ทาสรักซาตาน
8.3
เขียนโดย zusuran
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เวลา 13.32 น.
15 ตอน
2 วิจารณ์
13.21K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.52 น. โดย เจ้าของนิยาย
8) ผู้พิทักษ์
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเพียวตื่นขึ้นมาอีกครั้งบนเตียงของตัวเอง ความปวดร้าวเล่นงานร่างกายบอบบางจนต้องนอนนิ่งๆ
แปะ….
ผ้าเปียกๆวางบนหน้าผากของเพียว และเมื่อหันไปมองคนที่นำมันมาวางให้เพียวถึงกับสะดุ้ง
“เดียร์!”
“เพียวตื่นแล้วเหรอ เป็นยังไงบ้าง”
เดียร์นั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นข้างเตียง และใช้ผ้าซับตามใบหน้าและคำของเพียวมพูดไม่ถามอะไรเลย เพียวมองเพื่อนสาวอย่างลังเล เธอจะรู้ไหมนะว่าเกิดอะไรขึ้นกับเพียว
“เดียร์ คือว่า”
“หืม”
“ไม่มีอะไร”
จะอธิบายให้เดียร์ฟังแบบไหนได้นะ เธอถึงจะเข้าใจ จะบอกว่ามีราชาซาตานเป็นคนรักงั้นเหรอ แบบนั้นแล้วเดียร์ไม่หัวเราะท้องแข็งหรือไง
“เดียร์ซักเสื้อผ้าให้เพียวแล้วนะ”
“เฮือก!”
“เพียว……จะไม่เล่าให้เดียร์ฟังหน่อยเหรอ”
“เอ๊ะ?”
“คนๆนั้น….ที่….เอ่อ……ทำเพียวแบบนี้”
เดียร์เองก็กระอักกระอ่วนที่จะถาม แต่เด็กสาวก็ยังแสดงออกมาว่าอยากรู้ เพียวลุกขึ้นนั่งบนเตียงก่อนจะดึงเด็กสาวขึ้นมานั่งบนเตียงด้วยกัน
“เพียวจะเล่าให้เดียร์ฟัง แต่เดียร์สัญญาได้ไหมว่าเดียร์จะไม่ฟ้องลุงเดย์”
“อื้ม สัญญา”
เพียวสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้เดียร์ฟัง ตั้งแต่วันแรกที่พบกับเอลเดอร์ เรื่องน้ำเรื่องยาที่เอามารักษาชาวบ้าน พร้อมกับข้อแลกเปลี่ยน รวมทั้งการได้เป็นคนรักของราชาซาตาน
“เรื่องทั้งหมดก็เป็นแบบนี้แหล่ะ”
“แล้วทำไมตาบ้านั่นถึงได้ทำให้เพียวเป็นไข้แบบนี้เนี่ย”
“เดียร์ ไม่ตกใจเหรอ”
“ทำไมเดียร์ต้องตกใจ”
“ก็….”
“ถ้าเพียวมีความสุขเดียร์ก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น จะมนุษย์ก็ดี จะราชาอะไรนั่นก็ช่าง ถ้าเพียวมีความสุขเดียร์ก็พอใจแล้ว”
“ขอบใจนะเดียร์ มีแต่เดียร์เท่านั้นแหล่ะที่เข้าใจแล้วอยู่ข้างๆเพียวแบบนี้”
“ก็เดียร์เป็น….!!!”
เด็กสาวกำลังจะพูดออกมาเต็มปากแต่เอก็หยุดชะงักและมองหน้าเพียวอย่างชั่งใจ
“มีอะไรเหรอ”
“เป็น….เอ่อ เป็นเพื่อนเพียวไง”
รอยยิ้มน้อยๆจากเดียร์ทำให้เพียวโล่งอก ถึงจะสงสัยคำที่ขาดหายไปแต่ถ้าเดียร์ไม่พูดเพียวก็คงจะถามไม่ได้คำตอบเหมือนเดิม
สุดท้ายแล้วเพียวก็ต้องหลับยาวจนถึงเช้าของอีกวัน และเอลเดอร์ไม่ได้มาหาหรือใช้ประตูมาลักพาตัวเพียวไปอีกเลย
“เพียว!!!กลับกันเถอะ”
เดียร์สวมชุดนักศึกษาวิ่งต๊อกๆมาแต่ไกล
“ขอโทษนะเดียร์ งานเรายังไม่เสร็จเลย”
“งั้นเดียร์จะรอ”
“มันดึกนะ”
“ไม่มีปัญหา เดี๋ยวไปหาอะไรมาให้กินนะ อยากกินอะไร”
“อะไรก็ได้”
“โอ๊เค”
เด็กสาวยังร่าเริงเสมอต้นเสมอปลาย
เพราะการเรียนที่หนักเกินวัยทำให้เพียวต้องอยู่ดึกดื่นเพื่อเรียนให้ทันเพื่อน ถึงหอพักจะอยู่ไม่ไกลจากมหาลัยนักแต่ก็ต้องใช้เวลาเดินทางนานเอาเรื่อง โดยเฉพาะเวลาดึกดื่นเที่ยงคืนที่ไม่ค่อยมีรถวิ่งแล้ว
“ไม่มีรถสักคันเลย”
เดียร์บ่นอุบในขณะที่กำลังเจาะกล่องนมดูดเข้าไปคำใหญ่ เพียวยังเคี้ยวขนมปังรสนมนั่งอยู่ข้างๆ สายตาก็เหลือบมองไปบนถนนเพื่อรอรถเมล์สายที่จะวิ่งผ่าน แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะมีมาสักคันเดียว
“รู้อย่างนี้มารอตั้งแต่เนิ่นๆซะก็ดีเนาะ”
“อืม นั่นสิ”
ทั้งสองคนยังนั่งรอต่อไปโดยที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกมองจากที่ไหนสักที่
ม่านน้ำนิ่งไม่กระเพื่อมกำลังสะท้อนเด็กหนุ่มและเด็กสาวที่กำลังนั่งรอรถเมล์ตามลำพัง ดวงตาเฉียบคมโฟกัสที่ใบหน้าเด็กหนุ่มก่อนจะหรี่เล็กราวเมล็ดข้าว
ท้ายที่สุดแล้วเพียวคือใครกันแน่ ถ้าเป็นแค่เด็กธรรมดาทำไมถึงมีสัตว์พิทักษ์คอยตามติดเป็นเงา แล้วถ้าไม่ใช่แล้วเพียวเป็นใคร ทุกครั้งที่สัมผัสเด็กหนุ่มเอลเดอร์ก็ไม่รู้สึกถึงพลังแฝงอะไรเลย
“ยังคิดเรื่องเด็กมนุษย์ของท่านอยู่อีกรึ ท่านพี่”
เสียงแหลมสูงฟังดูเย่อหยิ่งแทรกเข้ามาในภวังค์ เอลเดอร์สะบัดแขนเสื้อครั้งเดียวภาพที่สะท้อนในม่านน้ำก็หายไป ก่อนที่ราชาหนุ่มจะหันไปหาแขกที่เพิ่งเข้ามาในห้อง
“มีอะไรงั้นเหรอ จอยส์ลีน”
“พวกกบฏที่แหกคุกออกไปได้มุ่งหน้าไปที่โลกมนุษย์น่ะสิ ข้าจะมาแจ้งท่านพี่เอาไว้ เพราะ…….”
“เพราะอะไร”
“เส้นทางของพวกมันก็คือหมู่บ้านของเด็กนั่น ท่านจะจัดการยังไง ท่านพี่”
“เจ้าเตรียมทหารให้พร้อม ข้าจะไปสำเร็จโทษพวกมัน”
“มีอีกอย่างที่ท่านต้องรู้เอาไว้”
“อะไร”
“ที่หมู่บ้านแห่งนั้นมีสิ่งที่เราต้องการซ่อนอยู่”
“เจ้าว่าไงนะ”
“เป้าหมายของพวกบฏต้องเป็นเจ้าสิ่งนั้นแน่ๆ หัวใจราชันย์องค์ก่อน”
เหมือนมีบางอย่างตรึงเอลเดอร์เอาไว้หลายวินาที ก่อนที่ราชาหนุ่มจะคว้าผ้าคลุมและยื่นนิ้วกรีดอากาศสร้างประตูมิติ จุดหมายของเขาคือหมู่บ้านของเพียว
หัวใจราชันย์องค์ก่อนเหรอ สิ่งที่หายสาบสูญไปหลายร้อยปี จู่ๆก็มีร่องรอยให้ค้นหาแล้ว แถมยังอยู่ใกล้จนคาดไม่ถึง เพราะอะไรมันถึงปรากฏร่องรอยออกมา แล้วที่ผ่านมามันไปหลบลี้อยู่ที่ไหนกัน
“น้องสาว ไปท่องราตรีกับพวกพี่ไหมจ๊ะ”
เสียงทักทายระหว่างทางนั่งรถเมล์กลับที่พักดังขึ้นมาให้รำคาญใจ ถึงจะรู้ดีว่าเดียร์ไม่ใช่คนหน่อมแน้มขนาดนั้นแต่เพียวก็ปกป้องเพื่อนรักไว้อย่างดี
“เพียวน่าจะให้เดียร์ซัดพวกมันสักหมัดสองหมัด”
“ไม่เอาน่า ดึกแล้ว เราไม่อยากมีเรื่อง ง่วงนอนจะแย่แล้วเนี่ย”
“อืม…จะว่าไปทั้งคันมีแต่เรากับคนขับ ท่าทางจะเป็นรถคันสุดท้ายจริงๆอ่ะเนาะ”
“เที่ยงคืนแล้ว”
เพียยวก้มมองนาฬิกาข้อมือ บรรยากาศยามดึกเงียบสงัด ถึงจะมีแสงไฟตลอดทางก็บรรยากาศก็ชวนให้ขนลุกแปลกๆ
“แปลกจัง เรานั่งรถผิดสายรึเปล่านะ…..เดียร์?”
จู่ๆเดียร์ก็มีท่าทีแปลกๆ เด็กสาวนิ่งจนผิดวิสัยและมองไปที่คนขับ และก่อนที่เพียวจะได้อ้าปากถามอะไร จู่ๆรถก็หยุดวิ่งก่อนที่คนขับคนนั้นจะลุกขึ้นเดินเข้ามาหาพวกเขา
“มีอะไร….”
ฟึ่บ!
“เพียวอย่าพูดกับมันนะ”
“เอ๊ะ?”
“คริๆๆๆ แม่สาวน้อยช่างตาแหลมซะจริงๆ มองออกด้วย งี้สิถึงจะสนุกกับการหักกระดูก!!!”
แล้วร่างของคนขับรถก็พุ่งหลาวเข้ามา ด้วยความเร็วที่เกินคำว่าคนธรรมดา
โครม!
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนเพียวแทบตั้งตัวไมทัน เดียร์กระชากราวจับออกมาและซัดหลาวเต็มแรงแทงร่างที่พุ่งเข้ามาจนมันกระเด็นไปด้านหลัง ก่อนจะถีบประตูรถจนพังและพาเพียวหนีลงจากรถเมล์
เพียวไม่ทันได้คิดหรือปะติดปะต่อเรื่องอะไร มือข้างหนึ่งถูกเด็กสาวคว้าไว้แน่นและกระชากให้วิ่งตาม สองขาวิ่งไปบนถนนเปลี่ยวที่ไร้ผู้คน ไร้รถสัญจรผ่าน ไฟส่องถนนค่อยๆดับไล่ตามหลังมาทีละดวงสองดวง
“แฮ่กๆๆ….ดะ เดียร์ หยุดก่อน แฮ่กๆๆ”
เพียวเหนื่อยจนขาลากแทบจะล้มลงไปกองกับพื้นถนน ของที่กินเข้าไปถูกเขย่ารวมกันในกระเพาะจนเกือบจะสำรอกออกมาทางเดิม เด็กหนุ่มยืนก้มตัวงอเป็นกุ้งใช้สองมือค้ำยันเข่าสองข้างหายใจเอาอากาศเข้าปอดเฮือกแล้วเฮือกเล่า
“เพียวไม่เป็นไรนะ”
“แฮ่กๆๆๆ เมื่อกี้มันอะไรกันน่ะ เดียร์ทำได้ยังไง”
“เอาไว้เดียร์จะเล่าให้เพียวฟังทีหลังนะ ตอนนี้รีบหนีเถอะ เดี๋ยวอสูรจะตามมาทัน”
“อสูร? เดียร์รู้จักอสูรด้วยเหรอ”
“คือว่า…”
“ฮี่ๆๆๆๆ หาเจอแล้ว”
“เฮือก!!!!”
เสียงหัวเราะชวนขนหัวลุกดังมาจากเสาไฟริมทาง ก่อนที่มันจะกระโดดลงมาหวังตะครุบเหยื่ออย่างเพียว
ควาก!
ปลายเล็บของมันขว่านได้เพียงแขนเสื้อของเพียวเพราะเดียร์คว้าเพียวออกไปจากจุดที่มันพุ่งลงมาได้ก่อน แต่ทั้งคู่ก็เสียหลักล้มลงไปกองกับพื้นถนน
ตุ้บ!!!
“เพียว!!! ไม่เป็นไรนะ”
“มะ ไม่เป็นไร”
“หอมอะไรอย่างนี้ นี่สิถึงจะเรียกว่าอาหาร ข้าจะกินเจ้าไม่ให้เหลือกระดูกเลย ฮี่ๆๆๆ”
คนขับรถเมล์ ไม่สิ ตอนนี้นอกจากใบหน้าเขียวคล้ำเหมือนศพเน่าแล้วก็ไม่มีอะไรที่เรียกว่าเป็นคนเลย รูปร่างสูงใหญ่เต็มไปด้วยรอยแผลหลายแห่ง เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง และยังมีกุญแจที่ข้อเท้าสองข้าง เหมือน…..นักโทษที่หลบหนี
เดียร์พยายามลุกขึ้นและดึงเพียวให้ลุกตาม ร่างเล็กๆกันเด็กหนุ่มเอาไว้ด้านหลัง
เพราะความสูงที่มากกว่าทำให้เพียวมองข้างไหล่เด็กสาวไปยังร่างอัปลักษณ์นั้นได้อย่างเต็มตา ตั้งแต่ที่รู้จักเอลเดอร์และรู้ว่ามีอีกมิติหนึ่งอยู่จริงๆ การพบเจอสัตว์ประหลาดแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับเพียว แต่ว่า ทำไมมันถึงมาตามล่าเพียวกันล่ะ จะบอกว่ามันออกมาหาอาหารแล้วบังเอิญเจอเพียวเข้างั้นเหรอ
ปีศาจอัปลักษณ์ย่างกรายเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เพียวและเดียร์ก็ถอยหลังไปที่ละก้าวเช่นกัน
“ถ้าแกกล้าเข้ามาอีกก้าว ฉันจะฉีกแกเป็นชิ้นๆแน่”
“โห นางเด็กน้อย พูดจาโอหังนักนะ”
ฟึ่บ!
ท่อนเหล็กที่เดียร์เคยซัดปักคาอกของมันถูกดึงออกมาและตอนนี้มันก็กำลังถูกส่งกลับมาหาเดียร์ เด็กสาวผลักเพียวออกให้พ้นทางก่อนแท่งนั้นจะกระแทกเข้ากับร่างของเธอจนกระเด็นออกไปหลายเมตร
ตุ้บ!
“เดียร์!”
เดียร์กลิ้งออกไปกลางถนน ตัวงองุ้มไอออกมาหลายที แต่ก่อนที่เพียวจะได้เข้าไปหาเธอ ปีศาจอัปลักษณ์ตนเดิมก็เข้ามาคว้าคอของเพียวและยกขึ้นจนเท้าแกว่งกลางอากาศ
“อ่อก!!!”
“ขอกินเจ้าก่อนก็แล้วกัน ฮิๆๆๆ”
มือบิดเบี้ยวและเล็บแหลมคมจิกลงบนคอของเพียวเหมือนกำลังเด็ดต้นหอม เพียวเริ่มหายใจไม่ออก มึนงง ทรมานอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน นี่เขาต้องมาตายแบบนี้จริงๆสินะ
“อย่าบังอาจแตะต้องเขา เจ้านักโทษชั้นต่ำ”
พรึ่บ!!!
เสียงใสๆหากแต่เย็นชามาพร้อมกับหางพวงพุ่มสีขาวที่เข้ามาโอบรอบตัวของเพียว แสงสีแดงไวๆพาดผ่านสายตาเด็กหนุ่มก่อนที่เสียงร้องโหยหวนของปีศาจอัปลักษณ์จะดังระงม
ตุ้บ!
ร่างของเพียงร่างลงสู่พื้น เด็กหนุ่มอ้าปากกอบโกยเอาอากาศเข้าปอด มือของปีศาจที่บีบคอเพียวตกอยู่บนพื้นถนนก่อนที่มันจะถูกอุ้งเท้าสีขาวปุกปุยเหยียบย่ำจนแหลกเหลว
แผละ!
“อ๊ากกกก!!!! แขนข้า!!! แขนของข้า!!!!!”
ปีศาจดิ้นทุรนทุรายกุมแขนที่ขาดของตัวเองเอาไว้ สายตาของมันจดจ้องมายังร่างสีขาวที่ยืนอยู่ต่อหน้าเพียว
จิ้งจอกสีขาว เก้าหาง ดวงตาสีทองเหลือบมองเพียวพร้อมกับหางที่โบกสะบัดผ่านใบหน้าของเพียวไปราวกับปัดฝุ่นออกให้
เพียวคุ้นเคยกับแววตาคู่นั้นดี ปากคอสั่นเทาพยายามเค้นเสียงเรียกชื่อของคนคุ้นเคย
“เดียร์…..”
“……………”
ดวงตาสีทองที่มองเพียวหรี่ลงจนลีบเล็กราวกับเมล็ดข้าว ก่อนที่ทุกอย่างในหัวของเพียวจะว่างเปล่า และดับวูบลง
วันเดอร์เรอร์……
แปะ!
“เฮือก!”
“เจ้าฟื้นแล้ว”
เมื่อลืมตาตื่นก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงขนาดคิงไซส์ในห้องนอนหรูหราโทนสีดำ และสิ่งแรกที่เข้ามาอยู่ในระดับสายตาก็คือใบหน้าคมคายของราชาซาตาน
“เอลเดอร์ นี่ผม…..มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“ข้ารับเจ้ามาเอง”
“ผมจำได้ว่า…..อึก!”
ความเจ็บแผ่ซ่านไปครึ่งร่างจนเด็กหนุ่มต้องนิ่วหน้า แขนข้างหนึ่งมีผ้าพันแผลพันรอบมิดชิด เพียวลูบคลำแขนเสื้อที่ขาดวิ่น เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวในหัว
มันคือความจริง ทั้งเรื่องปีศาจที่โจมตี และเดียร์……
“เดียร์….”
“อย่าห่วงเลย นางปลอดภัยดี ผู้พิทักษ์ตนนั้นเป็นคนเรียกให้ข้าไปรับตัวเจ้ามาที่นี่เอง”
“ผู้พิทักษ์…เหรอ”
“มันอาจจะเป็นเรื่องยากที่เจ้าจะยอมรับ แต่เด็กสาวคนนั้นนางคือจิ้งจอกเก้าหาง เผ่าพันธุ์ของผู้พิทักษ์ที่คุ้มครองราชามารุ่นต่อรุ่น”
เดียร์คือจิ้งจอกเก้าหาง เดียร์ไม่ใช่มนุษย์ และเดียร์ก็คือผู้ที่อยู่ในโลกเดียวกับเอลเดอร์ แต่ทำไมเดียร์ต้องปกปิด
“เอลเดอร์ ผมเป็นอะไรกันแน่…”
เพียวกอดตัวเองจิกเล็บทึ้งหนังตัวเองระบายความอัดอั้นตันใจเต็มเปี่ยม เอลเดอร์คว้าร่างน้อยๆเข้าไปกอด สิ่งที่เขาได้รู้จากหมู่บ้านของเพียวมันช่างหนักหนาและน่าประหลาดใจจนไม่อยากเชื่อเหมือนกัน
เพราะตามล่าเหล่านักโทษที่หลบหนีไปจนถึงน้ำตกหลังบ้านของเพียว ทำให้เอลเดอร์ได้พบกับใครบางคน และเรื่องราวที่ชวนช็อก
ที่แห่งนั้นเขาได้พบความลับที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้มาหลายร้อยปี
“วันเดอร์เรอร์….”
หัวใจของราชันย์องค์ก่อน ที่แท้ก็อยู่ในมือของเขานี่เอง
“ข้ารักเจ้า เพียว”
“เอ๊ะ?”
“รักเจ้า และจะมีเพียงเจ้า”
มือหนาเชยคางของร่างเล็กในอ้อมกอดขึ้นมาและประกบจูบทันที ความเศร้าจากเด็กหนุ่มถูกเก็บกลับเข้าไปในใจก่อนที่มันจะถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกวาบหวามของอารมณ์
เอลเดอร์ตักตวงความสุขบนร่างกายบอบบางนั้นไม่รู้เบื่อ สัมผัสทุกอณูของเรือนร่างที่มีชีวิต
“ผมอยากกลับบ้าน”
เพียวพูดขึ้นในขณะที่นอนซบบนอกแกร่ง มีเพียงผ้าห่มผืนบางปกปิดร่างกายเปลือยเปล่าท่อนล่างเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่
“ข้าจะพาเจ้ากลับเมื่อเจ้าพร้อมจะเผชิญหน้ากับนาง”
เพียวเผลอกำมือแน่น ดวงตาสั่นระริกพร้อมกับริมฝีปากที่เม้มเข้าหากันจนเป็นเส้นตรง
“ผมพร้อมครับ”
“ข้าจะพาเจ้ากลับ”
เอลเดอร์สัมผัสความแปรปรวนจากร่างที่ซบอยู่บนอกได้ แต่ไม่นานมันก็สงบนิ่งเหมือนน้ำนิ่งในบึง
แปะ….
ผ้าเปียกๆวางบนหน้าผากของเพียว และเมื่อหันไปมองคนที่นำมันมาวางให้เพียวถึงกับสะดุ้ง
“เดียร์!”
“เพียวตื่นแล้วเหรอ เป็นยังไงบ้าง”
เดียร์นั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นข้างเตียง และใช้ผ้าซับตามใบหน้าและคำของเพียวมพูดไม่ถามอะไรเลย เพียวมองเพื่อนสาวอย่างลังเล เธอจะรู้ไหมนะว่าเกิดอะไรขึ้นกับเพียว
“เดียร์ คือว่า”
“หืม”
“ไม่มีอะไร”
จะอธิบายให้เดียร์ฟังแบบไหนได้นะ เธอถึงจะเข้าใจ จะบอกว่ามีราชาซาตานเป็นคนรักงั้นเหรอ แบบนั้นแล้วเดียร์ไม่หัวเราะท้องแข็งหรือไง
“เดียร์ซักเสื้อผ้าให้เพียวแล้วนะ”
“เฮือก!”
“เพียว……จะไม่เล่าให้เดียร์ฟังหน่อยเหรอ”
“เอ๊ะ?”
“คนๆนั้น….ที่….เอ่อ……ทำเพียวแบบนี้”
เดียร์เองก็กระอักกระอ่วนที่จะถาม แต่เด็กสาวก็ยังแสดงออกมาว่าอยากรู้ เพียวลุกขึ้นนั่งบนเตียงก่อนจะดึงเด็กสาวขึ้นมานั่งบนเตียงด้วยกัน
“เพียวจะเล่าให้เดียร์ฟัง แต่เดียร์สัญญาได้ไหมว่าเดียร์จะไม่ฟ้องลุงเดย์”
“อื้ม สัญญา”
เพียวสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้เดียร์ฟัง ตั้งแต่วันแรกที่พบกับเอลเดอร์ เรื่องน้ำเรื่องยาที่เอามารักษาชาวบ้าน พร้อมกับข้อแลกเปลี่ยน รวมทั้งการได้เป็นคนรักของราชาซาตาน
“เรื่องทั้งหมดก็เป็นแบบนี้แหล่ะ”
“แล้วทำไมตาบ้านั่นถึงได้ทำให้เพียวเป็นไข้แบบนี้เนี่ย”
“เดียร์ ไม่ตกใจเหรอ”
“ทำไมเดียร์ต้องตกใจ”
“ก็….”
“ถ้าเพียวมีความสุขเดียร์ก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น จะมนุษย์ก็ดี จะราชาอะไรนั่นก็ช่าง ถ้าเพียวมีความสุขเดียร์ก็พอใจแล้ว”
“ขอบใจนะเดียร์ มีแต่เดียร์เท่านั้นแหล่ะที่เข้าใจแล้วอยู่ข้างๆเพียวแบบนี้”
“ก็เดียร์เป็น….!!!”
เด็กสาวกำลังจะพูดออกมาเต็มปากแต่เอก็หยุดชะงักและมองหน้าเพียวอย่างชั่งใจ
“มีอะไรเหรอ”
“เป็น….เอ่อ เป็นเพื่อนเพียวไง”
รอยยิ้มน้อยๆจากเดียร์ทำให้เพียวโล่งอก ถึงจะสงสัยคำที่ขาดหายไปแต่ถ้าเดียร์ไม่พูดเพียวก็คงจะถามไม่ได้คำตอบเหมือนเดิม
สุดท้ายแล้วเพียวก็ต้องหลับยาวจนถึงเช้าของอีกวัน และเอลเดอร์ไม่ได้มาหาหรือใช้ประตูมาลักพาตัวเพียวไปอีกเลย
“เพียว!!!กลับกันเถอะ”
เดียร์สวมชุดนักศึกษาวิ่งต๊อกๆมาแต่ไกล
“ขอโทษนะเดียร์ งานเรายังไม่เสร็จเลย”
“งั้นเดียร์จะรอ”
“มันดึกนะ”
“ไม่มีปัญหา เดี๋ยวไปหาอะไรมาให้กินนะ อยากกินอะไร”
“อะไรก็ได้”
“โอ๊เค”
เด็กสาวยังร่าเริงเสมอต้นเสมอปลาย
เพราะการเรียนที่หนักเกินวัยทำให้เพียวต้องอยู่ดึกดื่นเพื่อเรียนให้ทันเพื่อน ถึงหอพักจะอยู่ไม่ไกลจากมหาลัยนักแต่ก็ต้องใช้เวลาเดินทางนานเอาเรื่อง โดยเฉพาะเวลาดึกดื่นเที่ยงคืนที่ไม่ค่อยมีรถวิ่งแล้ว
“ไม่มีรถสักคันเลย”
เดียร์บ่นอุบในขณะที่กำลังเจาะกล่องนมดูดเข้าไปคำใหญ่ เพียวยังเคี้ยวขนมปังรสนมนั่งอยู่ข้างๆ สายตาก็เหลือบมองไปบนถนนเพื่อรอรถเมล์สายที่จะวิ่งผ่าน แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะมีมาสักคันเดียว
“รู้อย่างนี้มารอตั้งแต่เนิ่นๆซะก็ดีเนาะ”
“อืม นั่นสิ”
ทั้งสองคนยังนั่งรอต่อไปโดยที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกมองจากที่ไหนสักที่
ม่านน้ำนิ่งไม่กระเพื่อมกำลังสะท้อนเด็กหนุ่มและเด็กสาวที่กำลังนั่งรอรถเมล์ตามลำพัง ดวงตาเฉียบคมโฟกัสที่ใบหน้าเด็กหนุ่มก่อนจะหรี่เล็กราวเมล็ดข้าว
ท้ายที่สุดแล้วเพียวคือใครกันแน่ ถ้าเป็นแค่เด็กธรรมดาทำไมถึงมีสัตว์พิทักษ์คอยตามติดเป็นเงา แล้วถ้าไม่ใช่แล้วเพียวเป็นใคร ทุกครั้งที่สัมผัสเด็กหนุ่มเอลเดอร์ก็ไม่รู้สึกถึงพลังแฝงอะไรเลย
“ยังคิดเรื่องเด็กมนุษย์ของท่านอยู่อีกรึ ท่านพี่”
เสียงแหลมสูงฟังดูเย่อหยิ่งแทรกเข้ามาในภวังค์ เอลเดอร์สะบัดแขนเสื้อครั้งเดียวภาพที่สะท้อนในม่านน้ำก็หายไป ก่อนที่ราชาหนุ่มจะหันไปหาแขกที่เพิ่งเข้ามาในห้อง
“มีอะไรงั้นเหรอ จอยส์ลีน”
“พวกกบฏที่แหกคุกออกไปได้มุ่งหน้าไปที่โลกมนุษย์น่ะสิ ข้าจะมาแจ้งท่านพี่เอาไว้ เพราะ…….”
“เพราะอะไร”
“เส้นทางของพวกมันก็คือหมู่บ้านของเด็กนั่น ท่านจะจัดการยังไง ท่านพี่”
“เจ้าเตรียมทหารให้พร้อม ข้าจะไปสำเร็จโทษพวกมัน”
“มีอีกอย่างที่ท่านต้องรู้เอาไว้”
“อะไร”
“ที่หมู่บ้านแห่งนั้นมีสิ่งที่เราต้องการซ่อนอยู่”
“เจ้าว่าไงนะ”
“เป้าหมายของพวกบฏต้องเป็นเจ้าสิ่งนั้นแน่ๆ หัวใจราชันย์องค์ก่อน”
เหมือนมีบางอย่างตรึงเอลเดอร์เอาไว้หลายวินาที ก่อนที่ราชาหนุ่มจะคว้าผ้าคลุมและยื่นนิ้วกรีดอากาศสร้างประตูมิติ จุดหมายของเขาคือหมู่บ้านของเพียว
หัวใจราชันย์องค์ก่อนเหรอ สิ่งที่หายสาบสูญไปหลายร้อยปี จู่ๆก็มีร่องรอยให้ค้นหาแล้ว แถมยังอยู่ใกล้จนคาดไม่ถึง เพราะอะไรมันถึงปรากฏร่องรอยออกมา แล้วที่ผ่านมามันไปหลบลี้อยู่ที่ไหนกัน
“น้องสาว ไปท่องราตรีกับพวกพี่ไหมจ๊ะ”
เสียงทักทายระหว่างทางนั่งรถเมล์กลับที่พักดังขึ้นมาให้รำคาญใจ ถึงจะรู้ดีว่าเดียร์ไม่ใช่คนหน่อมแน้มขนาดนั้นแต่เพียวก็ปกป้องเพื่อนรักไว้อย่างดี
“เพียวน่าจะให้เดียร์ซัดพวกมันสักหมัดสองหมัด”
“ไม่เอาน่า ดึกแล้ว เราไม่อยากมีเรื่อง ง่วงนอนจะแย่แล้วเนี่ย”
“อืม…จะว่าไปทั้งคันมีแต่เรากับคนขับ ท่าทางจะเป็นรถคันสุดท้ายจริงๆอ่ะเนาะ”
“เที่ยงคืนแล้ว”
เพียยวก้มมองนาฬิกาข้อมือ บรรยากาศยามดึกเงียบสงัด ถึงจะมีแสงไฟตลอดทางก็บรรยากาศก็ชวนให้ขนลุกแปลกๆ
“แปลกจัง เรานั่งรถผิดสายรึเปล่านะ…..เดียร์?”
จู่ๆเดียร์ก็มีท่าทีแปลกๆ เด็กสาวนิ่งจนผิดวิสัยและมองไปที่คนขับ และก่อนที่เพียวจะได้อ้าปากถามอะไร จู่ๆรถก็หยุดวิ่งก่อนที่คนขับคนนั้นจะลุกขึ้นเดินเข้ามาหาพวกเขา
“มีอะไร….”
ฟึ่บ!
“เพียวอย่าพูดกับมันนะ”
“เอ๊ะ?”
“คริๆๆๆ แม่สาวน้อยช่างตาแหลมซะจริงๆ มองออกด้วย งี้สิถึงจะสนุกกับการหักกระดูก!!!”
แล้วร่างของคนขับรถก็พุ่งหลาวเข้ามา ด้วยความเร็วที่เกินคำว่าคนธรรมดา
โครม!
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนเพียวแทบตั้งตัวไมทัน เดียร์กระชากราวจับออกมาและซัดหลาวเต็มแรงแทงร่างที่พุ่งเข้ามาจนมันกระเด็นไปด้านหลัง ก่อนจะถีบประตูรถจนพังและพาเพียวหนีลงจากรถเมล์
เพียวไม่ทันได้คิดหรือปะติดปะต่อเรื่องอะไร มือข้างหนึ่งถูกเด็กสาวคว้าไว้แน่นและกระชากให้วิ่งตาม สองขาวิ่งไปบนถนนเปลี่ยวที่ไร้ผู้คน ไร้รถสัญจรผ่าน ไฟส่องถนนค่อยๆดับไล่ตามหลังมาทีละดวงสองดวง
“แฮ่กๆๆ….ดะ เดียร์ หยุดก่อน แฮ่กๆๆ”
เพียวเหนื่อยจนขาลากแทบจะล้มลงไปกองกับพื้นถนน ของที่กินเข้าไปถูกเขย่ารวมกันในกระเพาะจนเกือบจะสำรอกออกมาทางเดิม เด็กหนุ่มยืนก้มตัวงอเป็นกุ้งใช้สองมือค้ำยันเข่าสองข้างหายใจเอาอากาศเข้าปอดเฮือกแล้วเฮือกเล่า
“เพียวไม่เป็นไรนะ”
“แฮ่กๆๆๆ เมื่อกี้มันอะไรกันน่ะ เดียร์ทำได้ยังไง”
“เอาไว้เดียร์จะเล่าให้เพียวฟังทีหลังนะ ตอนนี้รีบหนีเถอะ เดี๋ยวอสูรจะตามมาทัน”
“อสูร? เดียร์รู้จักอสูรด้วยเหรอ”
“คือว่า…”
“ฮี่ๆๆๆๆ หาเจอแล้ว”
“เฮือก!!!!”
เสียงหัวเราะชวนขนหัวลุกดังมาจากเสาไฟริมทาง ก่อนที่มันจะกระโดดลงมาหวังตะครุบเหยื่ออย่างเพียว
ควาก!
ปลายเล็บของมันขว่านได้เพียงแขนเสื้อของเพียวเพราะเดียร์คว้าเพียวออกไปจากจุดที่มันพุ่งลงมาได้ก่อน แต่ทั้งคู่ก็เสียหลักล้มลงไปกองกับพื้นถนน
ตุ้บ!!!
“เพียว!!! ไม่เป็นไรนะ”
“มะ ไม่เป็นไร”
“หอมอะไรอย่างนี้ นี่สิถึงจะเรียกว่าอาหาร ข้าจะกินเจ้าไม่ให้เหลือกระดูกเลย ฮี่ๆๆๆ”
คนขับรถเมล์ ไม่สิ ตอนนี้นอกจากใบหน้าเขียวคล้ำเหมือนศพเน่าแล้วก็ไม่มีอะไรที่เรียกว่าเป็นคนเลย รูปร่างสูงใหญ่เต็มไปด้วยรอยแผลหลายแห่ง เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง และยังมีกุญแจที่ข้อเท้าสองข้าง เหมือน…..นักโทษที่หลบหนี
เดียร์พยายามลุกขึ้นและดึงเพียวให้ลุกตาม ร่างเล็กๆกันเด็กหนุ่มเอาไว้ด้านหลัง
เพราะความสูงที่มากกว่าทำให้เพียวมองข้างไหล่เด็กสาวไปยังร่างอัปลักษณ์นั้นได้อย่างเต็มตา ตั้งแต่ที่รู้จักเอลเดอร์และรู้ว่ามีอีกมิติหนึ่งอยู่จริงๆ การพบเจอสัตว์ประหลาดแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับเพียว แต่ว่า ทำไมมันถึงมาตามล่าเพียวกันล่ะ จะบอกว่ามันออกมาหาอาหารแล้วบังเอิญเจอเพียวเข้างั้นเหรอ
ปีศาจอัปลักษณ์ย่างกรายเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เพียวและเดียร์ก็ถอยหลังไปที่ละก้าวเช่นกัน
“ถ้าแกกล้าเข้ามาอีกก้าว ฉันจะฉีกแกเป็นชิ้นๆแน่”
“โห นางเด็กน้อย พูดจาโอหังนักนะ”
ฟึ่บ!
ท่อนเหล็กที่เดียร์เคยซัดปักคาอกของมันถูกดึงออกมาและตอนนี้มันก็กำลังถูกส่งกลับมาหาเดียร์ เด็กสาวผลักเพียวออกให้พ้นทางก่อนแท่งนั้นจะกระแทกเข้ากับร่างของเธอจนกระเด็นออกไปหลายเมตร
ตุ้บ!
“เดียร์!”
เดียร์กลิ้งออกไปกลางถนน ตัวงองุ้มไอออกมาหลายที แต่ก่อนที่เพียวจะได้เข้าไปหาเธอ ปีศาจอัปลักษณ์ตนเดิมก็เข้ามาคว้าคอของเพียวและยกขึ้นจนเท้าแกว่งกลางอากาศ
“อ่อก!!!”
“ขอกินเจ้าก่อนก็แล้วกัน ฮิๆๆๆ”
มือบิดเบี้ยวและเล็บแหลมคมจิกลงบนคอของเพียวเหมือนกำลังเด็ดต้นหอม เพียวเริ่มหายใจไม่ออก มึนงง ทรมานอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน นี่เขาต้องมาตายแบบนี้จริงๆสินะ
“อย่าบังอาจแตะต้องเขา เจ้านักโทษชั้นต่ำ”
พรึ่บ!!!
เสียงใสๆหากแต่เย็นชามาพร้อมกับหางพวงพุ่มสีขาวที่เข้ามาโอบรอบตัวของเพียว แสงสีแดงไวๆพาดผ่านสายตาเด็กหนุ่มก่อนที่เสียงร้องโหยหวนของปีศาจอัปลักษณ์จะดังระงม
ตุ้บ!
ร่างของเพียงร่างลงสู่พื้น เด็กหนุ่มอ้าปากกอบโกยเอาอากาศเข้าปอด มือของปีศาจที่บีบคอเพียวตกอยู่บนพื้นถนนก่อนที่มันจะถูกอุ้งเท้าสีขาวปุกปุยเหยียบย่ำจนแหลกเหลว
แผละ!
“อ๊ากกกก!!!! แขนข้า!!! แขนของข้า!!!!!”
ปีศาจดิ้นทุรนทุรายกุมแขนที่ขาดของตัวเองเอาไว้ สายตาของมันจดจ้องมายังร่างสีขาวที่ยืนอยู่ต่อหน้าเพียว
จิ้งจอกสีขาว เก้าหาง ดวงตาสีทองเหลือบมองเพียวพร้อมกับหางที่โบกสะบัดผ่านใบหน้าของเพียวไปราวกับปัดฝุ่นออกให้
เพียวคุ้นเคยกับแววตาคู่นั้นดี ปากคอสั่นเทาพยายามเค้นเสียงเรียกชื่อของคนคุ้นเคย
“เดียร์…..”
“……………”
ดวงตาสีทองที่มองเพียวหรี่ลงจนลีบเล็กราวกับเมล็ดข้าว ก่อนที่ทุกอย่างในหัวของเพียวจะว่างเปล่า และดับวูบลง
วันเดอร์เรอร์……
แปะ!
“เฮือก!”
“เจ้าฟื้นแล้ว”
เมื่อลืมตาตื่นก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงขนาดคิงไซส์ในห้องนอนหรูหราโทนสีดำ และสิ่งแรกที่เข้ามาอยู่ในระดับสายตาก็คือใบหน้าคมคายของราชาซาตาน
“เอลเดอร์ นี่ผม…..มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“ข้ารับเจ้ามาเอง”
“ผมจำได้ว่า…..อึก!”
ความเจ็บแผ่ซ่านไปครึ่งร่างจนเด็กหนุ่มต้องนิ่วหน้า แขนข้างหนึ่งมีผ้าพันแผลพันรอบมิดชิด เพียวลูบคลำแขนเสื้อที่ขาดวิ่น เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวในหัว
มันคือความจริง ทั้งเรื่องปีศาจที่โจมตี และเดียร์……
“เดียร์….”
“อย่าห่วงเลย นางปลอดภัยดี ผู้พิทักษ์ตนนั้นเป็นคนเรียกให้ข้าไปรับตัวเจ้ามาที่นี่เอง”
“ผู้พิทักษ์…เหรอ”
“มันอาจจะเป็นเรื่องยากที่เจ้าจะยอมรับ แต่เด็กสาวคนนั้นนางคือจิ้งจอกเก้าหาง เผ่าพันธุ์ของผู้พิทักษ์ที่คุ้มครองราชามารุ่นต่อรุ่น”
เดียร์คือจิ้งจอกเก้าหาง เดียร์ไม่ใช่มนุษย์ และเดียร์ก็คือผู้ที่อยู่ในโลกเดียวกับเอลเดอร์ แต่ทำไมเดียร์ต้องปกปิด
“เอลเดอร์ ผมเป็นอะไรกันแน่…”
เพียวกอดตัวเองจิกเล็บทึ้งหนังตัวเองระบายความอัดอั้นตันใจเต็มเปี่ยม เอลเดอร์คว้าร่างน้อยๆเข้าไปกอด สิ่งที่เขาได้รู้จากหมู่บ้านของเพียวมันช่างหนักหนาและน่าประหลาดใจจนไม่อยากเชื่อเหมือนกัน
เพราะตามล่าเหล่านักโทษที่หลบหนีไปจนถึงน้ำตกหลังบ้านของเพียว ทำให้เอลเดอร์ได้พบกับใครบางคน และเรื่องราวที่ชวนช็อก
ที่แห่งนั้นเขาได้พบความลับที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้มาหลายร้อยปี
“วันเดอร์เรอร์….”
หัวใจของราชันย์องค์ก่อน ที่แท้ก็อยู่ในมือของเขานี่เอง
“ข้ารักเจ้า เพียว”
“เอ๊ะ?”
“รักเจ้า และจะมีเพียงเจ้า”
มือหนาเชยคางของร่างเล็กในอ้อมกอดขึ้นมาและประกบจูบทันที ความเศร้าจากเด็กหนุ่มถูกเก็บกลับเข้าไปในใจก่อนที่มันจะถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกวาบหวามของอารมณ์
เอลเดอร์ตักตวงความสุขบนร่างกายบอบบางนั้นไม่รู้เบื่อ สัมผัสทุกอณูของเรือนร่างที่มีชีวิต
“ผมอยากกลับบ้าน”
เพียวพูดขึ้นในขณะที่นอนซบบนอกแกร่ง มีเพียงผ้าห่มผืนบางปกปิดร่างกายเปลือยเปล่าท่อนล่างเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่
“ข้าจะพาเจ้ากลับเมื่อเจ้าพร้อมจะเผชิญหน้ากับนาง”
เพียวเผลอกำมือแน่น ดวงตาสั่นระริกพร้อมกับริมฝีปากที่เม้มเข้าหากันจนเป็นเส้นตรง
“ผมพร้อมครับ”
“ข้าจะพาเจ้ากลับ”
เอลเดอร์สัมผัสความแปรปรวนจากร่างที่ซบอยู่บนอกได้ แต่ไม่นานมันก็สงบนิ่งเหมือนน้ำนิ่งในบึง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ