ทาสรักซาตาน

8.3

เขียนโดย zusuran

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เวลา 13.32 น.

  15 ตอน
  2 วิจารณ์
  13.19K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.52 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) ระยะทางไม่ใช่ปัญหา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“ไม่คิดเลยว่าจะต้องมาปรนนิบัติเจ้าแบบนี้ ไม่สบอารมณ์ข้าเลยจริงๆ”

“ผม….เอ่อ”

“ช่างเถอะ”

ตอนนี้เพียวนั่งจ่อมอยู่ในอ่างน้ำนม โดยมีจอยส์ลีนที่ถูกยัดเยียดมาช่วยเตรียมชุดให้ เพราะทาสรับใช้ตนอื่นไม่อาจทนทานต่อความหอมหวานของเพียวได้ และถูกกำจัดไปหลายตนแล้ว

“เพราะเจ้า ข้าก็เลยพลอยเสียทาสรับใช้ไปหลายตน ไหนบอกมาซิ ว่าจะชดใช้ให้ข้าเช่นไร เจ้ามนุษย์คนรักของท่านพี่”

“เรียกผมว่าเพียวเถอะครับ”

“ฮึ! ถึงท่านพี่จะบอกว่าเจ้าคือคนรัก แต่ข้าไม่ได้อยากยอมรับเจ้าหรอกนะจะบอกให้”

“ขอโทษนะครับ”

“มาขอทงขอโทษอะไรข้าล่ะ”

“ผมคงจะทำให้คุณจอยส์ลีนลำบากใจ”

“ข้าลำบากใจเฉพาะตอนที่ข้าหิวเท่านั้นแหล่ะ”

“เฮือก!”

นึกถึงตอนที่ธิดาโลกันต์กินเหยื่อต่อหน้าต่อตาเพียวเมื่อคราวก่อน จู่ๆร่างกายบอบบางก็สั่นสะท้านขึ้นมาทันที

“อย่าห่วงเลย ข้าไม่เหมือนพวกชั้นต่ำพวกนั้นหรอกน่า”

“คุณจอยส์ลีน…”

“อะไร”

“ซาตานอย่างพวกคุณเนี่ย มีอายุเท่าไหร่กันเหรอครับ”

“อืม…..นั่นสินะ อาจจะมากกว่ามนุษย์เช่นเจ้าหลายร้อยเท่า หรืออาจจะสั้นกว่ามนุษย์เช่นเจ้าแค่ไม่กี่วัน”

“หมายความว่ายังไงเหรอครับ”

“พวกข้าสามารถมีอายุได้เป็นพันปี แต่ในทางตรงกันข้าม พวกข้าก็มีโอกาสแหลกสลายไปได้ทุกเมื่อเช่นกัน เพราะสงครามที่พวกข้าต้องรับมือ มันไม่ได้บอกว่าพวกข้าจะมีวันพรุ่งนี้เสมอไปไงล่ะ”

“สงครามเหรอ”

“เจ้าเป็นมนุษย์ที่อยู่ในโลกมนุษย์ จะมาเข้าใจในโลกที่พวกข้าอยู่ได้ยังไง เฮ้อ ไม่พูดละ ท่านพี่บอกให้ข้าพาเจ้าไปเดินเล่น แล้วส่งเจ้ากลับโลกมนุษย์ มาสิ ข้าจะเดินไปส่งเจ้าเอง”

เพียวเดินตามจอยส์ลีนไปตามทางเดินในโถงปราสาท จะว่าไปแล้วนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เพียวได้เห็นปราสาทของเอลเดอร์เต็มๆ ทุกอย่างถูกสร้างด้วยหินขรุขระแต่ยังมีความหรูหราคลาสสิคไว้กับตัว และที่โดดเด่นที่สุดคือสายน้ำที่ไหลเวียนอยู่รอบปราสาท มันทั้งใสและเย็นจนอยากลงไปลิ้มลอง จอยส์ลีนพาเพียวเดินทางเรื่อยๆผ่านเหล่าซาตานลูกสมุนที่รีบหลีกทางให้พร้อมกับโค้งคำนับอย่างกริ่งเกรง แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้เกรงกลัวอะไรในตัวเพียวหรอก หากแต่เป็นจอยส์ลีนต่างหาก เพียวเดินผ่านสระน้ำวน ผ่านทุ่งดอกไม้สีประหลาดที่เอนไหวราวกับมีชีวิตและมาหยุดที่อุโมงค์หินเก่าๆที่มีเถาดอกไม้ลามเลียชูช่อสวยแปลกตา

“ข้าส่งเจ้าเท่านี้ละกัน”

“ขอบคุณนะครับ คุณจอยส์ลีน”

“เพียวเดินเข้าไปในอุโมงค์ คิดว่านี่คงเป็นประตูที่จะกลับไปโลกมนุษย์ แต่เปล่าเลย เพราะปลายทางของอุโมงค์มันได้พาเพียวโผล่ไปยังอีกฟากหนึ่งของสวน และยังมีคนที่รออยู่ก่อนแล้ว

“เอลเดอร์”

“มาแล้วเหรอ”

ซาตานหนุ่มสวมชุดคลุมสีดำพร้อมเครื่องประดับหรูหราเป็นทางการ ยืนอยู่ทางเดินตรงหน้าเพียว

“ทำไมอยู่ที่นี่ล่ะครับ”

“ข้ารอเจ้าอยู่น่ะสิ”

“ไหนบอกว่ามีงานต้องทำไงล่ะ”

“ข้ารีบสะสางเพื่อจะมาพบเจ้าไงล่ะ”

เอลเดอร์สวมกอดเพียวเอาไว้แนบกายก่อนจะก้มจุมพิตเร่าร้อนบนเรียวปากสีอิ่มนั้นเสียทีหนึ่ง

“อื้ม”

เด็กหนุ่มผู้ถูกชิงพลังชีวิตไปร้องครางปะท้วงกลายๆ และก็ได้ผลเมื่อคนตรงหน้ายอมปล่อยจังหวะให้หายใจ

“เดี๋ยวคนอื่นมาเห็นเข้า คุณไม่อายแต่ผมอายนะ”

“ที่นี่เป็นเขตหวงห้ามของข้า ไม่มีใครเข้ามาได้แม้แต่จอยส์ลีน อย่าห่วงไปเลย”

ถึงว่าสิ ที่นี่ดูแปลกไปจากสวนที่เดินผ่านมา

“เดินเล่นกับข้า”

“ครับ”

มือหนาสอดประสานระหว่างนิ้วกับมือของเพียว สองร่างต่างไซส์เดินเคียงกันไปบนเส้นทางที่ทั้งเงียบสงบและเย็นสบาย เหมือนสถานที่แห่งนี้จะไม่มีที่สิ้นสุดให้มองเห็นเลย

“เอลเดอร์”

“หืม”

“ต่อไปผมจะมาหาคุณแบบนี้ไม่ได้แล้วนะครับ”

“เพราะอะไร”

“ผมต้องกลับไปเรียนต่อแล้ว ไกลมากเลยล่ะคับ”

“หึ เด็กน้อย นั่นไม่ใช่ปัญหาของข้า…ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ไหน ข้าก็ไปหาเจ้าได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว”

“เป็นอย่างนั้นได้ก็ดี”

“อะไรกัน เพิ่งจะเป็นคนรักของข้าได้คืนเดียว กลัวข้าทอดทิ้งซะแล้วเหรอ”

ผัวะ!

ฝ่ามือลุ่นๆฟาดเข้าเต็มกลางหลังซาตานหนุ่มทันที

“ใช่สิ! มนุษย์อย่างผมอายุสั้นนิดเดียว ได้ผมไปแล้วคุณจะทิ้งง่ายๆก็ไม่เห็นแปลกอะไรเลยนี่”

เพียวชักฉุนขึ้นมาตงิดๆอย่างไม่มีเหตุผล

“ผมจะกลับแล้ว”

หมับ!!!

วงแขนแกร่งทั้งยาวกว่าและไวกว่าคว้าเอวบางของเพียวกลับเข้าไปกอดแนบกาย

“อย่าโกรธข้าเลย ข้าไม่มีทางทิ้งเจ้าเด็ดขาด”

“พูดดีไปเถอะ ตั้งแต่วันแรกที่เจอกันคุณก็กินผมแล้ว”

“ก็เจ้ามันน่ากินเสียขนาดนี้ใครจะห้ามใจได้ลงเล่า”

ไม่พูดเปล่า แต่ซาตานหนุ่มยังขบเม้มใบหูคนรักอย่างเอาใจ พร้อมๆกับลูบไล้ไปใต้ร่มผ้าอย่างถือสิทธิ์ สร้างความวาบหวามให้ร่างเล็กในอ้อมแขนได้อย่างง่ายดาย

“พอแล้ว เมื่อคืนก็เยอะแล้วนะครับ”

“ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ข้าไปอยู่กับเจ้าได้หรือไม่”

“ไม่ได้ครับ”

“ใจร้ายจริง จะไม่ให้ข้าไปช่วยเจ้าเก็บของเหรอ”

“น่ากลัวว่าผมคงเก็บไม่เสร็จแน่ๆ ไม่เอาละ ผมจะกลับแล้ว”

“เพียว”

เอลเดอร์กอดรั้งร่างเล็กเอาไว้และประกบริมฝีปากสีอิ่มนั้นอย่างอ้อยอิ่ง เป็นเวลาเนิ่นนานจนเพียวที่เคลิ้มตามไหลไปตามแรงอารมณ์อย่างลืมตัว

“แล้วข้าจะไปหาเจ้า”

“ผมจะรอคุณครับ”

…………

พรุ่งนี้ต้องกลับไปเรียนต่อที่กรุงเทพแล้ว ภารกิจสุดท้ายคือการเยี่ยมเยียนและดูอาการของชาวบ้าน

“เพียว ไม่ลืมอะไรใช่ไหม”

“อื้ม เราไม่ลืมหรอก เดียร์ลืมอะไรไหม”

“ให้เราไปช่วยเพียวจัดกระเป๋าไหม”

“ไม่เป็นไรหรอก ของนิดเดียวเอง กลับกันเถอะ”

เดียร์กระโดดขึ้นซ้อนท้ายจักรยานของเพียวและกอดเอวเด็กหนุ่มเรียบร้อย เสียงหัวเราะคิกคักตามประสาเด็กวัยรุ่น แต่เพียวก็ไม่เคยรู้เลยว่าเบื้องหลังนั้นยังมีสิ่งชั่วร้ายแอบแฝงและเฝ้ามองหาโอกาสประชิดตัวอยู่สองข้างทาง

“กรรรรร….เข้าใกล้ไม่ได้เลย นางจิ้งจอกน้อยนั่นตามติดเจ้าเด็กนั่นแจ แบบนี้หาโอกาสกินมันยากซะแล้วสิ”

เสียงพึมพำจากร่างที่เร้นกายในเงามืดของชายป่า ชวนให้ขนหัวลุก หากแต่เสียงอัปมงคลนั้นก็ได้สลายไปในเวลาต่อมาด้วยเงื้อมือของผู้เหนือกว่า

ตุ้บ!

ศีรษะขาดรุ่งริ่งอัปลักษณ์กลิ้งไปหยุดอยู่โคนต้นไม้รวมกับชิ้นส่วนอื่นๆของร่างกายที่บิดเบี้ยว ภายใต้เงามืดที่บดบังกายกำยำของผู้เหนือกว่า

ดวงตาสีทองวาวโรจน์ท่ามกลางเงามืดยามสนธยาของชายป่า มองไปยังเด็กหนุ่มสาวที่กำลังปั่นจักรยานกลับบ้าน

วูบ!...

สายลมพัดกลิ่นรวงข้าวจากทุ่งนาสองฝั่งข้างทางกลบกลิ่นคาวเลือดชวนเวียนหัวจนหมดสิ้น หากแต่เด็กสาวที่นั่งซ้อนท้ายจักรยานอยู่นั้นยังคงฉายแววตาสีทองแวววาวกลับไปมองยังด้านหลัง สบเข้ากับดวงตาสีทองอีกคู่ที่มองมาจากชายป่า เหมือนสื่อความนัยน์ที่เข้าใจกันและกันอย่างเงียบเชียบ วงแขนเรียวเล็กกอดเอวเด็กหนุ่มไว้แน่น ก่อนที่เปลือกตาจะกะพริบปริบๆพร้อมกับใบหน้าหวานที่ซบลงบนหลังของเด็กหนุ่ม

“เป็นอะไรเหรอเดียร์”

“เปล่าจ้า เดียร์เหนื่อยแล้ว วันนี้จะนอนแต่หัวค่ำ เพียวก็รีบเข้าบ้านพักผ่อนนะ”

“อื้ม”

“เดียร์จะอยู่กับเพียวตลอดไปเลย”

“พูดอะไรน่ะ”

“จริงๆนะ รักเพียวที่สุดเลย”

“เพียวก็รักเดียร์เหมือนกัน”

เพียวไม่รู้ว่าเพื่อนสาวคนสวยของตัวเองเป็นอะไร ปกติเดียร์มักจะอ้อนเพียวเสมอ แต่มีครั้งนี้แหล่ะที่เดียร์อ้อนเขาจนผิดปกติ แต่ก็สมกับเป็นเดียร์ เพราะคงไม่มีใครเข้าใจและเอาใจใส่เพียวได้เท่ากับเดียร์อีกแล้ว

ถ้าไม่นับว่าตอนนี้มีเอลเดอร์เพิ่มเข้ามาอีกคนล่ะก็นะ……..

 “เด็กมนุษย์กำลังถูกพวกปีศาจตามล่าตัวอย่างไม่ทราบสาเหตุครับ”

ซาตานสมุนชั้นปลายแถวที่เอลเดอร์สั่งให้ไปจับตาดูเพียวที่โลกมนุษย์ได้รายงานความเคลื่อนไหวมาเป็นระยะๆ แต่ก็มีบางอย่างที่ทำให้เอลเดอร์ขมวดคิ้วเป็นปมเหมือนกัน

“เด็กมนุษย์ธรรมดาๆคนนั้น ทำไมถึงมีสัตว์พิทักษ์คอยคุ้มครองอยู่ไม่คิดว่ามันแปลกไปหน่อยเหรอ ท่านพี่”

จิ้งจอกเก้าหาง เผ่าพันธุ์ที่ทำสัญญากับซาตานและคอยพิทักษ์ราชามารุ่นต่อรุ่น แต่เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน ราชาหายสาบสูญในสงคราม เผ่าพันธุ์ของสัตว์พิทักษ์ถูกทำลายไม่มีผู้ใดรอดชีวิต มันเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านของยุคสมัยที่เอลเดอร์ได้ขึ้นเป็นราชาและไม่มีเผ่าพันธุ์ของจิ้งจอกเก้าหางคอยพิทักษ์

“ท่านพี่ ท่านจะทำยังไงต่อ จะให้ข้าจัดการกับเด็กนั่นรึเปล่า”

“ดูเหมือนว่าเด็กนั่นจะคอยปกป้องเพียวอยู่ จับตาดูไปก่อน ถ้าเด็กคนนั้นเป็นเผ่าจิ้งจอกจริงๆและทำร้ายเพียวขึ้นมาแล้วล่ะก็ ข้าจะเป็นคนฉีกร่างเด็กนั่นป้อนเจ้าทีละคำเอง”

“ท่านนี่นะ…เอาเถอะ ข้าจะไม่ยุ่งก็แล้วกัน”

พูดจบธิดาโลกันต์ก็หายตัวออกไปจากห้องเหลือไว้แค่ร่องรอยกองไฟจากรอยเท้าของเธอเท่านั้น

เอลเดอร์ลอบถอนหายใจส่งๆ ไม่คิดเลยว่าผ่านมาร้อยกว่าปีจะได้รู้ข่าวคราวของสัตว์พิทักษ์ของราชาองค์ก่อน แถมยังอยู่ใกล้คนรักของเขาอย่างคาดไม่ถึง

แล้วเพียวเป็นใครล่ะ……

เด็กน้อยผู้น่าสงสาร ที่บังเอิญได้เจอกับจิ้งจอกเก้าหาง หรือว่าเหยื่อชั้นดีที่รอวันเชือด

“เจ้าเป็นใครกันแน่ เพียว….”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา