XENON LIFER อมนุษย์พันธุ์ทมิฬ

8.3

เขียนโดย TwentySIX

วันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 10.59 น.

  13 chapter
  1 วิจารณ์
  15.02K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 มกราคม พ.ศ. 2560 11.03 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) Lie Life

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
     พระจันทร์สีแดงยังลอยเด่นเป็นสง่า ทั้งๆที่โลกภายนอกก็ผ่านมาหลายวันแล้ว ทว่ามันกลับไม่มีวี่แววว่าดวงจันทร์จะลาลับขอบฟ้าหรือเคลื่อนย้ายเปลี่ยนแปลงมุมองศาแม้แต่น้อย เหล่าอีกาดำที่มีใบหน้าผิดเพี้ยน ยืนเกาะเรียงรายเป็นแถวตามกิ่งไม้ ดวงตาปูดโปนอันเต็มไปด้วยเลือดคั่งสีแดงๆกลอกไปทางซ้ายขวา จงอยปากมันมีซี่ฟันแหลมคม
    พวกนกปีศาจมองไปรอบๆก่อนจะกรีดร้องโหยหวน แล้วจึงกระพือปีกบินหนีไปจากยอดกิ่งไม้เป็นสิบๆตัว อันเนื่องมาจากต้นไม้ที่พวกมันเกาะอยู่เกิดความเคลื่อนไหว กิ่งก้านไม้บิดเกลียวเป็นเสมือนกับแขน รากไม้ใต้พื้นดินกำลังขยับเขยื้อนเดินตรงไปข้างหน้า โดยรอยแตกตรงกลางเปลือกไม้ ช่างดูแล้วคล้ายคลึงกับลูกตาเสียจริง
     ทันใดนั้นเอง...
 
     กร๊อบ!!!
 
     เสียงดาบยักษ์เล่มสีแดงเพลิงสับต้นไม้ปีศาจดังลั่น ก่อนจะตัดกลางลำต้นมันออกเป็นสองเสี่ยง ส่วนบนของต้นไม้ปีศาจยังคืบคลานหนีต่อไป แต่สุดท้ายก็ต้องโดนคมดาบใหญ่ยักษ์ปักทิ่มใบหน้ามันจนทะลุถึงพื้นดิน 
     ชายหนุ่มชุดกายดำยกดาบขึ้น ซึ่งบนปลายดาบยังมีเศษซากไม้ติดมาก่อนเขาจะเหวี่ยงวาดดาบไปรอบๆ เพื่อไล่ล่าล้างบางเหล่าต้นไม้ปีศาจ พวกมันต่างพากันหนีตาย แต่ขาที่ทำจากรากไม้มีหรือจะไวเกินกว่าอมนุษย์สุดโฉด
     เสียงบั่นทำลายดังขึ้นเป็นช่วงๆ จนกระทั่งทุกสรรพชีวิตรอบตัวซีน่อนดับสูญ ชายหนุ่มจึงจะยอมหยุดการลงมือ เขาเหลือบมองต้นไม้ปีศาจตรงพื้น ซึ่งอ้าปากพะงาบๆเหมือนกับปลาขาดอากาศหายใจ ชายหนุ่มยกขาขึ้นแล้วกระทืบลงมาอย่างเลือดเย็น
     ส่วนอาคัลซึ่งนั่งหอบมาตั้งแต่สามสิบนาทีแรก ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมซีน่อนถึงออกแรงไล่ล่าราวกับคนคลุ้มคลั่งได้เป็นชั่วโมงๆ สำหรับจิลก็หายไปตั้งแต่ตอนที่รู้จักชื่อบุรุษปริศนา ตอนนี้เด็กหนุ่มหวังว่าหญิงสาวจะรีบๆกลับมาส่งเสียงเจื้อยแจ้วอย่างที่เคยโดยเร็ว เนื่องจากการเดินทางร่วมกับชายปริศนามันทำให้เขารู้สึกอึดอัดมากๆ
     จากการที่อยู่คู่กับชายปริศนามาตั้งนาน ทำให้เด็กหนุ่มรู้อะไรหลายๆอย่างจากซีน่อน เช่นเขาไม่มีอารมณ์ความรู้สึก เส้นประสาทหลายอย่างด้านชาเหมือนซากศพเดินได้ บาดแผลฟื้นฟูได้ด้วยรยะเวลาอันสั้น และที่สำคัญคือเขาไม่รู้จักความเหนื่อยล้า  
     นี่อาจเป็นสี่ข้อหลักๆ ที่สามารถนำมาใช้จำกัดความชายปริศนาได้ แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอที่จะนำมาอธิบายทุกสิ่งที่เขาเป็น ในเมื่อสไตล์การต่อสู้ของชายหนุ่มกลับไม่ได้มีความเหมือนกับวิชาต่อสู้ของมนุษย์ 
     แต่มันดูเหมือนกับ...ปีศาจร้ายเสียมากกว่า
     ชายหนุ่มเปลี่ยนดาบยักษ์กลับคืนสู่สภาพกระเป๋าทรงสี่เหลี่ยม ก่อนจะดึงผ้าปิดปากขึ้นสูง ดวงตาสีแดงทอดมองออกไปไกลๆยังเบื้องหน้า แม้จะไม่เห็นสิ่งใดนอกเสียจากความมืดสนิท แต่ซีน่อนคิดว่ามันอาจมีอะไรสักอย่างรอเขาอยู่ เมื่อสรุปได้เช่นนั้นชายหนุ่มจึงเริ่มเดินทางต่อไป ส่วนอาคัลก็ทุบน่องขาตัวเองแรงๆ แล้วจึงค่อยเดินตามไล่หลังซีน่อนไปทั้งอาการเหนื่อยเมื่อยล้า
 
 
..................................................................
 
ความตายไม่ได้เกิดจากการสิ้นอายุขัยเสียทีเดียว
 
แต่ความตายก็สามารถกำเนิดมาจากสิ่งอื่นได้
 
หากเพียงแต่เจ้าสูญสิ้นศรัทธา...
 
เจ้าก็เสมือนกับว่าเป็นคนตายแล้วนั่นเอง
 
..................................................................
 
 
     ด้านหลังของเมืองดอว์การ์ดเต็มไปด้วยธรรมชาติอันงดงาม ป่าไม้ตั้งโอบล้อมรอบชานเมือง เสียงนกขับขานบทเพลงอันไพเราะ ดอกไม้นานาพันธุ์ชูช่อสะบัดพริ้ว สายลมอบอุ่นพัดผ่านชวนให้น่านอนหลับไหล ก่อนจะมีก้อนเมฆเคลื่อนคล้อยมาบดบังแสงแดดให้ร่มเงา
     สถานที่แห่งนี้เป็นจุดชมวิว และเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจได้ดี และประชาชนทุกคนล้วนแล้วแต่มีสิทธิเข้ามาที่นี่ แต่หากคิงมีรับสั่งว่าต้องการไปหลังเมืองดอว์การ์ดเมื่อไหร่ ทุกคนในระแวกนั้นจะต้องรีบหายหัวไปแต่โดยเร็ว
     และบนโต๊ะไม้กลมๆใต้ต้นพฤษาแห่งหนึ่ง ก็ปรากฏร่างมัสแตงนั่งประจำเก้าอี้ อันที่จริงแล้วเขาไม่ควรจะมีโอกาส ได้เข้ามาอยู่ใกล้ชิดกับคิงเลยด้วยซ้ำ ส่วนอีกฝากหนึ่งคือชายวัยกลางคน ตัดผมสั้นสีบรอน ไว้หนวดเคราดูน่าเกรงขาม เขาใส่ชุดเกราะหนักสีทอง และมีผ้าคลุมสีแดงผืนใหญ่ แรงกดดันที่แผ่ซ่านออกมาราวกับสายน้ำอันเชี่ยวกรากนั้น ได้บ่งบอกถึงความเป็นคิงเอาไว้เป็นอย่างดี
     คิงแห่งดอว์การ์ดหยิบแก้วน้ำชาบนโต๊ะขึ้นมาจิบ พลางปรายตามไปทางภาคีหนุ่มผู้เชื้อเชิญเขามาร่วมปาร์ตี้น้ำชา ทั้งสองคนจากดอว์การ์ดมองหน้ารินสักพัก จากนั้นรินจึงจะเป็นฝ่ายเกริ่นนำเรื่องที่จะพูด
     "คุณรู้สาเหตุที่ผมเรียกคุณมาคุยเป็นการส่วนตัวหรือเปล่าครับ"
     คิงจ้องหน้าภาคีหนุ่มปานจะกินเลือดกินเนื้อ เขานิ่งเงียบยังไม่ตอบ
     "การฝ่าฝืนกฎของศาสนจักรแสง มีบทลงโทษที่รุนแรงมากๆนะครับ แต่โทษนั้นจะยิ่งทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น หากคุณฝ่าฝืนการรับสั่งขององค์สันตะปาปา"
     "ข้าไม่ได้ฝ่าฝืนกฎ!"
     คิงแย้งอย่างไม่ยอมรับการตัดสิน
     "คุณฝ่าฝืนกฎแบบเต็มๆเลยต่างหาก และผมก็จับพวกคุณได้แบบคาหนังคาเขาด้วย"
     รินหยิบแก้วหน้าชาตรงหน้าขึ้นมาจิบ สีหน้าภาคีหนุ่มยังยิ้มแบบสงบๆไม่คิดอะไรมาก ซึ่งมันช่างแตกต่างจากผู้ถูกคาดโทษเอาไว้ทั้งสองคน ที่ตอนนี้ต่างก็เกิดความรู้สึกอยากจะฆ่าไอ้ภาคีผู้มีรอยยิ้มอันแสนจะยโสโอหัง ทำไมทางศาสนจักรแสงถึงรู้เรื่องนี้ ทั้งๆที่การปฏิบัติงานของดอว์การ์ดก็ถูกเก็บเป็นความลับสุดยอดเสมอ
     "พวกคุณแอบปฏิบัติภารกิจตามล่าผู้ร่วงหล่นโดยไม่ได้บอกกล่าว แถมผู้ร่วงหล่นคนนั้นก็ยังเป็นความมืดสีขาวที่ถูกกฎของอีเดนคุ้มครอง"
     รินกระตุกรอยยิ้มที่มุมปาก ดวงตาปิดสนิทจนอ่านไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรในใจ
     "ความผิดพวกนี้มันมากพอที่จะปลดคุณออกจากตำแหน่งคิง แล้วค่อยต่อด้วยโทษประหารเลยทีเดียว ส่วนลูกน้องใต้บังคับบัญชาของคุณ ก็จะตายตกตามกันเพราะคำสั่งโง่ๆของคุณ"
 
     โครม!!
 
      คิงทุบกำปั้นลงกับโต๊ะไม้ น้ำชาในแก้วสั่นระริกเบาๆ ทว่ารินยังรักษารอยยิ้มเอาไว้เช่นเดิม เขาดูเหมือนจะสนุกด้วยซ้ำที่ได้มาเห็นคิงน็อตหลุด
     "การกำจัดผู้ร่วงหล่น เป็นหน้าที่ๆสืบทอดกันมาอย่างยาวนานของดอว์การ์ด!!" คิงบอกความเป็นจริงเมื่อสมัยก่อน ทว่าในสมัยนี้มันไม่เหมือนเดิมเสียแล้ว
     "แต่คำสั่งขององค์สันตะปาปา ก็ถือเป็นที่สุดยิ่งกว่าหน้าที่ของคุณ" รินตอบด้วยสีหน้าราบเรียบ
     "มันเป็นมารนอกรีตที่เราควรรีบกำจัด!!"
     "ตราบเท่าที่เขายังทำประโยชน์แก่อีเดนและศาสนจักรแสง ความมืดสีขาวก็ยังถูกคุ้มครองเหมือนเดิมครับ" ภาคีหนุ่มถอนหายใจแล้วกอดอกก้มหน้าลงเล็กน้อย
     "ขนาดปู่ของคุณยังชื่นชมในตัวความมืดสีขาวเลยไม่ใช่เหรอ"
     "กาลเวลาเปลี่ยน คนก็เปลี่ยน! ถ้าพวกเราเอาแต่งมงายและยึดติดกับความมืดสีขาว เหล่าผู้ศรัทธาอาจเกิดความสั่นคลอน และไม่เชื่อมั่นในวิถีแห่งพระเจ้า!!"
     คิงทุบโต๊ะอีกครั้ง หนนี้ถึงกับทำให้แก้วน้ำชาทั้งหมดกระเด็นขึ้นฟ้า ทว่าแก้วของรินถูกมือภาคีหนุ่มคว้าเอาไว้ทัน เขาใช้แก้วหมุนเหวี่ยงตวัดหวักน้ำชาที่กระฉอกให้กลับสู่ที่เดิม จากนั้นจึงถือค้างเอาไว้ข้างลำตัวเพื่อรองรับน้ำชาหยดสุดท้าย
 
     ตุบ.. ตุบ..
 
     เสียงแก้วน้ำชาสองแก้วร่วงตกจากฟ้าสู้ผืนหญ้า รินเอียงคอและถอดถอนหายใจด้วยอาการเบื่อๆ มัสแตงจับจ้องอากัปกิริยาผู้นั่งอยู่ในปาร์ตี้น้ำชาทุกคน สถานการณ์แบบนี้เริ่มจะไม่ดีซะแล้วสิ ชายหนุ่มผมทองเอื้อมมือแตะดาบที่คาดเอวเอาไว้อย่างช้าๆ
     "คุณจะพูดอ้างนู้นอ้างนี่ไปก็เปล่าประโยชน์ สิ่งเดียวที่คุณทำได้ในตอนนี้ ก็คือการถอนตัวออกไปจากเรื่องของความมืดสีขาว"
     คิงไม่เก็บอารมณ์ความรู้สึกอีกต่อไป เขาชักดาบสองคมเล่มใหญ่ออกมาฟาดโต๊ะไม้จนหักออกเป็นสองเสี่ยง ส่วนมัสแตงก็ลุกขึ้นยืนพร้อมจ่อดาบไปทางรินอย่างรู้งาน ภาคีหนุ่มผู้ถือแก้วชาในมือค้าง ได้ใช้ดวงตาอันปิดสนิทจ้องมองไปทางสองผู้มาจากดอว์การ์ด ท่าทางเขาคล้ายจะพอเดาออกว่าสถานการณ์มันจะออกมาในรูปนี้
     "ข้าฟังที่เจ้าพูดมามากพอแล้ว!!!"
 
     ตุบ...
 
     แก้วชาในมือของรินหล่นลงพื้น เหลวสีน้ำตาลจางๆภายในนั้นหกรดพื้นหญ้า ทว่าร่างภาคีหนุ่มกลับหายไปจากสายตาพวกเขา เมื่อมัสแตงเห็นดูท่าไม่ดีจึงเตรียมจะกระแทกฝ่ามือ เพื่อไล่ปืนลูกโม่กระบอกเล็กออกมา แต่ก่อนจะทันได้ทำอะไร สัมผัสเย็นๆของท่อนเหล็กก็ทาบหลังคอพวกเขา โดยมีชายหนุ่มใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มแปลกประหลาด ยืนถือทอนฟาสองท่อนอยู่ด้านหลัง
     เร็วมาก!
     มัสแตงยืนตัวเกร็งไม่กล้าทำอะไรทั้งสิ้น นี่น่ะเหรอความสามารถของภาคี!
     ส่วนผู้มีฝีมือเหนือชั้นกว่าก็ส่งเสียงหัวเราะเบาๆในลำคอ ฟังดูแล้วน่าขยะแขยงเหมือนเสียงกลั้วหัวเราะของพวกปีศาจร้าย 
     "ผมจะฆ่าพวกคุณเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ผมจะไม่ทำอย่างงั้น.."
    รินกล่าวเว้นประโยคให้ดูน่าสนใจขึ้น ก่อนจะเอ่ยถึงสาเหตุที่ตนไม่ยอมฆ่าคิงกับมัสแตง
     "เพราะถ้าคุณตายไป ผมคงจะไม่มีเพื่อนเล่นแน่ๆ"
     สิ้นประโยคนั้น รินก็ควงทอนฟาอย่างเชี่ยวชาญ ก่อนจะเอามาเหน็บไว้ที่ด้านหลังเอว พลางล้วงซองจดหมายสีขาวออกจากอกเสื้อ แล้วส่งยื่นไปให้คิงรับเอาไว้ ซึ่งฝ่ายดอว์การ์ดก็ต้องเก็บความแค้นเอาไว้ในใจอย่างช่วยไม่ได้ เพราะหากสู้กันจริงๆ พวกเขาก็ถูกรินฆ่าตายกันไปนานแล้ว
     "แก..."
     คิงอยากจะสบถด่าแรงๆ แต่เขาก็ต้องล้มเลิกความคิดอันนั้น ก่อนจะเก็บดาบแล้วหันกลับมากระชากซองจดหมายไปถือ ภาคีหนุ่มหัวเราะชอบใจกับการแสดงออกของคิง
     "อย่าเพิ่งเผลอทำอะไรพลาดอีกล่ะ"
    ว่าแล้วตนจึงค่อยใช้มือขวาทำสัญลักษณ์เป็นรูปไม้กางเขน ร่างของรินมีละอองแสงสีทองห่อหุ้ม และเมื่อแสงนั้นสว่างวาบ ภาคีหนุ่มก็ได้อันตธารหายไปจากพื้นที่ในระแวกนั้น โดยทิ้งเอาไว้แต่ร่องรอยความเสียหาย ที่คิงได้ก่อเอาไว้
     มัสแตงถอนหายใจโล่งอกพร้อมเก็บดาบเข้าฝัก ชายหนุ่มผมทองมองดูคิงเดินจากไปด้วยอาการกระฟัดกระเฟียด ตอนนี้มัสแตงเริ่มสงสัยแล้วว่า ชายปริศนาอาจมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับพวกภาคี หรืออาจมีองค์สันตะปาปาคอยหนุนหลังอยู่
     นับวันมานี้ แม้แต่พวกเดียวกันก็เริ่มไว้ใจไม่ได้เสียแล้วสิ
 
 
     อาคัลรู้สึกเหนื่อยๆกับการเดินป่ามากขึ้นทุกที ปกติแล้วเขาจะใช้เวทมนตร์ทำแทนแทบจะทุกอย่าง แต่พอได้มาลองใช้พลังกายของตนเอง จึงได้รู้ว่าเขายังอ่อนหัดยิ่งนัก และถึงแม้ว่าตอนนี้จะไม่รู้วันเวลาที่แน่นอน แต่อาคัลก็พอมั่นใจว่าเขาอาจเดินทางมาได้สักห้าชั่วโมงกว่าๆ
     เริ่มหิวแล้วด้วย
     เด็กหนุ่มผมยาวสลวยสีท้องกุมท้อง ก่อนพยายามชวนซีน่อนคุยเพื่อลืมความหิว อีกฝ่ายขยับคอเบาๆ แทนคำตอบว่าอยากพูดอะไรก็พูด
     "ทำไมท่านถึงกลายมาเป็นผู้ร่วงหล่นไปได้"
     "...อยากรู้ไปทำไม"
     ชายปริศนายังเดินต่อ เขาใช้มือปัดกิ่งไม้ที่ขวางทางออกให้พ้น ซึ่งอาคัลก็ยกแขนบังกิ่งไม้ที่เกือบจะดีดมาฟาดหน้า ในตอนนั้นซีน่อนก็มาหยุดคุกเข่าตรงกองหินเล็กๆที่มุมทางเดิม เขาใช้นิ้วปัดฝุ่นตรงก้อนหินที่มีตราสัญลักษณ์รูปไม้กางเขน อยู่ภายใต้กรอบวงกลมสีทอง
     "ข้าเป็นภูตที่สามารถสัมผัสจิตใจของมนุษย์ได้ และความมืดในใจที่กำเนิดมาจากความสิ้นศรัทธาของท่าน ก็ช่างเบาบางยิ่งนัก" อาคัลตั้งคำถามในข้อนี้กับซีน่อน
     คนถูกถามหักกิ่งไม้แห้งๆมาวาดวงกลมรอบกองหิน ก่อนหยิบขวดแก้วเล็กๆที่บรรจุผงสีขาวออกจากด้านในเสื้อโค้ท เขาเปิดฝาขวดแล้วบรรจงเทผงสีขาดรดกองหิน
     "...ไม่ต้องรู้แหละดีแล้ว"
     ซีน่อนกล่าวจบ อากาศเบื้องหน้าก็บิดเบือนเป็นหลุมทางเข้า ชายปริศนาลุกขึ้นยืนพร้อมกับสืบเท้าเดินเข้าไป เด็กหนุ่มเห็นเช่นนั้นจึงต้องจำใจเดินตามหลังเขา โดยสองตลอดรอบฝั่งมีลักษณะเหมือนอุโมงค์สีขาว และพอเดินต่อไปเรื่อยๆจนสุดทาง อาคัลก็ถึงกับต้องอ้าปากค้างให้กับภาพที่เห็น
     ป่าไม้เขียวขจีกับกลิ่นแห่งดินอันคุ้นเคย ความรู้สึกเย็นสบายๆของแมกไม้ ช่างแตกต่างจากป่าสนไร้ใบเมื่อครู่อย่างลิบลับ อาคัลมองย้อนกลับไปยังอุโมงค์ เขาพบว่าอีกฝากหนึ่งยังเป็นป่าสนไร้ไม้อันตายซากเช่นเดิม แต่เพียงแค่ไม่กี่วินาที อุโมงค์ที่เกิดจากอากาศบิดเบือนก็ปิดตัวลง
     "ท่านทำได้ยังไงกัน?"
     เด็กหนุ่มมีเครื่องหมายคำถามปรากฏบนใบหน้า ซีน่อนเป็นอมนุษย์ที่ถูกสาป เขาไม่ควรจะใช้เวทมนตร์ใดๆได้ด้วยซ้ำ แต่วิธีการเปิดอุโมงค์เมื่อสักครู่ มันเป็นหนึ่งในเวทเปิดมิติของธาตุแสงแน่ๆ
     "แค่วิธีฝ่าเขตอาคมแบบง่ายๆของศาสนจักรแสง..."
     "ศาสนจักรแสง?"
     อาคัลรู้ดีเลยว่าศาสนจักรแสงมันคืออะไร และมันช่างไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย ที่ผู้ร่วงหล่นจะมีวิธีฝ่าเขตอาคมของศาสนจักรแสง ถ้าหากไม่ขโมยมา ก็ต้องมีใครสักคนเอามาให้ 
     "ท่านเกี่ยวข้องยังไงกับศาสนจักรแสงกันแน่"
     "ไม่ใข่หน้าที่ๆฉันจะมาเล่าให้แกฟัง"
     ความเงียบเริ่มทำงานอีกครั้งหนึ่ง โดยหนนี้มันได้ทวีความสงสัยในตัวซีน่อนเข้าไปด้วย ผู้ร่วงคนนี้เป็นใครกันแน่ เขาอยากรู้เหลือเกินว่าตำนานกว่าห้าร้อยปีของเขา มันได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกศาสนจักรแสงด้วยหรือไม่ แต่ในขณะที่ความสงสัยก่อตัวมากขึ้น ภาพความทรงจำในหัวเด็กหนุ่มก็แวบขึ้นตามกันมา
 
     'อาคัล'
     'ครับ ท่านพ่อ'
     เด็กชายผมทองตอบรับ ก่อนแหงนหน้ามองผู้เป็นพ่อ ซึ่งเขาเองก็มีผมสีทองเช่นเดียวกับอาคัล
     'จงจำเอาไว้ ว่าเราคือภูตผู้รับใช้พระเจ้า แต่หากวันใดมีใครสักคน ที่ได้สร้างบุญคุณเอาไว้แก่เจ้าละก็...'
     ผู้เป็นพ่อพูดเว้นประโยค ก่อนสบตาสีทองของอาคัล แววตาเขาจริงจังกับเรื่องที่กำลังจะพูดอย่างมาก
     'เจ้าจงขอติดตามรับใช้เขาซะ โดยอย่ามีข้อกังขาใดๆ อย่าสงสัยในตัวเขา อย่าอยากรู้ทุกสิ่งที่เขามีหรือเป็น แต่เจ้าจงรับใช้เขาให้ถึงที่สุด'
     เด็กชายมองบิดาตน ด้วยดวงตาเปล่งกระกาย
     'นั่นแหละ...คือสิ่งที่ภูตตระกูลบัคคลีโอ้อย่างเราควรกระทำ'
 
     เด็กหนุ่มยังจำคำสอนของผู้เป็นพ่อได้ขึ้นใจ เขามีความคิดว่าตนควรจะเชื่อใจซีน่อนมากกว่านี้ ไม่ว่าผู้ร่วงหล่นจะเป็นอมนุษย์นอกรีตเช่นไร แต่การสูญสิ้นศรัทธาก็ต้องมีสาเหตุมากพอสมควร  
     แต่เนื่องจากอาคัลอยู่ในห้วงความคิดมากเกินไป เขาจึงเผลอเดินชนชายปริศนาที่หยุดเดินมาตั้งนาน ฝ่ายที่ถูกชนลากสายตามาหาอาคัลแบบเอาเรื่อง ก่อนกระชากคออีกฝ่ายมาจดจ้องอย่างกินเลือดกินเนื้อ
     "แกมีลูกตาเอาไว้ปลูกถั่วรึไง"
     "ก็ท่านหยุดเกินกระทันหัน ข้าเลยไม่ทันรู้"
     "คิดว่าฉันต้องขออนุญาตแกก่อนเรอะ" 
     ซีน่อนถามเสียงเย็น ดวงตาสีแดงเข้มข้นดูน่ากลัวยิ่งกว่าปีศาจ
     "ข้า..ไม่กล้าคิดถึงเพียงนั้นหรอก"
     ทางผู้ถูกคาดโทษเบือนหน้าไปทางอื่น เพื่อจะได้ไม่ต้องมาสบตาสีเลือดของชายหนุ่ม ก่อนตัวเองจะกล่าวขออภัย ซึ่งซีน่อนก็ปล่อยมือจากการขยุ้มคอเสื้ออาคัล แล้วค่อยถอนหายใจอย่างเอื่อมระอา
     ถ้าเดินทางร่วมกับจิล เขาจะหยุดชะงักตอนไหนก็ได้ตามใจชอบ เพราะหากหญิงสาวรู้ตัวช้าไป อย่างมากก็แค่พุ่งทะลุร่างเขาเท่านั้นเอง แต่พอเปลี่ยนมาเป็นไอ้เด็กเปรตนี่ มันกลับเล่นชนเขาซะเกือบจะหัวทิ่ม
     ซีน่อนกวักมือเรียกให้อาคัลเข้ามาใกล้ๆ เด็กหนุ่มขยับตามมาอย่างรวดเร็ว ทั้งสองยืนทอดสายตาไปเบื้องหน้า ก่อนดวงตาสีทองของอาคัล จะสะท้อนภาพพระจันทร์สีขาวนวลบนผืนฟ้า และหมู่ดวงดารานับหมื่นล้านบนท้องนภา พอลากสายตาลงมาก็ยิ่งเกิดความขับข้องใจขึ้นไปอีก
     "เป็นไปได้หรือนี่?"
     ชายปริศนาเท้าแขนกับต้นไม้ใกล้ๆ พลางหรี่ตามองตรงไปอย่างไม่วางใจ
     ด้านล่างจากเนินดินที่เขายืนอยู่เป็นหมู่บ้านขนาดเล็ก ที่มีบ้านทำจากไม้แบบง่ายๆ คบเพลิงให้แสงสว่างตั้งอยู่ตามจุดต่างๆรอบอาณาบริเวณ เหล่าชาวบ้านกำลังดำเนินกิจวัตรเฉกเช่นคนนอกเมืองลอสท์ เด็กๆหลายคนวิ่งไล่จับกันอย่างสนุกสนาน เสียงคุยจอแจของชาวบ้านบางกลุ่มที่พูดถึงเรื่องอาหารที่หามาได้ ทำให้หมู่บ้านแห่งนี้ดูมีชีวิตชีวามากๆ
     ทันใดนั้นเอง...
     เสียงกิ่งไม้ถูกเหยียบหักก็ดังจากด้านหลัง อาคัลสะบัดมองหาต้นเสียง เช่นเดียวกับซีน่อนที่ใช้มือซ้ายชักมีดคูครีออกมาแล้วครึ่งหนึ่ง
     อาคันตุกะคนนั้นเป็นชายแก่ใส่หมวกฟาง เขาสวมชุดสีเทาที่ทักทอขึ้นมาแบบหยาบๆ มือสองข้างสวมถุงมือหนาๆ สีหน้าบ่งบอกถึงความตื่นตระหนกตกใจ ที่ได้เห็นผู้มาเยือนทั้งสองคน
     "พวกเจ้า...เพิ่งมาใหม่ใช่มั้ย?!"
     ชายแก่ยิงคำถามมา อาคัลซึ่งยังปรับความเข้าใจไม่ทัน ก็ได้แต่เบนสายตาไปทางชายปริศนา พอซีน่อนเห็นอาการเช่นนั้นจึงดันมีดคูครีกลับเข้าตำแหน่งเดิม จากนั้นจึงใช้หางตามองชายแก่อย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะให้คำตอบกลับไป
     "อือ..."
 
 
     ในเวลาเดียวกันที่ป่าสนไร้ใบ ชายแปลกหน้าผู้สวมชุดสีขาวตัวใหญ่หลวมๆ ก็เดินมาหยุดอยู่หน้ากองหินที่ถูกผงสีขาวเทรดจนขาวกระจ่าง เขาหันซ้ายแลขวาไม่พบเจอรอยเท้าที่จะเดินไปต่อ เหมือนกับว่ารอยเท้าที่สะกดตามรอยมาเมื่อครู่มันหายไปอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้
     เข้าไปในเขตอาคมนี้งั้นเหรอ?
     ชายแปลกหน้าแตะปลายคางอย่างต้องการวิเคราะห์ นัยน์ตาสีเงินเปล่งแสงท่ามกลางความมืดมิด
     ถึงชายปริศนาจะเดินผิดเส้นทางที่เขาวางหมากเอาไว้ไปหน่อย แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไรนัก เพราะยังไงเสีย ชายปริศนาก็ต้องดำเนินเรื่องราวนี้ต่อไปจนจบอยู่ดี...ทว่านั้นอาจทำให้เกิดความล่าช้าต่อแผนการของเขาไปบ้างเล็กน้อย
     ชายปริศนาชักดาบสีเงินออกมาชี้กองหิน ริมฝีปากเรียวบางร่ายคาถาอย่างรวดเร็ว สีหน้าเขายังเย็นชาไม่แสดงความรู้สึกใดๆออกมา 
     "ข้าขอวิงวอนต่อท่านมหาเทพทั้งสี่ทิศผู้สูงส่ง ท่านมหาเทพผู้ประทานสันติและสมดุลย์สู่โลกา ด้วยความเอื้ออาทรอันเปี่ยมล้นด้วยเมตตานั้น ทำให้ข้าเคารพบูชาในตัวพวกท่าน"
     สายลมจากทั่วทุกสารทิศพัดผ่านเข้ามา เสียงโอดครวญโหยหวนของต้นไม้ตายซากดังระงม เส้นผมสีเงินของชายแปลกหน้าพริ้วไหวตามแรงลม พลังเวทจำนวนหนึ่งกำลังไหลเวียนจากกายเขา เข้าไปผนึกอยู่ที่ปลายดาบอย่างช้าๆ
 
     "มหาเทพแห่งบรูพาผู้ประทานความสุข สายลมที่ขับขานบทเพลงแห่งอิสระภาพอันยิ่งใหญ่ ความเสรีที่ท่านมอบให้ช่างงดงามดุจแสงแรกสุริยา
 
      มหาเทพแห่งประจิมผู้ประทานความสุข วารีแห่งสัจธรรมอันสูงส่ง ทุกสรรพสิ่งล้วนแล้วแต่เป็นไปด้วยกฎอันเที่ยงธรรมของท่าน
 
      มหาเทพแห่งทักษิณผู้ประทานความสุข อัคนีที่ส่องสว่างในจิตใจอันประเสริฐ ความกล้าและความมุ่งมั่น คือพรอันยิ่งใหญ่ที่ท่านมอบให้
 
     มหาเทพแห่งอุดรผู้ประทานความสุข พื้นปฐพีที่โอบอุ้บทุกชีวิตด้วยความรัก นั่นคือความเมตตาทั้งหมดที่ท่านมอบให้"
 
     ดวงไฟสีเขียว สีฟ้า สีแดง และสีน้ำตาล ส่องสว่างอยู่รอบตัวชายแปลกหน้า ก่อนมันจะหมุนวนมาผนึกพลังที่ปลายดาบจนก่อให้เกิดสีสันทั้งเจ็ดอย่างงดงาม ชายแปลกหน้าตวัดดาบขึ้นฟ้า แล้วท่องมนตร์บทสุดท้าย
     "เพื่อความเป็นไปและสมดุลย์แห่งโลกา ขอมหาจตุรเทพทั้งสี่ทิศ โปรดช่วยมอบพลังขจัดเพศภัยให้แก่ข้าด้วยเถิด"
     สิ้นสุรเสียงอันเย็นเยียบนั้น 
     ชายแปลกหน้าก็ตวัดดาบฝันลงมา ส่งผลให้อากาศเบื้องหน้าเกิดรอยร้าว ก่อนจะปริแตกออกมาส่วนหนึ่ง ภาพด้านในนั้นคือป่าไม้เขียวขจี เขาตวัดดาบที่ค่อยๆคลายสีสันทั้งเจ็ดแล้วเก็บลง จากนั้นจึงเดินหันหลังให้กับรอยแตกของอากาศ โดยที่กองหินปริศนานั้นก็ได้เกิดรอยร้าวอย่างไม่มีทางกลับคืนสู่สภาพเดิมได้
 
     เราจะได้เจอกันอีก...
 
     ร่างชายแปลกหน้าแตกสลายเป็นฝูงผีเสื้อสีดำสลับเงิน ก่อนฝูงผีเสื้อจะโบยบินหายลับไปกับขอบฟ้ายามราตรี พระจันทร์สีแดงฉานในขณะนี้กำลังเปล่งแสงสีแดงเข้ม จนแทบจะย้อมสีของท้องฟ้าและก้อนเมฆ ให้แดงก่ำดุจโลหิต กำหนดการณ์ที่อาจล่าช้าไปบ้างนั้นไม่ใช่ปัญหา...เพราะปัญหาของมันก็คือขั้นตอนสุดท้าย ที่มีแต่ชายปริศนาเท่านั้นที่จะทำได้

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา