Lupa de Cartier : ความลับแห่งแฮนเรียสตา
เขียนโดย Amku
วันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 00.06 น.
แก้ไขเมื่อ 6 มีนาคม พ.ศ. 2560 00.23 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) บันทึกครั้งที่ 1 ของลูปา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
เรื่องราวของฉันเริ่มต้น ณ ที่แห่งนั้น ‘สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเมอร์รีกินส์’ ตัวฉันผู้ซึ่งอยู่อย่างโดดเดี่ยวในทุกวันกำลังหวนระลึกถึงความทรงจำเมื่อครั้งยังเด็ก ครอบครัวของฉันเราอยู่กันอย่างอบอุ่นสามคนพ่อ แม่ และตัวฉัน นาน ๆ ครั้งถึงจะมีญาติฝ่ายพ่อมาเยี่ยมบ้างแต่ด้วยระยะเวลาที่ผ่านมานานเหลือเกินทำให้ฉันลืมไปหมดแล้วว่าใครหน้าตาเป็นอย่างไรจำได้ น่ากลัวว่ายิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไรความทรงจำแสนสุขในอดีตก็ยิ่งเลือนรางมากเท่านั้น
ครอบครัวเรามีบ้านหลังเล็กอยู่ท้ายหมู่บ้านพวกเราอยู่ที่นั่นไม่เคยออกนอกหมู่บ้านสักครั้ง จนวันหนึ่งที่แม่บอกฉันด้วยสีหน้ายินดีว่าเราจะย้ายไปอยู่กับญาติฝั่งแม่ที่เมืองหลวงพวกเราจึงจำต้องย้ายออกมา ในตอนนั้นฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมืองหลวงเป็นอย่างไรหรือญาติฝั่งแม่เป็นใครที่ไหน รู้เพียงแต่ว่าแม่ดีใจมากอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในตอนนั้นเหมือนจะมีแสงแห่งความสุขเรืองรองรอบตัวแม่เชียวล่ะ แม่พร่ำบอกฉันว่าทุกอย่างใกล้คลี่คลายแล้วแม่เอาแต่ท่องกลอนเดิมซ้ำไปซ้ำมา
ผู้กินแหนงแคลงจิตด้วยโทสา
เปล่งฤทธาโชนแสงทุกแห่งหน
ถูกสยบจบลงทั้งตัวตน
ที่อดทนรอมาไม่เสียแรง
ฉันไม่แน่ใจว่าถูกต้องทุกคำหรือเปล่าแต่ก็น่าจะประมาณนี้นะ ทุกครั้งที่พวกเราเริ่มเก็บของภายในบ้านฉันเห็นพ่อมักเหม่อมองไปที่ใดที่หนึ่งเสมอแต่ถึงอย่างนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าแม่พ่อก็ไม่เคยแสดงท่าทีเหล่านั้นออกมาให้เห็นเลย ฉันเฝ้านับวันรอด้วยใจจดจ่อโดยไม่รู้เลย...ว่าวันนั้นมันไม่มีทางมาถึง พวกเราออกเดินทางแต่เช้าตรู่การเดินทางเต็มไปด้วยเรื่องตลกของพ่อเคล้ากับเสียงหัวเราะของแม่และฉัน แต่ทว่าความทรงจำสุดท้ายที่เหลืออยู่คือความมืดสนิทและเสียงของพ่อแม่ที่ร้องเรียกฉันเท่านั้น นี่คือจุดผิดสังเกตจุดที่หนึ่งที่ฉันจับได้
จุดที่สองคือฉันมาอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเมอร์รีกินส์ด้วยความช่วยเหลือจากแฮนเรียสตา พวกเขาเป็นเจ้าชีวิตของทุกคนเพราะในเมืองหลวงแห่งนี้ถูกปกครองโดยสภาแห่งแฮนเรียสตา ฉันไม่ได้รู้รายละเอียดเกี่ยวกับตระกูลนี้เท่าไรนักรู้เพียงแต่ว่าฉันอยู่และใครอีกหลายคนอยู่ในสถานะเด็กอุปการะของและแน่นอนสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้จะเป็นของใครไปได้ล่ะถ้าไม่ใช่ของพวกเขา เมื่อฉันเข้ามาอยู่ที่นี่พยายามสืบหาเกี่ยวกับตัวเองมากเท่าไรก็ไม่เคยได้คำตอบที่ดี การถามคำถามเดิมและได้คำตอบกลับมาเป็นท่าทีรำคาญและคำโกหกมันทำให้ฉันได้เรียนรู้ว่าการไม่ถามไม่ยุ่งไม่อยากรู้มันคงจะดีกว่า ฉันไม่เชื่อและไม่มีทางเชื่อกับคำพูดอันไร้น้ำหนักที่ว่าพ่อกับแม่ทิ้งฉันไว้หรือแม้กระทั่งคำที่ว่าท่านทั้งสองตาย มันไม่มีทางที่สาเหตุการมาอยู่ที่นี่ของฉันจะเปลี่ยนไปทุกครั้งที่ถามเพราะถ้ามันเปลี่ยนง่ายขนาดนั้นก็หมายความว่าคำพูดของพวกเขาเป็นเพียงลมปากอันไร้น้ำหนักและยิ่งน่าสนใจมากขึ้นว่าพวกเขากำลังปิดบังอะไรบางอย่างกับฉันหรือเปล่า ไม่มีทางเลยที่จะไม่มีเอกสารการเข้ามาอยู่ของเด็กแต่ละคน แต่ก็นะ...เราจะอยากได้คำตอบกับคนที่ไม่จริงใจไปทำไมกันเพราะไม่ว่าอย่างไรฉันก็ยังมีความหวังอยู่เสมอว่าสักวันจะได้พบพ่อกับแม่อีกครั้ง ในตอนนั้นมักจะมีคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวฉันเสมอว่าครอบครัวพ่อที่เคยมาเยี่ยมเรานั้นพวกเขาหายไปไหนหมดหนอ ครอบครัวแม่ในเมืองหลวงที่เราตั้งใจมาอยู่ด้วยไม่เคยคิดจะตามหาฉันเลยหรือไร เขาจะรู้กันไหมว่าฉันอยู่ที่ไหนทำอะไรอยู่
หลังจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างครั้งใหญ่ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้ทำให้พวกเราได้ผู้อำนวยการคนใหม่ที่ซึ่งไม่มีนางสกุลต่อท้ายว่าแฮนเรียสตา ฉันอดภาวนาในใจไม่ได้ว่าขอให้เธอให้โอกาสเด็กทุกคนได้เท่าเทียมกันบ้างแม้พวกเราจะกำพร้าเหมือนกันแต่ไม่เคยสักครั้งที่จะได้ความสำคัญเท่ากัน เธอลองคิดถึงโลกที่พวกเราถูกจัดไว้ให้อยู่สิ โลกแห่งความอ้างว้างและหนาวเหน็บที่ซึ่งไร้ความรักและการเหลียวแล คนทุกคนต่างต้องการที่ที่เป็นโซนปลอดภัยของตัวเองแต่พวกเราไม่มี ต่างคนต่างต่อสู้เพื่อการถูกยอมรับซึ่งตัวฉันเองก็หลุดพ้นไปจากความจริงข้อนี้ไม่ได้เช่นกัน ฉันพยายามเป็นคนเก่งที่สุดเพื่อได้รับคำชื่นชมจากเหล่าคณาจารย์มากที่สุด ฉันไม่เคยทำผิดกฎที่ตั้งไว้เพื่อเหล่าผู้ดูแลจะได้ไม่มองด้วยสายตาหยามหมิ่น แต่แล้วอย่างไรล่ะ ? ต่อให้ฉันเก่งเพียงไหนหรือดีเพียงใดสุดท้ายพวกเขาก็ทอดถอนใจพลางบอกว่าเสียดายที่ฉันเป็นฉัน ผู้อำนวยการทุกคนที่ผ่านมาช่างดูสนุกกับการเหยียบย่ำหัวใจของเด็กคนหนึ่งเสียจริง
ฉันไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงจงเกลียดจงชังกันนักแต่ตราบใดที่ผลการเรียนของฉันยังดีเยี่ยมที่สุดและไม่เคยออกนอกลู่นอกทางพวกเขาก็ทำได้เพียงกล่าวว่าฉันเป็นเด็กที่ใครก็ไม่ต้องการซ้ำไปซ้ำมาเท่านั้น ฉันสงสัยว่าแฮนเรียสตาใช้เกณฑ์อะไรเลือกคนมาเป็นผู้อำนวยการกันแน่เพราะแต่ละคนดูไม่ได้รักการทำงานนี้เลยสักนิดเดียว แต่ดูเหมือนจะเปลี่ยนเกณฑ์ใหม่เพราะผู้อำนวยการคนใหม่คนนี้ช่างเอาใจใส่มากกว่าคนอื่นที่อยู่มาเหลือเกิน เธอมาอยู่ที่นี่ในปีที่ฉันอายุ 15 ซึ่งเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตฉันพอดี กฎหมายกำหนดว่าเด็กทุกคนจะต้องได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานจนมีอายุครบ 15 ปี ทายสิเมื่อฉันได้เรียนครบตามที่กฎหมายกำหนดแล้วจะเป็นยังไงต่อ…ก็ต้องออกไปจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไปทำมาหาเลี้ยงชีพเองน่ะสิ เว้นแต่ว่าเธอจะสามารถหาผู้อุปการะต่อได้ซึ่งเรื่องนี้ทางสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจะเป็นผู้ส่งเรื่องไปให้สภาแห่งแฮนเรียสตาพิจารณา แม้ว่าผลการเรียนของฉันจะดีมาตลอดแต่มันก็อดหวั่นไม่ได้เมื่อตัวฉันเป็นเด็กที่ผู้อำนวยการคนก่อนๆไม่ใคร่พอใจนัก เป็นเรื่องน่ายินดีที่ครั้งนี้ฉันถูกเสนอชื่อไปไม่ใช่ยายแมรี่คนนั้น อ่านมาถึงตรงนี้เธอคงจะคิดว่าแมรี่คือใครจะบอกให้ก็ได้ว่าหล่อนเป็นคนที่ฉันไม่อยากสุงสิงด้วยมากที่สุดคนหนึ่งเพราะเธอคือหัวโจกของคนที่ไม่ชอบฉันอย่างไรล่ะ หล่อนช่างเป็นคนที่หาเรื่องเก่งกว่าใครและไม่เคยมีใครคิดจะห้ามเลยสักนิด เด็กกำพร้าหลายคนพอใจที่จะได้เป็นจุดรวมความสนใจจึงไปอยู่กลุ่มกับแมรี่เกือบหมดส่วนที่เหลือก็มักเป็นอย่างฉันที่โดดเดี่ยวไร้มิตรและไม่มีความสุข ฉันไม่รู้ว่าหากออกไปจากสถานลี้ยงเด็กกำพร้าแล้วชีวิตของพวกเขาจะไปในทิศทางไหนอันที่จริงฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทางเดินของตัวฉันเองจะเป็นไปตามที่วาดหวังไว้หรือเปล่าเพราะตอนนี้มันมาไกลจากที่คิดไว้เหลือเกิน สองสามวันที่ผ่านมาฉันถูกฝึกหนักจากคุณเมอร์รีกินส์ ( พวกเรามักเรียกผู้อำนวยการว่าคุณเมอร์รีกินส์แม้ว่าพวกเธอจะมีชื่อของตัวเองอยู่แล้วก็ตาม ) เธอจ๋าฉันไม่เคยรู้สึกเหนื่อยขนาดนี้มาก่อน ฉันต้องฝึกเดินฝึกนั่งฝึกพูดฝึก ๆ ๆ ๆ ทุกอย่างให้ออกมาสง่างามคุรเมอร์รีกินส์เธอว่ามาอย่างนั้น ‘ความสง่างามเป็นคุณสมบัติที่กุลสตรีพึงมี’ เธอมักพูดคำนี้ทุกทั้งที่ฉันเริ่มหาทางอู้ คุณเมอร์รีกินส์คนใหม่นี้เป็นคนเข้มงวดแต่ใจดีทุกคำพูดของเธอไม่เคยมีคำดูหมิ่นเหมือนแฮนเรียสตาชั้นสูงที่ผ่านมา
เธออาจจะคิดว่าฉันนี่ช่างเขียนกระทบกระเทียบผู้มีพระคุณเหลือเกินบอกตรงๆเลยว่าฉันสำนึกบุญคุณไม่ลง เมืองเธมส์ซึ่งก็คือเมืองที่ฉันอยู่นี่แหละถูกปกครองโดยแฮนเรียสตา ‘นักรบผู้ห้าวหาญเกียงไกร’ (คำนี้พวกเราต้องพูดทุกครั้งก่อนกินข้าว) สัญลักษ์รูปสิงโตตัวใหญ่ปรากฏอยู่ทั่วเมือง เอ้อ อันที่จริงฉันไม่รู้หรอกว่าทั่วเมืองจริงหรือเปล่าฉันจำจากหนังสือมาไม่เคยออกไปเที่ยวเมืองหรอกนาน ๆ ทีพวกเราถึงจะได้ไปเทศกาลสำคัญบ้างเรียกว่าโตในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเลยก็ได้ เธออาจสงสัยว่าพวกเราไม่เบื่อแย่หรอ ? ไม่จ้ะพวกเราไม่เคยเบื่อไม่มีเวลาว่างให้เบื่อด้วยซ้ำ เราเรียนวันละสามชั่วโมงส่วนเวลาที่เหลือใช้ไปกับการนอนอีกห้าชั่วโมง เหลือสิบหกชั่วโมงไว้สำหรับฟอกหนัง ใช่ ฟอกหนังสัตว์เธออ่านไม่ผิดหรอกเพราะเธมส์เป็นเมืองที่มีการส่งออกหนังสัตว์เป็นหลักดังนั้นผู้มีพระคุณของฉันจึงให้เหล่าเด็กกำพร้าที่อุปการะไว้ทำงานตอบแทนเพื่อความสมน้ำสมเนื้อแต่ผิดกฎหมายซึ่งฉันว่าจะผิดหรือไม่ผิดก็ตามพวกเขาไม่ได้สนใจหรอกในเมื่อคนออกกฎก็คือแฮนเรียสตาเอง
โรงงานนรกของพวกเราเด่นเรื่องการฟอกฝาดหนังซึ่งเป็นวิธีฟอกธรรมชาติโดยข้สารแทนนินสกัดจากไม่พวกยูคาลิปตัส ควีบราโค เพื่อเปลี่ยนสภาพหนังดินให้เป็นหนังที่ทนทาน เราจะนำหนังที่ทำความสะอาดแล้วมาใส่ในถังไม้ที่ต่อเรียงกันไปแบบอนุกรมเพื่อการชะล้างจากบ่อหนึ่งๆไปสู่อีกบ่อหนึ่ง เราจะแช่สารแทนนินทิ้งไว้ในถัง หลังจากฟอกแล้วเราก็จะนำหนังไปล้างฝาดออกด้วยกรดออกซาลิก ซึ่งขั้นตอนการล้างฝาดนี้จำเป็นและสำคัญมากๆ เพราะจะมีผลกับคุณภาพของหนัง ฝาดส่วนเกินจะต้องหมดไปจริงๆ หลังจากนั้นจึงนำมารีดน้ำเพื่อทำให้แห้ง ตัดแต่ง เจียรผิวกันต่อไปและรอการขาย ขอหยุดการฟอกหนังไว้เท่านี้ก่อนเพราะถ้าจะให้ฉันอธิบายถึงราบละเอียดยิบย่อยคงไม่ต้องทำอะไรต่อกันพอดี แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้พวกเราไม่ได้ทำงานหนักขนาดนั้นแล้ว ฉันไม่รู้ว่าคุณเมอร์รีกินส์คนใหม่ทำอย่างไรให้เวลาการทำงานของพวกเราลดลงไปได้ถึงสิบกว่าชั่วโมงแต่มันก็เป็นเรื่องน่ายินดีใช่ไหมล่ะ
นี่ก็ดึกมากแล้วเอาไว้ฉันเล่าตอนต่อไปวันหลังก็แล้วกันนะ ช่วงนี้ฉันค่อนข้างยุ่งเธอคงไม่ว่าอะไรนะถ้าฉันจะปล่อยให้รอนานสักหน่อย ต้องขอโทษด้วยที่ฉันอาจเขียนวกวนไปแต่สัญญาว่าครั้งต่อไปจะพยายามให้ดีกว่านี้ ให้ดีเท่าที่เจ้าของสมุดบันทึกเล่มนี้คาดหวังเลยล่ะ!
ลูปา
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ