Synchronize Chronicle - ซิงโครไนซ์ โครนิเคิ่ล

8.0

เขียนโดย OhTequila

วันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 11.12 น.

  6 chapter
  0 วิจารณ์
  8,123 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 13 มกราคม พ.ศ. 2560 11.28 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) บทที่ 1 : " สมบัติ " ตอนแรก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

         บริเวณหนึ่งของทะเลสาบที่กว้างใหญ่ มีแพเหล็กขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นจากซากเรือประกอบกับเครื่องจักรไอน้ำและชิ้นส่วนโลหะ ลอยนิ่งอยู่เหนือผิวน้ำ ไร้เกาะแก่งหรือชายฝั่งอยู่ใกล้ในระยะสายตา ขนาดของแพนั้นใหญ่โตและกว้างขวางมากพอที่จะรองรับท่าเทียบเรือขนาดกลาง อู่ซ่อมแซมเรือ โรงงาน โกดัง และที่พักของคนงาน ทั้งหมดนั้นถูกก่อสร้างและตั้งอยู่บนแพเหล็กนี้

 

         เด็กสาวคนหนึ่งในชุดทำงานตอนเดียวอย่างของช่างยนต์สวมหมวกและแว่นตากันแสงสำหรับทำงานเชื่อม กำลังซ่อมแซมท่อแรงดันของเครื่องยนต์ไอน้ำอยู่ที่มุมหนึ่งของอู่ใกล้กับท่าเทียบเรือ เธอทำงานเป็นช่างคนหนึ่งของอู่นี้ การทำงานเกี่ยวกับเครื่องไอน้ำเป็นเรื่องที่เธอค่อนข้างถนัดและทำได้ดี นายช่างจึงได้มอบหมายให้เธอรับผิดชอบงานในส่วนนี้ เวลาในตอนนี้ล่วงเข้าช่วงบ่ายมาเป็นชั่วโมงแล้ว ถึงงานตรงหน้าจะเสร็จไปกว่าครึ่งแล้วแต่ก็มีหลายจุดที่ยังไม่เรียบร้อยดี เด็กสาวยังก้มหน้าก้มตาทำงานของเธอต่อเช่นเดียวกับที่ทำมาตลอดตั้งแต่เช้า

 

         " ไอยร์ " เสียงหนึ่งกล่าวขึ้น ชายสูงวัยร่างกายกำยำคนหนึ่งกล่าวเรียกชื่อของเด็กสาวจากด้านหลัง เธอมุ่งสมาธิอยู่กับงานเลยไม่ได้ยินเสียงเรียกของเขา เขาจึงก้มลงสะกิดที่ไหล่ของเด็กสาวเพื่อเรียกความสนใจ

         " หืม... อ้อ ลุงฮีเธอร์นี่เอง " เด็กสาวเจ้าของชื่อไอยร์กล่าวขึ้นเมื่อหันไปเห็นใบหน้าสมบุกสมบันครึ้มไปด้วยหนวดเคราสีเทาอันคุ้นเคยของนายช่างใหญ่

         " ทำงานมาทั้งวันแล้ว ไปพักซะบ้างไป เอานี่ไปด้วย กลางวันยังไม่ได้กินอะไรใช่มั๊ยล่ะ " นายช่างกล่าวพลางยื่นห่ออาหารให้เด็กสาว

         " ขอบคุณค่ะ " ไอยร์ถอดถุงมือที่เปื้อนคราบเขม่าออกก่อนเอื้อมมือไปรับห่อนั้น เธอวางมือจากงาน ปิดวาล์วเครื่องเชื่อมให้เรียบร้อย แล้วลุกขึ้นยืนเพื่อจะไปพักตามคำบอก

         " วันนี้เลิกงานแค่นี้ก็ได้นะ ที่เหลือเดี๋ยวคืนนี้ฉันมาทำต่อเอง " นายช่างกล่าว

         " เดี๋ยวหนูกลับมาทำต่อเองดีกว่า เหลืออีกไม่เท่าไหร่เอง " ไอยร์แย้ง

         " ฮ่าๆ ขยันจริงนะ ที่จริงไม่ต้องทำงานหนักขนาดนี้ก็ได้นะ ตามหลักแล้วเธอเป็นเจ้าของอู่นี้ด้วยซ้ำ " ฮีเธอร์กล่าวด้วยน้ำเสียงติดตลก

         " จะให้หนูนั่งๆนอนๆอย่างเดียวก็ไม่ไหวหรอก อย่างนี้แหละดีแล้ว " ไอยร์กล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มก่อนปลีกตัวออกไปพัก



         ไอยร์พักผ่อนอยู่ที่ริมระเบียงบนกราบด้านหนึ่งของแพ เธอแกะกระดาษห่ออาหารออกแล้วหยิบแซนวิชชิ้นหนึ่งในนั้นขึ้นมากิน สายลมจากทะเลสาบช่วยผ่อนคลายความเมื่อยล้าจากการทำงานทั้งวัน เธอเท้าแขนกับราวระเบียงแล้วมองออกไปยังภาพทิวทัศน์ตรงหน้า ไอยร์ทอดสายตาไปยังผืนน้ำและท้องฟ้ากว้างใหญ่ ไกลออกไปนั้นยังมีเสาโลหะสีทองขนาดใหญ่ยักษ์จนไม่อาจคะเนขนาดที่แท้จริงของมันได้ด้วยตาเปล่าตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางผืนน้ำด้วย

 

         ไอยร์นึกถึงปู่ของเธอที่เป็นนายช่างคนก่อน ปู่เคยเล่าให้ฟังว่าที่จริงเสาที่เห็นว่าตั้งอยู่กลางน้ำนั้นไม่ได้ตั้งอยู่บนผืนแผ่นดินนี้ รากฐานของมันตั้งอยู่บนแผ่นดินของโลกเบื้องล่าง โดยมีแผ่นดินนี้และแผ่นดินชั้นอื่นๆเกาะยึดอยู่กับเสานั้น แม้ว่าจะไม่มีใครเคยเห็นฐานของเสามหึมาที่ผู้คนเรียกกันว่า "ทาวเวอร์" นี้ก็ตาม แต่ยอดของมันเพียงแค่เงยหน้าขึ้นก็สามารถมองเห็นได้จาก "แอทมอส" แผ่นดินชั้นบนสุดนี้ และมีเพียงที่แห่งนี้เท่านั้นที่สามารถแหงนมองท้องฟ้าได้เต็มตาโดยไม่มีแผ่นดินด้านบนมาบดบัง ธรรมชาติของท้องน้ำเปล่งประกายเมื่อต้องแสงแดดและผืนฟ้าสดใสไร้เมฆในยามบ่าย ตัดกับสีทองแวววาวส่องประกายของทาวเวอร์ เกิดเป็นภาพงามระยับจับตาที่ไม่ว่าผู้ใดได้พบเห็นต่างล้วนประทับใจและหลงไหลในความงามนั้น ไม่เว้นว่าคนๆนั้นจะเกิดและเติบโตที่แผ่นดินนี้และได้เห็นภาพที่ว่านี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

 

         อู่ลอยน้ำแห่งนี้เปิดให้บริการซ่อมแซมและเติมเชื้อเพลิงแก่เรือที่สัญจรไปมาในบริเวณน่านน้ำนี้มาเป็นเวลานับสิบปีแล้ว กลุ่มลูกค้าก็มีหลากหลาย ทั้งเรือประมง เรือโดยสาร นานๆทีก็มีเรือลาดตระเวนของเจ้าหน้าที่โซล่าร์แวะมาบ้างเหมือนกัน แต่ที่มากที่สุดเห็นจะเป็นเรือหาสมบัติของพวกนักงม

 

         เรือลำหนึ่งที่กำลังแล่นเข้าเทียบท่าของอู่ตอนนี้ก็เช่นกัน มันเป็นเรือบรรทุกขนาดกลางท่าทางแข็งแรงติดตั้งเครื่องยนต์แรงขับสูงสำหรับหาสมบัติหน้าตาคุ้นเคยเพราะเป็นเรือที่ใช้บริการอู่นี้เป็นประจำ กัปตันของเรือและนายช่างที่นี่ก็เป็นคนคุ้นเคยกันอย่างดี เสียงและแรงสั่นสะเทือนขณะเรือเข้าเทียบท่าดึงความสนใจของไอยร์ออกจากความผ่อนคลาย



         " ว่าไงกัปตัน เที่ยวนี้มีธุระอะไรรึ " ฮีเธอร์กล่าวทักทายกัปตันของเรืออย่างคุ้นเคย

         กัปตันสั่งลูกเรือของเขาให้ทอดสะพานไม้ลงมาที่ท่า ก่อนจะเดินลงมาหานายช่าง

         " วันนี้ก็เติมเชื้อเพลิงเหมือนเดิมน่ะ แล้วก็อยากให้นายช่างช่วยดูรอกให้หน่อย หมุนแทบไม่ไปเลย ท่าทางมันจะพังซะแล้วสิ " กัปตันกล่าวกับฮีเธอร์พลางชี้ไปยังรอกยกของตัวสูงที่ติดตั้งอยู่บนดาดฟ้าเรือ

         " ไหนพาไปดูหน่อยซิ " กัปตันพยักหน้ารับคำของฮีเธอร์ แล้วจึงพาเขาเดินขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ

 

         ฮีเธอร์ตรวจดูรอกอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวขึ้น " ดูเหมือนลูกรอกจะเบี้ยว แค่เปลี่ยนอะไหล่ก็ใช้ได้เหมือนเดิมแล้ว ว่าแต่เอาไปยกอะไรหนักๆมาหรือเปล่ามันถึงได้เป็นอย่างนี้เนี่ย " เขาถาม

         " เจ้านั่นไง " กัปตันชี้ไปยังถังโลหะทรงกระบอกสีทองขนาดใหญ่ราวสองคนโอบ สูงประมาณระดับไหล่ ที่ตั้งอยู่บนพื้นดาดฟ้าเรือ " วันนี้ไปไกลน่าดู เกือบถึงเขตน้ำเชี่ยวใกล้ๆทาวเวอร์นู่น เจ้านี่คงเป็นของจากในนั้นแหละ ตอนอยู่ในน้ำก็คิดว่าไม่หนักเท่าไหร่ พอยกขึ้นมาก็อย่างที่เห็นนี่แหละ " กัปตันบ่นระหว่างมองไปยังลูกรอกที่ชำรุด

 

         แม้จะมองไม่เห็นจากตรงนี้ แต่โดยรอบของทาวเวอร์นั้นเป็นน้ำตกขนาดยักษ์อันเกิดจากน้ำที่ถูกสูบมาจากโลกเบื้องล่างขึ้นมา แล้วปล่อยให้ไหลทะลักจากยอดของทาวเวอร์เกิดเป็นน้ำตกรอบทิศทาง เป็นผลให้กระแสน้ำรอบๆทาวเวอร์ไหลเชี่ยวรุนแรง ซึ่งบางครั้งสิ่งที่ตกลงมาอาจไม่ใช่มีแค่น้ำ แต่อาจมีวัตถุโบราณหรือของแปลกๆจากทาวเวอร์หลุดมาด้วย วัตถุเหล่านั้นซึ่งบางชิ้นเป็นของล้ำค่า กระจายตัวไปตามกระแสน้ำทั่วทะเลสาบรอบๆทาวเวอร์ กลายเป็นสมบัติที่เหล่านักงมทั้งหลายเฝ้าค้นหา เจ้าถังสีทองนี่ก็คงเป็นของจากทาวเวอร์เช่นกัน



         ฮีเธอร์สั่งให้ช่างสามคนช่วยกันเปลี่ยนลูกรอกใหม่ ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จเรียบร้อย หลังจากเปลี่ยนรอกและเติมเชื้อเพลิงเรียบร้อยนายช่างก็พูดคุยกับกัปตันเรือเรื่องค่าใช้จ่าย

         กัปตันยื่นซองกระดาษบรรจุเหรียญจำนวนหนึ่งให้นายช่าง เขารอจนฮีเธอร์ตรวจนับเงินเรียบร้อยก่อนจึงเอ่ยขึ้น " ครบถ้วนนะนายช่าง " ฮีเธอร์พยักหน้ารับคำก่อนปิดซองบรรจุเงินเก็บเข้ากระเป๋า

 

         " รบกวนนายช่างอีกซักอย่างสิ ผมว่าจะยกเจ้าถังนั่นให้ที่นี่น่ะ ช่วยรับไว้ได้รึเปล่า? " กัปตันพูดถึงถังสีทองที่อยู่บนดาดฟ้าเรือ

         " ก็ไม่รังเกียจหรอกนะ แต่ว่านายไม่เอาไปขายหรือยังไง? " ฮีเธอร์ถามกลับ

         " หนักขนาดนี้ รอกนี่คงขนขึ้นท่าลิฟท์ไม่ไหวหรอก มีหวังได้พังอีกรอบแน่ จะไปเช่ารอกใหญ่ของที่นั่นก็ไม่รู้จะคุ้มราคาหรือเปล่า เอาเป็นว่าผมยกให้ คิดซะว่าเป็นทิปก็แล้วกัน "

 

         นายช่างตอบตกลง กัปตันจึงออกคำสั่งให้ลูกเรือของเขาช่วยกันขนของลงมา ถังนี่หนักมากอย่างที่เขาว่าจริงๆ ขนาดผู้ชายแข็งแรงกำยำห้าคนช่วยกันเข็นกลิ้งมันออกจากที่ยังทำได้อย่างยากลำบาก เห็นดังนั้น ฮีเธอร์จึงสั่งให้ช่างสองสามคนที่อยู่แถวนั้นเข้าไปช่วยอีกแรง จึงค่อยๆประคองเจ้าถังโลหะนั้นลงสะพานถึงพื้นได้โดยสวัสดิภาพ หลังจากช่วยกันกลิ้งถังจนไปตั้งมันทิ้งไว้ที่ลานซ่อมแซมแล้ว ลูกเรือและกัปตันก็กลับขึ้นเรือและจากอู่ไป

 

         นอกจากภาพทิวทัศน์ที่งดงามแล้ว ในสายตาของไอยร์ภาพของผู้คนที่กำลังทำงานอย่างขยันขันแข็งก็เป็นภาพที่ชวนมองอยู่ไม่ใช่น้อย ความมีชีวิตชีวา ความมุ่งมั่น การเคลื่อนไหวต่างๆนั้นล้วนดึงดูดสายตา การได้เห็นภาพนั้นเช่นทุกวัน อาจเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เด็กสาวไม่มีความรู้สึกอยากจากที่นี่ไปไหน เธอเกิดและเติบโตที่นี่ อู่นี้เป็นบ้านของเธอ ช่างทุกคนที่นี่ก็คือครอบครัวของเธอ แม้ปู่ที่เลี้ยงดูเธอมาแต่เล็กจะตายจากไปเมื่อสามปีก่อนตอนเธออายุสิบสาม ก็ไม่ได้ทำให้ที่นี่น่าอยู่น้อยลงเลย เธอเฝ้ามองการทำงานของผู้คนในอู่และลูกเรือของเรือหาสมบัติตั้งแต่ต้นตอนที่เรือเข้าเทียบท่า จนจบที่นำถังสีทองไปวางไว้ที่ลานซ่อมแซม เมื่อเรือลูกค้าจากท่าไปและอาหารในห่อก็หมดลงแล้ว เด็กสาวก็คิดว่าตอนนี้เธอควรจะกลับไปทำงานของเธอต่อ

 

------

 

         หลายชั่วโมงต่อมา ขณะนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ตะเกียงไฟฟ้าตามจุดต่างๆของอู่ถูกจุดขึ้นเพื่อให้ความสว่าง ช่างคนอื่นๆต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อนในที่พักของตน แต่ไอยร์เพิ่งจะวางมือจากงานของเธอ หลังจากพักไปเมื่อช่วงบ่ายไอยร์เพิ่งพบว่าเครื่องยนต์มีจุดที่ชำรุดมากกว่าที่เช็คไว้ในทีแรกทำให้ต้องเสียเวลาซ่อมแซมนานขึ้น เธอถอดถุงมือและหมวกแขวนไว้กับเสา คลายเชือกที่ใช้รวบผมเอาไว้ออก ปล่อยเส้นผมสีน้ำเงินทิ้งตัวลงมาปรกต้นคอ ยกแว่นกันแสงที่สวมไว้ทั้งวันขึ้นคาดที่หน้าผาก เธอกระพริบตาถี่ๆเพื่อปรับสายตาก่อนกวาดนัยน์ตาสีทองมองไปทั่วบริเวณเพื่อพบว่าไม่มีใครอื่นอยู่ในบริเวณกลางแจ้งของอู่แล้ว เธอไม่รู้สึกแปลกใจเท่าไหร่ การที่เธออยู่ทำงานเกินเวลาแล้วพบว่าคนอื่นเขาเลิกงานกันไปหมดแล้วนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ



         ระหว่างทางที่ไอยร์กำลังเดินกลับผ่านลานซ่อมแซมเพื่อกลับไปยังห้องพักของเธอ สายตาของเธอก็พลันสะดุดเข้ากับถังทรงกระบอกสีทองที่ถูกนำมาตั้งไว้ที่นี่เมื่อช่วงกลางวัน แม้บรรยากาศรอบข้างตอนนี้จะมืดแล้ว แต่ถังนั้นยังคงดูแวววาวไม่ต่างจากเมื่อกลางวันราวกับว่ามีแสงสว่างเรืองออกมาจากตัวมันเอง ความสงสัยปรากฏขึ้นในใจของเด็กสาว ไอยร์ค่อยๆเดินเข้าไปหาถังโลหะนั้นอย่างแช่มช้า

 

         ไอยร์ยืนอยู่ตรงหน้าถังโลหะและมองดูมันอย่างสนใจ เธอยื่นมือข้างหนึ่งเข้าไปใกล้แล้วแตะที่ผิวโลหะของถังนั้น แทบจะในทันทีที่ปลายนิ้วสัมผัส ผิวโลหะของถังสีทองด้านที่หันเข้าหาเธอก็พลันเกิดแสงสว่างขึ้นลักษณะเป็นหน้าจอสี่เหลี่ยมเหมือนจอโทรทัศน์ การเปลี่ยนแปลงกระทันหันทำให้เธอชะงักไปเล็กน้อย

 

         " เริ่มการทำงาน "  ข้อความหนึ่งก็ปรากฎบนหน้าจอเป็นกลุ่มอักษรแปลกประหลาดอย่างที่ไอยร์ไม่เคยเห็น ทำให้เธอไม่สามารถเข้าใจความหมายของมันได้

 

         " กรุณาป้อนคำสั่ง " ข้อความแรกหายไป ก่อนจะขึ้นเป็นข้อความชุดใหม่ พร้อมปุ่มแสงเล็กๆหลายปุ่มปรากฏขึ้นรอบๆหน้าจอ

 

         " นี่มันอ่านว่าอะไร?... " ไอยร์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้หน้าจอเพื่อดูข้อความนั้นใกล้ๆ

 

         " ไม่พบคำสั่งใหม่ " หลังจากรออยู่ซักพัก หน้าจอก็ถูกแทนที่ด้วยข้อความชุดใหม่ ปุ่มแสงต่างๆหายไป หน้าจอสี่เหลี่ยมหดลงเหลือเป็นเส้นตรงแนวนอน แสงสว่างฉายออกจากเส้นนั้นตกกระทบกับร่างกายของไอยร์ เส้นแสงนั้นฉายทาบบนร่างกายไล่ตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะแผ่ออกสว่างวาบทั่วร่างของเธออยู่พริบตาหนึ่งแล้วจึงดับไป หน้าจอสี่เหลี่ยมปรากฏขึ้นอีกครั้ง

 

         " สแกนพบการทำงานที่ไม่สมบูรณ์ ทำการเรียกคืนคำสั่งเพื่อซ่อมแซม " ทันทีที่หน้าจอแสดงข้อความชุดใหม่จบลง หน้าจอสี่เหลี่ยมก็กระจายตัวเป็นเส้นแสงเล็กๆวิ่งไปทั่วถังโลหะเกิดเป็นลวดลายแปลกประหลาดโดยรอบ ขณะเดียวกันก็เกิดแรงสั่นสะเทือนคล้ายคลื่นวิ่งไปตามร่างกายของเด็กสาวอย่างรวดเร็ว ร่างกายของไอยร์ตกอยู่ในสภาวะนิ่งงันค้างอยู่เช่นนั้น ปลายนิ้วยังคงแตะอยู่ที่ผิวโลหะ สายตาไร้แววมองค้างอยู่ที่วัตถุปริศนา

 

        " เริ่มดำเนินการ " หน้าจอและข้อความปรากฎขึ้นอีกครั้ง เกิดเสียงคลิกเบาๆ ร่องตรงยาวที่พาดผ่านเป็นแนวตั้งจากยอดจนถึงฐานของถังโลหะส่องแสงขึ้นก่อนแยกตัวออกจากกันแบ่งผิวหน้าของถังและหน้าจอเรืองแสงตรงกลางไปทางซ้ายขวา ถังโลหะถูกเปิดออก สิ่งที่อยู่ภายในมีลักษณะเป็นมวลบรรยากาศคล้ายกลุ่มฝอยของละอองน้ำในอากาศที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา สิ่งนั้นลอยออกมาห้อมล้อมร่างกายของไอยร์  ก่อนที่จะแทรกซึมเข้าไปในร่างกาย จนกระทั่งมวลบรรยากาศนั้นจากทั้งรอบตัวเธอและจากในถังหมดไป

 

        " การดำเนินการเสร็จสมบูรณ์ " ฝาที่แยกออกจากกันเมื่อครู่ปิดเข้าหากันที่ตรงกลาง ข้อความสุดท้ายแสดงขึ้นที่หน้าจอก่อนจะดับลง



        แววตาของไอยร์กลับมามีประกาย เธอกลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง แต่ภาพตรงหน้าเธอดูพร่ามัว เธอรู้สึกได้ว่าปลายนิ้วที่ยื่นออกไปรวมทั้งมือ แขน และทั้งร่างกายของเธอสั่นสะท้าน จากนั้นจึงทรุดลงหมดสติไป ณ ตรงนั้น

 

------

 

         ไอยร์ลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้งในห้องพักของเธอ แสงสว่างจากบานหน้าต่างที่หัวเตียงบอกเธอว่าตอนนี้เป็นเวลาเช้าแล้ว เธอไล่สายตามองดูสภาพภายในห้องที่คุ้นเคย ห้องนอนขนาดไม่ใหญ่นักแต่ก็กว้างพอสำหรับเธอที่อยู่คนเดียวและไม่มีงานอดิเรกอะไรเป็นพิเศษ ที่ผนังฝั่งตรงข้ามกับเตียงเป็นตู้เสื้อผ้าใบหนึ่ง ด้านข้างของตู้เสื้อผ้าเป็นชั้นวางของที่แบ่งเป็นช่องๆใช้วางของจิปาถะ ซึ่งส่วนมากเป็นของเล็กๆน้อยๆที่พ่อของเธอหามาได้ระหว่างทำงานหาสมบัติ ทั้งเปลือกหอยสีสันแปลกตาหลากหลายขนาด หินสี ซากปะการัง หรือแม้แต่ของที่น่าจะหลุดออกมาจากทาวเวอร์ เช่น อุปกรณ์หน้าตาประหลาดที่มีหน้าจอและปุ่มกดเล็กๆพื้นผิวทำจากวัสดุสีน้ำเงินที่เธอไม่รู้จัก แบบจำลองรูปร่างคล้ายนกทำจากโลหะ ฟันเฟืองที่มีรูปแบบซับซ้อน ของที่น่าจะเป็นชิ้นส่วนเครื่องจักร และอื่นๆอีกมากมาย รวมทั้งเช็มทิศเก่าอันที่พ่อเธอเคยใช้ก็วางเรียงรายรวมอยู่กับของเหล่านั้นด้วย แม้ดูรวมๆจะเหมือนเป็นแค่เศษขยะหลายชิ้นแต่เธอก็เก็บรักษาของเหล่านั้นอย่างดี

 

         ไอยร์ชันตัวลุกขึ้นนั่งที่ปลายเตียงแล้วมองสอดส่ายไปทั่วห้อง หลังจากหลับไปเป็นเวลานาน ไอยร์รู้สึกกระหายน้ำขึ้นมาเธอจึงมองหาน้ำดื่ม ที่โต๊ะเล็กข้างประตูมีกระติกน้ำใบเล็กของเธอตั้งอยู่ ไอยร์ลุกขึ้นจากเตียงเดินไปที่โต๊ะแล้วเอื้อมมือออกไปเพื่อที่จะหยิบกระติกน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะนั้น

 

' เคร๊ง! '

 

         ไม่ทันที่มือของไอยร์จะสัมผัส กระติกน้ำโลหะก็เลื่อนตกลงจากโต๊ะกระทบกับพื้นห้องเกิดเป็นเสียงดัง น้ำจากปากกระติกที่ฝาปิดหลุดออกไปไหลนองพื้น เธอตกใจเล็กน้อย แต่คิดว่ามันคงเลื่อนตกลงมาเพราะแรงสะเทือนจากคลื่นน้ำที่ใต้แพจึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร ไอยร์เก็บกระติกและฝาขึ้นมาแล้วดื่มน้ำที่ยังเหลืออยู่ในกระติก

 

' ก๊อกๆ ' เสียงเคาะประตูดังขึ้นระหว่างที่ไอยร์กำลังมองหาผ้าเช็ดพื้น

 

         " ไอยร์ ตื่นแล้วเหรอ " เสียงของฮีเธอร์กล่าวขึ้นจากหลังประตู " เข้าไปได้มั๊ย? " เขาถาม

         " อ่า.....เดี๋ยวแปบนึงนะ " ไอยร์พูดพร้อมกับก้มลงคว้าผ้าเก่าๆที่วางอยู่บนพื้นตรงข้างเตียงมาเช็ดพื้นที่เปียกก่อนจะเปิดประตูให้ฮีเธอร์เข้ามา

 

         " เมื่อกี๊เสียงอะไรน่ะ " ฮีเธอร์ถามขึ้นหลังจากไอยร์เปิดประตูให้เขาเข้ามาในห้อง

         " ไม่มีอะไรหรอก แค่กระติกน้ำหล่นน่ะค่ะลุง " ไอยร์ตอบพร้อมกับชูกระติกน้ำในมือขึ้นประกอบ

         " งั้นก็แล้วไป เห็นเมื่อคืนสลบไสลอยู่ข้างนอก นึกว่าเป็นอะไรไปอีก " พอฮีเธอร์พูดขึ้นมา ไอยร์ก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนเธอยังไม่ทันกลับถึงห้องก็หมดสติไประหว่างแวะดูของที่ลานซ่อมแซม

         " ดีที่ฉันสงสัยว่าเลิกงานหรือยังเลยออกไปดูพอดี ไม่งั้นคงได้นอนตากน้ำค้างไข้ขึ้นอยู่ข้างนอกนั้นแน่ ก็ถึงได้บอกไงว่าอย่าทำงานหักโหมนัก " ฮีเธอร์ถอนใจ สายตาของเขามองผ่านไหล่ของไอยร์ไปยังกรอบรูปอันหนึ่งที่วางอยู่เคียงข้างกับข้าวของจิปาถะบนชั้นวาง ทำให้ไอยร์สนใจมองตามไปยังทิศทางเดียวกับเขา

 

         ในกรอบรูปนั้นเป็นภาพของคนสี่คน ชายแก่คนหนึ่งที่ยืนอยู่คืออดีตนายช่าง ปู่ของไอยร์วางมือไว้บนพนักพิงของเก้าอี้สองตัวที่พ่อและแม่ของเธอนั่งอยู่ ตัวเธอที่ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆหลับไหลอยู่ในอ้อมอกของแม่ พวกเขาทั้งสามล้วนจากเธอไปแล้วด้วยเหตุต่างๆกัน แม่เป็นคนที่ร่างกายอ่อนแอและเจ็บป่วยอยู่เสมอ หลังจากถ่ายรูปนี้ได้ไม่นานเธอก็เสียชีวิตด้วยโรคประจำตัว หลังจากนั้นปู่และพ่อจึงต้องช่วยกันเลี้ยงดูไอยร์ แม้พ่อจะยังดูแลเอาใจใส่เธอได้อย่างดีเช่นเดิม แต่เขาก็ยังคงโศกเศร้ากับการจากไปของแม่

 

         พ่อเลือกที่จะใช้เหล้าเพื่อคลายความทุกข์ เขาอยู่ในอาการเมามายแทบตลอดเวลาแม้แต่ตอนทำงาน จนวันหนึ่งก็เกิดอุบัติเหตุระหว่างทำงาน เนื่องจากอาการเมาทำให้เขาติดตั้งอุปกรณ์ดำน้ำไม่เรียบร้อยเขาจึงเสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจระหว่างดำน้ำ และเมื่อขาดนักงมตัวหลักกิจการหาสมบัติที่เคยทำควบคู่ไปกับอู่จึงต้องปิดตัวลง พ่อแม่ของไอยร์จากไปแล้ว แต่ปู่ก็ไม่ได้เลี้ยงดูเธอเพียงลำพัง ลุงฮีเธอร์ที่ตอนนั้นเป็นหัวหน้าคนงานรวมทั้งทุกคนในอู่ต่างก็ดูแลเธอเหมือนเป็นครอบครัว จนกระทั่งปู่จากไปด้วยวัยชราเมื่อสามปีก่อน ไอยร์และทุกคนในอู่ก็ยังคงอาศัยอยู่ที่อู่นี้ฉันท์ญาติพี่น้องเช่นเดิม ภายใต้การดูแลของฮีเธอร์ที่ขึ้นเป็นนายช่างใหญ่ตามคำสั่งเสียของปู่ตั้งแต่วันนั้นจนถึงปัจจุบัน

 

         แม้ภายนอกจะดูเป็นคนหยาบๆ แต่ที่จริงฮีเธอร์เป็นคนอ่อนโยนที่ใส่ใจความเป็นอยู่สารทุกข์สุกดิบของผู้คนรอบตัวอย่างมาก อีกทั้งเขาอาจจะรู้สึกไม่ดีด้วยที่ปล่อยให้หลานของนายช่างคนก่อนที่ฝากฝังไว้ต้องเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ ไม่แปลกที่เขาจะรู้สึกเป็นกังวลที่ไอยร์เกิดหมดสติไปหลังจากโหมงานมาทั้งวัน

 

         " ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงค่ะ " ไอยร์ที่รู้ดีในข้อที่ฮีเธอร์เป็นกังวลกล่าวขอโทษด้วยท่าทีสำนึกผิด

         " ช่างเถอะ ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว วันนี้ไม่ต้องทำงานนะ พักผ่อนไปแล้วกัน " ฮีเธอร์พูดทิ้งท้ายก่อนออกจากห้องไป

 

------

 

         ในเวลาเดียวกันนั้น ที่น่านน้ำย่านหนึ่งไม่ไกลจากเขตน้ำเชี่ยว ภาพของทาวเวอร์ที่มองจากตรงนี้ดูไม่ต่างจากกำแพงขนาดยักษ์สีทองที่ฉาบผิวหน้าด้วยกำแพงน้ำตกและฟองคลื่น กองเรือขนาดเล็กประกอบด้วยเรือบรรทุกสินค้าขนาดเล็กสี่ลำและเรือขนาดใหญ่ที่ติดตั้งรอกยกของลำหนึ่ง กำลังลอยลำอยู่เหนือผิวน้ำบริเวณนั้น

 

         เป็นเรื่องผิดวิสัยที่กองเรือหลายลำจะมาอยู่ในบริเวณนี้ หากไม่ได้มีจุดประสงค์พิเศษอะไรบางอย่าง เรือเหล่านั้นดูเผินๆก็คงจะเห็นเป็นเรือบรรทุกแบบที่มักใช้เป็นเรือหาสมบัติทั่วไป แต่หากสังเกตให้ดีทั้งข้าวของบนเรือ เสียงการทำงานของเครื่องยนต์ รวมทั้งท่าทางหรือรูปลักษณ์ของลูกเรือก็จะดูต่างจากพวกนักงม แม้ตอนนี้พวกเขาเหล่านั้นกำลังทำภารกิจเช่นนักงมอย่างการส่งนักประดาน้ำลงไปสำรวจก้นทะเลสาบอยู่ก็ตาม แต่แท้จริงแล้วพวกเขาไม่ใช่กลุ่มคนที่ประกอบสัมมาอาชีพเช่นนั้นหรือก็คือเป็นกลุ่มคนที่ผู้คนทั่วไปเรียกว่ากันว่าโจรสลัดนั่นเอง

 

         ที่ดาดฟ้าของเรือลำใหญ่ที่สุดในกองเรือนั้น ชายคนหนึ่งซึ่งสวมแว่นตาแปลกประหลาดอันประกอบด้วยหลายเลนส์กำลังรอคอยบางอย่างอยู่ ครู่หนึ่งสัญญาณก็ถูกส่งขึ้นมาจากนักประดาน้ำ เขาสั่งให้ลูกเรือสองคนช่วยกันกว้านดึงตัวนักประดาน้ำขึ้นมา

 

         " ไม่เจอเลยครับหัวหน้า " นักประดาน้ำบอกกับชายสวมแว่นประหลาดหลังจากที่ถอดหมวกดำน้ำออก

         " หมายความว่ายังไง จะบอกว่ามันลอยหายไปแล้วหรือยังไง? " เขาถามกลับ

         " ไม่น่าใช่ครับ ของนั่นหนักมากคงลอยไปไหนไกลไม่ได้ น่าจะมีคนเก็บไปก่อนแล้วมากกว่า "

 

         ชายที่เป็นหัวหน้าของกลุ่มโจรเมื่อได้ฟังคำของนักประดาน้ำลูกน้องของเขา ก็นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาพบของที่กำลังตามหาเมื่อสองวันก่อนแต่เก็บกู้ขึ้นมาไม่ได้เพราะไม่ได้เตรียมรอกยกของมา วันนี้จึงได้กลับมาที่นี่อีกครั้งพร้อมเรือใหญ่แต่ของก็หายไปแล้ว

 

         ' คงมีใครเก็บมันไปก่อนแล้วอย่างที่มันว่า คงจะเป็นพวกนักงมแถวนี้ล่ะมั้ง แต่เมื่อวานก็ไม่เห็นได้ยินว่ามีใครขนของหน้าตาอย่างนั้นขึ้นที่ท่าลิฟท์ด้วยสิ แสดงว่าของยังอยู่ในชั้นนี้ ดีไม่ดีอาจจะยังไปไหนไม่ไกลนักด้วยซ้ำ '

 

         เขาค่อนข้างมั่นใจในเครือข่ายข่าวสารของกลุ่มโจรสลัดพอสมควร เมื่อมั่นใจว่าของที่เขาตามหายังไปไม่ถึงท่าลิฟท์ และเขายังไม่ได้ข่าวอื่นๆก็คงเป็นไปได้ว่าของก็ยังไปไม่ถึงท่าสินค้าที่ไหนเช่นกัน คงจะอยู่ที่ท่าเทียบเรือที่ไหนสักแห่งไม่ไกลจากนี้ เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงออกคำสั่งให้ลูกน้องกระจายตัวไปค้นหาเบาะแส

 

         " ช่างโชคร้ายจริงๆเลยนะ พวกคนที่ตัดหน้าเราไปเนี่ย " หัวหน้าโจรรำพึงกับตัวเองพร้อมยิ้มเรียบๆ พลางมองไล่หลังเรือทั้งสี่ลำที่กระจายตัวออกไปยังทิศต่างๆด้วยความเร็วที่เรือบรรทุกจริงๆเทียบไม่ติด...

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา