โซ่รักไฟปรารถนา
-
เขียนโดย ศิริพารา
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เวลา 22.01 น.
10 ตอน
0 วิจารณ์
12.00K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 22.03 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) ตอนที่ 2 100%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหลังจากที่ให้ลูกค้าเดินกลับมาส่งตรงหน้าร้าน เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบเศษก็กล่าวคำขอบคุณและเดินกลับเข้าไปในร้านทันที ทว่าช่วงที่เปิดประตูออกกว้างนั้น ทำให้อันเดรซึ่งกำลังวางลังเมล็ดกาแฟลงบนพื้น เงยหน้าขึ้นมาทันได้เห็นใบหน้าของคนที่เดินมาส่งพีด้าที่หน้าร้าน
ถ้าเขาจำคนไม่ผิดนั่นคือปาเวล แต่ความจำและการที่ได้เห็นใบหน้าเขาไม่ถนัดตา ทั้งยังเดินข้ามถนนไปขึ้นรถยนต์คันยาวที่จอดอยู่ฝั่งตรงข้ามนั้นทำให้อันเดรไม่มั่นใจนัก แม้ว่าจะรีบก้าวออกมาจากหลังเคาน์เตอร์ไปยังหน้าร้านแต่ก็เห็นเพียงแค่รถยนต์คันหรูที่แล่นออกไปแล้วเท่านั้น
อาการรีบร้อนนั้นทำให้นราวิกาขมวดคิ้วมุ่น ตั้งใจจะเอ่ยถามแต่เสียงเจื้อยแจ้วของลูกสาวก็ดังขึ้นเสียก่อน
“เมื่อกี้นี้หนูเจอเจ้าชายด้วย” พาทินธิดาหรือที่ทุกคนเรียกกันว่าพีด้า พูดขึ้นหลังจากที่เดินสวนกับอันเดรเข้ามาในร้าน
“ผู้ชายคนที่เดินมาส่งหนูน่ะเหรอ” อันเดรถามเร็วๆ
“เปล่าค่ะ เจ้าชายนั่งอยู่ในรถ” ตอบคำถามแล้วหันมาพูดกับคนเป็นแม่ด้วยสีหน้าตื่นเต้น “หล่อที่สุดเลยนะแม่”
นราวิกาถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่ ส่ายหน้าให้กับเด็กแก่แดด รู้มาก ช่างพูด ช่วงหลังๆ มานี้เริ่มมีความชอบที่ประหลาดมากกว่าเดิม นั่นคือชอบเขินลูกค้าผู้ชายที่หน้าตาหล่อเหลา ห้ามแล้วปรามแล้วว่าไม่น่ารักแต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
“พีด้า... แม่เคยบอกแล้วว่าเด็กๆ ไม่ควรทำตัวแก่แดดนัก” นราวิกาย้ำอีกครั้ง ในขณะที่สองมือยังคงชงกาแฟตามออเดอร์ไม่หยุดมือ
“ก็ไม่เห็นเขาจะไม่ชอบนี่คะ ยังชมว่าหนูตาโต สวยด้วย”
“พีด้า หนูคุยกับเขาเหรอ” คำถามของอันเดรสร้างความประหลาดใจให้กับนราวิกา ทว่ากลับดูปกติในความรู้สึกของเด็กหญิงอายุเจ็ดขวบเศษ
“เจ้าชายหรือปาเวลคะ” ก็คุยด้วยทั้งสองคนเลยไม่รู้ว่าถามถึงคนไหน
“เขาชื่อปาเวลเหรอ” อันเดรถามด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“คนที่เดินมาส่งหน้าร้านนะคะ แต่เจ้าชายน่ะหนูไม่รู้ว่าชื่ออะไร”
นราวิกาส่ายหน้าถอนหายใจให้กับลูกสาวอีกครั้ง พลางนึกอยากรู้นักว่าหน้าตาจะหล่อเหลาสักแค่ไหน ลูกสาวถึงได้เรียกเจ้าชายทุกคำเช่นนี้ แต่ติดที่ต้องเอากาแฟไปเสิร์ฟให้ลูกค้าเสียก่อนจึงต้องหยุดที่จะซักไซ้ลูกสาวไว้เสียก่อน วันนี้เธอต้องรับบทหนักเพราะพนักงานเสิร์ฟเป็นไข้หวัดใหญ่ ขอลาหยุดจนกว่าอาการจะดีขึ้น
“ปาเวล...” อันเดรยังครางเรียกชื่อนั้นอย่างไม่อยากเชื่อ
อันที่จริงแล้วความสนใจของอันเดรไม่ได้อยู่ที่บอดีการ์ดร่างสูงใหญ่ แต่ถ้าหากเห็นปาเวลนั่นก็หมายความว่าคนที่นั่งอยู่ในรถยนต์คันหรูนั้นคือ เชเชนนอฟ!
คนคนเดียวกันกับที่พีด้าชมว่าหล่อเหลาราวกับเจ้าชาย
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเวลาแปดปีที่ไม่ได้เจอหน้ากันนั้นจะผ่านไปรวดเร็วเช่นนี้ ทุกครั้งที่นึกถึงอดีต ความชั่วร้ายที่ตนเคยทำไว้ก็ไหลบ่าเข้ามาในความคิดไม่ขาดสาย ความหวาดหวั่นที่บรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้เริ่มก่อกวนความสงบของจิตใจ
นราวิกาเดินกลับมายังโต๊ะที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าเคาน์เตอร์พลางยื่นถาดเปล่าให้ลูกสาวที่กำลังเห่อตุ๊กตาตัวใหม่ ของฝากเจออันเดร “อู้งานแบบนี้ แม่จ่ายค่าจ้างไม่เต็มวันนะ”
สาวน้อยช้อนดวงตากลมโตขึ้นมองคนเป็นแม่อย่างไม่เห็นด้วย ริมฝีปากจิ้มลิ้มจู๋จนเกือบจะติดปลายจมูกแต่ก็ยอมวางตุ๊กตาในมือ แล้วถือถาดไม้เพื่อไปเก็บแก้วบนโต๊ะตามที่ตกลงกันเอาไว้
“ถ้าแม่จะโกงเด็ก หนูก็...”
“อ้าว...” นราวิกาอุทานยาวโดยไม่ยอมให้ลูกสาวได้พูดจบประโยค “ก็ไหนว่าโตแล้ว คราวนี้ทำไมถึงได้บอกว่าตัวเองยังเด็กล่ะจ๊ะ คนสวย”
“ไม่คุยกับแม่แล้ว” สะบัดเสียงแล้วเดินจากไปทำตามหน้าที่ของตน
ท่าทางกระเง้ากระงอดดังกล่าวทำให้นราวิกาหัวเราะร่วน บางครั้งเธอก็คิดว่าลูกสาวโตไวเกินไป ใจจริงแล้วอยากจะหยุดเวลาไว้ให้ตัวเล็กๆ เหมือนเด็กสองสามขวบที่ยังไม่ช่างถามช่างพูดอย่างนี้ แต่ข้อดีของเด็กช่างถามจะเรียนรู้เร็ว เข้าใจในสิ่งที่เธออธิบายได้โดยง่าย ช่วยเหลืองานตามที่ได้รับมอบหมาย เพราะเธอย้ำเตือนให้ลูกรู้มาตั้งแต่เล็กๆ ว่าหาเงินมาด้วยความยากลำบาก
นราวิกายิ้มกริ่มเมื่อเห็นลูกสาวเก็บแก้วกาแฟบนโต๊ะวางลงในถาดแล้วเดินไปยังซิงค์ล้างแก้ว จากนั้นจึงเดินกลับมาเก็บแก้วกาแฟบนโต๊ะต่อๆ ไป ทำเช่นนั้นไปทีละโต๊ะตามกำลังแขนของตนเอง “จริงอย่างที่คุณว่านะอันเดร ถึงพีด้าจะพูดจาเกินเด็กแต่ก็มีความรับผิดชอบ”
เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับจึงละสายตาจากลูกสาวมายังคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวตรงกันข้าม “อันเดร...”
คนที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดและความรู้สึกผิดที่ตามหลอกหลอนมาตลอดระยะเวลาแปดปีไม่อาจได้ยินเสียงเรียกของเพื่อนสนิท
“อันเดร!” นราวิกาเรียกด้วยเสียงที่ดังขึ้นอีกระดับพลางยกมือขึ้นโบกไปมาให้เขารู้สึกตัว “เฮ้... ใจลอยไปไหนกัน”
อันเดรกะพริบตาถี่ๆ มองนราวิกาด้วยความรู้สึกผิดอย่างท่วมท้น ผิดมากขึ้นกว่าเดิมที่เขาไม่เคยกล้าที่จะสารภาพความจริงกับเธอ “วะ...ว่าไง”
“คุณโอเคนะ อันเดร”
อันเดรพยักหน้ารับเร็วๆ “ผมจะเป็นอะไร เปล่านี่”
นราวิกาหรี่ตามองอย่างไม่อยากเชื่อ “ปฏิเสธเสียงสูงนี่แปลว่าโกหก ยิ่งตอบว่าเปล่ายิ่งโกหกฉันอยู่แน่ๆ คุณมีเรื่องปิดบังฉันใช่ไหม อันเดร”
น้ำเสียงคาดคั้นระคนจับผิดอยู่ในที ทำให้อันเดรหน้าถอดสีทั้งที่ความจริงแล้วรู้ว่านราวิกาแค่กระเซ้าเล่นเท่านั้น
“ดูสิ หน้าซีดเชียว แอบชอบหนุ่มคนไหน สารภาพมา”
“บ้าน่ะสิ ผมนี่ผู้ชายแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ฟัดได้เฉพาะผู้หญิงเท่านั้นแหละ”
“ก็ใครจะไปรู้ เห็นคุณมองตามผู้ชายคนนั้นแล้วก็นิ่งไป ปล่อยให้ฉันพูดเรื่องพีด้าอยู่คนเดียว ก็นึกว่าที่ตกตะลึงเพราะเพิ่งหาตัวเองเจอ” นราวิกาว่า “มิน่า... อยู่เป็นโสดมาจนป่านนี้”
“ตามสบายเถอะ ผมเคยเถียงชนะคุณที่ไหน” อันเดรบอก ทว่ายังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ เสียงเจื้อยแจ้วก็ดังขึ้นเสียก่อน
“ผู้ชายชอบผู้ชายได้ด้วยเหรอคะแม่” สาวน้อยพีด้าถามแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ ด้วยความอยากรู้ แต่เมื่อไม่ได้คำตอบจากแม่จึงหันไปถามคุณลุงแทน “อันเดร ลุงชอบปาเวลเหรอคะ”
อันเดรยกมือข้างหนึ่งขึ้นคลึงขมับ ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “คุณสร้างปัญหาให้ผมแล้วแนซ จะอธิบายยังไงล่ะทีนี้”
เจ้าของริมฝีปากน่าจูบทำปากจู๋อย่างงอนๆ อีกครั้ง เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนชอบมองว่าตนเป็นเด็กเล็กๆ ที่ต้องร้องโยเย พูดจาไม่รู้เรื่อง เมื่อเห็นท่าทางของแม่และเพื่อนของแม่ทำเช่นนั้นจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงน้อยใจ
“ไม่ต้องพูดก็ได้ หนูไม่อยากรู้เรื่องของผู้ใหญ่หรอก” ไม่พูดเปล่าแต่หยิบตุ๊กตาแล้วทำท่าว่าจะเดินไปนั่งอีกโต๊ะ แต่อันเดรนั้นสอดมือไปเกี่ยวเอาร่างเล็กเอาไว้เสียก่อน
“โธ่... สาวน้อย! ทำไมถึงได้ขี้งอนแบบนี้ ลุงน่ะเหรอจะไม่อยากคุยกับพีด้า ทั้งรักทั้งหลงออกอย่างนี้” พูดพลางออกแรงยกร่างเด็กขี้งอนขึ้นมานั่งซ้อนบนตัก ก้มลงหอมอย่างแสนรักเพราะถ้าพูดกันตามตรงแล้ว ถ้าจะมีใครสักคนดูแลพีด้าแทนคนเป็นแม่แล้วก็คงเป็นเขาเอง ความรู้สึกผูกพันจึงไม่ต่างจากลูกสาวคนหนึ่ง
เมื่อได้คนรับช่วงแทนแล้วนราวิกาก็ผลักภาระนั้นให้เป็นหน้าที่ของอันเดรเพียงคนเดียว เพราะรู้ดีว่าหลังการง้องอนสำเร็จแล้วจะต้องมีข้อต่อรองอะไรสักอย่าง “งั้นก็ทำหน้าที่ของคุณไปนะ เดี๋ยวลูกค้าคนสุดท้ายออกไป ฉันจะปิดร้านแล้ว”
คำพูดนั้นทำให้อันเดรมองตามด้วยสายตาคาดโทษ โดยที่ไม่รู้ว่าคนกำลังงอนทำปากจู๋อีกครั้งแล้วเบี่ยงตัว เงยหน้ามองตามราวกับกำลังรอฟังคำอธิบาย เมื่ออันเดรหันกลับมาเจอจึงหลุดขำออกมาแล้วก้มลงจูบริมฝีปากจิ้มลิ้มนั้นเร็วๆ
“ขอจูบที แม่คนขี้งอน”
มือเล็กๆ ยกขึ้นเช็ดริมฝีปากตัวเองในทันที ท่าทางนั้นทำให้อันเดรเบิกตากว้างแล้วเลื่อนมือทั้งสองข้างไปจั๊กจี้ช่วงเอว “ เดี๋ยวนี้ลุงจูบไม่ได้ใช่ไหม ชักเอาใหญ่แล้วเด็กคนนี้”
จากที่กำลังงอนก็หัวเราะเสียงสดใส “จั๊กจี้น้า... พอแล้ว หนูยอมแล้ว”
“หายงอนด้วยรึเปล่า ถ้ายังไม่หายจะจั๊กจี้อีก”
“หายแล้วๆ” ตอบอย่างรวดเร็วแล้วรีบเลื่อนสองมือไปยึดฝ่ามือหนาของคุณลุงเอาไว้ “ตกลงนี่ผู้ชายชอบผู้ชายได้ด้วยเหรอคะ”
คำถามเดิมนั้นทำให้นราวิกาอมยิ้มละสายตาจากลูกค้าคนสุดท้ายที่เพิ่งเดินออกจากร้านพลางเอื้อมมือไปหมุนป้ายปิดร้านให้หันออกไปด้านนอกพร้อมล็อกประตู แม้สองมือจะเริ่มเช็ดถูของใช้ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะแต่สองหูก็ตั้งใจฟังคำอธิบายที่อันเดรจะตอบลูกสาวของตน
“ก็... โตขึ้นพีด้าจะเข้าใจ”
“หนูโตแล้ว อยู่ที่โรงเรียนมีรุ่นน้องที่อายุน้อยกว่า แล้วคุณครูก็ไม่ได้เรียกพวกเราว่าเด็กๆ แต่บอกว่าเป็นรุ่นพี่ต้องช่วยเหลือรุ่นน้อง”
คำอธิบายเสียยืดยาวก็ทำให้ผู้ใหญ่จนใจ ต้องนึกหาคำพูดที่เข้าใจง่ายๆ มาอธิบายรุ่นพี่เกรดสอง “โอเค คือว่า... ตามธรรมชาติเนี่ยผู้หญิงกับผู้ชายจะรักกัน ตกลงใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันใช่ไหม แต่จะมีผู้ชายบางกลุ่มที่ไม่ได้มีจิตใจรักผู้หญิง แต่รักเพศเดียวกัน เอ่อ... คือลุงหมายถึงรักผู้ชายด้วยกัน”
สาวน้อยตั้งใจฟังแล้วพยักหน้ารับ แน่นอนว่าต้องเกิดคำถามตามมา “แล้วอย่างนี้หนูจะรู้ได้ยังไงว่าผู้ชายคนไหนชอบผู้ชายด้วยกัน”
อันเดรเลิกคิ้ว สูดลมหายใจเข้าลึก ลากเสียงยาวหาคำอธิบายในขณะที่ปรายตาไปมองเพื่อนซึ่งกำลังอมยิ้มแต่ก็ไม่ได้ให้ความช่วยเหลืออะไรเลย “คือ... อันนี้ลุงตอบตามความจริงนะ ต้องรอให้พีด้าโตก่อนแล้วถึงจะแยกแยะได้”
จบคำตอบที่ไม่น่าพอใจนั้นสาวน้อยก็ก้มหน้าต่ำ มองคุณลุงตาขวาง
“จริงๆ นะ ก็เหมือนตอนที่พีด้าเป็นเบบี๋เลือกซื้อผ้าใส่เองไม่ได้ไง แม่ก็ต้องเป็นคนเลือกให้ว่าจะใส่ชุดไหน แต่ตอนนี้พีด้าโตขึ้น รู้จักคิดก็เลือกเองได้ว่าวันนี้จะใส่ชุดอะไร” อันเดรพยายามหาเหตุผลและต้องลอบถอนหายใจ เมื่อเห็นว่าเด็กเจ้าปัญหาไม่ได้มีท่าทีต่อต้าน “เรื่องบางอย่างมันก็ต้องอาศัยเวลา ไม่แปลกและก็ไม่ได้ผิดที่ตอนนี้พีด้าอยากโตเป็นผู้ใหญ่เร็วๆ ตอนลุงอายุเท่าพีด้าก็อยากจะเป็นผู้ใหญ่เหมือนกัน แต่พอได้เป็นผู้ใหญ่จริงๆ ก็อยากกลับไปเป็นเด็ก”
คำอธิบายยืดยาวนั้นทำให้คนเจ้าปัญหาขมวดคิ้วมุ่น เบี่ยงตัวแล้วยกหลังมือขึ้นอังหน้าผากกว้างของอันเดร “ไม่สบายรึเปล่าคะ ลุงดูสับสน”
อันเดรแหงนหน้าระเบิดเสียงหัวเราะก่อนอธิบายยังก้มลงหอมแก้มนุ่มอย่างมันเขี้ยว แน่นอนว่าคนเป็นแม่ที่ต้องตอบคำถามในทำนองนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันก็ส่ายหน้าด้วยความระอาใจ บางครั้งเธอก็อยากรู้ว่าในโลกใบนี้จะมีใครคอยตอบข้อสงสัยของพีด้าได้อย่างไม่จนมุมให้กับความไร้เดียงสาของเด็กๆ บ้าง
วันนี้เป็นวันเกิดของพีด้า หรือพาทินธิดาซึ่งแปลว่าลูกสาวผู้ร่ำรวย ตอนแรกนั้นเธอไม่คิดจะตั้งชื่อภาษาไทยให้ลูกเพราะยากต่อการออกเสียงแต่เรื่องราวหลายอย่างที่ประดังประเดเข้ามาในชีวิตช่วงนั้นทำให้นึกชอบใจกับความหมายของชื่อเหลือเกิน
ประสบการณ์ของความรักครั้งแรกที่ใช้อารมณ์และความรู้สึกเป็นที่ตั้งไม่ใช่เรื่องที่ควรทำเลย ใช่ว่าจะไม่รู้จักป้องกันแต่ความปรารถนาที่ยากจะต้านทานนั้นครอบงำจนไม่คิดว่ามีผลพวงของความสัมพันธ์ลึกซึ้งก่อร่างสร้างตัวขึ้น เมื่อเกิดการเลิกราและเรื่องที่ไม่คาดฝันในชีวิตอีกหลายเรื่องทำให้ชีวิตและจิตใจของเธอซวนเซอยู่หลายครั้งหลายครา
วันที่รู้ว่ากำลังตั้งท้องนั้น เธอเดินทางกลับห้องเช่าด้วยความสับสนมึนงง ไม่รู้ว่าจะจัดการกับชีวิตตัวเองอย่างไร มองไปทางไหนก็มีเพียงความมืดมน แม่คงเป็นคนเดียวที่จะให้คำปรึกษาเธอได้ในเวลานั้น แต่เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเมื่อกลางดึกของวันเดียวกันนั้น ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาแจ้งเหตุร้ายให้ได้รับรู้
แม่และดานิลเกิดอุบัติเหตุรถชน ดานิลเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ส่วนแม่อาการสาหัสเลือดคั่งในสมองต้องพักรักษาตัวในหอผู้ป่วยหนักเป็นเดือน นั่นทำให้ความคิดและความกังวลใจทั้งหมดของนราวิกาอยู่ที่ความปลอดภัยของผู้เป็นแม่ เธอต้องเดินเข้า-ออก โรงพยาบาลและสถานีตำรวจไม่เว้นแต่ละวัน เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถจับกุมคนขับรถคันดังกล่าวมารับโทษได้
หากชีวิตก็ไม่ได้เลวร้ายไปเสียทีเดียวเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจคืนสิ่งของทั้งหมดของแม่และดานิลให้เธอ ภายในกระเป๋าก็มีของใช้ส่วนตัวแต่เงินก้อนหนึ่งซึ่งมีอยู่มากโขที่เห็นในสมุดบัญชีธนาคารนั้นยังพอช่วยให้มีค่ารักษาพยาบาลแม่ไปได้สักระยะหนึ่ง
ความรู้สึกในช่วงนั้นสับสนมาก ตอนเช้าอาจจะตกใจกับอาการของแม่ที่ทรุดลง ตกบ่ายอาจได้โล่งใจเพราะได้รับข่าวว่าค่าใช้จ่ายบางส่วนที่เกิดขึ้นนั้นมีหน่วยงานสังคมสงเคราะห์รับผิดชอบให้
วันไหนมีข่าวดีว่าแม่อาการดีขึ้น อีกหลายวันต่อมาก็ต้องมานั่งกลุ้มใจเพราะไม่อาจจะเบิกเงินในบัญชีออกมาใช้จ่ายได้ เจ้าหน้าที่ของธนาคารยังยืนยันว่าต้องให้เจ้าของบัญชีเซ็นยินยอมถึงจะสามารถทำธุรกรรมต่างๆ ได้
นราวิกายิ้มเศร้าๆ เมื่อนึกถึงความรู้สึกอันย่ำแย่ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เธอตั้งครรภ์ ดีสักแค่ไหนแล้วที่พีด้าไม่ได้รับผลกระทบจากความเครียดและอารมณ์ที่ขึ้นๆ ลงๆ ไม่เป็นปกติในช่วงเวลานั้น เธอต้องทำงานเก็บเงิน ใช้จ่ายเงินทุกบาททุกสตางค์อย่างคุ้มค่าที่สุด เช่นนี้กระมังที่ทำให้นึกประทับใจกับความหมายของชื่อลูกสาว
แม้ทุกคนจะเรียกติดปากว่าพีด้า แต่ความหมายมากมายและมุ่งมั่นที่จะเลี้ยงดูให้ลูกเติบโตขึ้นมาด้วยจิตใจเข้มแข็ง ร่ำรวยด้วยสติปัญญา น้ำใจ เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย
นราวิกายิ้มกว้างเมื่อได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วคุยตอบโต้อยู่กับอันเดรดังขึ้นตลอดเวลา แม้ความสงสัยเกี่ยวกับความรักของชาย-หญิงจะจบลงแต่พีด้าก็ยังมีความสงสัยเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัวซึ่งเธอรับรองว่าคำถามต่างๆ ที่หลุดออกมาจะไม่ซ้ำกันเชียวล่ะ
แม้ชีวิตจะไม่ได้สวยงาม โรยไปด้วยกลีบกุหลาบแต่วันนี้ เวลานี้เธอก็สบายใจกว่าช่วงเวลาอันยากลำบากในอดีตอยู่มากมายนัก อันเดรกลายมาเป็นเพื่อนสนิทที่เธอสามารถระบายความทุกข์ใจ เศร้าใจได้ทุกเรื่อง บางครั้งยังกลายเป็นพี่เลี้ยงพีด้าในตอนที่เธอมุอ่านตำราในช่วงสอบ คุณพ่อจำเป็นที่ต้องไปนั่งดูพีด้าแสดงในงานประจำปีที่โรงเรียนจัดขึ้น แล้วตอนนี้ก็เป็นคนตอบคำถามแทนเธอ
“เอาล่ะ... ตอนนี้แม่เก็บร้านเรียบร้อยแล้ว พีด้าจะนั่งอยู่กับอันเดรตรงนี้ใช่ไหม แม่จะได้ไปเลือกเค้กคนเดียว” ไม่พูดเปล่าแต่หยิบกระเป๋าขึ้นมาคล้องหัวไหล่หลังจากที่สวมคาร์ดิแกนทับเสื้อตัวข้างในเรียบร้อยแล้ว
“แม่ขี้โกงที่สุด นี่วันเกิดหนูก็ต้องให้หนูเลือกเค้กเองสิคะ” พูดในขณะที่เลื่อนตัวลงมาจากเก้าอี้ หยิบเสื้อกันหนาวของตนมาสวมแล้ววิ่งมาคว้ามือของแม่เอาไว้อย่างรวดเร็ว “อันเดรต่างหากจะอยู่เฝ้าร้าน”
จบคำพูดของเจ้าของวันเกิดอายุครบแปดขวบก็เกิดเสียงหัวเราะครื้นเครง อันเดรซึ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเล็กๆ มองเด็กเจ้าปัญหาอย่างคาดโทษ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปปิดสวิตช์ไฟแล้วเดินออกมาจากร้านเป็นคนสุดท้าย
“เฮ้อ... สงสัยของขวัญที่เตรียมมาคงเอาไปให้เด็กข้างบ้านดีกว่ามั้ง เมื่อกี้ก็รักเรา พอได้ยินว่าแม่จะซื้อเค้กให้ ไม่สนใจเราเลย” พูดลอยๆ แต่เสียงดังฟังชัด เดินผ่านหน้าสองแม่ลูกออกไป เพียงเท่านั้นเด็กเจ้าปัญหาก็กลายร่างเป็นเด็กขี้อ้อน
พีด้ารีบปล่อยมือจากแม่แล้ววิ่งไปจับมือของคุณลุง แนบแก้มเข้ากับหลังมืออย่างออดอ้อน นราวิกาซึ่งกำลังล็อกประตูหน้าร้านส่ายหน้าให้กับลูกสาว ไม่นานนักก็ต้องหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข เมื่อพีด้านั้นถูกอุ้มขึ้นแล้วหันกลับมายกมือทำสัญลักษณ์โอเคให้เธอได้เห็น ราวกับจะบอกว่า ‘หนูควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว’
ทว่าทั้งสามคนกลับไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้มีสายตาคู่หนึ่งกำลังจดจ้องและติดตามไปทุกที่อย่างไม่คลาดสายตา!
ถ้าเขาจำคนไม่ผิดนั่นคือปาเวล แต่ความจำและการที่ได้เห็นใบหน้าเขาไม่ถนัดตา ทั้งยังเดินข้ามถนนไปขึ้นรถยนต์คันยาวที่จอดอยู่ฝั่งตรงข้ามนั้นทำให้อันเดรไม่มั่นใจนัก แม้ว่าจะรีบก้าวออกมาจากหลังเคาน์เตอร์ไปยังหน้าร้านแต่ก็เห็นเพียงแค่รถยนต์คันหรูที่แล่นออกไปแล้วเท่านั้น
อาการรีบร้อนนั้นทำให้นราวิกาขมวดคิ้วมุ่น ตั้งใจจะเอ่ยถามแต่เสียงเจื้อยแจ้วของลูกสาวก็ดังขึ้นเสียก่อน
“เมื่อกี้นี้หนูเจอเจ้าชายด้วย” พาทินธิดาหรือที่ทุกคนเรียกกันว่าพีด้า พูดขึ้นหลังจากที่เดินสวนกับอันเดรเข้ามาในร้าน
“ผู้ชายคนที่เดินมาส่งหนูน่ะเหรอ” อันเดรถามเร็วๆ
“เปล่าค่ะ เจ้าชายนั่งอยู่ในรถ” ตอบคำถามแล้วหันมาพูดกับคนเป็นแม่ด้วยสีหน้าตื่นเต้น “หล่อที่สุดเลยนะแม่”
นราวิกาถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่ ส่ายหน้าให้กับเด็กแก่แดด รู้มาก ช่างพูด ช่วงหลังๆ มานี้เริ่มมีความชอบที่ประหลาดมากกว่าเดิม นั่นคือชอบเขินลูกค้าผู้ชายที่หน้าตาหล่อเหลา ห้ามแล้วปรามแล้วว่าไม่น่ารักแต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
“พีด้า... แม่เคยบอกแล้วว่าเด็กๆ ไม่ควรทำตัวแก่แดดนัก” นราวิกาย้ำอีกครั้ง ในขณะที่สองมือยังคงชงกาแฟตามออเดอร์ไม่หยุดมือ
“ก็ไม่เห็นเขาจะไม่ชอบนี่คะ ยังชมว่าหนูตาโต สวยด้วย”
“พีด้า หนูคุยกับเขาเหรอ” คำถามของอันเดรสร้างความประหลาดใจให้กับนราวิกา ทว่ากลับดูปกติในความรู้สึกของเด็กหญิงอายุเจ็ดขวบเศษ
“เจ้าชายหรือปาเวลคะ” ก็คุยด้วยทั้งสองคนเลยไม่รู้ว่าถามถึงคนไหน
“เขาชื่อปาเวลเหรอ” อันเดรถามด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“คนที่เดินมาส่งหน้าร้านนะคะ แต่เจ้าชายน่ะหนูไม่รู้ว่าชื่ออะไร”
นราวิกาส่ายหน้าถอนหายใจให้กับลูกสาวอีกครั้ง พลางนึกอยากรู้นักว่าหน้าตาจะหล่อเหลาสักแค่ไหน ลูกสาวถึงได้เรียกเจ้าชายทุกคำเช่นนี้ แต่ติดที่ต้องเอากาแฟไปเสิร์ฟให้ลูกค้าเสียก่อนจึงต้องหยุดที่จะซักไซ้ลูกสาวไว้เสียก่อน วันนี้เธอต้องรับบทหนักเพราะพนักงานเสิร์ฟเป็นไข้หวัดใหญ่ ขอลาหยุดจนกว่าอาการจะดีขึ้น
“ปาเวล...” อันเดรยังครางเรียกชื่อนั้นอย่างไม่อยากเชื่อ
อันที่จริงแล้วความสนใจของอันเดรไม่ได้อยู่ที่บอดีการ์ดร่างสูงใหญ่ แต่ถ้าหากเห็นปาเวลนั่นก็หมายความว่าคนที่นั่งอยู่ในรถยนต์คันหรูนั้นคือ เชเชนนอฟ!
คนคนเดียวกันกับที่พีด้าชมว่าหล่อเหลาราวกับเจ้าชาย
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเวลาแปดปีที่ไม่ได้เจอหน้ากันนั้นจะผ่านไปรวดเร็วเช่นนี้ ทุกครั้งที่นึกถึงอดีต ความชั่วร้ายที่ตนเคยทำไว้ก็ไหลบ่าเข้ามาในความคิดไม่ขาดสาย ความหวาดหวั่นที่บรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้เริ่มก่อกวนความสงบของจิตใจ
นราวิกาเดินกลับมายังโต๊ะที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าเคาน์เตอร์พลางยื่นถาดเปล่าให้ลูกสาวที่กำลังเห่อตุ๊กตาตัวใหม่ ของฝากเจออันเดร “อู้งานแบบนี้ แม่จ่ายค่าจ้างไม่เต็มวันนะ”
สาวน้อยช้อนดวงตากลมโตขึ้นมองคนเป็นแม่อย่างไม่เห็นด้วย ริมฝีปากจิ้มลิ้มจู๋จนเกือบจะติดปลายจมูกแต่ก็ยอมวางตุ๊กตาในมือ แล้วถือถาดไม้เพื่อไปเก็บแก้วบนโต๊ะตามที่ตกลงกันเอาไว้
“ถ้าแม่จะโกงเด็ก หนูก็...”
“อ้าว...” นราวิกาอุทานยาวโดยไม่ยอมให้ลูกสาวได้พูดจบประโยค “ก็ไหนว่าโตแล้ว คราวนี้ทำไมถึงได้บอกว่าตัวเองยังเด็กล่ะจ๊ะ คนสวย”
“ไม่คุยกับแม่แล้ว” สะบัดเสียงแล้วเดินจากไปทำตามหน้าที่ของตน
ท่าทางกระเง้ากระงอดดังกล่าวทำให้นราวิกาหัวเราะร่วน บางครั้งเธอก็คิดว่าลูกสาวโตไวเกินไป ใจจริงแล้วอยากจะหยุดเวลาไว้ให้ตัวเล็กๆ เหมือนเด็กสองสามขวบที่ยังไม่ช่างถามช่างพูดอย่างนี้ แต่ข้อดีของเด็กช่างถามจะเรียนรู้เร็ว เข้าใจในสิ่งที่เธออธิบายได้โดยง่าย ช่วยเหลืองานตามที่ได้รับมอบหมาย เพราะเธอย้ำเตือนให้ลูกรู้มาตั้งแต่เล็กๆ ว่าหาเงินมาด้วยความยากลำบาก
นราวิกายิ้มกริ่มเมื่อเห็นลูกสาวเก็บแก้วกาแฟบนโต๊ะวางลงในถาดแล้วเดินไปยังซิงค์ล้างแก้ว จากนั้นจึงเดินกลับมาเก็บแก้วกาแฟบนโต๊ะต่อๆ ไป ทำเช่นนั้นไปทีละโต๊ะตามกำลังแขนของตนเอง “จริงอย่างที่คุณว่านะอันเดร ถึงพีด้าจะพูดจาเกินเด็กแต่ก็มีความรับผิดชอบ”
เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับจึงละสายตาจากลูกสาวมายังคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวตรงกันข้าม “อันเดร...”
คนที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดและความรู้สึกผิดที่ตามหลอกหลอนมาตลอดระยะเวลาแปดปีไม่อาจได้ยินเสียงเรียกของเพื่อนสนิท
“อันเดร!” นราวิกาเรียกด้วยเสียงที่ดังขึ้นอีกระดับพลางยกมือขึ้นโบกไปมาให้เขารู้สึกตัว “เฮ้... ใจลอยไปไหนกัน”
อันเดรกะพริบตาถี่ๆ มองนราวิกาด้วยความรู้สึกผิดอย่างท่วมท้น ผิดมากขึ้นกว่าเดิมที่เขาไม่เคยกล้าที่จะสารภาพความจริงกับเธอ “วะ...ว่าไง”
“คุณโอเคนะ อันเดร”
อันเดรพยักหน้ารับเร็วๆ “ผมจะเป็นอะไร เปล่านี่”
นราวิกาหรี่ตามองอย่างไม่อยากเชื่อ “ปฏิเสธเสียงสูงนี่แปลว่าโกหก ยิ่งตอบว่าเปล่ายิ่งโกหกฉันอยู่แน่ๆ คุณมีเรื่องปิดบังฉันใช่ไหม อันเดร”
น้ำเสียงคาดคั้นระคนจับผิดอยู่ในที ทำให้อันเดรหน้าถอดสีทั้งที่ความจริงแล้วรู้ว่านราวิกาแค่กระเซ้าเล่นเท่านั้น
“ดูสิ หน้าซีดเชียว แอบชอบหนุ่มคนไหน สารภาพมา”
“บ้าน่ะสิ ผมนี่ผู้ชายแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ฟัดได้เฉพาะผู้หญิงเท่านั้นแหละ”
“ก็ใครจะไปรู้ เห็นคุณมองตามผู้ชายคนนั้นแล้วก็นิ่งไป ปล่อยให้ฉันพูดเรื่องพีด้าอยู่คนเดียว ก็นึกว่าที่ตกตะลึงเพราะเพิ่งหาตัวเองเจอ” นราวิกาว่า “มิน่า... อยู่เป็นโสดมาจนป่านนี้”
“ตามสบายเถอะ ผมเคยเถียงชนะคุณที่ไหน” อันเดรบอก ทว่ายังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ เสียงเจื้อยแจ้วก็ดังขึ้นเสียก่อน
“ผู้ชายชอบผู้ชายได้ด้วยเหรอคะแม่” สาวน้อยพีด้าถามแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ ด้วยความอยากรู้ แต่เมื่อไม่ได้คำตอบจากแม่จึงหันไปถามคุณลุงแทน “อันเดร ลุงชอบปาเวลเหรอคะ”
อันเดรยกมือข้างหนึ่งขึ้นคลึงขมับ ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “คุณสร้างปัญหาให้ผมแล้วแนซ จะอธิบายยังไงล่ะทีนี้”
เจ้าของริมฝีปากน่าจูบทำปากจู๋อย่างงอนๆ อีกครั้ง เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนชอบมองว่าตนเป็นเด็กเล็กๆ ที่ต้องร้องโยเย พูดจาไม่รู้เรื่อง เมื่อเห็นท่าทางของแม่และเพื่อนของแม่ทำเช่นนั้นจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงน้อยใจ
“ไม่ต้องพูดก็ได้ หนูไม่อยากรู้เรื่องของผู้ใหญ่หรอก” ไม่พูดเปล่าแต่หยิบตุ๊กตาแล้วทำท่าว่าจะเดินไปนั่งอีกโต๊ะ แต่อันเดรนั้นสอดมือไปเกี่ยวเอาร่างเล็กเอาไว้เสียก่อน
“โธ่... สาวน้อย! ทำไมถึงได้ขี้งอนแบบนี้ ลุงน่ะเหรอจะไม่อยากคุยกับพีด้า ทั้งรักทั้งหลงออกอย่างนี้” พูดพลางออกแรงยกร่างเด็กขี้งอนขึ้นมานั่งซ้อนบนตัก ก้มลงหอมอย่างแสนรักเพราะถ้าพูดกันตามตรงแล้ว ถ้าจะมีใครสักคนดูแลพีด้าแทนคนเป็นแม่แล้วก็คงเป็นเขาเอง ความรู้สึกผูกพันจึงไม่ต่างจากลูกสาวคนหนึ่ง
เมื่อได้คนรับช่วงแทนแล้วนราวิกาก็ผลักภาระนั้นให้เป็นหน้าที่ของอันเดรเพียงคนเดียว เพราะรู้ดีว่าหลังการง้องอนสำเร็จแล้วจะต้องมีข้อต่อรองอะไรสักอย่าง “งั้นก็ทำหน้าที่ของคุณไปนะ เดี๋ยวลูกค้าคนสุดท้ายออกไป ฉันจะปิดร้านแล้ว”
คำพูดนั้นทำให้อันเดรมองตามด้วยสายตาคาดโทษ โดยที่ไม่รู้ว่าคนกำลังงอนทำปากจู๋อีกครั้งแล้วเบี่ยงตัว เงยหน้ามองตามราวกับกำลังรอฟังคำอธิบาย เมื่ออันเดรหันกลับมาเจอจึงหลุดขำออกมาแล้วก้มลงจูบริมฝีปากจิ้มลิ้มนั้นเร็วๆ
“ขอจูบที แม่คนขี้งอน”
มือเล็กๆ ยกขึ้นเช็ดริมฝีปากตัวเองในทันที ท่าทางนั้นทำให้อันเดรเบิกตากว้างแล้วเลื่อนมือทั้งสองข้างไปจั๊กจี้ช่วงเอว “ เดี๋ยวนี้ลุงจูบไม่ได้ใช่ไหม ชักเอาใหญ่แล้วเด็กคนนี้”
จากที่กำลังงอนก็หัวเราะเสียงสดใส “จั๊กจี้น้า... พอแล้ว หนูยอมแล้ว”
“หายงอนด้วยรึเปล่า ถ้ายังไม่หายจะจั๊กจี้อีก”
“หายแล้วๆ” ตอบอย่างรวดเร็วแล้วรีบเลื่อนสองมือไปยึดฝ่ามือหนาของคุณลุงเอาไว้ “ตกลงนี่ผู้ชายชอบผู้ชายได้ด้วยเหรอคะ”
คำถามเดิมนั้นทำให้นราวิกาอมยิ้มละสายตาจากลูกค้าคนสุดท้ายที่เพิ่งเดินออกจากร้านพลางเอื้อมมือไปหมุนป้ายปิดร้านให้หันออกไปด้านนอกพร้อมล็อกประตู แม้สองมือจะเริ่มเช็ดถูของใช้ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะแต่สองหูก็ตั้งใจฟังคำอธิบายที่อันเดรจะตอบลูกสาวของตน
“ก็... โตขึ้นพีด้าจะเข้าใจ”
“หนูโตแล้ว อยู่ที่โรงเรียนมีรุ่นน้องที่อายุน้อยกว่า แล้วคุณครูก็ไม่ได้เรียกพวกเราว่าเด็กๆ แต่บอกว่าเป็นรุ่นพี่ต้องช่วยเหลือรุ่นน้อง”
คำอธิบายเสียยืดยาวก็ทำให้ผู้ใหญ่จนใจ ต้องนึกหาคำพูดที่เข้าใจง่ายๆ มาอธิบายรุ่นพี่เกรดสอง “โอเค คือว่า... ตามธรรมชาติเนี่ยผู้หญิงกับผู้ชายจะรักกัน ตกลงใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันใช่ไหม แต่จะมีผู้ชายบางกลุ่มที่ไม่ได้มีจิตใจรักผู้หญิง แต่รักเพศเดียวกัน เอ่อ... คือลุงหมายถึงรักผู้ชายด้วยกัน”
สาวน้อยตั้งใจฟังแล้วพยักหน้ารับ แน่นอนว่าต้องเกิดคำถามตามมา “แล้วอย่างนี้หนูจะรู้ได้ยังไงว่าผู้ชายคนไหนชอบผู้ชายด้วยกัน”
อันเดรเลิกคิ้ว สูดลมหายใจเข้าลึก ลากเสียงยาวหาคำอธิบายในขณะที่ปรายตาไปมองเพื่อนซึ่งกำลังอมยิ้มแต่ก็ไม่ได้ให้ความช่วยเหลืออะไรเลย “คือ... อันนี้ลุงตอบตามความจริงนะ ต้องรอให้พีด้าโตก่อนแล้วถึงจะแยกแยะได้”
จบคำตอบที่ไม่น่าพอใจนั้นสาวน้อยก็ก้มหน้าต่ำ มองคุณลุงตาขวาง
“จริงๆ นะ ก็เหมือนตอนที่พีด้าเป็นเบบี๋เลือกซื้อผ้าใส่เองไม่ได้ไง แม่ก็ต้องเป็นคนเลือกให้ว่าจะใส่ชุดไหน แต่ตอนนี้พีด้าโตขึ้น รู้จักคิดก็เลือกเองได้ว่าวันนี้จะใส่ชุดอะไร” อันเดรพยายามหาเหตุผลและต้องลอบถอนหายใจ เมื่อเห็นว่าเด็กเจ้าปัญหาไม่ได้มีท่าทีต่อต้าน “เรื่องบางอย่างมันก็ต้องอาศัยเวลา ไม่แปลกและก็ไม่ได้ผิดที่ตอนนี้พีด้าอยากโตเป็นผู้ใหญ่เร็วๆ ตอนลุงอายุเท่าพีด้าก็อยากจะเป็นผู้ใหญ่เหมือนกัน แต่พอได้เป็นผู้ใหญ่จริงๆ ก็อยากกลับไปเป็นเด็ก”
คำอธิบายยืดยาวนั้นทำให้คนเจ้าปัญหาขมวดคิ้วมุ่น เบี่ยงตัวแล้วยกหลังมือขึ้นอังหน้าผากกว้างของอันเดร “ไม่สบายรึเปล่าคะ ลุงดูสับสน”
อันเดรแหงนหน้าระเบิดเสียงหัวเราะก่อนอธิบายยังก้มลงหอมแก้มนุ่มอย่างมันเขี้ยว แน่นอนว่าคนเป็นแม่ที่ต้องตอบคำถามในทำนองนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันก็ส่ายหน้าด้วยความระอาใจ บางครั้งเธอก็อยากรู้ว่าในโลกใบนี้จะมีใครคอยตอบข้อสงสัยของพีด้าได้อย่างไม่จนมุมให้กับความไร้เดียงสาของเด็กๆ บ้าง
วันนี้เป็นวันเกิดของพีด้า หรือพาทินธิดาซึ่งแปลว่าลูกสาวผู้ร่ำรวย ตอนแรกนั้นเธอไม่คิดจะตั้งชื่อภาษาไทยให้ลูกเพราะยากต่อการออกเสียงแต่เรื่องราวหลายอย่างที่ประดังประเดเข้ามาในชีวิตช่วงนั้นทำให้นึกชอบใจกับความหมายของชื่อเหลือเกิน
ประสบการณ์ของความรักครั้งแรกที่ใช้อารมณ์และความรู้สึกเป็นที่ตั้งไม่ใช่เรื่องที่ควรทำเลย ใช่ว่าจะไม่รู้จักป้องกันแต่ความปรารถนาที่ยากจะต้านทานนั้นครอบงำจนไม่คิดว่ามีผลพวงของความสัมพันธ์ลึกซึ้งก่อร่างสร้างตัวขึ้น เมื่อเกิดการเลิกราและเรื่องที่ไม่คาดฝันในชีวิตอีกหลายเรื่องทำให้ชีวิตและจิตใจของเธอซวนเซอยู่หลายครั้งหลายครา
วันที่รู้ว่ากำลังตั้งท้องนั้น เธอเดินทางกลับห้องเช่าด้วยความสับสนมึนงง ไม่รู้ว่าจะจัดการกับชีวิตตัวเองอย่างไร มองไปทางไหนก็มีเพียงความมืดมน แม่คงเป็นคนเดียวที่จะให้คำปรึกษาเธอได้ในเวลานั้น แต่เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเมื่อกลางดึกของวันเดียวกันนั้น ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาแจ้งเหตุร้ายให้ได้รับรู้
แม่และดานิลเกิดอุบัติเหตุรถชน ดานิลเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ส่วนแม่อาการสาหัสเลือดคั่งในสมองต้องพักรักษาตัวในหอผู้ป่วยหนักเป็นเดือน นั่นทำให้ความคิดและความกังวลใจทั้งหมดของนราวิกาอยู่ที่ความปลอดภัยของผู้เป็นแม่ เธอต้องเดินเข้า-ออก โรงพยาบาลและสถานีตำรวจไม่เว้นแต่ละวัน เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถจับกุมคนขับรถคันดังกล่าวมารับโทษได้
หากชีวิตก็ไม่ได้เลวร้ายไปเสียทีเดียวเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจคืนสิ่งของทั้งหมดของแม่และดานิลให้เธอ ภายในกระเป๋าก็มีของใช้ส่วนตัวแต่เงินก้อนหนึ่งซึ่งมีอยู่มากโขที่เห็นในสมุดบัญชีธนาคารนั้นยังพอช่วยให้มีค่ารักษาพยาบาลแม่ไปได้สักระยะหนึ่ง
ความรู้สึกในช่วงนั้นสับสนมาก ตอนเช้าอาจจะตกใจกับอาการของแม่ที่ทรุดลง ตกบ่ายอาจได้โล่งใจเพราะได้รับข่าวว่าค่าใช้จ่ายบางส่วนที่เกิดขึ้นนั้นมีหน่วยงานสังคมสงเคราะห์รับผิดชอบให้
วันไหนมีข่าวดีว่าแม่อาการดีขึ้น อีกหลายวันต่อมาก็ต้องมานั่งกลุ้มใจเพราะไม่อาจจะเบิกเงินในบัญชีออกมาใช้จ่ายได้ เจ้าหน้าที่ของธนาคารยังยืนยันว่าต้องให้เจ้าของบัญชีเซ็นยินยอมถึงจะสามารถทำธุรกรรมต่างๆ ได้
นราวิกายิ้มเศร้าๆ เมื่อนึกถึงความรู้สึกอันย่ำแย่ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เธอตั้งครรภ์ ดีสักแค่ไหนแล้วที่พีด้าไม่ได้รับผลกระทบจากความเครียดและอารมณ์ที่ขึ้นๆ ลงๆ ไม่เป็นปกติในช่วงเวลานั้น เธอต้องทำงานเก็บเงิน ใช้จ่ายเงินทุกบาททุกสตางค์อย่างคุ้มค่าที่สุด เช่นนี้กระมังที่ทำให้นึกประทับใจกับความหมายของชื่อลูกสาว
แม้ทุกคนจะเรียกติดปากว่าพีด้า แต่ความหมายมากมายและมุ่งมั่นที่จะเลี้ยงดูให้ลูกเติบโตขึ้นมาด้วยจิตใจเข้มแข็ง ร่ำรวยด้วยสติปัญญา น้ำใจ เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย
นราวิกายิ้มกว้างเมื่อได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วคุยตอบโต้อยู่กับอันเดรดังขึ้นตลอดเวลา แม้ความสงสัยเกี่ยวกับความรักของชาย-หญิงจะจบลงแต่พีด้าก็ยังมีความสงสัยเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัวซึ่งเธอรับรองว่าคำถามต่างๆ ที่หลุดออกมาจะไม่ซ้ำกันเชียวล่ะ
แม้ชีวิตจะไม่ได้สวยงาม โรยไปด้วยกลีบกุหลาบแต่วันนี้ เวลานี้เธอก็สบายใจกว่าช่วงเวลาอันยากลำบากในอดีตอยู่มากมายนัก อันเดรกลายมาเป็นเพื่อนสนิทที่เธอสามารถระบายความทุกข์ใจ เศร้าใจได้ทุกเรื่อง บางครั้งยังกลายเป็นพี่เลี้ยงพีด้าในตอนที่เธอมุอ่านตำราในช่วงสอบ คุณพ่อจำเป็นที่ต้องไปนั่งดูพีด้าแสดงในงานประจำปีที่โรงเรียนจัดขึ้น แล้วตอนนี้ก็เป็นคนตอบคำถามแทนเธอ
“เอาล่ะ... ตอนนี้แม่เก็บร้านเรียบร้อยแล้ว พีด้าจะนั่งอยู่กับอันเดรตรงนี้ใช่ไหม แม่จะได้ไปเลือกเค้กคนเดียว” ไม่พูดเปล่าแต่หยิบกระเป๋าขึ้นมาคล้องหัวไหล่หลังจากที่สวมคาร์ดิแกนทับเสื้อตัวข้างในเรียบร้อยแล้ว
“แม่ขี้โกงที่สุด นี่วันเกิดหนูก็ต้องให้หนูเลือกเค้กเองสิคะ” พูดในขณะที่เลื่อนตัวลงมาจากเก้าอี้ หยิบเสื้อกันหนาวของตนมาสวมแล้ววิ่งมาคว้ามือของแม่เอาไว้อย่างรวดเร็ว “อันเดรต่างหากจะอยู่เฝ้าร้าน”
จบคำพูดของเจ้าของวันเกิดอายุครบแปดขวบก็เกิดเสียงหัวเราะครื้นเครง อันเดรซึ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเล็กๆ มองเด็กเจ้าปัญหาอย่างคาดโทษ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปปิดสวิตช์ไฟแล้วเดินออกมาจากร้านเป็นคนสุดท้าย
“เฮ้อ... สงสัยของขวัญที่เตรียมมาคงเอาไปให้เด็กข้างบ้านดีกว่ามั้ง เมื่อกี้ก็รักเรา พอได้ยินว่าแม่จะซื้อเค้กให้ ไม่สนใจเราเลย” พูดลอยๆ แต่เสียงดังฟังชัด เดินผ่านหน้าสองแม่ลูกออกไป เพียงเท่านั้นเด็กเจ้าปัญหาก็กลายร่างเป็นเด็กขี้อ้อน
พีด้ารีบปล่อยมือจากแม่แล้ววิ่งไปจับมือของคุณลุง แนบแก้มเข้ากับหลังมืออย่างออดอ้อน นราวิกาซึ่งกำลังล็อกประตูหน้าร้านส่ายหน้าให้กับลูกสาว ไม่นานนักก็ต้องหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข เมื่อพีด้านั้นถูกอุ้มขึ้นแล้วหันกลับมายกมือทำสัญลักษณ์โอเคให้เธอได้เห็น ราวกับจะบอกว่า ‘หนูควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว’
ทว่าทั้งสามคนกลับไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้มีสายตาคู่หนึ่งกำลังจดจ้องและติดตามไปทุกที่อย่างไม่คลาดสายตา!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ