XENON LIFER อมนุษย์พันธุ์ทมิฬ

8.3

เขียนโดย TwentySIX

วันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 10.59 น.

  13 chapter
  1 วิจารณ์
  15.26K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 มกราคม พ.ศ. 2560 11.03 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) Raid

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

    

 "ดาวสีแดงอันสุกสว่างนั่นคือเจ้า"

 

"พวกเขาตายกันหมดแล้ว!"

 

"ทุกชีวิตต้องช่วย แต่มันไม่มีความเท่าเทียม!!"

 

"มนุษย์อย่างแกจะมีปัญญาอะไร!!!"

 

"ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังวุ่นวายไปหมด!"

 

"ชื่อของฉันคือ..."

 

..................................................................

 

 

     บริเวณลานโล่งกว้างซึ่งเป็นพื้นทราย ปรากฏกรงขังที่กำลังถูกหย่อนลงมา เสียงกระทบระหว่างสายโซ่ขึ้นสนิมกับลูกรอกดังเป็นจังหวะ ก่อนกรงขังจะถูกปล่อยให้ร่วงตกลงมา 

     ใครบางคนภายในนั้นสอดส่องสายตาโดยรอบอย่างฉงนสนเท่ห์ คบเพลิงซึ่งติดตามบริเวณกำแพงสูงที่ตั้งล้อมรอบลานทราย ต่างก็มีประกายไฟลุกขึ้นพร้อมกัน ชายปริศนามองตรงไปยังสุดขอบสนาม ชายหนุ่มโฟกัสสายตาไปยังกำแพงสูงกว่าห้าเมตร เยื่องขึ้นไปด้านบนอีกเป็นอัฒจันทร์ ที่มีเงาตะคุ่มๆนั่งเรียงรายกันเป็นแถว

     "สวัสดีท่านสุภาพบุรุษ และสุภาพสตรีจากโลกมืดทุกท่าน"

     เสียงแหบพล่านดังจากทุกทิศ ชายปริศนายันตัวลุกขึ้นยืน เขากวาดสายตาไปรอบๆอย่างต้องการจับสังเกตอะไรสักอย่าง

     "ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่เกมละเลงเลือดของเรา...คานิวัล!!"

     ซี่กรงขังหลุดกระเด็น ชายปริศนายกแขนทั้งสองขึ้นมาสำรวจ ก็พบว่ามือของตนเองถูกปลดจากพันธนาการเป็นที่เรียบร้อย เขาจึงค่อยๆค้อมตัวเดินออกจากกรงเหล็ก ดวงเนตสีแดงจับจ้องกรงขังซึ่งกำลังลอยขึ้นไปด้านบน

     "กติกาก็เช่นเดิม ให้มนุษย์ต่อสู้กับผู้พิทักษ์ไปเรื่อยๆจนกว่าจะตาย"

     ผู้ชมนับพันกระทืบเท้า ปากก็กู่ร้องสาปส่งให้ชายปริศนาไปสู่ความตาย แรงกดดันในตอนนี้ถือว่ามากมหาศาลนัก หากเป็นคนธรรมดาเกรงว่าพวกเขาคงจะยืนตัวสั่นทำอะไรไม่ถูก ดวงตาหลากสีสันกำลังจดจ้องชายปริศนา แบบทุกฝีเท้าที่ก้าวเดิน

     "ผู้พิทักษ์ตนที่หนึ่ง ไซครอป!"

     ชายปริศนาหันมองข้ามไหล่ เขาสังเกตเห็นประตูเหล็กที่สุดขอบสนามทรายกำลังเปิดออก ร่างสูงใหญ่ของอสูรกายตาเดียวจึงเดินออกมา มือของมันถือค้อนสงครามอันหนักอึ้ง ชายหนุ่มสะบัดชายเสื้อโค้ทหันไปประจันหน้ากับมัน

     เขากำหมัดตั้งท่าต่อสู้ ส่วนไซครอปก็สืบเท้าเดินเข้าหาอย่างไม่หวั่นเกรง ณ ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องมีคำพูด หรือคำอธิบายใดๆทั้งสิ้น เพราะความหมายของทุกสิ่ง ได้แสดงอยู่ภายในแววตาของพวกเขาแล้ว

     "เข้ามา"

     ชายปริศนากวักนิ้วท้าทาย 

     ไซครอปกู่ก้องคำรามจนเห็นฟันเขี้ยวแหลมๆ ก่อนมันจะควบฝีเท้ามาอย่างคลุ้มคลั่ง ค้อนสงครามเงื่อง้างฟาดในแนวนอน แต่ชายปริศนาหมุนตัวถีบกลับหลังใส่ค้อนศึกด้วยความเร็วไม่แพ้กัน ซึ่งแรงถีบนั้นมากพอที่จะสะท้อนอาวุธของอีกฝ่ายกลับไป ทว่าอสูรสงครามยังไม่หยุดการโจมตี ค้อนเหล็กกล้าจึงเหวี่ยงมาอีกครั้งเป็นคำรบสอง

     ชายปริศนาชักมีดคูครีออกมาหนึ่งเล่มแล้วฟันสวนกลับไป เสียงปะทะระหว่างสุดยอดศาสตราดังลั่น ประกายไฟจากสองอาวุธแทบจะเปลี่ยนความมืดของสนามประลองให้เป็นแสงสว่าง ก่อนฝ่ายชายหนุ่มจะกระแทกค้อนสงครามกลับไปได้อย่างง่ายดาย แต่นั่นก็ส่งผลให้แขนของเขาห้อยไปมาอยู่ข้างลำตัว 

 

     ไหล่หลุดเหรอ...

     จังหวะที่เขามัวแต่สนใจไหล่ตัวเอง ไซครอปก็ฟาดค้อนใส่อีกเป็นครั้งที่สาม ส่งร่างชายปริศนาปลิวกระเด็นราวกับว่าวที่สายป่านขาด ชายหนุ่มกลิ้งไปมากับพื้นเป็นสิบตลบ เลือดสีดำอาบพื้นทรายจนชุ่มโชก

     ชายหนุ่มยืนขึ้นมาใหม่ แขนหงิกๆงอๆอันเกิดจากกระดูกหักทับซ้อน กำลังบิดกลับคืนสภาพดังเดิม เจ้าไซครอปเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่ตาย จึงพุ่งปรี่เข้ามาอย่างบ้าคลั่ง

     บุรุษชุดกายดำดึงมีดคูครีอีกเล่มออกมา แล้วประกอบด้ามติดกันกลายเป็นดาบสองด้านที่มีใบมีดติดตรงหัวกับท้าย เขาควงอาวุธคู่กายอย่างชำนาญ แววตาสีแดงคู่นั้นไร้ซึ่งความหวั่นเกรงใดๆทั้งสิ้น

     ไซครอปเป็นอสูรสงครามของกองทัพปีศาจ พวกมันมีพละกำลังที่โดดเด่นมาก อาวุธร้ายของมันคือค้อนสงครามหนักเกือบหนึ่งตัน ดังนั้นการปะทะกับไซครอปจึงเป็นอะไรที่สิ้นคิดมากๆ

     แต่สำหรับชายปริศนา การวิ่งเข้าไปลุยแบบดับเครื่องชน ถือว่าเป็นกลยุทธเดียวที่เขามีในตอนนีั

      ชายปริศนากระโจนตัว และเรียกใช้งานตะขอเหล็กในสนับแขนกล ชายหนุ่มกระแทกฝ่ามือส่งตะขอเหล็กพุ่งไปคล้องแขนไซครอป ก่อนจะกระตุกดึงร่างตัวเองเข้าหาเป้าหมาย ดาบสองด้านฟาดฟันใส่อย่างบ้าเลือด คมมีดฉีกเนื้อหนังยักษ์ตาเดียวให้เป็นแผลฉกรรจ์ ชายปริศนาเคลื่อนไหวรอบๆตัวไซครอป แล้ววาดดาบเข้าใส่จากทุกทิศทาง พายุดาบอันน่าสะพรึงกลัวกำลังหมุนวนรอบตัวมันอย่างไม่หยุดยั้ง

     "ฮึ่ม!!"

     ไซครอปคว้าจับสายสลิงเหนียวๆเอาไว้ ก่อนง้างแขนและเหวี่ยงร่างชายหนุ่มอัดลงพื้นดินอย่างแรง ในช่วงจังหวะกระแทกนั้น มันก็ทำให้กระดูกสันหลังของเขาหักสะบั้น ซึ่งเจ้าไซครอปก็ไม่คิดจะรีรอเมื่อได้เห็นโอกาส มันจับด้ามค้อนสงครามให้มั่น ก่อนจะกระทุ้งซ้ำอีกครั้งอย่างไม่ปราณี เสียงเนื้อโดนบดขยี้ได้ยินกันลั่นสนาม ยักษ์ตาเดียวสบถในใจก่อนยกค้อนเปื้อนคราบเลือดสีดำออก ทั้งเนื้อตัวมันมีแต่รอยแผลเหวอะหวะจากมีดคูครี

 

     แกร็ก...

 

     ดวงตากลมโตเพียงข้างเดียวเบิกกว้าง ไซครอปจับจ้องแขนบิดเบี้ยวข้างหนึ่ง ซึ่งยื่นออกมาจากปากหลุมกว่าสามฟุต นิ้วชี้งิกๆงอๆสอดเข้าไกปืน ก่อนจะทำการลั่นกระสุนออกมา

 

     เปรี้ยง!!!

 

     ลำแสงสีฟ้าพุ่งจากปากกระบอกปืนทะลุลำตัวไซครอป มันมองช่องท้องที่มีรูโบ๋ ไอความร้อนพวยพุ่งออกจากปากแผลสด ทว่าเลือดกลับไม่ไหลทะลักออกมา ปากมันอ้าค้างอย่างไม่อาจจะส่งเสียงกรีดร้อง ดวงตากลอกไปมาก่อนจะเหลือกขึ้นจนเห็นเนื้อตาสีขาว จากนั้นร่างใหญ่หนาๆจึงจะหงายหลังล้มลงหมดลมหายใจ

     พอชายหนุ่มรู้ว่าศัตรูเบื้องหน้าสิ้นใจไปแล้ว เขาจึงคืบคลานขึ้นจากหลุมลึก เพียงแค่ไม่กี่นาทีร่างกายเขาก็ฟื้นสภาพจนสมบูรณ์พร้อม ยกเว้นเพียงแต่สนับแขนกลที่ไม่สามารถใช้งานระบบตะขอเหล็กได้ ชายหนุ่มหักลำกล้องปืนเพื่อดีดปลอกกระสุนออก ควันร้อนๆหลุดร่วงตามปลอกกระสุนเปล่า เสียงโห่ร้องจากคนดูข้างสนามในตอนนี้ กลับเงียบงันจนเหมือนจะร้างผู้คน

     "วันดีที่จะตาย"

 

 

     จิลได้ถอดจิตกลับมาในเมืองลอสท์อีกครั้ง ร่างโปร่งใสของเธอลอยไปทั่วทั้งซากปรักหักพัง เสาไม้ค้ำหลายท่อนกระจุยกระจาย ศพของไลแคนท์หลายตัวนอนกลาดเกลื่อนพื้นดิน หญิงสาวเบนสายตาไปให้ความสนใจกับกองดินสูงเท่าภูเขา ดูแล้วคล้ายกับมันเคยเป็นอะไรสักอย่าง ที่ถูกทำให้พังทลายลงมา

     "ว่าแต่...นายโหดไปอยู่ที่ไหนกันนะ"

     จิลบ่นพึมพำ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นเพียงแต่ความมืด เธอไม่น่าคลาดสายตาจากนายคนนั้นเลยจริงๆ แถมวิธีใช้สร้อยคอถอดจิตก็ดันไม่มีคนสอนเสียด้วย ความจริงถ้านายโหดบอกให้เธอเตรียมตัวเตรียมใจ รับแรงกดดันตอนที่จะเข้ามาในเมืองลอสท์เสียก่อน เรื่องมันก็คงจะไม่ยุ่งยากอย่างงี้หรอก

     ใช่ๆ

     เป็นความผิดของนายคนนั้นคนเดียว

     นายคนที่ชอบตาบอดตอนเช้าๆน่ะ

     'ไม่ได้บอด'

     จิลสะดุ้งโหยง นายคนนั้นอยู่แถวๆนี้เหรอ? 

     ไม่สิๆนี่น่าจะเป็นการส่งกระแสจิตมากกว่า เนื่องจากเสียงของชายปริศนาดังก้องอยู่ในหัวของเธอ แถมจิลยังได้ยินเสียงเนื้อถูกบดขยี้ด้วย

     "นี่นายโหด ตอนนี้นายอยู่ที่ไหนกันน่ะ"

     'ไม่รู้...พอดีฉันโดนพวกปีศาจดึงเข้าไปที่มิติอื่น'

     ชายปริศนาตอบกลับ

     "แล้วนายจะออกมาได้มั้ยล่ะ?"

     '...คิดว่าน่าจะไม่'

     น้ำเสียงของนายดูเหมือนจะไม่เป็นกังวลเลยนะ หญิงสาวพยายามคาดเดาตำแหน่งที่ชายปริศนาอาจอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะนรก ใต้ดิน ใต้น้ำ บนฟ้า บนทราย รังกบ รังนก รังหนู รัง...

     'เลิกคิดอะไรไร้สาระสักที ฉันรำคาญ!'

     เนื่องจากสร้อยคอถอดจิต สามารถแปลงความนึกคิดของจิลเป็นข้อความส่งตรงไปหาชายปริศนาได้ ดังนั้นความคิดเพ้อเจ้อไร้สาระและไม่มีแก่นสารของหล่อน จึงพุ่งเข้าใส่หัวเขาแบบเต็มๆ

     "ก็ได้ๆ...ฟังจากที่พูดแล้ว ดูเหมือนนายกำลังพยายามร้องขอความช่วยเหลือจากฉันสินะ?"

     จิลแกล้งดัดเสียงเล็กน้อยอย่างต้องการเหย่าเหย่อีกฝ่าย

     'ถ้ามีเข็มกับด้าย ฉันจะจัดการเย็บปิดปากเธอซะ...โผละ!!!!'

     เมื่อตะกี้เสียงอะไรน่ะ?

     จิลพยายามจะไม่ใส่ใจนัก เธอเดินวนไปวนมารอบเศษซากปรักหักพัง ในระหว่างที่กำลังว่างๆ หญิงสาวก็ฝึกวิธีบินไปพลางๆ และตอนนี้เธอบินน่าจะได้สูงพอสมควร

     แต่จู่ๆ ชายปริศนาก็พูดขึ้นด้วยเสียงราบเรียบ มันอาจเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เขาออกไปจากสนามประลองบ้าๆนี่ได้

     'มีของอย่างหนึ่ง ที่จะทำให้ฉันออกไปได้...แต่ฉันจำเป็นต้องให้เธอช่วยตามหามัน ส่วนวิธีการอื่นๆฉันจะบอกทีหลัง'

     จิลตั้งใจฟัง หนนี้เธอไม่พูดอะไรล้อเลียนชายปริศนาอีก เพราะเธอรู้ดีว่าเขาในตอนนี้ค่อนข้างจะเอาจริงเอาจังมากๆ

     "มันคืออะไรเหรอ?"

     ชายปริศนาซึ่งติดพันการต่อสู้อยู่ ยังคงโหมกระหน่ำดาบสองด้านอย่างไม่มีท่าว่าจะหยุด ก่อนเขาจะตีลังกาขึ้นอยู่บนหัวออร์คตัวหนึ่ง ชายหนุ่มเงื้อดาบแล้วแทงทะลุหัวกะโหลกมัน เรียกเลือดสีแดงให้ไหลพุ่งอาบร่างเขาจนชุ่มโชก จากนั้นชายปริศนาจึงดีดตัวกลับลงมานั่งชันเข่าบนพื้น และค่อยบอกถึงชื่อของสิ่งที่เขาต้องการ

     "กล่องมารกลั่นวิญญาณ..."

 

 

 

..................................................................

 

ข้าคือดาบ...

อาวุธที่จะฟาดฟันทุกสรรพสิ่ง

 

ข้าคือเหล็ก...

ปราการที่จะปกป้องทุกสรรพอย่าง

 

ข้าคือศูนย์...

อำนาจสุดท้ายที่จะดำเนินเรื่องต่อไปให้ถึงจุดจบ

 

..................................................................

 

 

      ลานประลองในขณะนี้ เต็มไปด้วยซากศพของเหล่าอสูรหลายเผ่าพันธุ์ เลือดหลากสีสันถูกละเลงบนพื้นทราย อวัยวะหลายส่วนกระจัดกระจายอย่างน่าหวาดเสียว เหล่าผู้ชมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ หลังจากได้สัมผัสกับกลิ่นแห่งความตายที่แผ่ซ่านมาจากตัวชายปริศนา 

     "นี่มันอะไรกัน!! ไอ้มนุษย์คนนั้นมันฆ่าผู้พิทักษ์ไปเกือบยี่สิบตัวแล้วนะ!!"

     "แข็งแกร่งเกินกว่าจะเป็นมนุษย์แล้ว!!"

     "มัจจุราชชัดๆ!!!"

     ผู้ชมเริ่มส่งเสียงฮือฮากันยกใหญ่ ปกติมันน่าจะตายตั้งแต่รอบที่สามแล้วด้วยซ้ำ แต่ทำไมไอ้นักล่าคนนั้นมันถึงไม่ยอมตายล่ะ!

     ปีศาจจิ้งจอกที่ปกครองเรือนจำมรณะ อันเป็นสถานที่จัดคานิวัลเริ่มรู้สึกใจไม่ค่อยดี เขายืนมองการต่อสู้จากระเบียงตึกชั้นที่สามลงมา ความหวาดวิตกว่าอาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ทำให้เขาต้องหาทางสังหารชายปริศนาให้ได้โดยเร็ว

     แต่...จะมีปีศาจตนใดแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้อีกล่ะ

     มิหนำซ้ำ การยุติคานิวัลจะทำได้ก็ต่อเมื่อเจ้ามนุษย์นั่นได้ตายไปแล้ว 

 

     ทำไมมันถึงไม่ยอมตายวะ!!

 

     บัดซบเอ๊ย!!!

 

     รีบๆไปตายโหงตายห่าสักทีสิโว้ย!!!

 

     ระหว่างที่กำลังหวังพึ่งการสาปแช่ง ปีศาจที่มีใบหน้าเป็นอีกาก็เดินค่อมตัวเข้ามา ใช่แล้ว เขาได้ให้ปีศาจหาข่าวตนนี้ช่วยไปสืบค้นประวัติของชายปริศนา มันต้องได้อะไรสักอย่างกลับมาบ้าง แถมข่าวสารในวงการนักล่าของพวกมนุษย์มันมักจะรั่วไหลง่ายอยู่แล้ว!

     "ว่าไง เจ้าได้ข้อมูลอะไรมาบ้าง"

     ปีศาจจิ้งจอกถามอย่างคาดหวัง เพราะปีศาจหาข่าวตนนี้ไม่เคยทำให้เขาผิดหวังมาก่อน และแน่นอนว่าครั้งด้วยเช่นกัน

     ปีศาจอีกาพยักหน้าหงึกๆ ก่อนเดินมานั่งคุกเข่าใกล้ๆกับเก้าอี้ของปีศาจจิ้งจอก

     "มันคนนี้มีประวัติฉาวโฉ่อยู่แล้ว ดังนั้นการสืบหาตัวตนจึงไม่ได้ยากอะไรนัก"

     "ไหนว่ามาสิ ข้าอยากรู้ใจจะขาดแล้วว่ามันเป็นใครกันแน่!"

     ทางปีศาจอีกานิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนมันจะตัดสินใจให้ข้อมูลไปตามความเป็นจริง

     "...มันเป็นผู้ร่วงหล่น"

     ราวกับถูกสายฟ้าฟาด ปีศาจจิ้งจอกถึงกับอ้าปากค้างอย่างเหลือเชื่อ ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเจอผู้ร่วงหล่นมาก่อน แต่เพราะเคยเจอมาหลายต่อหลายครั้ง ถึงได้รู้ว่าพวกมันเป็นอมนุษย์ที่น่ากลัวแค่ไหน และยิ่งกับเมืองลอสท์ก็ไม่ต้องพูดอะไรมาก เพราะสถานที่แห่งนี้ ก็เปรียบเสมือนสวนหลังบ้านของพวกมันเลยทีเดียว

 

     ไอ้พวกแมลงสาป!!!

 

     "มันโผล่มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!"

     ปีศาจจิ้งจอกทุบหมัดเข้ากับที่เท้าแขน พลางหันหน้าสบตากับปีศาจอีกา

     "มันผู้นี้ปรากฏตัวครั้งแรกเมื่อห้าร้อยปีก่อน ช่วงเวลานั้นมันเอาแต่ไล่ล่าปีศาจ อสูร และมนุษย์ที่ชั่วช้าอย่างไม่เลือกหน้า ยุคสมัยนั้นเรียกได้ว่าเป็นยุคทมิฬของเหล่าผู้อยู่ในความมืดเลยทีเดียว"

     "เดี๋ยวก่อนนะ"

     ผู้ปกครองเรือนจำมรณะยกมือขอขัดจังหวะ เมื่อสักครู่หูเขาไม่ได้ฝาดไปใช่มั้ย

     "ห้าร้อยปีมันจะไม่บ้าไปหน่อยหรือ ถึงมันจะเป็นผู้ร่วงหล่น แต่มันก็ยังมีอายุขัยของมนุษย์มิใช่หรือ? อย่างมากมันก็น่าจะอยู่ได้ไม่เกินหนึ่งร้อยปี"

     ปีศาจอีกาส่ายหน้าช้าๆ คล้ายจะบอกว่า 'สิ่งที่ท่านคิดมันใช้กับผู้ร่วงหล่นรายนี้ไม่ได้'

     "มันเป็นความผิดพลาดทางเวทมนตร์ของท่านซาตาน ผู้ร่วงหล่นประเภทนี้ถึงได้มีอายุขัยไม่จำกัด บาดแผลสามารถฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว และไม่รู้จักความตาย"

     ปีศาจจิ้งจอกขยับคอเสื้อ เขากลืนน้ำลายเหนียวๆลงคออย่างยากลำบาก

     ผู้หาข่าวเริ่มอธิบายต่ออีกครั้ง

     "...โอกาสที่จะมีความผิดพลาดทางเวทมนตร์ถือว่าต่ำมากๆ ทั้งโลกปีศาจเพิ่งจะค้นพบผู้ร่วงหล่นผิดพลาด เพียงแค่สองตนเท่านั้น"

     คนฟังเกิดอาการเป็นใบ้พูดอะไรไม่ออก เหงื่อกาฬไหลชุ่มฝ่ามือ

     "ตนแรกก็คือ VOID ส่วนตนที่สองก็คือมันคนนี้แหละ"

 

     ยุคทมิฬ...

 

     ยุคทมิฬกำลังจะลงมาอีกครั้ง!!

 

     นรกของเหล่าปีศาจจะเริ่มที่เรือนจำแห่งนี้!!!

 

     ปีศาจจิ้งจอกรู้สึกทั้งโกรธทั้งกลัว แต่มันก็ยังพยายามทำเป็นใจดีสู้เสือ

    ในสมัยที่เขายังเด็กๆ เขาเคยได้ยินตำนานเกี่ยวกับมัจจุราชที่ไม่มีวันตาย แต่ตอนนั้นเขาคิดว่า มันอาจเป็นเพียงนิทานก่อนนอน ซึ่งหารู้ไม่ว่าตำนานปรัมปรานั้น กำลังร่ายเพลงดาบแห่งความตายอยู่เบื้องล่างเขา ทั้งเสียงฉีกกระชากเนื้อหนัง ทั้งกลิ่นคาวเลือดจากซากศพ และภาพอันน่าสยดยองทั้งหมดนั้น กำลังพยายามจะตอกย้ำกับมัน...ว่านี่เป็นเรื่องจริง

     "มันชื่ออะไร..." เขาถามเสียงสั่น ดวงเนตรยังจับจ้องชายปริศนาอย่างไม่วางตา 

     ปีศาจอีกาตอบกลับในทันที

     "มันไม่มีชื่อเรียกที่แน่นอน บางก็ศพคืนชีพ บางก็มัจจุราช มันถูกเรียกขานด้วยนามนับร้อย ถูกบรรยายด้วยคำอุปมานับพัน ซึ่งภายหลังเหล่าผู้มีชีวิตอยู่ในยุคทมิฬ ก็ได้ตั้งฉายาเอาไว้กล่าวขานมันอย่างพรั่นพรึงว่า..."

     ตัวผู้ให้สารเว้นช่วงประโยค ก่อนหันไปมองชายปริศนาที่กำลังสลัดคราบเลือดบนมีดคูครี ชายหนุ่มใช้นัยน์ตาสีแดงสุกสว่างมองกลับมา มีดคูครีของชายปริศนาสะท้อนประกายแสงสีขาว ซึ่งตัดกับสีดำทั้งหมดบนร่างเขา

     ปีศาจอีกาเม้นปากเล็กน้อย ก่อนจะต่อประโยคให้ครบถ้วนสมบูรณ์

     "...ความมืดสีขาว"

 

 

     ย้อนกลับมาทางจิล หญิงสาวลอยฉวัดเฉวียวตามเส้นทางที่ละอองสีดำฟุ้งกระจาย เธอจดจำคำพูดทั้งหมดของชายปริศนาได้แบบไม่ขาดตกบกพร่อง นี่อาจเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอกำลังพยายามทำตามคำขอร้องของคนแปลกหน้า ที่ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษแม้แต่น้อย

 

     'กล่องมารกลั่นวิญญาณ เป็นกระเป๋าทรงสี่เหลี่ยม ที่สามารถเปลี่ยนรูปร่างให้กลายเป็นอาวุธออกมาได้ และในหมู่อาวุธเป็นหมื่นๆกว่าชนิด ก็มีไม่น้อยที่ทำให้ฉันออกไปจากที่นี่...แต่ต้องระวังเรื่องการแตะต้องโดยตรง ไม่อย่างงั้นเธออาจถูกมันดูดกลืนวิญญาณเอาได้'

 

     จะว่าไปแล้วนายคนนั้นก็ให้คาถามาอยู่เหมือนกันนะ แต่ดันจำไม่ค่อยได้ซะแล้วสิ

     ไม่เป็นไรๆ พอเจอของเมื่อไหร่ค่อยคิดดูอีกทีก็แล้วกัน

     เมื่อสรุปได้เช่นนั้นหญิงสาวก็เดิน(ลอย)หากล่องมารต่อไป โดยเส้นทางนั้นตัดผ่านพื้นที่ป่าไม้ตายซาก กิ่งไม้แห้งหลายกิ่งชูยอดขึ้นฟ้าราวกับจะคว้าดวงจันทร์ลงมาให้ได้ หากได้มองผ่านสายตาจิลจะเห็นสภาพแวดล้อมเป็นเหมือนควันไฟ สายลมสีดำพัดผ่านอยู่ตลอดเวลา กับละอองสีดำคล้ายแมลงหวี่ที่เริ่มหนาแน่นขึ้นทุกขณะ

     การค้นหากินเวลากว่าครึ่งชั่วโมง

     ในที่สุดเธอก็เดินฝ่าหมอกละอองดำมาจนถึงป่าสนไร้ใบ เบื้องหน้าเธอมีดาบคาตานะโบราณๆปักพื้น ละอองสีดำทมิฬพวยพุ่งออกมาจากดาบเล่มนั้นอย่างไม่มีวันหยุด

     "เจอแล้ว" 

     จิลอุทานเสียงใสก่อนพุ่งปรี่เข้าไปหาดาบคาตานะเล่มนั้น ซึ่งทันทีที่ตัวดาบสามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นวิญาณอ่อนๆเดินใกล้เข้ามา มันจึงกลายสภาพกลับคืนเป็นกล่องมารดั่งเดิม เมื่อหญิงสาวเห็นว่าดาบเล่มนั้นมีการเปลี่ยนแปลง เธอจึงหยุดชะงักกลางทางก่อนลองสืบเท้าเข้าใกล้อย่างเชื่องช้า 

     "ถ้าจับดีๆ...คงจะไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง?"

     ทว่าก่อนเธอจะทันเข้าไปคว้ากล่องมาร จู่ๆใครก็ไม่รู้ได้ใช้ฝ่าเท้าเหยียบกดเเจ้ากล่องใบนั้นอาไว้ จิลแสดงสีหน้าท่าทางไม่ค่อยพอใจก่อนจะแหงนหน้าขึ้นมอง ปรากฏว่านั้นเป็นชายหนุ่มรูปหล่อสวมชุดสีขาวตัวใหญ่ บริเวณอกซ้ายปักสัญลักษณ์ดอกกุหลาบสีแดง ริมฝีปากเหยียดเป็นเส้นตรงไม่ยินดียินร้าย ผมเสยปัดไปด้านหลังสีเงิน เช่นเดียวกับดวงตาคล้ายเหยี่ยวสีเดียวกัน

     หากเปรียบชายปริศนาดั่งสีดำ

     ชายแปลกหน้าคนนี้ ก็คือสีขาว

     แต่ไม่ว่าจะสีใดก็ตาม ทั้งสองก็ยังคงมีส่วนที่ขัดแย้งกับสีประจำตัวอยู่ดี

     "กล่องมารกลั่นวิญญาณ จะดูดกลืนวิญญาณทุกดวงที่เข้าใกล้ โดยไม่มีการยกเว้นแม้แต่ร่างจิตของเธอ"

     ชายแปลกหน้ากล่าว ก่อนจะนั่งลงข้างๆกล่องมาร พลางป้องมือระหว่างริมฝีปากแล้วร่ายคาถาด้วยเสียงเบาบาง จากนั้นจึงเตะกล่องส่งไปด้านหน้า สีหน้าเขายังเย็นชาเช่นเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง

     "เวทนี้สะกดการดูดกลืนวิญญาณได้ประมาณสิบนาที ถ้าเกินเลยจากนั้น เธอต้องรีบทิ้งและห้ามแตะต้องมันเป็นอันขาด ถึงแม้นั่นจะเป็นธุระสำคัญก็ตาม"

     จิลมองกล่องมารทีสลับกับชายแปลกหน้าที

     "เอ่อ...ขอบใจนายมากๆนะ"

     หญิงสาวกล่าวขอบคุณ เธอคว้ากล่องขึ้นมากอดอย่างทะนุถนอม ราวกับกลัวว่าของๆชายปริศนาจะชำรุดเสียหาย ซึ่งอาคันตุกะมองอากัปกิริยานั้นอย่างสนอกสนใจ แววตาเขาจ้องมองหญิงสาวแบบหัวจรดปลายเท้าอย่างต้องการประเมิน

     "อ๋อ! ฉันชื่อจิลนะ แล้วนายล่ะชื่ออะไร"

     หญิงสาวขอถามชื่อเอาไว้เรียกชายแปลกหน้า เธออยากจดจำชื่อของผู้มีพระคุณทุกๆคน ทว่าเขากลับส่ายหัวปฏิเสธที่จะบอกชื่อ ซึ่งจิลก็ยังพยายามดื้อดึงที่จะรู้ชื่อเขาให้ได้

     "เอาน่าๆ บอกมาหน่อยเถอะ แค่บอกชื่อนายคงไม่ตายหรอก"

     "...เป็นผู้หญิงที่แปลกดีจริงๆ"

     เขาหันหลังเดินกลับไปยังความมืดก่อนหันมองข้ามหัวไหล่ นัยน์ตาเป็นประกายสีเงินสบเข้ากับดวงเนตรสีน้ำครามของจิล ชายแปลกหน้าเอื้อยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

     "เรียกฉันว่า ชายแปลกหน้าละกัน"

     หญิงสาวมองตาลอย ชายแปลกหน้าผู้นี้มีออร่าสีฟ้าสว่างสดใสแผ่กระจาย แต่ทว่าดาบที่เหน็บข้างเอวเขา กลับมีละอองสีดำเหมือนกับกล่องมาร

 

     เขาเป็นใครกันแน่?

 

     ทำไมเขาถึงรู้จักกล่องมารกลั่นวิญญาณ?

 

     แล้วทำไม...เขาถึงรู้ว่าเธอมีธุระสำคัญด้วยล่ะ?

 

 

     ช้างศึกตัวขนาดใหญ่คำรามลั่นก่อนล้มหน้าทิ่มพื้นดิน ศาสตราวุธนาๆชนิดตกเกลื่อนกลาด เลือดสีแดงข้นไหลทะลักจากซากศพลงมาฉโลมพื้นทรายจนเหนียวชุ่ม ชายปริศนาซึ่งม้วนตัวอยู่กลางอากาศ ได้กลับร่างลงมายืนบนพื้นอีกครั้งอย่างสวยงาม มีดคูครีถูกสลัดคราบเลือดทิ้งข้างๆลำตัว

     ปีศาจจิ้งจอกยังนั่งตัวสั่นงันงก ผู้พิทักษ์สี่สิบกว่าตัวถูกล้างบางอย่างไม่เหลือซาก ส่วนที่เหลือในกรุก็มีแต่พวกระดับล่างๆ ที่ส่งไปก็ไม่ต่างไปจากการป้อนเนื้อเข้าปากราชสีห์

     มีชีวิตอยู่มาเป็นร้อยๆปี เพิ่งจะรู้สึกกลัวจับขั้วหัวใจก็คราวนี้แหละ!

     ปีศาจอีกาเห็นผู้เป็นนายขวัญกระเจิง จึงได้หาแนะนำผู้พิทักษ์เก่งกาจที่นายเขาตกหล่นรายชื่อให้

     "ทำไมท่านไม่ส่งทายาทราชาไปล่ะ"

 

     ทายาทราชา!

 

     จริงสิ ทำไมเขาถึงมองข้ามมันไปได้นะ หากเป็นเจ้านี่อาจเอาชนะผู้ร่วงหล่นก็ได้ ปีศาจจิ้งจอกแสยะยิ้มเป็นครั้งแรก หลังจมอยู่กับความสิ้นหวังมาตั้งนาน เขาดีดนิ้วแทนสัญญาณว่าให้ไปนำตัวทายาทราชามาเดี๋ยวนี้

 

     คราวนี้แกเสร็จแน่!!!

 

     "ต่อไปเป็นผู้พิทักษ์ตนที่สี่สิบห้า"

     เสียงประกาศดังก้องจากทุกทิศทาง ชายปริศนาเหลือมองไปทางประตูเหล็ก อันเป็นตำแหน่งที่เหล่าอสูรกายกว่าสี่สิบตัวโผล่ออกมา เขาอดใจรอให้เสียงฝีเท้าภายในนั้นดังขึ้นเรื่อยๆแทบไม่ได้ แต่จนเมื่อได้มาเห็นผู้พิทักษ์ตนถัดมา ชายหนุ่มก็ถึงกลับเลิกคิ้วประหลาดใจ

     เด็กหนุ่มผมยาวเรียดพื้นสีทองกับดวงตาสีเดียวกัน ใบหน้าเปื้อนคราบดินสกปรก เขาใส่เครื่องแบบนักโทษเป็น เสื้อแขนกุดที่ตัดเย็บขึ้นแบบลวกๆ ส่วนกางเกงขายาวมีรอยปะมากมายหลายจุด มือและเท้าสวมกำไลเรืองแสงสีเขียวเพื่อผนึกพลังของตัวเขาเอง

     "อาคัล บัคคลีโอ้!!!"

     สิ้นคำประกาศนั้นกำไลอาคมก็ดับสลาย อาคัลสืบเท้าเดินหน้า ส่วนชายปริศนาก็เก็บมีดคูครีแล้วชักปืนลูกซองออกมาบรรจุกระสุน พร้อมๆกับถือปืนลูกโม่ด้วยมือขวา ทั้งสองเดินเข้าหากันเป็นวงกลมอย่างช้าๆ หนนี้ชายปริศนาไม่พุ่งเข้าไปต่อสู้ในทันทีเหมือนตอนสู้กับผู้พิทักษ์ตนอื่นๆ

     "ทายาทราชาอย่างแก มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง"

     ชายปริศนาเป็นฝ่ายเริ่มต้นการสนทนา เขาชี้ปากกระบอกปืนลูกโม่ไปทางอาคัลเล็กน้อย

     "มันเป็นเหตุสุดวิสัย...หากเลือกได้ ข้าก็คงไม่อยากมาคุดคู้อยู่ที่นี่หรอก"

     เมื่อได้ยินคำตอบจากปากเด็กหนุ่ม ชายปริศนาก็สาวเท้าก้าวยาวยิ่งกว่าเดิม

     "คิดจะสู้กับฉันคนนี้สินะ..." เขาถามเสียงเย็นยะเยือก

     "คงจะเป็นเช่นนั้น"

     อาคัลตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่นิ่งกว่า

     พวกเขาทั้งสองยืนหันหลังให้กันด้วยระยะห่างไม่ถึงหนึ่งเมตร ผู้ชมทั่วทั้งสนามกลั่นหายใจรอชมการต่อสู้ ขณะนั้นเองชายปริศนาก็กระซิบกระซาบอะไรเบาๆ เพื่อให้ได้ยินกันแต่เพียงแค่สองคน

     "มีอะไรจะสั่งเสียมั้ย..."

     "ข้าขอคืนให้เจ้าด้วยคำพูดเดียวกัน" 

 

     วูบ!!!

 

     ชายปริศนาหมุนตัวเตะด้วยความเร็วสูง อาคัลกระโดดบิดตัวหลบอย่างเหนือชั้น พร้อมทั้งฟาดส้นเท้าเข้ากลางกระหม่อมชายปริศนา เสียงกะโหลกแตกดังโผละ เลือดสีดำไหลทะลักออกมาจากดวงตาสีแดง ร่างชายหนุ่มเดินโซเซถอยหลังดูแล้วคล้ายกับคนเมา ทว่าเขายังยืนหยัดได้อย่างน่าไม่น่าเชื่อ หมวกคนเดินป่าที่สวมอยู่หลุดหล่น เผยใบหน้าซีกบนซึ่งยังแสดงสีหน้าด้านชาต่อความเจ็บปวด เรือนผมสีปีกการะต้นคอกำลังพริ้วไหวตามแรงลม

 

     ไม่ตายจริงๆด้วย...

 

     อาคัลคิดในใจ ดูท่าทางศึกนี้คงจะไม่ง่ายอย่างทุกที 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา