The D.O.L.L.S โศกนาฏกรรมปีศาจตุ๊กตามหาเวท
เขียนโดย HOPEโฮป
วันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 22.16 น.
แก้ไขเมื่อ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2560 21.55 น. โดย เจ้าของนิยาย
10) Episode 9 : || คำประกาศจากยูรา ||
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความคำประกาศจากยูรา
เสียงฝีเท้าวิ่งใกล้เข้ามา ไม่ใช่แค่คนหรือสองคน มิเวลและเอเวนรีบลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับทหารหลายร้อยพร้อมด้วยอาวุธปืนในมือถือในท่าเตรียมพร้อมยิง ยกโขยงกันมาเกือบทั้งกองทัพ เสียงวิ่งยังคงดังไม่หยุด บ่งบอกได้ว่ามีทหารมาสมทบเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ลุงอ้วนกับเจ้าหญิงนั่นเรียกมาสินะ
เอเวนคิดกับตัวเองอย่างหงุดหงิด ไม่น่าปล่อยให้สองคนนั้นรอดไปได้เลยจริงๆ
“เจ้าพวกปีศาจ! ยอมให้จับตัวเดี๋ยวนี้!” ทหารนายหนึ่งตะเบ็งเสียงออกคำสั่งอย่างห้าวหาญ มิเวลถอนหายใจเฮือกใหญ่กับคำสั่งแสนงี่เง่า
ใครมันจะไปยอมให้โดนจับกันล่ะ
“พวกข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย ปีศาจที่พวกเจ้ากล่าวถึงน่ะโดนพวกข้ากำจัดไปหมดแล้ว” มิเวลชี้แจงกลับไป ได้แต่หวังว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจ แต่ก็เป็นเพียงแค่ความหวังลมๆ แล้งๆ
เกิดเสียงพูดคุยถกเถียงกันในหมู่ทหาร สีหน้าของแต่ละคนหันมามองพวกเธอด้วยสายตาหวาดกลัว บางคนมีสีหน้าโกรธเกรี้ยว มองตรงมาด้วยความเกลียดชัง
มิเวลเกิดและโตในหมู่บ้านฟรอซเซล สถานที่อยู่ของชนเผ่ามายาซึ่งมีแต่ผู้ใช้เวทอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม เธอไม่เคยสัมผัสหรือรับรู้ว่าผู้ใช้เวทข้างนอกนั้นต้องประสบพบเจออะไรบ้าง จะมีก็แต่เรื่องเล่าหรือในหนังสือเท่านั้น เพราะฉะนั้นเธอจึงไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ที่คนในฟรอซเซลหลายคนรวมทั้งเอเวนด้วยเช่นกันเกลียดและขยะแขยงพวกคนธรรมดา เพราะเธอมองว่าพวกคนธรรมดาก็ไม่ได้ต่างไปจากพวกเธอ
แต่ในเวลานี้ เธอเริ่มสัมผัสความรู้สึกของผู้ใช้เวทนอกเผ่าได้บ้างแล้ว สายตาที่พวกมนุษย์มองมานั้นเหมือนกับว่ากำลังมองสิ่งขยะแขยงน่ารังเกียจ ไม่สมควรมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มันช่างเย็นยะเยือกชวนให้เธอรู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจเหลือเกิน
เพราะเหตุนี้สินะ เอเวนถึงได้รังเกียจมนุษย์ธรรมดาขนาดนั้น
“ปีศาจ! ฆ่ามัน!” ทหารคนหนึ่งในชุดเครื่องแบบที่ดูต่างไปจากคนอื่นตะโกนลั่น ทหารทุกนายจับปืนแน่นแล้วเหนี่ยวไกพร้อมกันทันที
ลูกกระสุนทั้งหมดถูกกำแพงไฟฟ้าสกัดกั้นเอาไว้ได้โดยง่ายดาย มิเวลหันขวับไปมองคนข้างกายเพราะสัมผัสได้ถึงจิตสังหารรุนแรง ใบหน้าเย็นชามองเหล่าทหารด้วยสายตาอาฆาต เด็กสาวรู้ได้ทันทีว่าเอเวนกำลังโกรธจัด
“อาวุธปัญญาอ่อนของพวกแกไม่มีวันทำอะไรข้าได้” เสียงเย็นกล่าว
จิตสังหารรุนแรงแผ่กระจายไปทั่วจนทำให้ทหารจำนวนมากเข่าอ่อนเกือบยืนไม่อยู่ ความรู้สึกกลัวกัดกินหัวใจไม่กล้าแม้แต่จะมองใบหน้าของศัตรู
“มะ...ไม่ต้องไปสนใจ ฆ่ามันซะ!!” ทหารคนเดิมออกคำสั่งอีกรอบ พยายามบอกตัวเองว่าเขาเป็นถึงผู้บังคับบัญชา จิตสังหารของปีศาจจะต้องไม่มีผลกับเขาเท่าทหารคนอื่นๆ แม้จะรู้ดีว่านี่เป็นแค่การหลอกตัวเองเท่านั้นก็ตาม
ปืนในมืออยู่ในท่าเตรียมพร้อมอีกครั้ง
“ยิง!!”
กำแพงไฟฟ้าของเอเวนหยุดลูกกระสุนทั้งหมดเอาไว้ได้อีกหน แต่เหล่าทหารหาญก็ไม่ยอมแพ้ เหนี่ยวไกสาดกระสุนใส่ศัตรูไม่ยั้ง แต่ไม่ว่าจะยิงสักเท่าไหร่ก็โดนกำแพงเวทสกัดเอาไว้ได้หมด
ต่อให้มิเวลจะรู้สึกไม่ชอบทหารพวกนี้ เธอก็ไม่ได้เกลียดจนถึงขนาดอยากให้พวกเขากลายเป็นศพไป แต่สำหรับเอเวน เธอมั่นใจว่าเขาลงมือฆ่าโดยไม่ลังเลแน่ ดังนั้นเธอจึงคิดจะขอร้องให้เขาไว้ชีวิตทหารเหล่านั้น
ทันใดนั้นเองทหารแต่ละคนก็พากันทิ้งปืนในมือลงบนพื้น เสียงเหล็กกระทบกับพื้นปูนดังระนาวไปทั่ว สายตาล่องลอยมองไปในอากาศราวกับคนไร้สติ มิเวลคิดโยงเข้ากับเรื่องตุ๊กตาปีศาจด้วยความหวาดระแวงทันที
เอเวนเพ่งสายตามองไปยังทหารด้านหนึ่ง หลายคนขยับเปิดทางให้ร่างหนึ่งเดินตรงเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างาม มิเวลเห็นร่างคุ้นตาแล้วก็ถึงกับตะลึงงัน
ควินัว!
เฟรเนร่า สัตว์เวทหายากผู้ครอบครองพลังจิต
แต่เจ้าบ้าวอลยังนอนซมอยู่ในแคปซูลนั่นไม่ใช่รึไง แล้วเพราะอะไรควินัวถึงมาที่นี่ได้ แถมยังมาในร่างจริงอีกต่างหาก
ควินัวยืนมองพวกเธอเงียบๆ อยู่พักหนึ่งแล้วหมุนตัวกลับ จากนั้นทหารทั้งหมดพากันเดินตามเจ้าสัตว์เวทสี่ขาไปราวกับเป็นทาสผู้ซื่อสัตย์ เมื่อถึงทางแยก กองทัพทหารทั้งหมดได้เลี้ยวเดินแยกไปอีกทาง ทิ้งให้ร่างน้อยหยุดยืนอยู่เพียงลำพัง นัยน์ตาสีฟ้าใสทั้งสามหันกลับมามองอีกครั้งเหมือนต้องการให้พวกเธอเดินตามมันไป
มิเวลขมวดคิ้วอย่างงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอยังประมวลผลไม่ได้เลยว่าควินัวมาที่นี่ได้ยังไง เด็กสาวตั้งใจจะหันไปถามคนข้างกาย แต่แล้วก็แทบจะตะโกนลั่นออกมาด้วยความตกใจเมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้
จริงสิ
รถม้า!
“เจ้ากลับไปก่อน ข้าจะไปเอารถม้า” เสียงร้อนรนตะโกนบอกเอเวน แล้วรีบวิ่งแยกตัวออกมา
พอวิ่งมาได้พักใหญ่เธอถึงเพิ่งจะนึกเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งออก จะกลับไปหาเอเวนแล้วลากเจ้านั่นมาด้วยก็คงเสียเวลา มิเวลจึงตัดสินใจไปทำเรื่องยุ่งยากเพียงคนเดียว แต่จู่ๆ ความรู้สึกเวียนหัวน้อยๆ ก็กลับมาอีกครั้ง ทั้งที่เอเวนช่วยห้ามเลือดให้แล้วแท้ๆ สงสัยเธอคงจะเสียเลือดมากไปจริงๆ แต่ยังไงก็คงต้องจัดการเรื่องขอเข้าเมืองให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยกลับไปทำแผล ไหนๆ ก็ใกล้จะถึงแล้ว
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“กลับมาแล้วเหรอ~” วอลยิ้มกว้างทันทีเมื่อเห็นหนึ่งคนกับอีกหนึ่งตัวเปิดประตูเข้ามา แล้วอ้าแขนออกต้อนรับควินัวที่โดดทะลุผ่านกระจกแคปซูลเข้ามาหา ร่างของเฟรเนร่าค่อยๆ จางลงจนหายไปในที่สุด
“อ้าว...แล้วมิเวลล่ะ” เด็กหนุ่มเอียงคอถามเมื่อไม่เห็นเพื่อนร่วมทางอีกคน
“ไปเอารถม้า” เสียงเย็นชาเอ่ยตอบ เขาแค่มาแจ้งข่าวเท่านั้นแล้วหันหลังกลับทันที แต่พอวอลเห็นว่าเอเวนทำท่าจะเดินออกจากห้อง เจ้าตัวยุ่งจึงทำแก้มป่อง
“เดี๋ยวสิ จะไปอีกแล้วเหรอ ทิ้งข้าไว้คนเดียวอีกแล้ว ใจร้าย” เสียงตัดพ้อพูดอย่างเคืองๆ
ร่างสูงยืนนิ่งอยู่หน้าประตู ไม่ได้หันมามองก็จริง แต่ก็ไม่ได้เดินออกไป วอลจึงยิ้มแป้นคิดเอาเองว่าอีกฝ่ายคงจะอยู่เป็นเพื่อนแน่ๆ แล้วเริ่มชวนคุย “ข้ารู้จากมิเวลว่าเจ้าชื่อเอเวน เจ้าชอบอะไรล่ะ มีงานอดิเรกรึเปล่า แล้ว...”
“ข้ารู้ว่าสัตว์เวทของเจ้าเมื่อกี้ไม่ใช่ร่างจริง” เสียงเย็นพูดขัด ก่อนจะหันขวับมามองด้วยสายตาเย็นชา
วอลไม่พูดอะไร เพียงแต่ยิ้มน้อยๆ รอฟังอีกฝ่าย
“ก่อนหน้านี้ร่างจริงของมันไม่ได้จางหายแต่เหมือนกระโดดเข้าไปในตัวเจ้า แต่เมื่อกี้ไม่ใช่ แสดงว่านั่นไม่ใช่ร่างจริงของมัน” เสียงเย็นกล่าวอย่างมั่นใจ หวังจะต้อนคนในแคปซูลให้จงได้ มันปิดบังอะไรอยู่ เขาจะทำให้มันคายออกมาให้หมด
แต่วอลกลับยังคงยิ้มๆ ราวกับว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดไม่ใช่เรื่องของตัวเอง พอเห็นว่าเอเวนพูดหมดแล้วจึงค่อยเปิดปากเป็นฝ่ายพูดบ้าง
“นั่นเป็นร่างจิต เจ้าก็รู้ว่าเฟรเนร่าใช้พลังจิตได้...”
“ในกรณีที่ต้องแสดงร่างจริงด้วย” เอเวนขัดอีก เสียงต่ำพูดกดดันเพื่อบีบให้คู่สนทนาตอบความจริง แต่เขากลับรู้สึกฉุนเพราะวอลเอาแต่ยิ้มตลอดเวลา แม้เขาจะใช้กระทั่งจิตสังหารอ่อนๆ ด้วยแล้วก็ตาม
แต่ถึงอย่างนั้นคนในแคปซูลก็ยังคงไม่พูดอะไรอีกอยู่ดี เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะเถียงไม่ออกหรือเป็นเพราะอย่างอื่น
“ข้ารู้ว่าเมื่อกี้ไม่ใช่พลังจิตของเจ้าสี่ขานั่น แต่เป็นพลังของเจ้า แล้วข้าก็รู้ด้วยว่าสัตว์เวทจะแบ่งพลังของมันให้เจ้าของแค่นิดเดียวเท่านั้น หมายความว่าไม่มีทางที่เจ้าจะใช้พลังสร้างร่างจิต แล้วควบคุมมันไปพร้อมกับทหารพวกนั้นจากระยะไกลได้”
ไม่มีคำตอบหรือคำพูดใดๆ จากวอลเช่นเดิม เขายังคงนั่งยิ้ม มองสบสายตาด้วยตรงๆ ด้วยแววตาใสซื่อบริสุทธิ์เหมือนไม่รู้เรื่องอะไร แต่เอเวนไม่คิดอย่างนั้น เขามั่นใจว่าวอลต้องมีอะไรปิดบัง กลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้มไร้สาระ แล้วคนประเภทนี้แหละที่น่ากลัว เพราะเขาไม่มีทางรู้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรหรือรู้สึกอย่างไร
เสียงหัวเราะคิกดังมาจากคนขี้เล่น ทำลายบรรยากาศตึงเครียดภายในห้อง
“ฮะๆๆๆ เจ้าคิดมากไปแล้ว” วอลขำกลิ้งพลางเอามือกุมท้อง ล้มหงายลงไปนอนแผ่บนที่นอน เอเวนขมวดคิ้ว สีหน้าเคร่งเครียดมองคนหัวเราะอย่างไม่พอใจ
“ขำอะไร” เสียงเย็นเฉียบถาม พยายามกลั้นอารมณ์โกรธเอาไว้ไม่ให้ระเบิดออกมา
“ทฤษฎีจัดจริงๆ ข้ารู้แล้ว... งานอดิเรกของเจ้าคืออ่านพวกตำรามหาโหดแน่ๆ” แม้จะหยุดขำแล้ว แต่เด็กหนุ่มก็ยังคงนอนตะแคงแหงนหน้ามองคู่สนทนา ใบหน้าเจ้าเล่ห์มองคนตัวสูงกว่าอย่างรู้ทัน
แล้วเขาก็ต้องขำกลิ้งอีกรอบเมื่อเห็นเอเวนชะงักน้อยๆ นัยน์ตีอำพันจ้องกลับมาด้วยสีหน้าโกรธเคืองมากกว่าเดิม
ถูกแหงๆ
“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง”
“ก็ได้ๆ ข้าก็ให้ควินัวออกมาก่อน แล้วค่อยใช้พลังจิตไงล่ะ” เสียงร่าเริงตอบอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิเหมือนอย่างเดิม
“ทำไมเมื่อกี้ข้าเข้ามาแล้วไม่เห็นมัน” เอเวนสวนกลับทันที
“มันก็กลับเข้ามาในตัวข้าก่อนแล้วไง”
“แล้วทำไมร่างจิตยังคงอยู่”
“ข้าให้ควินัวกลับเข้าร่างก่อนเจ้าเปิดประตูเข้ามาได้สักสองวิล่ะมั้ง พลังก็เลยยังค้างอยู่ได้”
เอเวนมองอีกฝ่ายอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แม้เหตุผลของอีกฝ่ายจะพอฟังขึ้น แต่เขาก็ยังไม่อยากเชื่ออยู่ดี รู้สึกเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างขัดๆ กันอยู่ แต่เขานึกไม่ออกว่ามันคืออะไร
วอลหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นว่าเอเวนยืนนิ่งเงียบไม่พูดอะไรอีก
“น่าน้อยใจนะเนี่ย ข้าอุตส่าห์ให้ควินัวไปช่วยพวกเจ้า แต่เจ้าดันมาสอบสวนข้าซะนี่”
“ข้าไม่ได้ขอ” เสียงเย็นตอบอย่างไร้เยื่อใย ทำให้เด็กหนุ่มผู้หวังดีต้องทำสีหน้าเศร้าสร้อยพร้อมกับบ่นพึมพำว่าใจร้าย คนเขาอุตส่าห์ช่วยเหลือ นึกแล้วก็น่าเคืองไม่น้อย แล้วยังมีเรื่องแทงดาบทะลุท้องของเขาอีก คอยดูนะ เขาจะเคืองไม่พูดด้วยไปตลอดชีวิตเลย
วอลทำแก้มป่อง หน้าหงิกหันขวับไปมองอีกทางอย่างเคืองๆ แต่เอเวนกลับคิดว่าไร้สาระ เขาหมุนตัวเดินกลับไปเปิดประตูออก แต่จู่ๆ เสียงร้องเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ของคนในแคปซูลก็ดังขึ้น ใบหน้าบูดบึ้งเมื่อครู่กลับกลายเป็นสีหน้ายิ้มแย้มได้อย่างรวดเร็ว
“จริงสิ ข้าลืมถามไปเลย เมื่อกี้พวกเจ้าออกไปกันทำไมเหรอ” เสียงสดใสของวอลเอ่ยถาม เรียกให้คนถูกถามหันกลับไปมองอย่างงงๆ เพราะปรับอารมณ์ตามอีกฝ่ายไม่ทัน
เอเวนถอนหายใจยาวก่อนที่จะเอ่ยตอบอย่างรำคาญ
“ไปทำเรื่องขอเข้า...” คำพูดขาดหายไปเมื่อนึกอะไรขึ้นได้
เขาลืมไปเลย! เพราะมีเรื่องวุ่นวายเลยทำให้ลืมเรื่องขอเข้าเมืองไปซะสนิท
เสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมกับมีร่างของหญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามา เจ้าหล่อนสะดุ้งน้อยๆ เมื่อสบสายตาเข้ากับสองหนุ่มหล่อ ในใจเต้นโครมครามไม่นึกมาก่อนว่าตัวเองจะโชคดีขนาดนี้ สายตาเย็นชากับรอยยิ้มพิฆาตนั่นช่างกระชากหัวใจของเธอเสียเหลือเกิน
“มีอะไร” เสียงเย็นถาม
นัยน์ตาสีอำพันมองตรงมา เธอรีบหลบสายตาของอีกฝ่ายทันควัน นี่เขาเป็นฝ่ายพูดกับเธอก่อนใช่มั้ย เขาสนใจเธอหรือเปล่านะ โอ...จะทำอย่างไรดี เธอไม่คิดเลยว่าจะได้มาตกหลุมรักแรกพบในวันนี้
หญิงสาวยังคงเพ้อฝันต่อไป
เอเวนถอนหายใจอย่างเซ็งๆ แล้วเดินไปนั่งบนเก้าอี้ซึ่งอยู่ตรงมุมห้อง ใช้ความเงียบบอกเป็นนัยกับคนในแคปซูลว่าไม่ยุ่งด้วย ให้เขาจัดการเอาเอง
วอลยิ้มขำขันมองการกระทำของอีกฝ่าย พอจะเข้าใจว่าเอเวนคงมนุษยสัมพันธ์ไม่ค่อยดี แต่ไม่คิดว่าจะห่วยขนาดนี้
“พี่สาวมีเรื่องอะไรกับพวกข้าหรือเปล่าครับ” เสียงอ่อนโยนเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม หญิงสาวหน้าแดงจัดด้วยความเขิน เหล่สายตามองเจ้าของเส้นผมสีเงินสว่างอย่างเอียงอาย
โอ...คนนี้ก็น่ารัก ดูบอบบางน่าทะนุถนอม เธอไม่รู้มาก่อนเลยว่าคนเราจะสามารถตกหลุมรักถึงสองครั้งได้ในเวลาเดียวกัน
“เอ่อ...คือว่า...มีประกาศจากทางการ ข้าก็เลยต้องมาบอกข่าวให้กับคนไข้ทุกคน...” เสียงพึมพำเอ่ยตอบอย่างเคอะเขิน สายตามองต่ำไปที่พื้นไม่กล้าเงยหน้ามองสองหนุ่มหล่อตรงๆ
“ประกาศเรื่องอะไรเหรอครับ” วอลถามอีกครั้ง ยิ้มกว้างมากกว่าเดิมเมื่อเห็นคนไม่ขอยุ่งเกี่ยวเหลือบสายตามามองทางนี้เล็กน้อย
“...เอ่อ...ให้ชาวเมืองและนักเดินทางทุกท่านเตรียมพร้อมรับการตรวจสอบยืนยันค่าซีหลังจากพระอาทิตย์ตกดินน่ะค่ะ”
ค่าซี? คืออะไรหว่า?
“แล้วพี่สาวรู้รึเปล่าว่ามันตรวจยังไงเหรอ พวกข้าเป็นนักเดินทางเลยไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่” วอลยิ้มแป้น เรียบเรียงประโยคให้ฟังดูไม่น่าสงสัย รู้สึกเอะใจกับท่าทีแปลกๆ เหมือนตกใจอะไรสักอย่างของเอเวน แต่เขาก็ตัดสินใจว่าค่อยไปถามอีกฝ่ายเอาทีหลังแล้วกัน
“ก็...เจาะเลือดตรวจน่ะ ข้าก็ไม่ค่อยรู้หรอก เห็นว่าเมื่อตอนบ่ายมีพวกปีศาจอาละวาด ทางการก็เลยต้องการตรวจสอบทุกคนน่ะจ้ะ” หญิงสาวตอบอย่างเป็นกันเอง อาการเขินเริ่มน้อยลงบ้างเพราะน้ำเสียงอ่อนนุ่มของหนุ่มน้อยตรงหน้าทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก
“เจ้าออกไปได้แล้ว” จู่ๆ เสียงเย็นชาของเด็กหนุ่มอีกคนก็พูดออกคำสั่ง หญิงสาวสะดุ้งตกใจ ยืนลังเลทำอะไรไม่ถูกอยู่พักหนึ่ง ในใจนึกเสียดายหนุ่มหล่อทั้งสองคน ก่อนจะยอมเดินออกจากห้องไป
“มีอะไรงั้นเหรอ” วอลถามอย่างงงๆ เมื่อเห็นว่าเอเวนมีสีหน้าเคร่งเครียด เขาเดาว่าเกี่ยวกับค่าซีอะไรนั่นหรือเปล่า แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าจะเครียดไปทำไม ก็แค่เจาะเลือดนิดหน่อย
หรือว่าเอเวนกลัวเจ็บ?
ไม่น่าใช่...
“เรื่องตรวจค่าซีไงล่ะ” เอเวนตอบเสียงเครียด ในหัวพยายามนึกหาทางออก วอลนิ่งอึ้งไปเมื่อได้รับคำตอบ ไม่นึกว่าคนอย่างเอเวนจะกลัวเจ็บจากการถูกเจาะเลือด
“ไม่ต้องห่วงหรอก ก็แค่เจ็บนิดเดียวเอง สบายใจเถอะน่า” เสียงสดใสพยายามปลอบใจให้เอเวนรู้สึกดีขึ้น แต่ก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่ออยู่ๆ สายตาเย็นยะเยือกตวัดมาจ้องเขาเขม็ง
“มีเจ้าสบายอยู่คนเดียวไงล่ะ แต่ข้ากับมิเวลไม่ใช่ เพราะในเลือดของพวกข้ามีพลังเวทไหลเวียนอยู่ ถึงจะมีอุปกรณ์ปกปิดไอเวทแต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรถ้าโดนเจาะเลือดโดยตรง” น้ำเสียงหงุดหงิดอธิบาย เขาจะทำอย่างไรดี คงต้องหนีไปจากที่นี่แล้ว แต่ดันมีตัวงี่เง่าถูกขังอยู่ในแคปซูล ส่วนแผนที่ก็อยู่กับมิเวล จริงๆ เขาก็ไม่ได้อยากหนีไปคนเดียวเพราะยังไงก็ตกลังกันเอาไว้แล้ว และเขาเองก็เป็นคนพูดแล้วไม่คืนคำเช่นกัน
“หมายความว่า...พลังเวทอยู่ในเลือดของพวกเจ้างั้นเหรอเนี่ย ไม่รู้มาก่อนเลย” วอลมองอีกฝ่ายด้วยสายตาทึ่งสุดๆ
เพราะแบบนี้เอเวนถึงกลัวโดนเจาะเลือดสินะ นึกว่ากลัวเจ็บเสียอีก
“แต่แปลกจัง ข้าบังคังให้พวกทหารนั่นกลับไปบอกคนใหญ่คนโตแล้วนี่ว่าจัดการพวกตัวประหลาดเรียบร้อยแล้ว”
เอเวนไม่พูดอะไร เขาคิดว่าเพอราลคงยังไม่แน่ใจอยู่ดีว่าไม่มีศัตรูแล้ว ถึงได้สั่งให้ตรวจเลือดเพราะละเอียดกว่าใช้เครื่องตรวจพลังเวทที่น่าจะเปลี่ยนชื่อเรียกเป็นเครื่องตรวจไอเวทมากกว่า
แย่ล่ะ มิเวลยังไม่รู้ว่าจะมีการตรวจเลือดนี่
“เจ้าจะไปไหนอีกน่ะ” วอลร้องถามเมื่อเห็นเอเวนลุกพรวดจากเก้าอี้แล้วรีบเดินตรงไปที่ประตู
“มิเวลยังไม่รู้เรื่องนี้”
“เดี๋ยวก่อนสิ ข้ามีความคิดดีๆ แล้ว” ร่างสูงหันกลับมามอง เห็นเจ้าคนกวนประสาทอมยิ้มกรุ่มกริ่มอย่างเจ้าเล่ห์ ทันใดนั้นเองเขาก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่น่าจะช่วยเรื่องการหลบหนี แต่ยังไม่พูดอะไรเพราะยังไงก็ต้องไปตามตัวมิเวลมาที่นี่ก่อน
“อะไรล่ะความคิดดีๆ ที่ว่า” น้ำเสียงหงุดหงิดบอกเชิงว่าให้พูดมาเร็วๆ เพราะว่าเขากำลังรีบ
วอลทำเสียงจุ๊ๆ พร้อมกับหรี่ตาลง ปากขยับพูดว่าให้ใจเย็นๆ โดยไม่ส่งเสียง แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าหวานก็กว้างขึ้นอีก
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ