The red artifact part 1 :เจ้าชายสุธนกับห้าอาณาจักร

7.2

เขียนโดย หน้ากากเหล็ก

วันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 18.25 น.

  5 ตอน
  0 วิจารณ์
  7,120 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 3 มกราคม พ.ศ. 2560 18.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ตอนที่ 1 บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          

          *กรุณาคลิกอ่านบทนำก่อนอ่านตอนที่ 1 นะครับ ขอบคุณมาก

          

 

          จากพงไพรหมู่บ้านเล็กเลียบริมโขงเข้าไปนครหลวงแห่งอาณาจักรอินดัส มากด้วยสถาปัตยกรรมอินเดียสูงใหญ่ตระหง่านสลับบ้านหลังเล็กหลังน้อยของชาวบ้าน      

 

          ลึกเข้าไปในอาณาจักรอินดัส ผู้คนมากหน้าขวักไขว่บนท้องถนนแต่งตัวต่างกันโดยวรรณะ บ้างเดินไปมา บ้างพูดคุยกัน บ้างฝึกศาสตราอาวุธและมนตรา บ้างโยคะบำเพ็ญตนในเพลาเที่ยงวัน

 

 

          ณ หน้าประตูวังแห่งกษัตริย์กับกำแพงหินผาสูงใหญ่สลักลายงดงาม กลุ่มชาวบ้านนุ่งห่มน้อย ปกปิดเพียงจุดสำคัญ ผู้ชายโพกหัวไว้หนวด เข้ามาร้องทุกข์กับทหารยามสวมเกราะหนักลวดลายอินเดียมือถือหอกกับโล่ท่าทางแข็งขันสองนาย

          

 

          “ ข้าบอกแล้วไงว่าตอนนี้องค์ชายทรงเสด็จประพาสต่างแดน ส่วนพระเจ้าอยู่หัวทรงติดราชการแผ่นดินอยู่ ” ทหารเฝ้าประตูนายนึงกล่าวเสียงแข็ง

 

 

          “ ตะ แต่ว่า หลายชั่วยามพวกเราต่างเห็นกลุ่มคนมีพลังมนตรา ท่าทางลับลมคมในมาป้วนเปี้ยนแถวบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ เกรงว่าจะเป็นเหตุอาเพศ กรุณาส่งผู้ใดมาตรวจสอบด้วยเถิด ”

          

 

          ทหารสองนายมองหน้ากันและกันไม่รู้จะทำเช่นใดส่วนชาวบ้านยังคงอ้อนวอนต่อไป ทันใดนั้นเอง

          

 

          “ ข้าในฐานะเสือหมอบแมวเซา (สายลับ) คนสนิทของเจ้าชายสุธนขออาสาไปสืบสวนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ” น้ำเสียงทุ้มไม่เสนาะหูดังจากเบื้องหลังกลุ่มชาวบ้าน

          

 

          ปรากฏชายผิวคล้ำร่างใหญ่หนวดเฟิ้มผมเผ้ารุงรังตามตัวเต็มไปด้วยอุปกรณ์ล่าสัตว์แบกคันธนูไว้บนหลังเนื้อตัวคละคลุ้งด้วยกลิ่นพงไพร

          

 

          “ พรานบุญ ! เช่นนั้นพวกข้าคงต้องรบกวนท่านด้วย ”

         

 

           หลังจากชาวบ้านเล่าเหตุการณ์อย่างละเอียดแก่พรานต่างแยกย้ายกันกลับไป ส่วนพรานเดินตามถนนพระนครพลางครุ่นคิดในใจ

          

 

          ในพระนครช่างมากด้วยผู้คนหลายวรรณะ พวกชนชั้นสูง (High born ) ว่ากันว่ามาจากดินแดนไกลโพ้น ครอบครองศาสตราเวทมนต์มีภาษาชั้นสูงเฉพาะ           ตระกูลชนชั้นสูงที่ทรงพลังและแก่กล้าด้วยบารมีจะเป็นผู้ปกครองอาณาจักรแห่งนี้และอาณาจักรแห่งดินแดนไกลโพ้นจากวาจาขององค์ชายผู้เป็นพระราชโอรสแห่งมหาราชาอาทิตยวงศ์

               

          นอกนั้นเป็นนักปราชญ์ ข้าราชการ หรือนักรบชั้นสูงผู้เชี่ยวชาญทั้งมนตราและลมปราณผ่านการบำเพ็ญตนลือลั่นกันว่าตัวเบาจนเดินบนผิวน้ำได้ กายาแข็งดุจเหล็กกล้า

 

 

          ส่วนชนชั้นล่าง (low born ) ต่างเป็นผู้น้อย ข้าแผ่นดิน อยู่ภายใต้การปกครองของพระราชวงศ์และทหารอันเกรียงไกร

 

           สุดท้ายเฉกเช่นตัวข้า ลูกครึ่ง(half born ) ว่ากันว่าแม้ชนชั้นสูงแม้นทรงพลัง แต่ก็มีบุตรยาก บางคนยอมเลือกชนชั้นล่างมาเป็นคู่ครองเพื่อให้สายเลือดของตนสืบทอดต่อไป หากฟ้าเป็นใจลูกครึ่งบางคนสามารถใช้มนตราได้ไม่แพ้ชนชั้นสูง ผิดกับตัวข้าไร้วาสนาจะใช้มัน ต้องเป็นพรานดำรงชีพจนได้รับพระเมตตาจากองค์ชาย           ตกเย็นอุทัยลับฟ้ามอบนภาแก่จันทราเพียงชั่วยาม

          พรานบุญลัดเลาะตามพุ่มไม้อย่างคล่องแคล่วเงียบเชียบด้วยประสบการณ์ชาวป่าชั่วชีวิตมุ่งไปบ่อน้ำมหัศจรรย์น้ำใสดุจแก้วปรากฏละอองแสงลอยขึ้นมาตลอดเวลา ริมสระมากด้วยบุปผานานาพันธุ์ล้วนเติบโตงดงามเปล่งปลั่งกว่าดอกไม้ทั่วไป

          

          ว่ากันว่าหากเอาน้ำไปรดพืชผักชนิดใดจะงอกเงยออกผลงดงามและเลิศรสดุจสวรรค์ประทาน

          

          มิรอให้เวลาผ่านไปโดยสูญเปล่า พรานฉมังตระเตรียมจุดเฝ้ามอง ณ ยอดไม้สูง พร้อมวางกับดักเผื่อทางหนีทีไล่ หากสถานการณ์ไม่เป็นไปดั่งที่คาด

          

 

          พลบค่ำผ่านพ้นไป ความมืดสงัดเข้ามาแทนที่ มีเพียงเสียงพฤกษาลู่ลมปนเสียงแมลงราตรี

          

 

          พรานยังคงซ่อนเร้นบนจุดเฝ้ามองอย่างไม่ลดละกระทั่งได้ยินเสียงกลุ่มคนฝ่าพฤกษาเข้ามาบริเวณริมสระ คนนึงห่มผ้าดำเยี่ยงพราหมณ์สักทั่วกาย

          

          ส่วนที่เหลือ 3 คนสวมชุดเกราะหนาสีดำ ลวดลายอินเดียแข็งกร้าวกว่าทหารนครแต่ที่เด่นสุดคือหน้ากากยักษ์ขขึงขังเขี้ยวยาวดวงตาเปล่งแสงอาคม

          

          พราหมณ์ห่มดำถือกระบอกปั้นดิ้นเผาแผ่ควันดำออกมา ก่อนจะนั่งประกอบพิธีร่ายมนต์คาถาจนฝุ่นรอบกายรวมตัวกันเป็นอักขระลึกลับนับไม่ถ้วนขยับไปมา

          

          แม้นไม่เข้าใจในเนื้อหาพิธีพรานรู้โดยสัญชาตญาณว่ามิอาจปล่อยให้มันดำเนินต่อไปได้ หากจะไปร้องขอความช่วยเหลือคงไม่ทันการหยิบลูกธนูขึ้นมาง้างคันธนูเล็งใส่จอมขมังเวทย์แล้วยิงออกไป ทว่า..

          

          กลับถูกจับได้โดยกองอารักขานายหนึ่ง มันหักธนูทิ้งด้วยมือเดียวราวกับไม้จิ้มฝันส่งสายตาเปล่งแสงชี้มาทางพรานบุญตะโกนบอกพรรคพวกให้ออกไล่ล่าทันที

          

          พรานบุญกระโดดลัดเลาะตามกิ่งไม้อัดคดเคี้ยวด้วยฝีเท้าอันปราดเปรียวว่องไวสลับกับเหลียวมองหลัง แม้นใส่เกราะหนักแต่พวกมันก็ว่องไวดุจลิงตามมาอย่างกระชั้นชิด

          

 

          ในที่สุดปรากฏคมดาบลึกลับบินมาเฉี่ยวหลังพรานจนเสียหลักผลัดตกลงมากระแทกพื้นจนนอนแน่นิ่ง

          

 

          ไม่ช้าผู้ไล่ล่าตามลงมาทำท่าจะแบกร่างพรานขึ้นหลัง ทันใดนั้นเองถูกพรานบุญที่รวบรวมลมปราณไว้ค่อยท่าอยู่แล้วใช้ฝ่ามืออัดกระแทกเข้าหน้าเต็มๆ จนเซไปข้างหลังปล่อยให้พรานถอยไปตั้งหลักได้

          

          แม้นลมปราณจากการบำเพ็ญตนของข้าจะไม่แกร่งกล้าเท่าชนชั้นสูงทว่าคงพอซื้อเวลาให้ตัวข้าได้ ข้าต้องกลับไปรายงานทางพระนครให้ได้ ระหว่างบอกตัวเองในใจ กำลังจะออกวิ่งมือพลางกุมแผลบนหลังกลับต้องผงะ

 

          เมื่อไพรีในชุดเกราะตาเรืองแสงสองนายขวางหน้า นายนึงเสกกงจักรพลังงานโปร่งใสหมุนรอบนิ้วไปมาอย่างรวดเร็วดุจใบเลื่อย           พลังพิศวงนั่นมันอะไรกัน ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ? ความคิดหวั่นวิตกปนสงสัยวนเวียนในหัว ภายใต้ใบหน้าเคร่งขรึม ยืนตั้งรับสองศัตรูตรงหน้า

          

 

          “ มันผู้นั้นเป็นของข้า !! ” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดกระหึ่มดั่งสายฟ้าฟาดก้องจากเบื้องหลัง

          

          สิ้นเสียงคอของพรานบุญเหมือนโดนบีบแน่นจนหายใจไม่ออกด้วยมือที่มองไม่เห็น ก่อนจะถูกพลิกตัวมาสบสายตาอริหน้ากากแตกเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา

          

 

          หน้าตาเหมือนมนุษย์ยุคหินคล้ายลิงแต่เขี้ยวยาวดุจเสือโคร่งดวงตาเปล่งพลังงานออกมา หายใจเข้าออกเป็นควันร้อน

          

          “ สวะเช่นเจ้าริอาจมาขวางพิธีกรรมคืนชีพท่านราหูกระนั้นหรือบังอาจยิ่งนัก !! ” อมนุษย์ตะคอกใส่หน้าพรานบุญที่สติกำลังเลือนหายแล้วสลบไปในที่สุด

          

          “ ........................................................................................... ” ท่ามกลางสติเลือนราง แว่วเสียงร่ายอาคมด้วยภาษาลึกลับพอได้สติคืนมาสัมผัสได้ว่าแขนขาถูกตรึงด้วยพลังบางอย่าง รีบลืมตาโพลงขึ้นมา

          

 

          แลเห็นตัวเองอยู่กลางวงพิธีโดยมีพราหมณ์ชุดดำประกอบพิธี ส่วนองครักษ์ในชุดเกราะสามคนยืนคุมเชิงอยู่ เว้นแต่ตนที่หน้ากากแตกยื่นมือส่งพลังลึกลับตรึงแขนขาอยู่

          

 

          “ ก่อนเจ้าม้วยมรณาข้าจะบอกเอาบุญพลังที่เจ้าประจักษ์อยู่คือพลังจิตที่ท่านราหูผู้ปกครองที่แท้จริงแห่งอาณาจักรนี้เป็นผู้ค้นพบผ่านการบำเพ็ญตน ขัดเกลาจิตจนทรงพลัง ขณะที่พวกเขลาอย่างพวกเจ้าหยุดอยู่แค่ลมหายใจ !!!      

 

          แต่จงภูมิใจเสียเถิดที่เจ้าจะเป็นส่วนหนี่งของช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ การคืนชีพของท่านราหู! ความรู้ที่ถูกลืมเลือน พลังจิตอันไร้ขีดจำกัด จะกลับมาผงาดอีกครา !!           

 

          เลือดเนื้อของเจ้าจะเสริมมนตราให้แข็งแกร่งเป็นเท่าทวี !! โอ ท่านราหูผู้เสวยจันทร์ โปรดจงคืนชีพมาอีกครา ขจัดความเขลาบนโลกใบนี้ให้หมดสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งใหญ่ของท่านเถิดดดดดดดดดดดด!!!!!! ”           

 

          พรานบุญหัวใจเต้นระลึก หายใจไม่เป็นจังหวะ พยายามดิ้นรนเอาตัวรอดจากบ่วงพลังจิตที่กั้นเขาระหว่างความเป็นความตายอย่างสุดชีวิตมิได้ใส่ใจคำสาธยายจากปากอมนุษย์เสียสติ

         

 

           กระทั่งเห็นดวงจันทร์บนฟากฟ้าถูกความมืดกลืนกินทีละเล็กน้อยจนมืดสนิททั้งดวงกระบอกเครื่องปั้นดินเผาแผ่ควันสีดำเปล่งแสงออกมาแล้วลอยขึ้นไปเป็นภาพซ้อนกับจันทรุปราคาเบื้องหลัง

          

          พราหมณ์ชุดดำกำมีดแน่นด้วยสองมือแล้วยกขึ้นฟ้าปากเอ่ยคาถาอย่างหนักแน่นเน้นคำต่อคำบ่งบอกว่าถึงจุดสำคัญแล้ว

          

 

          ความกลัวกัดกินพรานบุญจนหมดสิ้น ทั้งกายสั่นเทิ้มเหงื่อกาฬแตกพล่านดิ้นสู้พันธนาการจนหมดแรงมองดูมีดอาคมพุ่งลงมาอย่างสิ้นหวัง

          

 

          ชีวิตของข้าจะจบสิ้นเพียงเท่านี้!? โปรดอภัยข้าด้วยองค์ชายสุธน ข้าล้มเหลวต่อท่าน และ อาณาจักรอินดัส !!!!           พรานบุญหลับตาทำใจอยู่แสนนานจนรู้ตัวว่ายังไม่โดนแทง ความประหลาดใจปนโล่งใจยิ่งเอ่อล้นข้างในจึงลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้าทว่าถูกแสงจ้าแยงเข้าตาจนต้องยกมือมาบังเลยรู้ตัวว่าพันธนาการได้คลายออกแล้ว

          

 

          แว่วเสียงต่อสู้กับร้องโหยหวนเพียงครู่เดียวทุกอย่างเงียบสงัดโดนพลัน แม้นงุนงงกับสถานการณ์ปัจจุบันเพียงใดแต่แสงสว่างจ้าเกินกว่าวิสัยทัศน์จะดับความใคร่รู้ได้

          

 

          เมื่อแสงจ้าอ่อนกำลังลงภาพหญิงสาวผิวขาวผมเทายาวดุจนางในวรรณคดีสยายปีกด้ายแสงนับไม่ถ้วนร้อยรวมกันอันพร่ามัวเพียงครู่เดียวครู่เดียว ก่อนที่นางจะย่อตัวลงมาเอานิ้วจิ้มลงมาเกิดแสงสว่างวาบโดยพลัน           “ ................. มโนราห์ ” แว่วเสียงสุดท้ายก่อนเข้าสู่ภวังค์

          

 

          รู้สึกตัวอีกทีก็ถึงเพลาเช้าตรู่แล้วแสงอาทิตย์อ่อนดับความมืดมิดแห่งค่ำคืนนกน้อยมากมายบินออกจากรัง พรานบุญลุกขึ้นมาอย่างอิดโรยกวาดสายตารอบกายอย่างงุนงง

          

 

          ไม่ปรากฏศพคนเหล่านั้นแต่บาดแผลจากหลังข้ายืนยันว่าเหตุการณ์เพลาที่แล้วมิใช่ความฝันเป็นแน่แท้นางคนนั้นเป็นผู้ใด หาใช่มนุษย์หรือไม่ แต่ก่อนอื่นข้าต้องกลับไปรายงานเหตุการณ์กับทางพระนครก่อน           ก่อนจะออกตัวเดินจากไปกลับต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงในหัว

          

 

           “ ช้าก่อนเจ้า !!! ” พรานบุญเหลียวหลังไปทางบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์            “ เจ้ามิได้หูฝาดแต่เพียงใด ข้าติดหนี้บุญคุณเจ้าใหญ่หลวงนัก หากไม่ตอบแทนสิ่งใดตัวข้าคงเสื่อมเสียไปสิบทิศ มัจฉาเผือกผู้นี้จะเป็นคนนำเจ้ามาหาข้าเอง ” น้ำเสียงน่าเกรงขามทรงพลังยังคงกังวาลในหัวพราน           

 

          สิ้นเสียงปลาเผือกสีขาวนวลโผล่ขึ้นมาจากสระสบสายตาพรานที่ลังเลพักนึง ก่อนตัดสินใจดำน้ำตามลงไป            ช่างน่าอัศจรรย์ขณะที่ดำน้ำลงไปกลับหายใจได้ปกติวิสัยทัศน์ชัดเจนดุจมัจฉาจนดำลึกลงไปจนแสงอาทิตย์มิอาจสาดส่องถึงแลเห็นปากถ้ำใต้น้ำตกแต่งลวดลายวิจิตรงาม           

 

          พอเข้ามาในถ้ำกลับต้องประหลาดใจยิ่งกว่า เมื่อมันแห้งสนิทราวกับมีกำแพงล่องหนกั้นน้ำจากภายนอกระหว่างพรานเพลิดเพลินปนทึ่งกับสิ่งที่ตัวเองเห็นอยู่นั้นเอง

         

 

           “ ยินดีต้อนรับสู่ถ้านาครา ผู้มาเยือน !!!! ” ดวงตาอสรพิษเขียวมรกตปรากฏขึ้นมาจากในถ้ำอันมืดมิด

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา