปลิวหายไปต่อหน้าต่อตาเซเลีย
“พี่สาว ระวังฮะ!”
เด็กคนเดิมที่เซเลียช่วยเอาไว้วิ่งกลับเข้ามาและไม่ทันได้ถึงตัวเซเลียเขาก็กลายเป็นหินและแตกสลายกลายเป็นฝุ่นไปต่อหน้า
“ไม่จริง”
ครือออออออออ!!!!
เสียงคำรามมาพร้อมกับลมหายใจเหม็นจนลมแทบจับ และเมื่อหันไปมองก็พบกับร่างทะมึนที่กำลังคืบคลานออกมาจากประตูมิติตรงหน้า
สัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ ลำตัวยาวเฟื้อยเต็มไปด้วยเกล็ดหนาและแหลมคมราวกับมีดดาบนับพัน และดวงตาสีเหลืองคู่ใหญ่ที่สังหารพวกทหารและเด็กน้อยต่อหน้าต่อตาเซเลีย
มันคือ บาซิลิสก์!!!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ