โซ่รักไฟปรารถนา

-

เขียนโดย ศิริพารา

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เวลา 22.01 น.

  10 ตอน
  0 วิจารณ์
  11.99K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 22.03 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) ตอนที่ 3 100%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ชานเมืองแอลเมเรียซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศเป็นที่ตั้งของบ้านชั้นเดียวหลังเล็กขนาดสองห้องนอน สองห้องน้ำ ซึ่งนราวิกาซื้อต่อจากครอบครัวของเพื่อนที่เคยเทกคอร์สบาริสต้าด้วยกันตอนอยู่ที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก โดยใช้เงินในบัญชีของผู้เป็นแม่ที่ต้องพักรักษาตัวหลังจากที่หมออนุญาตให้พาแม่กลับมาดูแลที่บ้านได้นั้น นราวิกาเพิ่งคลอดลูกสาวได้เพียงห้าเดือน

ห้องเช่าเล็กๆ ที่มีทั้งเด็กอ่อนและผู้ป่วยนอนติดเตียง ไม่มีความสะดวกและนานวันเข้าอาจจะทำให้เธอซึ่งเป็นคนรับภาระหนักเสียสุขภาพจิต แม้จะมีอันเดรคอยช่วยเหลือดูแลลูกสาวให้แต่เขาก็ต้องมุ่งมั่นเรียนให้จบมหาวิทยาลัย อีกทั้งช่วงนั้นอันเดรก็ดูเหมือนว่าจะขัดแย้งกับทางบ้านอย่างหนัก จนต้องตัดสินใจย้ายออกมาเช่าอพาร์ตเมนต์อยู่เพียงคนเดียว

แต่กว่าที่จะสามารถเบิกเงินในบัญชีออกมาใช้จ่ายได้นั้น นราวิกาต้องรับภาระอันหนักอึ้งอยู่ถึงสองปี ทุกอย่างดูหนักหนาสาหัส เหนื่อยจนสายตัวแทบขาดในช่วงที่ต้องพาแม่กลับมารักษาตัวอยู่ในห้องเช่า ต้องกินอาหารทางสายยาง อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้บนเตียง เธอต้องลาออกจากร้านเดิมเพราะทางร้านไม่อนุญาตให้หอบลูกสาวตัวน้อยไปทำงานด้วย ซึ่งนราวิกาก็เข้าใจในกฎระเบียบดี

เธอจึงต้องแก้ปัญหาด้วยการหาร้านกาแฟเล็กๆ ซึ่งอยู่ใกล้กับอพาร์ตเมนต์ซึ่งส่วนมากกลุ่มคนชนชั้นแรงงานจะเข้ามาใช้บริการ ดูสบายๆ ไม่มีพิธีรีตองมากนักและดูเหมือนว่าจะเห็นใจและเข้าใจกับปัญหาที่เธอพบเจอ บางครั้งหากลูกค้าเข้ามาใช้บริการพร้อมๆ กัน เจ้าของร้านยังมีน้ำใจช่วยดูแลลูกสาวให้ บางครั้งเพื่อนร่วมงานก็ผลัดเปลี่ยนกันอุ้ม พูดได้เต็มปากว่าเธอและพีด้ายังโชคดีที่คนรอบข้างเข้าใจในความจำเป็นและช่วยเหลือตามแต่กำลังของแต่ละคน

เวลาผ่านไปจนกระทั่งพีด้าอายุหนึ่งขวบ นราวิกาก็สามารถเบิกเงินในบัญชีก้อนนั้นออกมาได้ด้วยคำแนะนำของเจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์และทนายความอาสา ซึ่งดำเนินการตามกระบวนการกฎหมายให้จนเรียบร้อย

นราวิกาจึงสามารถซื้อบ้านหลังเล็กๆ แถบชานเมืองแอลเมเรียนี้ต่อจากครอบครัวของเพื่อนบาริสต้าด้วยกันที่จะย้ายไปอยู่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กทั้งหมด

การย้ายครอบครัวซึ่งมีทั้งเด็กเล็กและผู้ป่วยนอนติดเตียงมาใช้ชีวิตในสังคมใหม่ ไม่รู้จักมักคุ้นกับใครมาก่อนนั้นเป็นเรื่องน่าลำบากใจสำหรับนราวิกายิ่งนัก แต่ต่อให้อยู่ในอพารต์เมนต์ในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กที่ต้องจ่ายค่าเช่าไปเรื่อยๆ นั้น เทียบดูแล้วเธอก็ยอมที่จะสละเงินก้อนเดียวในชีวิตไป ให้แม่และลูกสาวได้มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง ถึงแม้ว่าต่อจากนี้เธอต้องทำงานให้หนักขึ้นก็ตาม

หวนคิดถึงอดีตทีไรนราวิกาก็ยังแปลกใจไม่ได้ว่าตัวเองผ่านช่วงเวลาแห่งความโหดร้าย ยากลำบากใจนั้นมาได้อย่างไร กำลังใจจากลูกสาวตัวน้อยผู้มีดวงตากลมโตสีฟ้าเข้มนี่กระมัง ที่ทำให้เธอฮึดสู้ เสียงใสเริ่มจากอ้อแอ้จนพูดเก่งเป็นประโยคนั้นฉุดรั้งเธอให้ลุกขึ้นสู้หลังจากที่ล้มลงด้วยความเหนื่อยอ่อนทั้งร่างกายและจิตใจมานับครั้งไม่ถ้วน

“แม่คะ หนูขอแบ่งเค้กไปให้มักซิมได้ไหม” เสียงของพีด้าดังขึ้นหลังเดินออกมาจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ชาวแอลเมเรียเรียกว่า มีโตร ซึ่งเป็นระบบขนส่งมวลชนหลักที่ครอบคลุมทุกมุมเมืองและสะดวกสบายที่สุด

“ได้... แต่ความจริงน่าจะบอกแม่ตอนที่อยู่ในร้าน จะได้เลือกมาฝากอีกชิ้น” นราวิกาบอกลูกสาว

“ก็เปลืองตังค์แม่สิคะ ตัดชิ้นเล็กไปให้มักซิมก็พอ เพราะเมื่อวานเราก็แบ่งไอศกรีมกินกันคนละครึ่ง อุ๊บ!” พูดแล้วก็รีบยกมือขึ้นปิดปาก เพราะหลุดเปิดเผยความลับออกมาแล้ว

นราวิกามองหน้าลูกสาวอย่างคาดโทษ หลังจากที่เป็นหวัดเรื้อรังมาเกือบสองสัปดาห์ ไปหาหมอถึงสามครั้งแต่ก็กลับมามีน้ำมูก ไอ จามไม่หยุด สุดท้ายจับได้ว่าลูกสาวชอบกินไอศกรีมอยู่บ่อยๆ

“แม่อย่าโกรธน้า... ก็หนูชอบ” แหงนหน้าขึ้นสบสายตาคนเป็นแม่เริ่มออดอ้อนสุดกำลัง

“อ่อ ประหยัดเงินซื้อเค้ก แต่ไม่ประหยัดเงินค่ายาหมอสินะ” นราวิกาก้มมองลูกสาวที่จับมือตนเอาไว้แน่น แกว่งไปมาแล้วหรี่ตามองอย่างสำนึกผิด

โอ... ดวงตาสีฟ้าเข้มคู่นี้สินะทีทำให้เธอใจอ่อนทุกครั้งที่ต้องดุ ยิ่งโตก็ยิ่งมีวิธีการจ้องมองและออดอ้อนเหมือนเจ้าของดวงตาคู่คมที่เธอสั่งตัวเองให้ฝังทุกอย่างเกี่ยวกับเขาเอาไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ

“ไม่เอาน่า... เด็กๆ กับไอศกรีม ช็อกโกแลต หรือขนมหวานก็เป็นของคู่กัน ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ” อันเดรเป็นฝ่ายออกรับแทนเช่นเดิม

“ไม่ใช่อย่างนั้นนะ หนูขอโทษ ต่อไปจะไม่ทำอีกแล้ว นะคะ แม่อย่าโกรธนะ” พีด้าบอกแล้วรีบวิ่งนำหน้าคนเป็นแม่ไปไม่กี่ก้าว ก่อนจะหมุนตัวกลับมายืนกางแขนออกทั้งสองข้าง เมื่อแม่หยุดเดินแล้วจึงชิดปลายเท้าทั้งสองข้างแล้วพนมมือไหว้ ก้มศีรษะพร้อมเลื่อนเท้าข้างหนึ่งไปด้านหลังตามที่เคยถูกสอนมา “หนูขอโทษ จะไม่ทำให้แม่โกรธอีกแล้ว”

นราวิกากลั้นยิ้มจนปวดกรามแต่ก็ยังแสร้งตีหน้าตึงเช่นเดิม นั่นยิ่งทำให้เจ้าของวันเกิดอายุครบแปดขวบใจเสีย สุดท้ายอันเดรก็ใจอ่อนเป็นคนแรกอีกตามเคย

“เอาน่า... ถ้าทำอีกค่อยลงโทษ วันนี้ก็ถือว่าหยวนๆ ให้ถือเสียว่าเป็นของขวัญวันเกิด” อันเดรบอกและพยายามไม่โต้เถียงคำสั่งสอนของนราวิกาต่อหน้าเด็ก

แม้ในยามที่ท้องฟ้ามืดมิดแต่ดวงตากลมโตสีฟ้าเข้มช่างสดใส ยิ่งเป็นประกายระริกเมื่อเห็นคนเป็นแม่พยักหน้าเป็นเชิงยกโทษให้

“เย่... หนูจะไม่ทำให้แม่โกรธอีก” พูดแล้วกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “รักแม่ที่สุดในโลกเลย เดี๋ยวหนูจะวิ่งกลับบ้านก่อนนะคะ คุณยายรอแย่แล้ว”

ไม่ต้องรอคำตอบแม่คนขี้อ้อนก็วิ่งจากไป ทว่าวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็วิ่งกลับมาใหม่พร้อมประโยคที่ทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองคนมองหน้ากันอย่างไร้คำบรรยาย ได้แต่หัวเราะออกมาอย่างขบขัน

“รักลุงด้วยนะคะ ลุงเยี่ยมที่สุดเลย อันเดร”

วิ่งห่างออกไปโดยมีสายตาทั้งสองคู่มองตามด้วยความเอ็นดู “ดูเอาเถอะว่ากะล่อนสักแค่ไหน พีด้าคงเข้าใจว่าการพนมมือไหว้คือการขอโทษและสำนึกผิดขั้นสูงสุด”

“ดูเก้ๆ กังๆ แต่ก็น่ารักดี”

“ไม่ได้ฝึกบ่อยๆ น่ะสิ ตอนถอนสายบัวถึงจะล้มมิล้มแหล่” นราวิกานึกขันอยู่ในใจทุกครั้งที่เห็นลูกสาวพนมมือไหว้พร้อมถอนสายบัว การที่ไม่ได้ทำบ่อยๆ เพราะไม่ใช่ประเพณีของประเทศที่อยู่อาศัยทำให้ดูไม่คล่องตัวแต่ก็น่ารักในสายตาของคนเป็นแม่นัก “นี่ฉันคิดไม่ออกเลยนะว่าถ้าโตกว่านี้จะรับมือกับพีด้าได้รึเปล่า”

อันเดรเห็นด้วยกับคำพูดนั้นไม่น้อย การได้เห็นคนสนิทของเพื่อนเก่าทำให้เขาอดนึกถึงพ่อแท้ของพีด้า คำพูดเพียงเล็กน้อยก็สะกิดใจแต่ก็ยังฝืนยิ้มให้เพื่อน “โธ่ แม่เลี้ยงเดี่ยวจอมอึดอย่างคุณมีอะไรที่ทำไม่ได้”

“จริงๆ นะ บางทีเด็กสมัยนี้ก็มีความคิดแปลกๆ ที่ฉันคิดว่าตัวเองเข้าไม่ถึง”

ความจริงแล้วนราวิกาและพีด้าอาจจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้ หากได้อยู่ในความดูแลของเชเชนนอฟ จำได้ว่าตอนที่ยังอาศัยอยู่ในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กแล้วได้เห็นว่าเธอต้องลำบากมากมายนัก จึงคิดจะสารภาพความจริงให้เธอได้รู้แต่กลับกลายเป็นว่าเพียงแค่เอ่ยชื่อเชเชนนอฟขึ้นมา ความโกรธเคือง ขุ่นข้องหมองใจที่นราวิกาแสดงออกมารุนแรง จนถึงขั้นตัดขาดความเป็นเพื่อนต่อกัน

ยิ่งนานวันความเห็นใจ เข้าอกเข้าใจในครอบครัวเล็กๆ ของนราวิกาก็ยิ่งมีมากขึ้น อันเดรรู้สึกเหมือนตนเองกลายเป็นพี่ชาย เป็นเพื่อนของนราวิกา ความผูกพันต่อเด็กหญิงตัวน้อยทำให้เขารักและเอ็นดูคิดว่าตัวเองกลายเป็นลุงของพีด้าเข้าแล้วจริงๆ แล้วยังคิดภาพไม่ออกว่าหากบอกความจริงทุกอย่างออกไปจะถูกกีดกัน ชังน้ำหน้ามากสักแค่ไหน เทียบได้จากปฏิกิริยาที่มีต่อเชเชนนอฟ

ความขี้ขลาดตาขาวและกลัวว่าในโลกนี้จะไม่หลงเหลือเพื่อนที่แท้จริง ตอนนี้ก็เหมือนไร้ญาติขาดมิตรไม่ต่างจากอยู่ตัวคนเดียวแล้ว ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้ต่างหากที่เกาะกินหัวใจของอันเดรให้ผัดวันประกันพรุ่ง ผัดคำสารภาพเรื่อยมาจนปล่อยให้เวลาล่วงเลยมาถึงบัดนี้

ความเงียบของคนข้างๆ นั้นทำให้นราวิกาแปลกใจยิ่งนัก กระทั่งตอนนี้ที่เธอหยุดเดินแต่อันเดรยังคงเดินใจลอยไปเรื่อยๆ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเดินนำเธอไปสองสามก้าวแล้ว ตั้งแต่รู้จักกันมาไม่มีเรื่องไหนที่จะทำให้อันเดรเหม่อลอยได้เช่นนี้นอกเสียจากเรื่องของครอบครัวและเสียพนัน

ฝ่ามือบางที่วางไว้บนบ่าทำให้อันเดรหลุดออกมาจากห้วงความคิดและหันกลับไปยิ้มให้เพื่อนด้วยสีหน้าที่แสร้งทำว่าเป็นปกติ “อะไร?”

“หวังว่าคงไม่ใช่เรื่องเสียพนันนะ” นราวิกาดักคอเพราะเรื่องเงินเป็นเรื่องเดียวที่เธอไม่อาจให้ความช่วยเหลือเจือจุนใครได้

อันเดรส่ายหน้าและถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ใส่ความกันชัดๆ”

“ก็ปั้นหน้ายังกับแบกเอาไว้ทั้งโลก ใจลอยจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้วจะให้ฉันคิดเป็นอย่างอื่นได้ไงล่ะ”

ทั้งคู่หยุดการก้าวเดินเพราะมาถึงตรงหน้าประตูบ้านแล้ว อันเดรจึงเลื่อนมือขึ้นตบบนหลังมือของเพื่อนเบาๆ “ถึงจะไม่มีสาวมาตกหลุมรักจริงๆ จังๆ สักทีแต่ผมก็เป็นคนดีคนหนึ่งเชียวล่ะ ที่สำคัญต้องเป็นพ่อที่เลี้ยงลูกแทนเมียได้เก่งมาก ถ้าใครไม่เชื่อ มาดูพีด้าเป็นตัวอย่างเลย”

นักพนันหรือคนที่ชอบเสี่ยงดวงเสี่ยงโชคในสังคมที่เธอเติบโตขึ้นมาจนอายุสิบสี่ปีถือเป็นการกระทำผิดกฎหมาย แต่เมื่อย้ายตามแม่มาอยู่ในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กหรือแม้แต่กระทั่งในแอลเมเรียนี้ มีกาสิโนเปิดอย่างถูกต้องตามกฎหมาย สล็อตแมชชีนตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าเป็นเรื่องปกติ ถือเป็นเกมผ่อนคลายความตึงเครียด บางคนมีอาชีพเป็นนักพนันมีรายได้หลักจากการเล่นพนันในกาสิโน ซึ่งนราวิกาไม่เคยมีดวงทางด้านนี้เอาเสียเลย

นราวิกาหัวเราะร่วนและเข้าใจไปว่าเพื่อนคงจะกลุ้มใจเกี่ยวกับเรื่องทางบ้าน “ก็จริง ถ้าตัดเรื่องนักเสี่ยงโชคตัวยงออกไปน่ะนะ”

อันเดรกลอกสายตาไปมาอย่างระอาใจให้กับคนที่เอื้อมมือไปเปิดประตูบ้านแล้วเดินนำหน้าเข้าไปเสียก่อน “งั้นคืนนี้ผมก็คงต้องไปหาสาวสวยชอบเสี่ยงดวงเหมือนกันมาโชว์คุณสักคน”

เสียงพูดที่ไม่ดังนักนั้นทำให้นราวิกาหันกลับไปเบ้ปาก มองค้อนอย่างรู้ทันความคิด “คันไม้คันมืออยากเล่นก็ไปเถอะ ไม่ต้องมาหาข้ออ้างหรอก”

อันเดรยิ้มแล้วเดินตามร่างสมส่วนเข้าไปด้านใน บ่อยครั้งที่เขาเคยคิดอยากเลิกเล่นพนันเพราะมันเป็นตราบาปที่ผลักดันให้ทำเรื่องผิดๆ จนความผิดนั้นติดอยู่ในใจเสมอแต่เหมือนว่าความชอบเสี่ยงดวงและลุ้นกับผลได้ผลเสียนี้มันจะแทรกซึมอยู่ในสายเลือดแล้ว จนแล้วจนรอดก็ไม่เคยห้ามใจตัวเองไม่ให้ก้าวเข้าไปในกาสิโนได้สักครั้ง!

หากความผิดในครั้งเก่ายังสามารถเตือนตัวเองให้เล่นอย่างมีสติ เมื่อได้แล้วต้องรู้จักพอ แต่ถ้าเสียติดๆ กันสักสามเกม นั่นต้องย้ำตัวเองให้หนักว่าไม่ใช่วันของตน ต้องรู้จักหยุดก่อนจะเสียจนหมดตัวอีกเช่นเดิม

เมื่อทุกคนเดินเข้ามาในบ้านแล้ว อาริน่า เพื่อนบ้านวัยกลางคนซึ่งรับหน้าที่ดูแลราณีให้ก็กล่าวคำอวยพรให้กับสาวน้อยพีด้าซึ่งนั่งนวดเฟ้นเท้าทั้งสองข้างให้กับคุณยายอยู่ปลายเตียง

“มีความสุขมากๆ เป็นเด็กดีนะจ๊ะพีด้า” อาริน่าบอกและเอื้อมมือไปลูบศีรษะด้วยความเอ็นดู

“ขอบคุณค่ะ” เจ้าของวันเกิดรับคำพร้อมด้วยรอยยิ้มสดใสแล้วหันมานวดให้คุณยายต่อ คือหน้าที่ประจำ “คุณยายสบายไหมคะ”

แม้คุณยายจะมีการตอบสนองน้อยมาก เพียงแค่การกะพริบตาแต่นั่นก็ทำให้นราวิกาดีใจมากแล้ว หากอาการไม่ดีขึ้นก็ขออย่าให้แย่ลงกว่านี้เลย การพูดคุยและนวดเฟ้นกล้ามเนื้อจึงเป็นสิ่งที่คุณหมอให้คำแนะนำในการดูแลผู้ป่วยที่ต้องผ่าตัดสมอง ทั้งยังเป็นอัมพาต และนราวิกาก็ถ่ายทอดให้ลูกสาวพูดคุยกับคุณยายอยู่ตลอดเวลา

“ขอบคุณนะคะ ความจริงน่าจะอยู่กินมื้อเย็นด้วยกัน ไหนๆ เจฟก็ไม่อยู่บ้าน” นราวิกาชักชวน

“ไม่ดีกว่า ฉันว่าจะเดินไปถามข่าวที่มีเด็กหายสักหน่อย” อาริน่าตอบ

“เด็กที่ไหนคะ ทำไมฉันไม่รู้เรื่องเลย” นราวิกาซักต่อ ในขณะที่อันเดรเข้ามาถือถุงอาหารมื้อเย็นจากเพื่อนแล้วเดินไปยังโต๊ะอาหาร

“อ่อ... เมื่อเช้าก็ว่าจะเล่าให้ฟังแต่ตอนที่ฉันมาถึงก็ไม่เจอคุณแล้ว” อาริน่าบอกและถอนหายใจออกมาด้วยความวิตกเพราะไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้ในละแวกที่ตนอาศัยเลย “ลูกชายของบ้านที่อยู่สุดถนนนี้หายตัวไปเมื่อวาน ตอนแรกก็นึกว่าไปเล่นบ้านเพื่อน แต่ดึกดื่นก็ไม่กลับ พอพ่อแม่ออกตามหาไปที่บ้านเพื่อนก็ไม่เจอเลยต้องไปแจ้งความ จนป่านนี้ยังไม่พบตัว นี่ฉันก็ว่าจะไปถามข่าวคราวว่าคืบหน้าไปถึงไหนบ้าง เด็กๆ แถวนี้ยิ่งมีหลายคนอยู่ด้วย”

นราวิกาใจหายวาบเหลือบสายตาไปมองลูกสาวในทันที “ตายจริง! อยู่มาตั้งหลายปีไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้เลย”

“ได้ข่าวว่าอยู่โรงเรียนเดียวกันกับพีด้าด้วยนะ แต่น่าจะเป็นรุ่นพี่สักสองสามปี” แม้จะโล่งอกที่ลูกชายทั้งสองของเธอเรียนชั้นมหาวิทยาลัยแล้วแต่ก็อดเป็นห่วงเด็กๆ ที่อยู่อาศัยละแวกนี้ไม่ได้ ด้วยความที่เธอเป็นแม่บ้าน ในช่วงที่คนส่วนมากออกไปทำงาน เธอก็เหมือนเป็นคนที่คอยสอดส่องความเรียบร้อยให้กับเพื่อนบ้าน “ช่วงนี้คุณก็ต้องดูแลพีด้าดีๆ เมื่อครู่นี้ฉันก็กำชับแล้วว่าห้ามรับของจากคนแปลกหน้า”

“ค่ะ ขอบคุณนะคะ” นราวิกาพยักหน้ารับแล้วมองตามร่างท้วมที่เดินออกไป ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะอาหาร “น่าสงสารทั้งเด็กแล้วก็พ่อแม่นะ ได้ยินข่าวแบบนี้ฉันหดหู่ใจจัง”

“ไม่เอาน่า ถ้าเราดูแลพีด้าไม่ให้คลาดสายตา เรื่องแบบนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น” อันเดรบอกแล้วเดินไปหยิบแก้วที่วางอยู่หลังตู้เย็น เมื่อนราวิกาเข้ามาช่วยจัดอาหารลงในจาน “แต่แปลกจัง กฎหมายแอลเมเรียนี่แรงมาก ตั้งแต่ที่คุณย้ายมาอยู่นี่ ผมยังไม่เคยได้ยินเรื่องแก๊งลักเด็กเลย”

แน่นอนว่ากฎหมายของประเทศที่เปลี่ยนจากระบอบคอมมิวนิสต์มาเป็นประชาธิปไตยต้องหนักหนาและเข้มงวดมากกว่าปกติอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นคงจะใช้ควบคุมประชาชนซึ่งยังศรัทธาและอยากล้มระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยนี้ไม่ได้ แต่นั่นก็อยู่ทางภาคเหนือของแอลเมเรียซึ่งห่างไกลจากศูนย์กลางของประเทศที่เธออาศัยนัก

ผลดีของกฎหมายอันเด็ดขาดคือแอลเมเรียกลายเป็นประเทศที่มีการก่ออาชญากรรมน้อยที่สุด ที่อยู่อาศัยของประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีรั้วรอบขอบชิด นอกเสียจากบุคคลที่มีฐานะร่ำรวย มีบริเวณบ้านอันกว้างใหญ่เท่านั้น

“นั่นน่ะสิ แล้วแบบนี้ฉันจะกล้าปล่อยพีด้าไปเล่นที่สนามเด็กเล่นได้ยังไง” พูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเป็นกังวล ก่อนจะละสายตาจากอันเดรไปมองลูกสาว “พีด้า... ไปล้างมือให้เรียบร้อยแล้วมากินมื้อค่ำได้แล้วลูก”

“ช่วงนี้ก็คงต้องงดก่อน จนกว่าตำรวจจะหาตัวคนร้ายได้ แต่ผมว่าเราคงไม่โชคร้ายอย่างนั้น” บอกแล้วตบหลังมือบางอย่างให้กำลังใจ หากเขาผสมโรงเพิ่มความหวาดหวั่นไปอีกคน นั่นยิ่งทำให้จิตใจของนราวิกาว้าวุ่นมากขึ้น ซึ่งไม่ได้เป็นผลดีอะไรเลย “พีด้า... มาเร็วๆ วันนี้มีแต่ของโปรดหนูทั้งนั้น”

เจ้าของวันเกิดเดินหน้าระรื่นมานั่งลงบนเก้าอี้ตัวประจำแล้วรีบกางมือทั้งสองข้างขึ้นห้ามอันเดรในทันที “วันนี้หนูแปดขวบแล้ว ไม่ต้องสวมผ้ากันเปื้อนแล้วนะคะอันเดร”

เกิดความเงียบงันขึ้นชั่วครู่หลังจากจบคำพูดของคนที่อยากโตเป็นผู้ใหญ่ นั่นทำให้อันเดรและพีด้าต้องละสายตาจากกันแล้วหันไปมองหน้าคนที่มีอำนาจตัดสินอย่างเด็ดขาด

นราวิกาหรี่ตามองลูกสาวอย่างลังเลใจ “โอเค แม่จะยอมแต่ถ้าเป็นเสื้อสีขาวลูกต้องใส่ผ้ากันเปื้อนนะ”

“ได้เลย... พีด้าเชื่อฟังแม่อยู่แล้ว” จับส้อมเอาไว้ในมือแล้วชูขึ้นอย่างดีใจแล้วหันไปเรียกคุณยายให้รับประทานมื้อค่ำด้วยกันจนเป็นกิจวัตร “คุณยายมากินด้วยกันนะคะ”

โต๊ะอาหารชุดเล็กซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากเตียงนอนของราณีมากนัก ทั้งนี้ก็เพราะไม่อยากให้ผู้เป็นแม่รู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง แม้จะไม่สามารถขยับตัวได้แต่ก็ได้ยิน มองเห็น น้ำตาซึมทุกครั้งที่ลูกสาวไม่เคยทอดทิ้งให้กลายเป็นผู้ป่วยอนาถา ทั้งที่ความจริงแล้วราณีนั้นไม่ค่อยสนใจไยดีกับลูกเลี้ยงอย่างนราวิกานัก

“พีด้า... ช่วงนี้ลูกงดไปเล่นที่สนามเด็กเล่นสักพักนะ แม่กลัว” นราวิกาเอ่ยขึ้นหลังจากที่ลงมือรับประทานอาหารไปได้สักพัก “แล้วลูกรู้จักคนที่หายไปไหม”

พีด้าพยักหน้ารับเร็วๆ ทั้งที่เคี้ยวไก่อบตุ้ยๆ อย่างเอร็ดอร่อย “รู้จักค่ะ เขาอยู่เกรดสี่ แต่พีด้าไม่เคยเล่นกับเขา มีแต่มักซิมที่เล่นฟุตบอลกับเขา”

คำตอบและท่าทางของลูกสาวนั้นทำให้นราวิการู้ได้โดยสัญชาตญาณของแม่ว่า... ลูกสาวยังไม่รู้และเข้าใจถึงอันตรายของแก๊งลักพาตัวเด็กนัก จึงต้องรีบย้ำเตือนให้เข้าใจ

“พีด้า... ต่อไปนี้ถ้าจะไปเล่นที่ไหนควรจะอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ ห้ามชวนกันออกไปกับมักซิมสองคนเหมือนที่ผ่านมาเด็ดขาด” คำพูดของเธอนั้นสังเกตได้ว่าลูกสาวหน้านิ่วคิ้วขมวด หากยังอยู่ในประเทศไทยแก๊งลักพาตัวเด็กคนจะจับตัวไปตัดมือตัดเท้าแล้วให้ไปเป็นขอทานแต่ประเทศนี้กลับมีภัยร้ายในรูปแบบที่แตกต่างกัน

พีด้าถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ไม่ต่างจากลูกบอลที่ถูกเจาะลมจบแฟบ นั่นเพราะยังไม่รู้ถึงภัยอันตรายที่อาจเกิดขึ้นและเป็นธรรมดาที่เด็กๆ มักจะต่อต้านกับคำว่า ‘ห้าม’

“ในสนามเด็กเล่นก็ห้ามเหรอคะ” พีด้าถามพร้อมมองหน้าแม่และลุงสลับกัน เมื่อได้รับคำตอบเป็นการส่ายหน้าก็หันไปจิ้มชิ้นไก่อบส่งเข้าปาก เคี้ยวช้าๆ อย่างเซ็งจิต

“ก็แค่ช่วงนี้เท่านั้นแหละคนสวย ชวนมักซิมมาเล่นในบ้านก็ได้นี่” อันเดรบอกแล้วเลื่อนแก้วโกโก้มาวางใกล้มือแทนคำปลอบ ซึ่งไม่ได้ช่วยให้คนที่ถูกขัดใจและไม่เข้าใจดีขึ้นเลย

“หรือลูกไม่กลัว ถ้าเกิดว่าชวนกันออกไปเล่นเหมือนเดิมแล้วถูกจับตัวไป ไม่ได้เห็นหน้าแม่ คุณยาย อันเดร ไม่ได้กลับบ้านอีกนะ” นราวิการู้ว่านี่คือคำขู่ซึ่งไม่เป็นผลดีกับเด็กนัก แต่เธอต้องการให้ลูกสาวรับคำอย่างหนักแน่นเสียก่อน ซึ่งคิดเอาไว้ในใจว่าก่อนเข้านอนคงต้องอธิบายกันยืดยาวให้เข้าใจอีกครั้ง

“แล้วจะจับเด็กไปทำไมคะ”

“ก็... อาจจะจับไปล้างสมองแล้วฝึกหนักๆ เป็นทหารรับจ้างหรือพวกมือระเบิดพลีชีพ” แม้เป็นสิ่งที่ไม่น่าฟังนักแต่นราวิกาก็ต้องบอกให้ลูกสาวได้รับรู้

“หรือไม่ก็อาจจะจับไปเป็นเด็กส่งยาเสพติด ถูกขายในตลาดมืดออกไปนอกประเทศ” อันเดรเสริม

แน่นอนว่าเด็กเจ้าปัญหามีทุกคำถามตามมาและอาหารมื้อเย็นฉลองครบอายุเจ็ดขวบก็เต็มไปด้วยการตอบคำถาม ซึ่งนราวิการู้สึกว่าไม่ได้เสียแรงเปล่าในการอธิบายยืดยาวเพราะท่าทางที่แสดงออกมานั้นเข้าใจ พยักหน้ารับและไม่มีท่าทีว่าจะต่อต้านเหมือนตอนแรก

พีด้าวางส้อมแล้วหันมาหยิบแก้วโกโก้ร้อนขึ้นดื่ม ผงโกโก้ที่ลอยหน้ายังเลอะขอบปากบนจนเจ้าตัวต้องแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากตัวเองแผล็บๆ ซ้ายบ้างขวาบ้างตามประสาเด็ก นั่นทำให้บรรยายกาศบนโต๊ะอาหารดีขึ้นทันตา

“แต่พีด้าว่าโจรไม่ชอบพีด้าหรอก”

“ไหงงั้นล่ะ?” อันเดรถามต่อ

“ก็พีด้าพูดมาก เจ้าปัญหาไม่จบสิ้น แม่พูดบ่อยๆ ว่าปวดหัวเพราะคำถามของพีด้า ถ้าจับตัวไปโจรก็ปวดหัวสิคะ” พูดแล้วลอยหน้าลอยตามั่นใจเสียเต็มประดาว่าความคิดของตนนั้นถูกต้อง

ส่วนแม่และลุงนั้นไม่รู้ว่าจะตอบโต้อย่างไรดีจึงได้แต่หัวเราะพรืดออกมา การมีลูกสาวเจ้าปัญหาบ่อยครั้งก็ทำให้เธอแทบจะหา Ear Muff มาใส่หูไว้ตลอดเวลา แต่หัวข้อที่คุยกันอยู่นี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ที่จะปล่อยผ่านไปได้ง่ายๆ นราวิกาจึงใช้วิธีตั้งคำถามให้ลูกสาวเป็นฝ่ายหาคำตอบด้วยตัวเอง

“ก็จริงอย่างที่พีด้าพูด แต่โจรไม่ได้อยู่กับลูกมาก่อน ไม่รู้จักลูกเหมือนที่ลูกไม่รู้จักโจร แล้วโจรจะเลือกได้ไหมว่าจะจับเด็กพูดน้อยไป ถ้าไม่จับตัวไปเสียก่อน คราวนี้ถึงพูดมากแค่ไหนก็คงเอาแต่ร้องไห้เพราะกลัวแล้วก็คิดถึงแม่น่ะสิ”

จากเดิมที่คิดว่าจะทำให้โจรปวดหัว คราวนี้พีด้าเป็นฝ่ายพยักหน้าเสียเอง “ก็จริงอย่างที่แม่พูด”

คำตอบที่เลียนแบบทั้งน้ำเสียงและท่าทางของผู้เป็นแม่นั้น ทำให้อันเดรหลุดหัวเราะออกมาอย่างจนใจจะต่อกรด้วยจริงๆ ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวยังไม่รู้เรื่องว่าผู้ใหญ่หัวเราะชอบใจด้วยสาเหตุใดแต่กลับเลื่อนตัวลงจากเก้าอี้ ตั้งใจจะวิ่งไปชวนมักซิมมาเป่าเทียนฉลองวันเกิด แต่เสียงของแม่ที่ดังขึ้นนั้นทำให้พีด้าชะงักงันอยู่หน้าประตูบ้าน

“พีด้า... จะไปไหน”

“ไปชวนมักซิมมาเป่าเทียน... อุ๊ย!” เหมือนเพิ่งจะคิดได้ว่าตัวเองนั้นเพิ่งรับปากว่าจะไม่ออกจากบ้านคนเดียว เมื่อคิดได้จึงเดินไหล่ตกกลับมานั่งบนเก้าอี้เช่นเดิม

ท่าทางเศร้าสร้อย หมดสนุกนั้นทำให้นราวิกานึกสงสารจึงดึงลูกสาวมากอดปลอบ “เราเป่าเทียนกันแค่นี้ก็ได้ เดี๋ยวค่อยแบ่งเค้กเอาไปให้มักซิมที่บ้าน แม่จะได้ไปถามข่าวกับอาริน่าด้วยว่าตำรวจสืบเรื่องเด็กที่หายไปถึงไหนแล้ว”

พีด้าพยักหน้ารับอยู่กับอกนุ่มของแม่ แล้วเงยหน้าขึ้นเลื่อนมือทั้งสองข้างแตะตรงแก้มแล้วจุ๊บปากแม่อย่างที่เคยทำบ่อยๆ “หนูรักแม่”

ไม่ว่าจะโมโห โกรธเคืองเรื่องใดๆ แต่เมื่อได้ยินและได้เห็นแววตาไร้เดียงสาที่บอกรักเธออย่างสุดหัวใจนี้ก็ทำให้นราวิกายิ้มสู้ทุกครั้งไป

“แม่ก็รักลูก... รักจนคิดไม่ออกว่าถ้าพีด้าหายตัวไปอย่างนั้นแล้วแม่จะมีชีวิตอยู่ได้ยังไง” บอกและหอมแก้มนุ่มอย่างแสนรัก ก่อนจะดึงเข้ามากอดแนบอก ลูบแผ่นหลังขึ้นลงราวกับว่าลูกสาวจะหายตัวไป “เพราะฉะนั้นพีด้าต้องเชื่อฟังแม่นะ”

อันเดรก็พลอยตื้นตันใจไปกับความรักของสองแม่ลูก นราวิกาเป็นทั้งพ่อและแม่ที่เข้มแข็ง ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ พีด้าก็เป็นเด็กฉลาด รู้ความเพราะต้องอยู่กับผู้ใหญ่ ฟังผู้ใหญ่พูดคุยกัน จึงเป็นเรื่องปกติที่เด็กจะซึมซับและเลียนแบบคำพูดคำจา

 

ไม่นานนักการเป่าเทียนเค้กวันเกิดก็ถูกบันทึกผ่านกล้องวิดีโอในโทรศัพท์มือถือของอันเดร เตียงคนป่วยของราณีถูกปรับด้านบนให้ชันขึ้น เมื่อพีด้าขึ้นไปนั่งอยู่ข้างๆ คุณยาย แล้วนราวิกาก็เป็นคนถือเค้กเอาไว้ก่อนจะปิดไฟให้มืดเหลือเพียงแสงสว่างจากเทียนไข

ภาพความทรงจำในช่วงเวลาแสนสุขถูกบันทึกไว้ สาวน้อยเจ้าของวันเกิดถูกหอมแก้มไปหลายฟอดจากแม่และลุง สุดท้ายพีด้าจึงหันกลับไปหอมแก้มคุณยายเสียเองก่อนจะหันมาเป่าเทียนวันเกิด

การที่ได้เห็นลูกสาวนั่งกินเค้ก เคี้ยวตุ้ยๆ อย่างอร่อยพร้อมรอยยิ้มนั้นทำให้นราวิกามีความสุขยิ่งกว่า เธอเลี้ยงลูกให้เติบโตขึ้นมาด้วยคุณภาพชีวิตที่ดี แม้ไม่ได้มีทุกอย่างเหลือเฟือแต่ก็ไม่ได้ทำให้ลูกรู้สึกว่าอดอยาก ขาดหาย

นราวิกาทรุดตัวลงนั่งอยู่ข้างเตียงของแม่ เธอจับมืออันเหี่ยวย่น ซีดเซียวนั้นไว้ บีบกระชับเป็นจังหวะและรู้ว่าคนเป็นแม่ก็มีความสุขเพราะน้ำตาที่ค่อยๆ ไหลรินออกมาจากหางตา “หนูรักแม่นะคะ”

ถึงเธอจะไม่ใช่ลูกในไส้ของราณีแต่ก็ไม่เคยลืมบุญคุณที่เลี้ยงดูอุ้มชูมาตั้งแต่แบเบาะ แม่บังเกิดเกล้าของเธอนั้นเป็นน้องสาวแท้ๆ ของราณี ด้วยเหตุผลหลายอย่างที่ตั้งท้องในเวลาไม่สมควรและยังไม่พร้อมที่จะเลี้ยงดู เธอจึงถูกผู้เป็นป้าซึ่งมีเงินและรับผิดชอบภาระนี้ได้ดีที่สุดในบ้านเป็นคนเลี้ยงดู

แม้จะไม่ได้สุขสบายและถูกราณีตำหนิอยู่บ่อยครั้งแต่นราวิกาก็ไม่เคยโกรธเคือง ในวันที่ราณีมาบอกกับทุกคนว่าจะเดินทางไปทำงานที่รัสเซียกับดานิลนั้น เป็นวันเดียวกันกับที่เธอได้รู้ความจริงว่าราณีเป็นป้า แต่คนที่เธอเรียกว่าน้ามาตลอดนั้นคือแม่บังเกิดเกล้า

ราณีจำเป็นต้องบอกเรื่องนี้ให้ได้รู้เพราะต้องให้นราวิกาเป็นคนตัดสินใจว่าจะเลือกอยู่ที่เมืองไทยกับแม่บังเกิดเกล้า หรือเดินทางมารัสเซียกับแม่ที่เลี้ยงดูมา

สุดท้ายเธอไม่ชินและไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองมีความรักและผูกพันกับแม่บังเกิดเกล้าเท่ากับแม่ที่เลี้ยงดูมาเลย ถึงวินาทีนี้นราวิกาก็คิดว่าตนนั้นตัดสินใจถูกต้องแล้ว แม้ไม่ได้มีความเป็นอยู่อย่างสุขสบายแต่ถ้าเทียบกับเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้ง ไม่มีใครเหลียวแล เธอยังถือว่าโชคดีนัก

เหตุผลและสิ่งที่ประสบพบเจอมาด้วยตัวเองทำให้นราวิกาไม่เคยคิดจะทำร้าย ทำลายเลือดเนื้อเชื้อไขที่ก่อร่างสร้างตัวขึ้นเลยสักครั้ง แม้ในตอนนั้นยังไม่พร้อมด้วยเหตุผลทุกประการ มีหลายคำแนะนำที่ให้เธอกำจัดทิ้ง แต่วันนี้ ตอนนี้ เพียงแค่คำว่า ‘หนูรักแม่ที่สุดในโลก’ ก็เป็นเหมือนคำตอบแทนกับความเหนื่อยยากที่ผ่านมาทั้งมวล

เธอมีแม่ที่ให้บอกรักและเธอเป็นแม่ที่ลูกรัก

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา