ทรายเสน่หามนตราไอยคุปต์
เขียนโดย เข็มมุก
วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เวลา 20.43 น.
แก้ไขเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 23.50 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) แรกพบ 2
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“เราจะนอนคนเดียวที่นี่ ถ้าอยากจะเฝ้าเราพวกเจ้าไปเฝ้าที่ทางเข้าเถอะ เราเหนื่อยอยากจะนอนเต็มทีแล้ว” อัคเมนราหันไปสั่งมหาดเล็กทั้งหมดให้ออกไปที่โถงใหญ่ของมหาวิหาร โดยที่ทรงต้องการให้ทิ้งพระองค์ไว้ที่ห้องบูชามหาเทพโอซิริสเพียงพระองค์เดียว
“เจ้าด้วยเบเซท! ออกไปเถอะเราจะอยู่คนเดียว เราอยู่ที่นี่องค์มหาเทพคงไม่ทำอันใดเราหรอก เพราะเราเป็นโอรสแห่งพระองค์เหมือนกัน และเจ้าก็ไม่ต้องเอาพระนมมาอ้างเลย ออกไปได้” อัคเมนราตัดบทจนคนที่จะเอ่ยปากพูดต้องยอมเงียบและเดินออกไป
เมื่อเบเซท องครักษ์คู่กายและเพื่อนสนิทก้าวเดินออกไปพร้อมกับเงาของแสงตะเกียงไฟ อัคเมนราก็หันมองดูทุกอย่างรอบๆตัว ภายในห้องบูชาองค์มหาเทพโอซิริสนั้นมีเพียงคบเพลิงที่จุดไว้เพื่อให้แสงสว่างเรียงรายอยู่ที่ผนังวิหารอย่างเป็นระเบียบ อัคเมนราหันกลับมามองทางที่ประทับซึ่งนายทหารเข้ามาเตรียมไว้ให้ทรงประทับแรมข้างแทนบูชามหาเทพ อัคเมนราจึงก้มลงทำความเคารพอย่างนอบน้อม แล้วทันใดนั้นเองสายตาที่คมกริบดุจพญาเหยี่ยวบนท้องนภา ก็เหลือบเห็นบางสิ่งที่พุ่งเข้ามาหาพระองค์อย่างรวดเร็ว
“ฉิว...ปุ๊” เสียงของลูกธนู พุ่งผ่านไหล่ซ้ายไปอย่างหวุดหวิด พร้อมกับมีดคมกริบที่ตามมาติดๆ แต่ด้วยฝีมือเชิงรบที่ผ่านการออกทัพมาหลายปีทำให้เจ้าชายหนุ่มรีบดึงมีดสั้นคมกริบประจำพระองค์ขึ้นมาสกัดไว้ได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อโจรโฉดเห็นว่าองค์รัชทายาทหนุ่มสามารถปัดอาวุธของตนทั้งได้ด้วยเพียงมีดสั้น มันจึงตัดสินใจหันหลังกลับและก้าวเท้าวิ่งออกไปทางห้องโถงกลางเพื่อหาช่องทางที่ดีกว่าในการจัดการลอบปลงพระชนม์ให้จงได้
“เจ้าเป็นใคร!! ใครส่งเจ้ามา” เสียงเข้มตวาดถามดังก้องโถงของมหาวิหาร เมื่อสามารถตามจับบุรุษลึกลับและกดร่างของคนที่เข้ามาลอบทำร้ายพระองค์ลงแทบเท้าได้ ไม่มีเสียงตอบใดๆกลับมา มีเพียงแววตาที่จ้องมองมาอย่างเคียดแค้นที่ทำการไม่สำเร็จ
“เราถามเจ้าอยู่ ได้ยินหรือไม่!!” เสียงตวาดดังก้องอีกครั้งทำให้เล่าบรรดาองครักษ์ซึ่งยืนยามรักษาการณ์อยู่หน้าที่ประทับวิ่งกรูกันเข้ามายังห้องที่ประทับอยู่อย่างเร่งรีบ
“องค์รัชทายาท เกิดอะไรขึ้นพ่ะย่ะค่ะ” เสียงของเบเซทถามเอ่ยถามอย่างตกใจ เมื่อเข้ามาเห็นภาพตรงหน้าที่องค์ชายรัชทายาทหนุ่มใช้พระบาทซ้ายเหยียบลงบนยอดอกของบุรุษคลุมหน้าชุดดำไว้แทบเท้า ไม่ทันที่เจ้าชายอัคเมนราจะได้เอ่ยตอบ เจ้าโจรที่อยู่แทบเท้าของอัคเมนราก็ชักมีดสั้นออกมา หมายจะแทงร่างของคนที่เหยียบตนอยู่
“เจ้าชายระวัง!!”
ด้วยความว่องไวทำให้มีดสั้นเล่มนั้นทำได้เพียงแค่เฉียดไหล่ของพระองค์ไป แต่มันก็สามารถเรียกเอาเลือดจากพระองค์ไปได้ไม่น้อย
เมื่อหลุดจากพันธนาการของเจ้าชายอัคเมนรา ชายนักฆ่าคลุมหน้าผู้นั้นก็รีบวิ่งเข้าไปทางห้องโถงด้านในทันที โดยมีเจ้าชายอัคเมนราวิ่งตามไปอย่างกระชั้นชิด เพราะพระองค์ทรงต้องการทราบว่า ใครเป็นผู้บงการการกระทำครั้งนี้จากปากของมันเอง
“องค์ชาย!! ระวังพ่ะย่ะค่ะ มหาวิหารทางด้านนั้นยังต่อเติมไม่เสร็จสิ้นดีเลย...” เสียงของเบเซทวิ่งตามมา และตะโกนบอกด้วยความเป็นห่วง คนที่เป็นทั้งเพื่อนและเจ้าเหนือหัวของตน
“โอ๊ย...เจ็บตัวไปหมดเลย เราเป็นอะไรไปเนี่ย แล้วทำไมมึนหัวจังก็ไม่รู้” เสียงนิมเฟียร์บ่นพึมพัมกับตัวเองเมื่อฟื้นขึ้นมาจากการหมดสติของตน
“หยุดเดี๋ยวนี้! เราบอกให้หยุด!” เสียงเข้มของใครบางคนตะโกนลั่นมาจากทางแท่นบูชามหาเทพราทำให้นิมเฟียร์เดินไปตามต้นเสียง เพื่อจะดูให้แน่ใจว่ามีคนอื่นอยู่กับเธอในมหาวิหารแห่งนี้ด้วย
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ทางเดินห้องโถงของมหาวิหาร ก็มีร่างที่คลุมตัวด้วยผ้าสีดำวิ่งผ่านหน้าเธอไปอย่างเร่งร้อน เข้าไปทางด้านในห้องพักของนักบวชประจำวิหารที่เธอเพิ่งเดินออกมา
“ใครกัน? แล้ววิ่งหนีอะไรมานะ แถมทางนั้นไม่มีทางออกสักหน่อย” นิมเฟียร์บ่นกับตัวเอง
“ตุบ” เสียงใครบางคนวิ่งมาชนกับนิมเฟียร์เข้าอย่างจัง จนร่างบางทำท่าเสียหลักเกือบล้มแต่ก็มีมือแกร่งของคนที่วิ่งมาชนเธอคว้าไว้เสียก่อน
นิมเฟียร์จึงเงยหน้าขึ้นมามองร่างสูงตรงหน้าอย่างคาดโทษที่ทำเธอเกือบล้มลง แต่เมื่อสบสายตาคมกล้าที่มีดวงตาสีดำสนิทดุจความมืดยามราตรีจ้องมองตอบกลับมา ก็ทำให้นิมเฟียร์ถึงกับรู้สึกเหมือนกับว่าหมดเรี่ยวแรงแขนขาขยับไม่ได้ไปในทันใด
“อัคเมนรา!! เมื่อไม่มีทางหนี เจ้ากับข้าก็ต้องตายด้วยกัน” เสียงของนักฆ่าที่ถูกส่งมาลอบสังหารองค์รัชทายาทดังขึ้น พร้อมกับที่มันวิ่งไปทางเสาไม้ที่ใช้ค้ำเสาหินสลักที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ และจัดการเตะให้เสาไม้นั้นพังลงมาทับร่างของนักฆ่าผู้นั้นทันที
“หนีเร็ว!!”
เมื่อเห็นภาพตรงหน้า อัคเมนรารีบคว้าข้อมือของร่างบางให้วิ่งตามตนแต่ก็ไม่ทัน เพราะหินก้อนใหญ่ที่ค้ำเสาของมหาวิหารได้ถล่มลงมาปิดทับทางออกไว้ ฝุ่นควันที่ฟุ้งกระจายตลบอยู่ทั่วไปส่งผลให้อากาศที่ใช้หายใจน้อยลงไปทุกทีจนทำให้คนทั้งสองหายใจติดขัดและสลบไปในที่สุด
“เกิดอะไรขึ้น!! เสียงดังราวกับฟ้าถล่มลงมานั้น มาจากที่ใดกัน?” เสียงทรงอำนาจของฟาโรห์เนฟติ ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดเมื่อเดินออกมานอกที่ประทับและเห็นความโกลาหลของเหล่าทหารของพระองค์
“ฝ่าบาท!!! เพดานในมหาวิหารถล่มลงมาพ่ะย่ะค่ะ แล้วองค์รัชทายาทก็ประทับอยู่ในมหาวิหารด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ทหารองครักษ์รายงานเสียงสั่นด้วยเกรงกลัวอาญา
“แล้วบุตรแห่งข้าเป็นเช่นไร!!”
“กราบทูลฝ่าบาท ตอนนี้ยังกราบทูลไม่ได้พ่ะย่ะค่ะว่าองค์รัชทายาทเป็นเช่นไร พวกเรากำลังพยายามรื้อหินที่ถล่มลงมาปิดทางเข้ามหาวิหารกันอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
“เร็วเข้า!! พวกเจ้ารีบขนก้อนหินพวกนี้ออกไปให้หมด หากโอรสแห่งเราเป็นอะไรไปแม้แต่เพียงนิดเดียว พวกเจ้าทุกคน! หัวต้องหลุดจากบ่าแน่” สุรเสียงขององค์ฟาโรห์เนฟติ ตะโกนสั่งการก้องอยู่บริเวณหน้ามหาวิหารที่บรรดาข้าทาส และเหล่าทหารช่วยกันขนก้อนอิฐที่พังทับลงมาปิดทางเข้าของวิหารไว้อย่างรีบเร่งเพราะกลัวว่าหัวของตนจะไม่ได้อยู่บนบ่าอีกต่อไป
“ฝ่าบาทเพค่ะ ทรงถนอมพระวรกายด้วย องค์รัชทายาทจะต้องทรงมิเป็นอะไรอย่างแน่นอนเพค่ะ ทรงเป็นพระโอรสแห่งมหาเทพเช่นเดียวกับพระองค์จะต้องไม่ทรงเป็นอะไรไปอย่างแน่นอน” สุรเสียงขององค์ราชินีอนัคซูนามุน ปลอบพระทัยอยู่ไม่ห่าง โดยมีรามูเนส ยืนดูการสั่งการอยู่ด้วยใกล้ๆ
“ใช่ พ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ เสด็จพี่อัคเมนราต้องไม่เป็นไร เหล่าทวยเทพทั้งหลายของอียิปต์จะต้องคุ้มครองให้เสด็จพี่ปลอดภัยเป็นแน่” รามูเนสกราบทูลด้วยน้ำเสียงที่ดูเป็นห่วงหากแต่ภายในใจไม่ได้คิดแบบนั้นสักนิดเดียว
“อัคเมนรา ลูกพ่อ...” องค์ฟาโรห์เรียกชื่อของพระโอรสสุดที่รัก อย่างแผ่วเบาผ่านสายลมที่พัดผ่านมาจากทะเลทรายเบื้องหลังของพระองค์ราวกับต้องการให้สายลมช่วยส่งความห่วงใยของพระองค์ไปถึงพระโอรสที่รักยิ่ง
“แครกๆๆ” เสียงนิมเฟียร์ไออย่างยากเย็นเมื่อฟื้นได้สติขึ้นมา แล้วนั่งมองสิ่งต่างๆรอบตัวของตนที่พังลงมาอย่างไม่เป็นท่า
“แย่ที่สุดเลย เกิดอะไรขึ้นเนี่ยแล้วทำไม มันพังลงมาได้นะ ถ้าออกไปได้ล่ะก็จะฟ้องพ่อให้เล่นงานพี่ไคโรให้น่าดูเลย โทษฐานที่มาฝึกงานแต่กลับคุมคนงานซ่อมแซมวิหารไม่ดี” เสียงใสบ่นอุบเมื่อลุกขึ้นนั่งและปัดฝุ่นที่ติดอยู่รอบๆตัวออกอย่างทุลักทุเล
“อุ๊ย!!” นิมเฟียร์อุทานเมื่อดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลใสแจ๋วมองไปเห็นร่างสูงของใครบางคนที่ไม่คุ้นตานอนสลบอยู่บนพื้นใกล้ๆกับตัวเอง
“ตายแล้ว เป็นอะไรมากหรือเปล่านะ” คนตัวเล็กบ่นพึมพำกับตัวเองพลางเอื้อมมือบางไปเขย่าที่หัวไหล่ของคนตัวโตซึ่งยังนอนไม่ได้สติอยู่
“คุณๆๆ ได้ยินที่ฉันเรียกไหม?”
“คุณๆ ตื่นหรือยัง...อุ๊ย” ไม่ทันที่นิมเฟียร์จะพูดอะไรต่อ คนตรงหน้าเมื่อฟื้นขึ้นมา ก็ใช้แขนแกร่งโอบร่างบางเข้ามาไว้ในอ้อมกอด พร้อมกับมีดสั้นคมกริบวางจ่อบนลำคอขาวเนียนอย่างน่าหวาดเสียว กลัวว่าความคมของใบมีดจะพลั้งพลาดบาดเนื้อนวล
“เจ้าเป็นใคร?! ” เสียงกร้าวเอ่ยถามด้วยภาษาอียิปต์โบราณแปลกหู พร้อมกับออกแรงรัดอ้อมแขนไปด้วยจนร่างเล็กในอ้อมกอดหายใจแทบไม่ออกเลยทีเดียว
“ปล่อยฉันนะ! นี่นายจะบ้าหรือไง? ฉันเป็นคนปลุกนายขึ้นมานะ เรื่องอะไรนายเอามีดมาจ่อคอฉันอย่างนี้ ปล่อยนะ” เจ้าของเสียงใสเข้าใจสิ่งที่คนตัวโตถาม หากแต่เลือกเฮ้วใส่อย่างหัวเสีย โดยไม่ได้เกรงกลัวกับใบมีดคมกริบที่จ่อคอของตนอยู่แม้แต่น้อย
“เราถามว่าเจ้าเป็นใคร? ทำไมถึงเข้ามาอยู่ในมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ได้” อัคเมนราหมุนร่างบางในอ้อมกอดให้หันกลับเข้ามาแล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย เมื่อรู้สึกว่าปฏิกิริยาของคนตรงหน้าคงไม่เป็นอันตรายกับพระองค์ แต่แล้วก็ต้องแปลกใจกับใบหน้าเล็กขาวเนียนอมชมพู ดวงตากลมสีฟ้าน้ำทะเลของคนตรงหน้า ร่างสูงจึงคลายอ้อมแขนแกร่งออกให้คนตัวเล็กตรงหน้าได้ขยับตัวนั่งได้ถนัด
“เจ้า...เป็นใคร?” อัคเมนราถามอีกครั้ง พร้อมกับจ้องดูร่างบางปัดฝุ่นที่ติดอยู่ตามชุดของนาง ดูจากการแต่งกายด้วยเนื้อผ้าชั้นดีและผิวพรรณที่ดูเรียบเนียนไร้สิวฝ้าใดๆแล้ว ท่าทางจะเป็นพวกลูกของขุนนางที่ถวายตัวเป็นข้ารับใช้ของวิเซียร์แห่งองค์มหาเทพโอซิริสในมหาวิหารแห่งนี้เป็นแน่
“ช่างฉันเถอะน่า...ว่าแต่นาย ไม่เจ็บเหรอ? ที่ไหล่ของนายเป็นแผลเลือดไหลขนาดนั้นเนี่ย” นิมเฟียร์ถามพร้อมกับเอื้อมมือไปจับที่ไหล่ลาดสีทองแดงตรงหน้า
อัคเมนราไม่เข้าใจภาษาที่คนตัวเล็กพูด แต่ก็มองตามสายตาสงสัยของคนตรงหน้า จึงได้เห็นว่าพระองค์เองก็ได้รับบาดเจ็บที่ไหล่ทางด้านขวา เลือดไหลออกมาจากปากแผลเป็นทางยาว คงเนื่องมาจากการออกแรงตามจับนักฆ่าที่มาลอบปลงพระชนม์พระองค์นั่นเอง
“แผลแค่นี้เองเราไม่เป็นอะไรหรอก” อัคเมนราตอบพร้อมกับขยับตัว แต่ก็ไม่ได้มากอย่างที่ตั้งใจนักเพราะไหล่ของพระองค์คงได้รับบาดเจ็บเพิ่มจากการช่วยร่างเล็กตรงหน้าไม่ให้โดนหินของเพดานวิหารหล่นลงมาทับนั่นเอง
“อย่าดื้อได้ไหม! นั่งนิ่งๆอยู่ตรงแหละเดี๋ยวฉันมา” นิมเฟียร์พูดพร้อมกับเดินไปทางห้องพักของนักบวชที่ไม่ได้ถูกหินถล่มโดนปิดทางไปด้วย
สายตาคมกริบมองตามร่างบางที่เดินลับหายไปทางด้านหลังของรูปสลักมหาเทพโอซิริส อย่างเรียบเฉยจนไม่สามารถคาดเดาได้ว่าทรงคิดอะไรอยู่ ครู่เดียวร่างบางก็เดินกลับมาพร้อมกับกล่องไม้ใบหนึ่ง แล้วนำมาวางตรงหน้าของอัคเมนราพร้อมกับรื้อค้นของภายในกล่องไม้ออกมาเต็มไปหมด
“ว้า...ทำไมกล่องพยาบาลของที่นี่ไม่มีอะไรเลยนะ นอกจากม้วนผ้าลินินพวกนี้ กับขวดยาสีแปลกๆเนี่ย เอ๊ะ! ดูท่าจะทำจากคริสตัลเนื้อดีด้วยแหะ” นิมเฟียร์พูดพร้อมกับยกบรรดาขวดยาต่างๆขึ้นมาดูอย่างงงๆ เมื่อเห็นว่ามันไม่เหมือนกับยาในกล่องที่เต็นท์พยาบาลของพ่อเธอเลยสักนิด
อัคเมนรานั่งนิ่งฟังร่างบางตรงหน้าบ่นไปมาอย่างไม่เข้าใจภาษาที่เธอพูดมากนัก แต่ดูจากท่าทางแล้วคงกำลังพยายามหายาเพื่อมาทำแผลให้กับพระองค์เป็นแน่ อัคเมนรานั่งคิดเงียบๆพร้อมกับสังเกตร่างบางตรงหน้าอีกครั้งอย่างตั้งใจ ผมสีน้ำตาลอ่อนแปลกตา ผิวขาวเนียนนุ่มมือยามสัมผัส และดวงตากลมโตใสเป็นประกายสีน้ำทะเลนั้น จึงทำให้รู้ว่านางผู้นี้ต้องเป็นชนต่างชาติ แล้วรูปร่างหน้าตาก็ยังเยาว์เสียขนาดนี้ ท่าทางคงยังไม่ออกเรือนแน่ๆ
“นี่นาย! นั่งตัวตรงๆหน่อยได้ไหม? ฉันทำแผลให้นายไม่ถนัด” นิมเฟียร์พูดพร้อมกับจับให้อัคเมนราหันหน้าไปทางตน เพื่อจะทำแผลได้อย่างสะดวก
คนตัวสูงก็ทำตามอย่างว่าง่ายกับคำสั่งของร่างบางตรงหน้า พร้อมกับจ้องดูเธอหยิบยาขวดนั้นขวดนี้ขึ้นมาทำแผลให้
“ว่าแต่...นายไปโดนอะไรมา ฉันว่าตอนที่นายดึงฉันหลบก้อนหินที่พังลงมา ไม่เห็นมันจะมีพวกของมีคมอะไรหล่นลงด้วยเลยนะ” นิมเฟียร์ถามเมื่อเห็นบาดแผลชัดๆ พร้อมกับชี้นิ้วและส่งภาษากายถามที่มาของแผลบนลำแขนแกร่ง
“มีด” เสียงเข้มตอบห้วนๆ
แต่สาวน้อยตรงหน้าก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับคำตอบของอัคเมนรามากนัก ร่างเล็กพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจพร้อมกับก้มหน้าก้มตาทำแผลให้อย่างคะมักเขม่น
“เจ้าไม่ใช่คนพื้นเมืองที่นี่ ใช่หรือไม่?” อัคเมนราถามพร้อมกับจ้องมองมือบางของคนตรงหน้าที่แตะอยู่บนไหล่ลาดของพระองค์
“อืม ฉันเป็นถือสัญชาติอเมริกัน ฉันตามพ่อกับแม่มาดูงานเพราะท่านทั้งสองคนมาทำงานที่นี่” นิมเฟียร์ยอมเอ่ยด้วยภาษาอียิปต์โบราณที่ตนเรียนมาตอบไปตามสัญชาติที่เธอถืออยู่ตามหนังสือเดินทาง
คำตอบของคนตรงหน้า ทำให้อัคเมนราต้องสงสัยอย่างหนัก เพราะในดินแดนของอาณาจักรแห่งนี้หรือเหล่าประเทศราชที่พระองค์ออกไปรบกับพระบิดาและได้ดินแดนครอบครองมานั้น พระองค์ยังไม่เคยได้ยินชื่อเมืองที่นางเอ่ยออกมาด้วยซ้ำ
“อเมริกันหรือ?”
“ใช่...นิวยอร์คไง นายรู้จักหรือเปล่าล่ะ” เด็กสาวตอบพร้อมกับถามร่างสูงตรงหน้าไปด้วย
“ไม่หรอก...ว่าแต่ท่าทางเจ้ายังเป็นเด็กอยู่ เหตุใดจึงมาที่มหาวิหารแห่งนี้เพียงรำพัง” อัคเมนราถามอย่างสงสัย
“ใครว่าฉันมาคนเดียว ฉันมากับ...” ยังไม่ทันที่สาวน้อยตรงหน้าจะตอบคำถาม เธอก็หยุดมือพร้อมกับหันไปทางห้องพักของนักบวชในวิหารที่เธอเดินถือกล่องยาออกมา
“นายได้ยินไหมเสียงนั้น? คนที่บ้านฉันกำลังเรียกฉันอยู่ แป๊บนะ เดี๋ยวฉันกลับมา” นิมเฟียร์พูดพร้อมกับวิ่งไปทางต้นเสียงที่เธอได้ยิน
“เดี๋ยวก่อน...เจ้าชื่ออะไร?” อัคเมนราเอ่ยถาม เมื่อเห็นร่างเล็กตั้งท่าจะวิ่งหนีพระองค์ไป
“ดอกบัว ฉันชื่อดอกบัว” สาวน้อยตรงหน้าตอบพร้อมกับร่างบางที่วิ่งหายไปทางด้านหลังของแท่นบูชาเทพโอซิริสผู้ยิ่งใหญ่ของดินแดนไอยคุปต์ โดยมีสายตาคมสีดำสนิทดุจท้องฟ้ายามราตรีของรัชทายาทหนุ่มมองตามอย่างอดห่วงไม่ได้
“ครื้น!!!” เสียงของก้อนหินที่ถล่มลงมาปิดปากทางเข้าของมหาวิหารถูกทุบออกด้วยเครื่องมือขุดหินแบบดั่งเดิมของชนชาติอียิปต์โบราณดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ
“องค์ชายอัคเมนรา ทรงอยู่ที่ใดฝ่าบาท กระหม่อมมูเทตและเบเซทเองพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อฟังเสียงของคนที่ตะโกนเข้ามาจนแน่ใจว่าเป็นผู้ใดแล้ว อัคเมนราจึงได้ขานรับออกไป “เราอยู่ตรงนี่ท่านมูเทต ใกล้ๆกับแท่นบูชานี่” เจ้าของเสียงทุ้มเอ่ยตอบอย่างอ่อนเพลียเพราะพระองค์เสียเลือดไปมากนั่นเอง
“โอ้...องค์ชาย ทรงบาดเจ็บมากไหมพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมสมควรรับโทษทัณฑ์อย่างหนักที่เรื่องนี้เกิดขึ้นกับพระองค์” มูเทตกล่าวพร้อมกับเข้าไปประคองเจ้าชายอัคเมนราลุกขึ้นยืน โดยมีเบเซทเข้าไปช่วยประคองอีกด้าน
“องค์ชาย พระองค์ทรงได้รับบาดเจ็บที่ไหล่ขวาด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ” เบเซทเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเจ้านายตน เมื่อเห็นผ้าพันแผลที่ไหล่ขวาขององค์รัชทายาท และมันกำลังมีเลือดที่หยุดไหลไปแล้วเริ่มซึมออกมาอีก
“ใช่ แต่มีนางบริจาริกาของวิเซียร์ในวิหารช่วยทำแผลให้เราแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” อัคเมนราตอบเสียงเรียบ
“หญิงรับใช้?? ในมหาวิหารแห่งนี้เหรอฝ่าบาท” มูเทตถามอย่างสงสัย เพราะเท่าที่เขาเคยได้ยินมหาวิหารแห่งนี้ไม่อนุญาตให้สตรีเข้าออกได้ แต่อาจจะมีเพียงองค์ราชินีหรือพระราชธิดาขององค์ฟาโรห์เท่านั้นที่จะสามารถเข้ามาได้ แต่ก็ต้องเป็นในคราวที่มีพระราชพิธีการที่สำคัญเพียงเท่านั้นเอง
“ท่านมูเทต เรารู้นะว่าท่านคิดอะไรอยู่ ถ้าสงสัยมากก็เข้าไปดูในห้องพักนักบวชเถอะ เพราะข้าเห็นนางวิ่งเข้าไปที่นั่น” อัคเมนราตอบพร้อมกับเอียงตัวอิงกับหมอนขนแกะนิ่มบนเสลียงที่นำมารับพระองค์
“ไม่มีใครเลยฝ่าบาท กระหม่อมสำรวจดูจนทั่วแล้ว อีกทั้งห้องพักนักบวชนี้ไม่มีทางออกที่ไหนแล้ว กระหม่อมว่าพระองค์อย่าได้สนใจอีกเลย รีบกลับไปที่พลับพลาเพื่อให้หมอหลวงตรวจดูอาการของพระองค์กันก่อนดีกว่า องค์ฟาโรห์คงอยากเจอพระพักตร์ขององค์ชายเต็มที”
มูเทตรายงานเมื่อเดินกลับออกมาจากห้องพักนักบวชแล้ว พร้อมกับเร่งให้องค์รัชทายาทหนุ่มรีบออกไปให้หมอหลวงตรวจพระอาการโดยไว และเมื่อเห็นว่าอัคเมนราไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีกนอกจากทรงทิ้งองค์ลงอิงหมอนใบโตบนเสลี่ยง แม่ทัพมูเทตหันไปส่งสัญญาณให้เบเซทบุตรชายของตนออกคำสั่งแบกเสลี่ยงของอัคเมนราออกไปจากมหาวิหารทันที
“ไปได้”
เมื่อนอนเอนกายอยู่บนเสลี่ยงหามเพื่อไปยังพลับพลาหลวง วูบหนึ่งอัคเมนรานึกถึงเจ้าของใบหน้าหวาน รูปร่างผอมบาง ผิวเนื้อขาวเนียน และสัมผัสของมือนิ่มนวลบรรจงทำแผลให้พระองค์อย่างแผ่วเบา กลิ่นหอมอ่อนๆจากผิวกายที่ลอยมาแตะโสตประสาทของพระองค์เป็นระยะช่างติดตรึงใจยิ่งนัก โดยเฉพาะดวงตาสีน้ำทะเลที่เป็นประกายวาววับราวกับอัญมณีชั้นเลิศที่หาค่ามิได้ ดอกบัวเหรอ?...องค์ชายอัคเมนราเอ่ยชื่อที่ติดอยู่ในใจของพระองค์แต่เพียงผู้เดียวแม้เพียงพบกันเพียงแค่ครั้งแรกก็ตาม
“อืม...” เสียงครางเบาๆของคนที่อยู่บนเตียงพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชนกลางกรุงไคโร ทำให้สองสามีภรรยาตระกูลโรแลนด์และลูกชายรีบวิ่งเข้าไปดูลูกสาวคนเล็กของตนอย่างเป็นห่วงยิ่งนัก
“ยายหนู ตื่นแล้วเหรอลูก เป็นไงบ้าง? ลูกหลับไปตั้งสองวันสองคืนเลยรู้ไหม? พ่อกับแม่เป็นห่วงเรามากนะ”
เบอนาร์ดพูดพร้อมกับลูบศีรษะของลูกสาวอย่างบรรจง แล้วโน้มตัวก้มลงจูบหน้าผากของลูกสาวอย่างแสนรักและเป็นห่วง
“หนูอยู่ที่ไหนค่ะ?” สาวน้อยถามเพราะความทรงจำของเธอมันช่างเลือนรางเหลือเกิน
“โรงพยาบาลค่ะลูกหนู พี่ไคโรไปพบหนูนอนสลบอยู่หน้าแท่นบูชาในวิหาร พี่เขาเรียกเท่าไรลูกก็ไม่ยอมตื่น เราเลยพาลูกมาโรงพยาบาลกัน” นาตาลีอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นให้ลูกสาวฟังอย่างคร่าวๆ เพราะไม่อยากให้นิมเฟียร์ต้องใช้ความคิดและสมองมากนัก
“หนูเหรอคะ? ไปนอนสลบอยู่ในมหาวิหาร” เด็กสาวถามงงๆ
“ใช่จะยายหนู”
“แล้วเราทำไมไปนอนสลบอยู่ตรงนั้นได้ล่ะ? บอกพี่ได้ไหมนิม” ไคโรถามน้องสาวอย่างสงสัย
“หนูจำเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้เลยค่ะ” นิมเฟียร์เอ่ยตอบพร้อมกับพยายามนึกถึงเรื่องที่เกิด แต่มันก็เลือนลางในความทรงจำของเธอเหลือเกิน
“จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไรลูก แค่หนูปลอดภัย พ่อกับแม่แล้วก็พี่ไคโรก็ดีใจที่สุดแล้ว” พ่อเอ่ยพร้อมกับลูบศีรษะของลูกสาวอย่างแสนรักและเป็นห่วง
“เอาเป็นว่า...หนูขอนอนพักต่ออีกหน่อยแล้วกันนะคะ”
เด็กสาวตอบพลางล้มตัวลงนอนพร้อมกับหลับดวงตาใสคู่สวยลงอย่างเหนื่อยล้าเพื่อพักผ่อนต่อ แต่ภายในใจนั้น ก็ยังพยายามคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างหนัก แต่พยายามแค่ไหนก็ยังคงนึกไม่ออกจนหลับไปและลืมเลือนเรื่องที่เกิดขึ้นไปจากความทรงจำของเธอในที่สุด...
********************************
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ