- - - - - - H A L F - - - - - - [ Y a o i ]

7.2

เขียนโดย Suhadelle

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เวลา 01.51 น.

  6 ตอน
  3 วิจารณ์
  8,589 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 02.07 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) Chapter: 4

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ


ตลอดสามเดือนที่ผ่านมา โนวาเฝ้ารอทุกสุดสัปดาห์เสมอ ทั้งนั่งทั้งนอนนับวันเวลาให้ถึงวันที่จะได้เจอหน้ากับ ‘เพื่อนสนิท

 

ฮาฟและโนวานัดเจอกันทุกเช้าของวันให้ทาน หลังจากที่โนวาทำหน้าที่รักษาในโรงทานของฮีลเลอร์ได้หนึ่งชั่วโมง เอ็มยังแนะนำให้ทั้งสองเปลี่ยนที่นัดพบทุกสัปดาห์ จะได้โดนตามจับได้ยากกว่า ซึ่งนางดูมั่นใจเหมือนมีประสบการณ์อย่างช่ำชองในการแอบนัดพบคน 

 

ทั้งสองยังคงพยายามหาฐานลับด้วยกันทุกครั้งที่เจอหน้า แม้จะยังไม่เจอจุดที่ต้องการ โนวาก็สนุกกับการได้สำรวจวิหาร ทั้งที่ตัวเขาเองเติบโตในวิหารโฮลี่แลนด์มาตลอดชีวิต แต่เมื่อได้ใช้เวลากับฮาฟ เขากลับรู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้ไม่น่าเบื่อเท่ากับที่ผ่านมา แถมยังได้ค้นพบรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่เมื่อก่อนเขามองข้ามไป 

 

ไม่ว่าจะเป็นสวนผักหลังโรงอาหารที่เขาไม่เคยรู้ว่ามีมาก่อน โนวาเข้าใจมาตลอดว่าอาหารทุกอย่างที่กินในวิหารนั้น รับมาจากข้างนอกหรือไม่ก็หาโดยลูกจ้างกับผู้ศรัทธา 

 

หรือจะเป็นจุดซุบซิบนินทาของเหล่าผู้วิเศษ แถวน้ำพุในสวนหย่อมท้ายโรงเก็บสมุนไพร

 

อีกทั้งรายละเอียดของกระจกโมเสคแก้วบานเล็กแถวหลังโบสถ์ ที่โนวาไม่เคยสังเกตมาก่อนว่าเป็นรูปเทวดาตัวน้อยติดปีก เขานึกว่าเป็นรูปนกพิราบขาวมาตลอดเมื่อมองจากไกลๆ

 

โนวาและฮาฟได้ค้นพบหลายอย่าง ได้สนุกสนานกับการสำรวจอย่างซุกซน แม้จะมีเวลาอยู่ด้วยกันสั้นๆ แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่มีเลย 

 

ตั้งแต่โนวาได้เจอกับฮาฟ เขาก็ได้ลองทำอะไรใหม่ๆ จนมี ‘ครั้งแรก’ มากมาย 

 

เช่นครั้งแรกที่โนวาพยายามจัดเวลาเรียนของตัวเองใหม่ โดยปรึกษากับบรรดาอาจารย์ ให้จัดหลักสูตรของเขาในวันธรรมดาให้แน่นกว่าเดิม เพื่อที่เขาจะได้มีเวลาผ่อนคลายและใช้เวลาอยู่กับผู้ศรัทธามากขึ้นในวันให้ทาน 

 

แม้โนวาจะเคยโดดเรียนมาบ้าง แต่ก็ถือว่าน้อยครั้งจนไม่น่าเอาเก็บมาใส่ใจ อีกทั้งคุณภาพของงานที่ส่ง และความสามารถในการใช้เวทย์ที่ล้ำหน้ากว่าวัย ทำให้พวกอาจารย์ยอมทำตามคำขอของเขา ส่งผลให้โนวาสามารถหาเวลามาอยู่กับฮาฟได้ง่ายขึ้น

 

โนวายังเริ่มมีนิสัยใหม่ๆ คือการแอบฝึกเวทย์โดยไม่ให้คนอื่นรู้ 

 

โดยปกติโนวาจะฝึกวิชาต่างๆเพื่อแสดงให้ท่านพ่อท่านแม่และอาจารย์ดูเสมอ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาแอบหาวิชามาฝึกเอาเอง แล้วเก็บงำเอาไว้ เพื่อใช้แอบหนีไปหาฮาฟได้ง่ายขึ้น 

 

เช่นการควบคุมเวทย์ธาตุลม จนเขาสามารถใช้เดินเหินในอากาศได้ แม้จะยังไม่ถึงขั้นเหาะกลางฟ้า แต่ก็มากพอที่จะช่วยทำให้เคลื่อนไหวกลางอากาศเร็วขึ้น และกระโดดได้สูงถึงหลังคาชั้นสอง ซึ่งยิ่งฝึก โนวาก็ยิ่งกระโดดได้สูงขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานคงกระโดดข้ามกำแพงยักษ์ของวิหารชั้นในได้สบายๆ

 

อีกสิ่งที่เขาแอบทำกับฮาฟโดยไม่ให้ใครรู้ คือการดักฟัง

 

แม้ในคราวแรกที่เขาแอบได้ยินผู้รับทานพูดคุยกันจะเป็นเรื่องบังเอิญ แต่มันก็ทำให้เขาได้ยินในสิ่งที่ชาวบ้านจะไม่พูดต่อหน้าผู้วิเศษเช่นเขา จนช่วงหลังโนวาเริ่มอดไม่ได้ที่จะแอบฟังบทสนทนาของคนทั่วไป มันทำให้เขาได้รู้จักกับเหล่าผู้ศรัทธามากขึ้น 

 

เขาเริ่มเรียนรู้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่ศรัทธาโฮลี่อย่างแท้จริง 

 

 

 

 

ฮานส์เจ้ามาทำอะไรที่นี่ข้านึกว่าเจ้ามาหาผู้วิเศษตั้งแต่อาทิตย์ก่อนเสียอีก” 

หญิงชาวบ้านสูงวัยร่างผอมบางเอ่ยทักคนรู้จักอย่างเป็นกันเอง เมื่อได้เห็นอีกฝ่ายในแถวรอใช้บริการโรงทานของฮีลเลอร์ ที่ถูกจัดเป็นทางไว้รอโดยเฉพาะ ทางคดเคี้ยวที่เลื้อยไปมาราวกับงูตัวเขื่องอัดแน่นไปด้วยผู้คน 

 

ฝ่ายโดนทักเป็นชายร่างเตี้ยหากบึกบึนไปด้วยมัดกล้าม แม้จะดูแข็งแรง หากตรงมือข้างขวากลับมีผ้าพันแผลผูกไว้จากศอกถึงปลายนิ้ว เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายเมื่อโดนทัก 

 

ข้าก็นึกว่าอาทิตย์ก่อนจะได้รักษา อุตส่าห์รอทั้งวัน แต่สุดท้ายโรงทานก็ปิดไปก่อน มือข้างนี้ข้ายังใช้ตัดฟืนไม่ได้เลย” 

 

ชายสูงอายุที่อยู่ข้างหลังฮานส์ ดูเหมือนจะเป็นคนรู้จักด้วยอีกคน เข้าร่วมบทสนทนา 

 

ถ้าเจ้าอยากใช้มือไวๆ ทำไมไม่ลองจ้างให้คนมานอนรอหน้าประตูวิหารล่ะ เจ้าจะได้ที่ตั้งแต่หัวแถว อย่างน้อยก็ถูกกว่าจ่ายค่าลัดคิว

 

นั่นซิ ข้าได้ยินมาว่าเดือนหน้าค่าลัดคิวจะขึ้นราคาอีกแล้ว ถ้าวันนี้เจ้ายังไม่ได้รักษา ข้าว่าเจ้ารีบหาคนหัวแถวให้จะดีกว่า ไม่งั้นมีหวังได้จ่ายราคาใหม่ด้วยเป็นแน่” หญิงสูงวัยร่วมแนะนำด้วยเสียงกระซิบที่ไม่เบานัก

 

โนวาที่แอบอยู่กับฮาฟในพุ่มไม้ไม่ไกลไปนัก ตกใจมากกับสิ่งที่เขาได้ยิน แต่ที่ช็อคมากกว่าคือท่าทางการพูดเรื่องจ่ายค่าลัดคิวและค่าหัวแถวเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นประจำ

 

ไม่ล่ะ ข้าไม่มีเงิน” ฮานส์ส่ายหัว ก่อนจะถอนหายใจอีกครั้ง “เฮ้อถ้าพวกเราเก็บสมุนไพรในป่าผู้วิเศษได้ อย่างน้อยข้าน่าจะรักษามือข้างนี้ได้แล้ว

 

ใช่ๆ ข้าจะได้ไม่ต้องมาเลือกด้วย ว่าจะมารอทั้งวันเพื่อรักษาหรือไปแบมือขออาหารดี อย่างน้อยถ้าทางวิหารให้ชาวบ้านอย่างเราเข้าไปล่าสัตว์ในป่าของผู้วิเศษมากขึ้น เนื้อในตลาดคงไม่แพงขนาดนี้” หญิงสูงวัยกอดอกร่วมถอนหายใจกับฮานส์ แสดงถึงความไม่พอใจเช่นกัน

 

ข้าล่ะอิจฉาพวกลูกจ้างของวิหารนัก หลานของเพื่อนบ้านข้าเป็นนายพรานของทางวิหาร กลับมาเยี่ยมเพื่อนบ้านข้าทีไร มีเนื้อกับสมุนไพรมาฝากทุกที แถมข้ายังได้ยินมาด้วยว่าเวลาไปหาหมอ พวกนั้นจะได้ส่วนลดเป็นพิเศษด้วย เพราะถือว่าเป็นผู้รับใช้โฮลี่ รู้อย่างนี้ข้าน่าจะส่งหลานไปเป็นลูกจ้างของวิหารเสียให้หมด

 

ชายสูงวัยร่วมบ่นด้วยเช่นกัน ก่อนหัวข้อสนทนาจะเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นที่โนวาไม่สนใจ

 

ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลย ว่ามีคนอิจฉาพวกลูกจ้างของวิหารด้วย 

 

ฮาฟกระซิบคุยกับเขา ซึ่งทำให้โนวาแปลกใจเข้าไปใหญ่ ว่าสิ่งที่เพื่อนของเขาสนใจกลับเป็นเรื่องนี้

 

เจ้าไม่ตกใจเรื่องจ่ายค่าลัดคิวรึนี่มันผิดกฏของวิหารชัดๆผู้วิเศษไม่ควรเก็บเงินจากผู้เดือดร้อนที่มาขอความช่วยเหลือนะ” โนวากระซิบกลับอย่างหงุดหงิด 

 

อ้าว แต่ทางวิหารรับเงินบริจาคนี่ มันกันต่างตรงไหนล่ะ?” ฮาฟถามกลับตรงๆ

 

โนวาชะงักเมื่อเจอคำถามกลับ นิสัยซื่อตรงของฮาฟทำให้เขารู้ดี ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ถามเพื่อกวนประสาทเขา

 

พลังของผู้วิเศษ ก็คือพลังของโฮลี่ ผู้วิเศษเป็นผู้เชื่อมโยงระหว่างโฮลี่กับมนุษย์ พวกเราจึงไม่ควรใช้พลังที่ได้รับมาเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ผู้วิเศษต้องอุทิศตัวให้กับคำสอนของโฮลี่ และเผยแพร่คำสอนนั้นให้กับผู้ศรัทธา พวกเราจึงไม่สามารถทำอาชีพแบบคนทั่วไปได้ ดังนั้นเงินบริจาคจะช่วยให้ผู้วิเศษสามารถดูแลวิหารและเรื่องการกินอยู่ได้” โนวาตอบด้วยคำสอนที่เขาได้ยินมาตั้งแต่เด็ก

 

เจ้าไม่ได้ตอบคำถามข้านะ เงินบริจาคมันต่างตรงไหน กับ ‘เงินที่เก็บจากผู้เดือดร้อนที่มาขอความช่วยเหลือ’ เวลาข้าป่วย ข้าเดือดร้อน ข้าไปหาหมอแล้วจ่ายเงินค่ารักษา มันต่างตรงไหนกับการที่ข้าจ่ายเงินให้กับผู้วิเศษที่รักษาข้า

 

ฮาฟยังคงถามต่อไป ทั้งที่ฟังดูเหมือนคำถามเรียบๆไม่มีอะไรซับซ้อน แต่โนวากลับเริ่มรู้สึกว่ามันตอบลำบาก 

 

เพราะเงินบริจาคมันมาจากความศรัทธาของผู้ให้” โนวาตอบหลังจากได้ครุ่นคิด

 

ถ้าข้าศรัทธาในฝีมือหมอล่ะ มันต่างกันตรงไหน

 

นี่เป็นครั้งแรกที่ฮาฟกับโนวาเถียงกันแบบนี้ ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยมีปากมีเสียงกันมาก่อน แต่การเถียงกันครั้งนี้มันต่างออกไป 

 

เพราะโนวาเริ่มรู้สึกแล้วว่าพวกเขามีจุดยืนทางความเชื่อที่ต่างกัน

 

ฮาฟ เจ้าไม่ศรัทธาในคำสอนของโฮลี่เหรอ” 

 

เขาไม่ได้โมโหที่อีกฝ่ายไม่ศรัทธา แต่เขาสับสนมากกว่า เพราะตั้งแต่เขาเกิดมา ก็เจอแต่คนที่เชื่อฟังคำสอนของโฮลี่มาโดยตลอด

 

ฮาฟเงียบไปเล็กน้อย สีหน้าดูครุ่นคิด ก่อนจะตอบด้วยเสียงแผ่วเบาหากจริงใจ 

 

ไม่รู้สิ ข้าว่าข้าไม่เข้าใจคำสอนมากกว่า

 

เจ้าอยากให้ข้าสอนไหม?”

 

โนวาเสนออย่างจริงใจเช่นกัน แต่เขาก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าโดนยัดเยียด จึงใช้น้ำเสียงแบบคำถาม 

 

ฮาฟเงียบไป จนโนวาเริ่มใจเสีย คิดว่าตัวเองทำให้อีกฝ่ายโมโหที่พยายามไปก้าวก่าย แต่ก่อนจะทันตัดสินใจว่าควรจะเอ่ยคำขอโทษหรือไม่ ฮาฟก็หันมายิ้มให้กับโนวา

 

ไปหาฐานลับกันเถอะ

 

 

 

 

โนวาและฮาฟไม่คุยเรื่องคำสอนของโฮลี่อีก แต่โนวายังมีอีกเรื่องที่เขาปล่อยวางไว้ไม่ได้ อีกหนึ่งเดือนต่อมาเขาจึงเฝ้าแอบฟังการสนทนาของเหล่าผู้ศรัทธาที่มาใช้บริการโรงทานอีก จนเริ่มได้ผลสรุปคร่าวๆ

 

มีหลายคนที่มายังวิหารโฮลี่แลนด์ ยอมต่อแถวรอเป็นวัน เพียงเพื่อรอรับอาหารจำนวนน้อยนิดมาเลี้ยงปากท้องของครอบครัว และรอใช้บริการรักษากับผู้วิเศษ 

 

ยังมีความไม่พอใจในบรรดาชาวบ้าน ที่ทางวิหารห้ามคนเข้าไปล่าสัตว์หรือหาอาหารในป่าของผู้วิเศษ ทั้งที่พวกชาวบ้านเองก็มีปัญญากับฝีมือพอที่จะหากินกับธรรมชาติและดูแลตัวเองได้ แต่กลับโดนมัดมือชก ไม่สามารถเข้าถึงทรัพยากรที่จำเป็น ป่าอื่นที่อุดมสมบูรณ์พอก็ต้องออกไปไกลถึงนอกเมือง ทั้งลำบากและอันตรายกว่า จนสุดท้ายต้องยอมมาแบมือขอส่วนแบ่งที่ทางวิหารเอามาบริจาค

 

แต่เรื่องที่ผู้คนบ่นกันมากที่สุด เห็นจะเป็นเรื่องโรงทานของฮีลเลอร์ แม้ผู้คนจะซาบซึ้งในบุญคุณที่ผู้วิเศษช่วยรักษา และหลายคนศรัทธาในโฮลี่ หากพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความไม่พอใจ ต่อการที่วิหารโฮลี่แลนด์ไม่อนุญาตให้เข้าไปเก็บสมุนไพร มารักษาอาหารเจ็บป่วยเองแต่เนิ่นๆ จะได้ไม่ต้องรอจนอาการหนักแล้วต้องมาเข้าแถวรอเป็นวันเพื่อให้รักษาชีวิต 

 

แม้ชาวบ้านทั่วไปจะปลูกสมุนไพรไว้ใช้เองได้ แต่ยาหลายชนิดก็จำเป็นต้องใช้สมุนไพรป่า พอสมุนไพรป่าส่วนมากต้องไปเก็บไกลจากตัวเมือง ราคายาในตลาดก็แพงเกินกว่าที่ชาวบ้านทั่วไปจะซื้อได้ ทำให้ค่าบริการของหมอธรรมดาสูงตามไปด้วย สุดท้ายก็จำต้องรอใช้บริการผู้วิเศษ ที่ต่อให้รักษาได้ผลและเร็วกว่า แต่ก็ต้องเสียเวลารอนานแสนนาน จนไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีคนมารอข้ามคืน หรือคนที่ต้องกลับบ้านไปมือเปล่า ต้องมาเข้าแถวรอใหม่ในสัปดาห์ต่อไป 

 

โนวาตกใจเมื่อพบว่ามีการแอบจ่ายเงินเพื่อลัดคิว ในกรณีที่บางคนอาการหนักมากหรือต้องการได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน ยามเฝ้าหน้าประตูจะเปิดให้ลัดคิว เพื่อ ‘แลก’ กับสิทธิพิเศษนั้น ซึ่งเขาแอบดูอยู่จนเห็นกับตาตัวเอง

 

ค่าสิทธิพิเศษนี้ยังลามไปถึงโรงทานที่แจกอาหารฟรี ที่คนรับทานสามารถจ่ายเงินเพิ่มอีกเล็กน้อย เพื่อได้อาหารชิ้นใหญ่ขึ้นบ้าง หรือให้ส่วนแบ่งของตัวเองมากขึ้น จนบางครั้งทำให้ส่วนแบ่งของคนอื่นน้อยลง  

 

แม้โนวาจะรู้มานานแล้ว ว่าทางวิหารโฮลี่แลนด์มีปัญหาเรื่องการเข้าแถวรับทานที่นานจนขึ้นชื่อ แต่เขาก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่ามันจะหนักหนาถึงขั้นนี้ 

 

เขารู้ว่าควรจะเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาใคร

 

 

 

 

ไคลด์ นอบิลิส

 

โนวาจ้องมองป้ายชื่อหน้าประตูไม้สีเข้มอย่างเกร็งๆ เขาหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะยกมือขึ้นเคาะประตู

 

เสียงตอบรับสั้นๆอนุญาตให้เขาเข้าไปได้

 

โนวาเข้าไปแล้วปิดประตูอย่างแผ่วเบา คอยระวังการเคลื่อนไหวทุกกระเบียดนิ้วให้ดูเรียบร้อยและสง่างาม อย่างที่โดนฝึกมาตลอด 

 

เขาตรงไปยังกลางห้อง แล้วหยุดรอหน้าโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ ที่เต็มไปด้วยกองเอกสาร ทุกย่างก้าวที่เข้าใกล้ โนวายิ่งรู้สึกตัวเล็กลงเรื่อยๆ 

 

ไม่ว่าจะมากี่ครั้ง แต่เขาก็อดเกร็งและตัวหนักจนเคลื่อนไหวลำบากเสียมิได้ทุกที ราวกับการเคลื่อนไหวที่ผิดระเบียบไปแม้แต่นิดเดียว จะทำให้ธรณีสูบตัวเขาหายไปในพริบตา

 

โนวายืนรออย่างอดทน แม้จะได้รับอนุญาตให้เข้ามาในห้องเรียบร้อยแล้ว แต่เขาไม่สามารถเริ่มพูดได้ จนกว่าเจ้าของห้องจะตรวจดูเอกสารในมือแล้วเซ็นรับรองเรียบร้อย 

 

ห้องทำงานที่โนวายืนรออยู่ ล้อมรอบไปด้วยชั้นหนังสือจนน่าจะเรียกว่าห้องสมุดมากกว่า ไม่มีเก้าอี้ให้แขก เห็นได้ชัดว่าห้องนี้มีเพียงจุดประสงค์เดียว คือห้องทำงาน 

 

จุดเด่นหนึ่งเดียวในห้อง คือหน้าต่างบานยักษ์ที่เผยวิวสูงจากยอดหอคอยวิหาร พอจะทำให้ห้องดูสว่างและไม่อึดอัดเกินไปนัก เครื่องประดับเดียวที่มีในห้องคือเทวรูปของโฮลี่เหนือหน้าต่าง ราวกับผู้มองผ่านหน้าต่างบานนี้ กำลังมองผ่านสายตาจากเบื้องสูงที่เห็นทุกสรรพสิ่งของโฮลี่ 

 

ห้องที่ให้ความรู้สึกหนักแน่น ไร้เครื่องประดับที่ไม่จำเป็น เน้นในทางปฏิบัติ เรียบง่ายหากดูน่าเกรงขาม และเย็นชา

 

เหมือนกับเจ้าของห้องไม่มีผิด

 

เจ้ามีเรื่องอะไรงั้นรึ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นในที่สุด เมื่อจัดการเอกสารในมือเสร็จ

 

โนวากลืนน้ำลาย ก่อนจะยืดอกให้ตัวตรงขึ้น แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบอย่างเป็นงานเป็นการที่ถูกฝึกมา 

 

ข้ามีเรื่องจะรายงานครับ ท่านพ่อ

 

แม้จะยังเกร็งๆอยู่ แต่โนวาก็บังคับให้ตัวเองสบตาอีกฝ่าย ดวงตาสีเทาคู่คมที่เข้ายากจะคาดเดาความคิดได้

 

เขาจ้องมองใบหน้าที่มีความคล้ายคลึงกับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นผมหยักศกสีทองสว่าง และโครงหน้าคมคาย ราวกับรูปปั้นของเหล่าทูตสวรรค์นักรบที่คอยพิทักษ์โฮลี่ ดูสมบูรณ์แบบ หนักแน่น และไร้อารมณ์ 

 

โนวาไม่แน่ใจว่าในอนาคต ตัวเองจะได้ความน่าเกรงขามแบบอีกฝ่ายหรือไม่ ถึงแม้ท่านพ่อของเขาจะทำให้เกร็งเวลาอยู่ใกล้ๆ และรู้สึกว่าเข้าถึงยาก หากก็มักจะเป็นคนแรกที่คุณนึกถึงเวลาต้องการความช่วยเหลือ เพราะบุคลิกสงบนิ่ง พร้อมจะเผชิญหน้ากับปัญหาด้วยสติ ทำให้คุณรู้สึกว่าพึ่งพาได้เสมอหากคุณกล้าพอที่จะไปขอ

 

โนวารวบรวมความกล้านั้น แล้วเริ่มรายงานเรื่องที่ตัวเองค้นพบมา 

 

เขารายงานเรื่องปัญหาทางด้านบริการที่ล่าช้าของวันให้ทาน และความไม่เท่าเทียมกันที่เกิดขึ้น จนทำให้เกิดการจ่ายค่าลัดคิวหรือการติดสินบนเพื่อได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มเติม รวมถึงเรื่องความไม่พอใจของชาวบ้านที่ถูกกีดกันจากทรัพยากรในป่าของผู้วิเศษ

 

แม้ท่านพ่อของเขาจะไม่ใช่ผู้วิเศษอาวุโสระดับสูงสุดของวิหารโฮลี่แลนด์ แต่ก็อยู่ในตำแหน่งที่สูงพอจะมีอำนาจในการจัดการเรื่องนี้ได้ หรืออย่างน้อยก็มอบเรื่องให้คนที่เกี่ยวข้องไปสานต่อได้ 

 

โนวาไม่คิดว่าตัวเองมีหวังมากนักในเรื่องป่าของผู้วิเศษ เพราะเป็นที่ดินภายใต้การดูแลของโฮลี่แลนด์มายาวนาน และทางวิหารจำเป็นต้องควบคุมทรัพยากรที่มี เพื่อนำมาใช้เลี้ยงดูผู้วิเศษและนักเรียนจำนวนมากที่อาศัยอยู่ การจะเปลี่ยนแปลงวิธีบริหารนั้นต้องฝ่าฟันผู้วิเศษอาวุโสจำนวนมาก ที่หัวแข็งและมักไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง แต่เขาก็หวังว่าท่านพ่อน่าจะจัดการเรื่องการติดเงินสินบนในวันให้ทานได้

 

เจ้าไปรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร” 

 

ท่านพ่อเอ่ยถามเป็นสิ่งแรกเมื่อฟังรายงานจบ แม้โนวาจะเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องยอมรับว่าไปแอบฟังชาวบ้านมา แต่เขาไม่มีทางให้อีกฝ่ายรู้อย่างเด็ดขาดว่าตัวเองแอบฟังอยู่กับใคร

 

ข้าได้ยินพวกชาวบ้านที่เข้าแถวในวันรับทานคุยกันเมื่อเดือนก่อน ข้าเลยพยายามเก็บข้อมูลทุกวันให้ทาน ว่าชาวบ้านรายอื่นแสดงความไม่พอใจในเรื่องเหล่านี้มากขนาดไหน และข้าได้เห็นกับตาว่ายามหน้าประตูโรงอาหารและโรงทานของฮีลเลอร์รับเงินสินบนจริง

 

เจ้าเก็บข้อมูลอยู่หนึ่งเดือน?” 

 

โนวาไม่แน่ใจว่าท่านพ่อเอ่ยถามด้วยความคิดเห็นแบบใด อีกฝ่ายกำลังตำหนิเขาอยู่หรือไม่ ที่ใช้เวลานานเป็นเดือนกว่าจะเก็บข้อมูลได้มากพอมารายงาน 

 

ครับ ข้าอยากจะให้มั่นใจว่าสิ่งที่ได้ยินไม่ใช่เพียงแค่ข่าวลือ เลยใช้เวลานานขนาดนี้ ต้องขออภัยด้วยครับ” 

 

โนวาโน้มลงก้มหัวแล้วค้างไว้ รอจนกว่าอีกฝ่ายจะอนุญาตให้เขาเงยหน้าขึ้นได้ 

 

ความเงียบที่ตามมาทำให้โนวาไม่แน่ใจว่าท่านพ่อจะมีคำสั่งอะไรต่อไป

 

ซักพักเสียงกระดาษและปากกาก็ดังขึ้น ยังไม่มีคำอนุญาตให้เขาเงยหน้า โนวาจึงต้องรอต่อไป พอเสียงปากกาหยุดลง เสียงทุ้มต่ำที่ยากจะคาดเดาอารมณ์ก็ตามมา

 

ข้าจะปรึกษาเรื่องนี้กับหัวหน้าโรงทาน ถ้าได้ผลสรุปเมื่อใด ข้าจะบอกเจ้าเอง

 

ท่านพ่อเอ่ยปากรับเรื่องไว้ แล้วเสียงหยิบกระดาษจากกองเอกสารก็ตามมา ราวกับเป็นสัญญาณบอกเขาว่าหมดธุระแล้วได้เวลาจากไปเสียที โนวาคิดว่าปลอดภัยที่จะเงยหน้าขึ้น แล้วเอ่ยขอบคุณอย่างสุภาพ ก่อนจะตรงไปยังประตูทางออก

 

โนวา

 

เสียงทุ้มต่ำรั้งเขาไว้ก่อนที่จะทันได้เปิดประตู 

 

ในเมื่อเจ้ารู้ถึงความไม่พอใจของชาวบ้านเรื่องป่าของผู้วิเศษแล้ว เจ้าลองไปคิดดูว่าจะแก้ไขปัญหาเรื่องความขาดแคลนของสมุนไพรและอาหารอย่างไร ร่างแผนมาส่งข้าภายในหนึ่งเดือน” 

 

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ท่านพ่อให้การบ้านกับเขา แต่โจทย์คราวนี้แตกต่างไปจากเดิม ปกติแล้วเขาจะได้การบ้านเกี่ยวกับคำสอนของโฮลี่ กฏเกณฑ์ของผู้วิเศษ และเวทมนตร์เสียส่วนมาก 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่โนวาได้โจทย์ที่เกี่ยวข้องกับปากท้องของผู้คน โจทย์เกี่ยวกับการบริหาร โจทย์ที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับเป็นงานจริง มากกว่าการบ้าน

 

โนวาโค้งหัวรับ ความรู้สึกดีใจและตื่นเต้นเริ่มแผ่ซ่านทีละนิดอยู่ภายใน เพราะโจทย์งานที่จริงจังขึ้น หมายความว่าท่านพ่อวางใจมากพอที่จะตั้งโจทย์ที่ยากกว่าเดิมกับเขาได้

 

กว่าโนวาจะรู้ตัวว่ามีรอยยิ้มบนใบหน้า เขาก็อยู่นอกห้องทำงานของท่านพ่อแล้ว

 

 

 

 

ในอีกสามวันถัดมา ยามเฝ้าประตูของโรงอาหารและโรงทานของฮีลเลอร์ก็โดนปลดจากหน้าที่ 

 

โนวาดีใจที่รายงานของตัวเองช่วยแก้ปัญหาของวิหารโฮลี่แลนด์ได้

 

ในวันให้ทานถัดไปเขาคอยฟังเสียงพูดคุยของผู้คน ว่าจะมีความคิดเห็นอย่างไรกับความเปลี่ยนแปลงนี้ โนวาที่แอบซ่อนอยู่กับฮาฟ หวังได้ยินคำชื่นชม

 

และเขาก็ค้นพบว่าตัวเองช่างไร้เดียงสาเหลือเกินที่คิดเช่นนั้น

 

ฮาฟเป็นคนเรียกให้เขาดูยามหน้าประตูโรงทานของฮีลเลอร์คนใหม่ ที่กำลังเก็บเงินค่าลัดคิวอยู่อย่างชำนาญ หากไม่สังเกตดีๆ ก็แทบจะมองไม่เห็นการแลกเปลี่ยนถุงเงินตอนยามเฝ้าประตูช่วยพยุงคนป่วย

 

โนวาไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเอง แต่ไม่นานยามคนนั้นก็เก็บค่าลัดคิวของคนป่วยรายต่อไป พิสูจน์ความกลัวของโนวาว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

 

เขาไม่ยอมหยุดอยู่แค่นั้น โนวากับฮาฟไปตรวจดูทางโรงอาหารที่มียามหน้าประตูคนใหม่ ก็ยังมีการเก็บค่าสิทธิพิเศษเช่นเดิม

 

เฮ้ ทำไมวันนี้โรงทานเปลี่ยนเป็นยามหน้าใหม่ล่ะ ปกติเวลาขึ้นราคาไม่เห็นจะเปลี่ยนคนเลย” 

 

โนวาพยายามเคลื่อนไปซ่อนใกล้กลุ่มชาวบ้าน ที่ได้แต่ยืนรอในแถวซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะให้บริการเร็วขึ้น

 

ข้าได้ยินมาว่าคนเก่าโดนจับได้ว่าแอบเก็บเงิน เลยโดนไล่ออกไปน่ะ

 

โถ มามุกนี้อีกละ ใครๆเขาก็รู้กันว่าเงินที่เก็บได้ไปเข้ากระเป๋าใคร

 

จากมุมของเขา โนวาไม่สามารถเห็นได้ว่ากลุ่มคนที่พูดอยู่นี้หน้าตาเป็นอย่างไร คาดได้แค่ว่ามีทั้งชายและหญิง 

 

หัวข้อบทสนทนาที่โนวาได้ยินนั้น เป็นข้อมูลที่เขาต้องการ แต่ไม่อยากได้ยินในเวลาเดียวกัน

 

นั่นซิ ถ้าหัวหน้าโรงทานไม่คุมอยู่ มีหรือจะเก็บกันเป็นระบบแบบนี้ ข้าว่าพอมีคนไปแจ้งเรื่อง ทางวิหารก็ไล่ยามคนเก่าออกแทน เชือดปลาเล็กทิ้ง แล้วเก็บปลาใหญ่ไว้ สุดท้ายก็หาปลาตัวเล็กมาแทนที่ต่ออยู่ดี

 

ใช่ๆๆ เพื่อนบ้านข้าทำงานในครัวของวิหารยังมาเล่าให้ข้าฟังเลย เขาได้ยินพวกยามเฝ้าประตูมาบ่นกัน ว่าถ้าใครเก็บเงินไม่ถึงเป้า จะโดนไล่ไปทำงานอื่นแทน แถมตำแหน่งยามเฝ้าประตูยังต้องซื้อกันด้วย เพราะถ้าเจ้าเก็บเงินเก่ง บางทีได้ส่วนแบ่งมามากกว่าเงินเดือนของหัวหน้าพ่อครัวเสียอีก”  

 

เฮ้ข้าได้ยินมาว่าที่ดินตรงลานตลาดที่เปิดใหม่เป็นของญาติหัวหน้าโรงอาหารเชียวนะ แถมยังเก็บค่าเช่าร้านซะแพงหูฉี่ เมียข้าได้แต่ตั้งเพิงเล็กๆขายในตลาดเก่า ไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้ลานตลาดใหม่เลย

 

โถ หัวหน้าโรงอาหารเก็บเท่าไหร่ก็ไม่เท่ากับหัวหน้าโรงทานของฮีลเลอร์หรอก คนเจ็บใกล้ตายยังไงก็รีดเงินได้มากกว่าคนหิว เจ้าเคยเห็นบ้านญาติของหัวหน้าโรงทานของฮีลเลอร์ไหม ถึงไม่ใหญ่เท่าคฤหาสน์ แต่ก็มีตั้งห้าหลัง ข้ามีเพื่อนบ้านทำงานเป็นคนใช้อยู่หลังนึงในเมือง นางบอกว่ายังมีอีกสี่หลังใหญ่กว่านี้อยู่ที่เมืองอื่น เวลาหัวหน้าโรงทานเดินทางไปทำธุระนอกเมืองก็ไปนอนที่บ้านส่วนตัวนี่แหล่ะ ไม่ได้ไปพักที่วิหารโฮลี่แลนด์หรอก

 

เสียงของวงสนทนาที่คุยกันอย่างออกรส ทำให้โนวารู้สึกชาไปทั้งตัว

 

ยิ่งฟังโนวาก็ยิ่งรู้สึกแย่ 

 

เขารู้ดีว่าไม่สามารถเชื่อทุกอย่างที่ออกมาจากปากคนได้ หลายครั้งที่ความจริงสามารถขยายจนกลายเป็นข่าวลวง เหมือนที่อาจารย์ซึ่งเขาเคารพเคยสอนไว้ โดยให้ชิมขนมปังไส้หวานราคาถูก ไส้ในที่เป็นความจริงมีอยู่เพียงนิดเดียว ในขณะที่ขนมปังห่อนั้นหนาจนทำให้นึกว่าจะมีไส้หวานฉ่ำจนทะลัก แต่เนื้อขนมปังที่แน่นเต็มปากกลบรสชาติของไส้ จนไม่สามารถรับรู้รสหวานได้

 

แม้โนวาจะอยากเชื่อว่าสิ่งที่ได้ยินมาเป็นเพียงข่าวลวง แต่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงสิ่งที่เขาเห็นมากับตา

 

ยังคงมีการเก็บเงินจากผู้คนในวันรับทาน

 

ชาวบ้านยังคงมีความไม่พอใจต่อวิหารโฮลี่แลนด์ ไม่ว่าข่าวเรื่องการเก็บเงินที่มีต้นตอมาจากหัวหน้าโรงทานนั้นจะเป็นจริงหรือไม่ รวมถึงเรื่องทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติของทั้งสอง หากภาพพจน์แบบนี้รังแต่จะทำให้ผู้คนเพิ่มความรู้สึกด้านลบแก่ผู้วิเศษ ซึ่งจะทำให้ศรัทธาในคำสอนของโฮลี่ลดลง 

 

และที่เขารับไม่ได้ที่สุด คือความรู้สึกลึกๆที่ตัวเองสังหรณ์ว่าสิ่งที่ชาวบ้านพูดนั้น จะมีความจริงแฝงอยู่ มากกว่าเจ้าขนมปังไส้หวานที่เขาเคยชิม

 

โนวาจำต้องไต่หอคอยขึ้นไปหาท่านพ่ออีกครั้ง

 

 

 

 

ในวันถัดไป โนวากลับมารายงาน  จุดเดิมในห้องทำงานของไคลด์ 

 

เมื่อเล่าจบ ประโยคแรกที่เขาได้ยินคือ “เรื่องจบแล้ว ปล่อยไปซะ

 

โนวาแทบไม่อยากเชื่อหูของตัวเอง

 

แต่ว่า…” 

 

ก่อนที่เขาจะทันทักท้วงไปมากกว่านี้ ดวงตาสีเทาคู่คมก็กดดันจนโนวาเสียงหาย แม้จะไม่มีอารมณ์บนใบหน้าของท่านพ่อ แต่โนวาดูออกว่าอีกฝ่ายกำลังไม่พอใจ

 

ไม่พอใจเอามากเสียด้วย

 

โนวา ข้าเคยสอนแล้วใช่ไหม ว่าผู้วิเศษต่างมีหน้าที่ของตัวเอง ไม่ว่างานนั้นจะหนักหรือเบาเท่าไหร่ เมื่อรับหน้าที่มาแล้ว ก็ต้องทำให้สำเร็จ และไม่เข้าไปก้าวก่ายหน้าที่ของผู้อื่น เจ้ารู้ไหมว่ามันหมายความว่าอย่างไร” 

 

โนวารู้คำตอบดี และคาดเดาได้ว่าทิศทางของบทสนทนา จะไม่เป็นที่ปราถนาของตัวเองอย่างแน่นอน 

 

ผู้วิเศษจะไม่ก้าวก่ายเขตรับผิดชอบของผู้วิเศษรายอื่น 

 

เจ้ารู้ไหมว่าเพราะอะไร

 

เพราะผู้วิเศษคนอื่นอาจจะไม่เข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริง และอาจทำให้การตัดสินใจคลาดเคลื่อนไปได้ ซึ่งจะทำให้เสียงาน กับทำให้ผู้วิเศษในเขตรับผิดชอบนั้นเดือดร้อนไปด้วย” 

 

โนวาเอ่ยคำตอบที่เขาเคยเรียนมา แต่บางอย่างทำให้เขารู้สึกว่ามันไม่ใช่คำตอบที่ท่านพ่อหมายถึง 

 

ร่างสูงลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานในที่สุด ก่อนย่างก้าวอย่างสง่างามและน่าเกรงขามมาทางเขา ยิ่งเข้าใกล้ ดวงตาสีเทาคู่คมตรงหน้าก็ยิ่งกดดันให้โนวารู้สึกตัวเล็กลงเรื่อยๆ หากความไม่พอใจต่อสิ่งที่ได้ค้นพบยังคงคุกรุ่นอยู่ภายใน ช่วยให้เขายังยืนตัวตรงอยู่ได้

 

ผู้วิเศษจะไม่ก้าวก่ายเขตรับผิดชอบของผู้วิเศษรายอื่น โดยเฉพาะเขตรับผิดชอบของผู้วิเศษอาวุโส เจ้ายังไม่ได้เรียนเรื่องเครือข่ายของผู้วิเศษในวิหารโฮลี่แลนด์สาขานี้ ไม่น่าแปลกที่เจ้าจะไม่รู้” 

 

มือแกร่งที่เขาไม่สามารถเทียบได้ ชี้ไปยังโรงทานเบื้องล่างทั้งสอง ที่สามารถเห็นได้จากหน้าต่างบานยักษ์ โนวาสังเกตเห็นรอยแผลเป็นบางๆระหว่างง่ามนิ้วชี้และนิ้วโป้งของท่านพ่อ ที่เขาไม่เคยกล้าถามว่าอีกฝ่ายได้มาอย่างไร

 

หัวหน้าโรงอาหาร และหัวหน้าโรงทานของฮีลเลอร์ ขึ้นตรงกับผู้วิเศษอาวุโสมอราคายด์ ที่ดูแลด้านทรัพยากรที่นำมาหล่อเลี้ยงคนในวิหาร เขายังเป็นญาติกับผู้วิเศษอาวุโสเฮนดริกซ์ ที่ดูแลเรื่องที่ดินในปกครองของวิหารอีกด้วย คณะผู้วิเศษอาวุโสครึ่งนึงเป็นพันธมิตรและเครือข่ายของมอราคายด์

 

โนวาจำผู้วิเศษอาวุโสทั้งสองได้ แม้จะไม่ได้มีโอกาสพูดคุยด้วยบ่อยนัก แต่นับว่าได้เห็นหน้าค่าตากันบ่อยครั้ง เพราะผู้วิเศษทุกคนต้องมาร่วมสวดมนตร์ใหญ่ทุกเช้าและเย็น 

 

ผู้วิเศษอาวุโสเฮนดริกซ์มีจุดโดดเด่นที่ผมสีดำเรียบมันปลาบ ทั้งที่เลยเข้าวัยห้าสิบกว่าแล้ว ท่าทางน่าเกรงขาม ดูดุดันดั่งเหยี่ยว

 

ตรงกันข้ามกับผู้วิเศษอาวุโสมอราคายด์ที่หัวขาวสนิทเนื่องจากวัยที่มากกว่า ใบหน้าของเขาไม่เคยขาดรอยยิ้ม บุคลิกเหมือนคุณตาใจดีที่มักจะชอบตามใจหลานๆด้วยของเล่นและขนมหวาน จนเป็นที่รักของเด็กๆ

 

ไม่น่าเชื่อว่าผู้วิเศษอาวุโสมอราคายด์คนนั้นจะมีอำนาจเยอะขนาดนี้

 

ต่อให้เป็นผู้วิเศษอาวุโสระดับสูงสุดของวิหาร แต่ถ้าหากคณะผู้วิเศษอาวุโสไม่ให้ความร่วมมือหรือการสนับสนุน ก็ยากที่จะดูแลจัดการกับวิหารโฮลี่แลนด์ ไม่ต่างจากหัวที่มีร่างกายเป็นอัมพาต

 

แม้จะยังไม่ได้เรียนเรื่องเครือข่ายทางอำนาจของวิหารโฮลี่แลนด์แห่งนี้ แต่โนวาก็รู้ถึงโครงสร้างทางอำนาจของเหล่าผู้วิเศษ 

 

ผู้วิเศษอาวุโสระดับสูงสุดเป็นเหมือนประมุขของวิหาร มีอำนาจในการสั่งการสูงสุด แต่ในแง่การบริหารแล้ว มีหน้าที่ในการดูภาพรวมและทิศทางหลักของวิหารมากกว่า จะคอยเซ็นรับรองโครงการใหญ่ๆ แต่จะไม่มายุ่งกับงานบริหารประจำวันทั่วไป

 

งานบริหารเฉพาะจุดเช่นเรื่อง อาหาร ที่ดิน โรงเรียน โบสถ์ ฯลฯ จะถูกบริหารจัดการโดยคณะผู้วิเศษอาวุโส ที่จะมีหัวหน้าผู้วิเศษอยู่ภายใต้คำสั่งอีกที อย่างเช่นท่านพ่อของเขาที่เป็นผู้วิเศษอาวุโสดูแลเรื่องโรงเรียน จะมีหัวหน้าผู้วิเศษที่ดูแลหอสมุด หัวหน้าผู้วิเศษที่ดูแลบรรดาอาจารย์ หัวหน้าผู้วิเศษที่ดูแลหอพัก หัวหน้าผู้วิเศษที่เป็นตัวแทนของนักเรียนเป็นต้น และตำแหน่งอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียน 

 

ฐานอำนาจของท่านพ่อจึงค่อนข้างแข็งแกร่งและมีอิทธิพลอยู่พอสมควร เพราะได้สร้างนักเรียนที่จะกลายเป็นผู้วิเศษที่กระจายสู่หลายสาขาในอนาคต ทำให้ท่านพ่อมักต้องอยู่ในฐานะตัวกลาง เพื่อดูแลลูกหลานของคณะผู้วิเศษอาวุโสจากหลายเครือข่าย 

 

เจ้าโตพอที่จะเข้าใจคำว่า ‘อิทธิพล’ แล้ว

 

ชิ้นส่วนต่างๆเริ่มปะติดปะต่อเข้าด้วยกัน

 

โนวาเข้าใจในที่สุด

 

ท่านพ่อรู้เรื่องสินบนมานานแล้วซินะครับ 

 

โนวาไม่เคยรู้สึกโกรธจนภายในโดนแผดเผามากเท่านี้มาก่อน ผสมกับความขยะแขยงและรสชาติเหมือนโดนทรยศ 

 

ข้ารู้ว่าเจ้ามีเจตนาที่ดี แต่เจ้าไร้ประสบการณ์

 

แม้จะไม่พูดออกมาตรงๆ แต่โนวาก็ถูกฝึกมาให้อ่านระหว่างบรรทัดออก

 

ทั้งที่ท่านพ่อมีอำนาจในการนำปัญหาเรื่องนี้ไปปรึกษาในการประชุมของคณะผู้วิเศษอาวุโส แต่ท่านพ่อกลับเลือกที่จะรายงานเรื่องเงินสินบนแก่หัวหน้าโรงทานทั้งสองแทน เหมือนเป็นการเตือนล่วงหน้าถึงสายตาของชาวบ้านที่เริ่มไม่พอใจ ปล่อยให้ทางโรงทานไปจัดการกันเอง จบลงที่การใช้ยามหน้าประตูเป็นแพะรับบาป จัดการแค่คนตัวเล็กตัวน้อย จะไม่มีการสาวความลึกไปจนถึงต้นตอ

 

เป็นการปกป้องมากกว่าแก้ปัญหา และคนที่เดือดร้อนก็คือชาวบ้านที่ถูกขูดรีดไปเรื่อยๆ โดยผู้วิเศษที่สาบานจะรับใช้โฮลี่และผู้คนที่ต้องการความช่วยเหลือ

 

บางอย่างในตัวเขาเหมือนแตกหัก

 

ผู้มีอำนาจ ควรใช้พลังนั้นในการปกป้องคนที่อ่อนแอกว่าไม่ใช่ใช้เพื่อปกป้องอำนาจของตัวเองท่านพ่อเป็นคนสอนข้ามิใช่หรือ?!”

 

เป็นครั้งแรกที่โนวากล้าขึ้นเสียงใส่ท่านพ่อ เขามองอีกฝ่ายด้วยความแข็งกร้าวที่ไม่เคยคาดคิดว่าตัวเองจะมี

 

ความเงียบชวนอึดอัดทิ้งตัวลง

 

ดวงตาสีเทาแสนเย็นชาคู่นั้นยังคงดูนิ่งสงบ ยากต่อการคาดเดาและไร้อารมณ์ใดๆ

 

ข้าจะย้ำอีกครั้ง เรื่องจบแล้ว ปล่อยไปซะ อย่าให้ข้าเตือนเจ้าอีกเป็นครั้งที่สาม มิเช่นนั้นสิทธิพิเศษในการจัดตารางเรียนของเจ้าจะหายไป” 

 

ท่านพ่อไม่ชอบการพูดซ้ำเป็นครั้งที่สอง อย่าว่าแต่ครั้งที่สามเลย

 

ดวงตาสีเทาคู่คมมองเขาอย่างเย็นเฉียบ 

 

โนวาเป็นหนึ่งในนักเรียนพิเศษ ที่มีความสามารถในการเรียนรู้ที่เร็วและพลังเวทย์มากกว่าเด็กวัยเดียวกัน จึงทำให้เขามีสิทธิพิเศษและอิสระในการเลือกเวลาเรียนมากกว่านักเรียนทั่วไป ที่ต้องทำตามตารางเวลาที่กำหนดไว้ การถูกริบสิทธิพิเศษนั้น ก็เหมือนกับการริบอิสระภาพที่มีอย่างน้อยนิดไป

 

และมันจะทำให้เขาเจอฮาฟได้ยากขึ้น

 

เมื่อนึกถึงเพื่อนสนิท เจ้าของดวงตาสีดำขลับที่แสนสวยงามคู่นั้น เพลิงอารมณ์ที่แผดเผาร่างก็ค่อยๆลดลง โนวาได้แต่หุบปากเงียบ กล้ำกลืนรสขมที่ไม่ยอมหายไป

 

โนวาไม่ยอมเอ่ยปากขอโทษในสิ่งที่เขาไม่ได้ทำผิด แต่ยอมโน้มหัวลงตามมารยาทแทนคำลา ก่อนจะหันหลังแล้วจากมา 

 

 

นั่นเป็นจุดเริ่มต้นนิสัยกบฏเงียบของโนวา





--------------------------

 

 

 

 

 

สำหรับคนที่สงสัยว่าเรื่องโครงสร้างทางสังคมของวิหารโฮลี่แลนด์ไปได้รับแรงบันดาลใจมาจากไหน บอกตามตรงเลยค่ะว่ามาจากสารคดีประวัติศาสตร์ของอังกฤษแถวช่วงยุคกลาง หรือยุคMedieval ผสมๆกับยุคก่อนและหลังอยู่บ้าง

 

สมัยนั้นโบสถ์และศาสนามีอิทธิพลสูงมาก เป็นเจ้าของที่ดินและทรัพย์สินจำนวนมาก ชาวบ้านสมัยก่อนไม่มีที่ดินเป็นของตัวเองหรอกค่ะ ใช้วิธีเช่าเอาจากพวกชั้นสูงหรือโบสถ์ ซึ่งผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้ก็ต้องส่งให้เหมือนภาษี 

 

แถมเมื่อก่อนเนื้อสัตว์หรือปลาก็เป็นของมีค่า อาหารเป็นอีกอย่างที่จะบ่งบอกฐานะของคุณได้ เช่นพวกกวางนั้นจะมีแค่ชนชั้นสูงเท่านั้นที่จะมีโอกาสล่าและกินได้ ชาวบ้านธรรมดาไปสอยมาเจอคุก แม้กระทั่งกระต่ายหรือนกกับปลาก็เป็นของกินของชนชั้นสูง 

 

คนธรรมดาทั่วไปอาจจะได้รับอนุญาติให้ตกปลาได้บ้าง หรือเลี้ยงหมูหรือไก่ไว้กินได้ (สมัยก่อนเขาไม่กินไข่ไก่กัน เพราะถือว่าไก่เป็นสัตว์ที่ศักดิ์สิทธิ์ เน้นเอาลูกเจี้ยบเพื่อให้โตเป็นไก่แล้วเอาไปขายต่อมากกว่า) ไม่ก็จับพวกกระรอกหรือเม่นมากิน(พวกสัตว์ที่ชนชั้นสูงไม่กิน) 

 

เรื่องที่พวกนักบวชเป็นลูกค้าประจำของซ่องแล้วยังเป็นลูกค้ากระเป๋าหนักก็มีบันทึกไว้เหมือนกัน ทำให้สมัยก่อนนักบวชไม่ได้มีชื่อเสียงที่สะอาดเท่าไหร่นัก แถมหลายรายยังโดนรังเกียจอีกด้วย 

 

ใครสนใจลองหาดูได้นะคะ ส่วนตัวแล้วเป็นคนชอบดูสารคดีมาก โดยเฉพาะของอังกฤษกับของญี่ปุ่น เป็นประเทศที่ทำสารคดีได้เก่งและสนุกจริงๆ 



อันนี้เป็นประวัติเกี่ยวกับชนชั้นต่างๆ มีทั้งหมด 7 ตอน อันนี้เอาของชนชั้นนักบวชมาให้:

Terry Jones' Medieval Lives - S1 Ep 2 - The Monk

 

 

อันถัดไปเป็นรายการคล้ายReality Show ที่เขาให้นักประวัติศาสตร์ทางด้านต่างๆมาลองใช้ชีวิตแบบย้อนยุคดูเป็นเวลาหนึ่งปี ตั้งแต่เครื่องแต่งกาย อาหารการกิน อุปกรณ์ของใช้ และวิถีชีวิต มีทำหลายยุคมาก ส่วนใหญ่จะให้ไปใช้ชีวิตในฟาร์มแบบย้อนยุค อันที่ให้แรงบันดาลใจมาเป็นฟาร์มของโบสถ์ที่ดูแลโดยชาวบ้าน

 

มีทั้งหมด 6 ตอน กับตอนพิเศษอีก 1 

Tudor Monastery Farm: 01

 

เสียดายว่าทั้งหมดนี้เป็นคลิปภาษาอังกฤษหมด ยังไม่มีแปลไทย ใครสนใจแนะนำเลยค่ะ ทั้งสนุกทั้งฮาทั้งได้ความรู้ด้วย

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา