The recorder ผู้พิทักษ์บันทึกแห่งชีวิต

8.3

เขียนโดย Ncherry

วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2559 เวลา 13.40 น.

  6 บท
  1 วิจารณ์
  8,338 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2559 21.49 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) กลิ่นอายสีดำ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
ตอนที่ 3
กลิ่นอายสีดำ
          'ทำไมสีดำถึงได้ถูกรังเกียจกันล่ะ'
          น้ำเสียงเพิ่งแตกหนุ่มของเด็กน้อยเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา นัยน์ตาสีดำสนิทมืดหม่นจ้องมองเมฆใต้เท้าข้างล่างจากห้องสมุดที่อยู่บนต้นไม้ใหญ่
          "ข้าไม่เข้าใจเลยสักนิด"
          "นั่นสิ ทำไมกันนะ..."
          "อย่าเล่นลิ้นสิ โคเรย์ เรื่องนี้ข้าจริงจังนะ"
          "นี่ข้าก็จริงจังมากแล้วนะเจ้าลูกชาย"
          "ฮึ่ม"โครว์ในวัยสิบสองปีนั่งกอดอกห้องเท้าลงมาจากห้องชั้นบนสุด ดวงหน้าคมดุยามงอนดูน่ารักน่าชัง เพราะโดนพ่อบุญธรรมเอ่ยแกล้งเขาดังเช่นเคย เสียงโหวกเหวกโวยวายดังเล็ดรอดออกมา ผู้พิทักษ์สามคนข้างล่างหันหน้ามองตากันปริบ ๆ แล้วพูดคุยเรื่องพวกนี้ทั้งเสียงหัวเราะ
 
          เอาอีกแล้วสินะ สองพ่อลูกคู่นี้...
 
          "ท่านพ่อโคเรย์!"
          ชายหนุ่มผมทองหันมาอมยิ้มน้อย ๆ เจ้าตัวเงียบไม่พูดอะไร รอให้เด็กน้อยสงบลง โครว์เบิกตากว้าง นึกได้ว่าตนกำลังเสียมารยาท ดวงตาสีดำสนิทหม่นแสงลงอย่างสำนึกผิด น้ำเสียงแข็งกร้าวอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
          "ขอโทษครับพ่อ"
          รอยยิ้มยิ่งกว้างขึ้นไปอีก ชายหนุ่มผมทองละตัวเองไล่จากดูตำราเล่มสุดท้ายผ่านคริสตัลแห่งชีวิตก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ภายในห้อง
           "คำถามเมื่อกี้นี่ลูกพูดว่าอะไรไว้บ้างนะ"
          "ท่านพ่อ"เด็กน้อยขู่ใหญ่ เรียกเสียงหัวเราะปนขบขัน แต่สุดท้ายโครว์ก็ยอมทวนคำถามเดิม น้ำเสียงแตกหนุ่มช้าเนิบนาบหากแต่ดูจริงจังมากกว่าที่เคย...
 
          "สิ่งมีชีวิตน่ะมักจะรังเกียจสิ่งที่ทำให้ตัวเองไม่สบายใจเสมอ ทั้งการมองเห็น ได้ยินหรือสัมผัส จะว่ามันเป็นการต่อต้านเพื่อเอาตัวรอดอย่างนึงก็ได้นะ"
          "...การเอาตัวรอด..."โครว์ยิ่งมุ่นคิ้วเข้าหากันไปใหญ่ จากเดิมที่สงสัยกลายเป็นงุนงงหนักกว่าเก่า พ่อบุญธรรมของเขาหาคำศัพท์เพิ่มความเข้ามาอีกจนได้ ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มร่าก่อนจะเปรยตัวอย่างใหม่ขึ้นมาด้วยรอยยิ้มเอ็นดู
          "ลองนึกง่าย ๆ ว่าถ้าพ่อเปลี่ยนห้องสมุดนี่ให้เป็นสีอื่น แบบนี้..."โคเรย์เดินตรงเข้ามานั่งห้อยขาข้างลูกชายก่อนจะยื่นมืออกไปข้างหน้า ไอเวทสีฟ้าอ่อนแล่นจากฝ่ามือก่อนจะตรงดิ่งเข้าไปฉาบทั่วบริเวณ จากสีขาวสะอาดตาพลันเป็นสีดำทมิฬทั่วห้อง
          "รู้สึกยังไงกับห้องแบบนี้ล่ะ"
          "ดูมืดไม่มีชีวิตชีวา ไม่สดใสสมกับเป็นที่นี่เลย ก่อนหน้านี้ดีกว่าเยอะ"เด็กน้อยพูดเทียบกันในทันควัน สีหน้าบูดบึ้งหม่นหมองลงไปหน่อย จนเมื่อไอมนตร์คลายเขาก็กลับมาเป็นปกติ
          "แล้วถ้าให้อยู่ในห้องนี้นาน ๆ ..."
          "แบบนั้นผมยอมหนีลงไปอยู่กับคนข้างล่างดีกว่า"โครว์ว่าไปถึงผู้พิทักษ์ข้างล่าง
 
          "แล้วถ้าอีกาดำ...กับนกพิราบลูกชอบอันไหนมากกว่ากัน"ยิ่งยกตัวอย่างมากเข้าน้ำเสียงยิ่งก็แผ่วลงไปอีก ในถ้อยคำแรกที่อีกฝ่ายเอ่ยย้ำถึงความหมายของชื่อเขาและที่มา จากท่าทีผ่อนคลายกลายเป็นเครียดขึ้ง โครว์กัดริมฝีปากแน่นก่อนจะตอบกลับอย่างไม่ลังเล 
          "ผมเลือกนกพิราบ..."
          คำตอบนั้นหมายถึงเขาที่เกลียดตัวตนเดิมในอดีต...เกลียดทุกสิ่งที่ถูกย้อมให้เป็นสีดำ เกลียดมัน...
          ในขณะที่สลัมนั้นเหมือนจุดมืดมนในชีวิตเขา ที่นี่ก็คือแสงสว่างใหม่ให้พึ่งพิง แะเพราะแบบนั้นเขาถึคิดได้ว่าสาเหตุที่สีดำถูกมองว่าชั่วร้ายก็เพราะจิตใจของผู้คนเอง...
          "ตอนนี้ผมเข้าใจมันอย่างดีแล้ว..."
          ....
          ...
          ..
 
          .
          "ว่าสีดำก็แค่สิ่งที่ถูกใส่ร้ายจากความคิดผู้คน"ยามเด็กในวันนั้นกับตัวตนในวันนี้แตกต่างจนน่าใจหาย โครว์ ซัลลิแวน จากลูกบุญธรรมตัวน้อยกลับกลายเป็นผู้ทรยศสังหารบิดาตนเอง เปื้อนด้วยรอยยิ้มอันเยือกเย็น 
          "ทั้งหมดนั่นก็แค่...ต้องการหาแพะมารับบาปเท่านั้น เหมือนกับท่านเลย"นัยน์ตาสีดำสนิทจ้องมองแสงสว่างอันมืดมนเพียงหนึ่งเดียวในห้อง จ้องมองถึงมันก่อนจะยิ้มกริ่ม ในอีกไม่ช้านี้ทุกอย่างกำลังจะเริ่มขึ้น สมุดบันทึกแห่งชีวิตครึ่งแรกถูกแบ่งกระจายไปตามแต่ละที่ รอเพียงใครสักคนเริ่มต้น...
          ดวงตาคู่คมทอดสายตามองออกจากหน้าต่างของคฤหาสน์หลังใหญ่ อากาศยามเย็นโชยมาให้ผ่อนคลาย ฤดูหนาวใกล้เข้ามาเยือนไปทุกที พาลให้ชายหนุ่มนึกไปถึงใครคนหนึ่งนั้น
          "นั่นสินะ อย่างน้อยก็ยังมีอีกตั้งคนหนึ่งที่น่าสนใจอยู่ ที่อาจจะไม่เหมือนอย่างเจ้าพวกนั้น ใช่ไหม..."
 
          "เมล!"
          "อะไร เรียกซะเสียงดังเชียว อยู่ใกล้แค่นี้เองนะเนล"เด็กหนุ่มบ่นเสียงดุ ชักหน้ามุ่ยบึ้งตึงใส่เด็กน้อย เนลส่งยิ้มทะเล้นก่อนจะเริ่มเอ่ยเสียงหวานใส่ เดาไม่ยากเลยว่ามาหาเพราะเรื่องอะไร
          "คือว่าผมกับไลรอนจะออกไปเล่นด้วยกันหน่อยอะพี่เมล ถ้าลุงถามหาบอกว่าไม่รู้นะ"
          คิดผิดที่ไหนล่ะ เพราะคำยุของ เนล ฟีเทน หลานชายแท้ ๆ ของนายจ้างเขา
          "พี่เมล"เหลียวมองกลับไปอีกคน ดวงตาสีแดงเศร้าก็ฉายแววอ้อนอยู่เนือง ๆ หลังจากอยู่ด้วยกันมาจะสองอาทิตย์ไลรอนก็มีท่าทีดีขึ้น ทั้งจากการยอมรับในตัวเด็กคนนี้ของลุง ตัวเนลเองที่ได้เพื่อนใหม่ไว้คอยเล่นด้วยกันแล้วยังไลรอนที่เขาพามานี่ด้วยตัวเอง 
          'ดีแล้วละ แบบนี้น่ะ'
 
          "ขืนทำแบบนี้บ่อยพี่ก็แย่น่ะสิ"เมลซ่อนสีหน้ายิ้มไว้ในใจก่อนจะตีหน้าดุใส่ เนลเหวอ พอรู้ตัวว่าทำใครอีกคนโมโหซะแล้ว เด็กน้อยหัวน้ำตาลส่งยิ้มแห้ง วีรกรรมครั้งล่าสุดเพิ่งจะผ่านมาหมาด ๆ อีกคนก็ตั้งท่าจะโมโหอีกแล้ว คราวก่อนก็โดนแก้เผ็ดซะหนักด้วย
          ให้ลุยเข้าไปซึ่งหน้าไม่ไหวแน่นอน!
          "ขอแค่ครั้งนี้อีกครั้งเดียวนะครับ พี่เมล สัญญาเลยว่าพวกเราจะมาช่วยงานร้านทั้งอาทิตย์เลย เนอะ เนล"
          "หะ หา เฝ้าร้านทั้งอาทิตย์เนี่ยนะ เรื่องแบบนั้นมัน..."เนลว่าเสียงตกใจ ทำตาเบิกกว้างให้เห็น
          "หืม..."เมลกอดอกมอง เคาะนิ้วตรงแขนตนเป็นจังหวะ จ้องตาคนทั้งสองหน้าร้านแล้วเผยยิ้มบางน่าขนลุก
          'ถ้าเรื่องมาก เรื่องถึงหูลุงแน่'
          "เอื๊อก"เนลกลืนน้ำลายลงคอ สีหน้าเศร้าไปหน่อยก่อนจะจิ๊ปาก 
          "ก็อย่างที่ว่า ผมยอมเฝ้าร้านอาทิตย์นึงก็ได้ แต่วันนี้ปล่อยพวกผมไปเที่ยวนะ"เด็กน้อยหัวดำว่าเสียงอ้อน เด็กหนุ่มมุ่นคิ้วคิดชั่วขณะก่อนจะยักไหล่ด้วยท่าทีสบาย
 
          "ข้าอนุญาต"
          "เฮ! พี่เมลใจดีที่สุดเลย!"แม้จะแอบแปลกใจนิดหน่อยว่าทำไมน้ำเสียงดูห้วนกว่าปกติ แถมยังสรรพนามแปลกหูนั่น แต่ความดีใจมันมีมากกว่าเนลหันไปพูดคุยหยอกล้อกับไลรอนที่ยามนี้ส่งยิ้มแห้งให้ ไม่ได้สนใจถึงคนข้างหลังแม้แต่น้อย
          "แต่แค่ไลรอนกับเมลนะ เอ็งน่ะต้องอยู่กับข้าที่นี่"
          "ลุง!"และที่นั่น เชน ฟีเทนก็มาถึง
          "กว่าจะรู้ตัวได้นะ..."
          "พี่เมล ทำไมไม่บอกผมเล่าว่าลุงมายืนอยู่ข้างหลังน่ะ"เด็กน้อยหันมาประท้วงเมลแทบจะทันควัน จ้องมองเขม็งก็พบเพียงดวงตาน้ำตาลส้มฉายประกายสนุกสนาน
          "หึหึ"เมลทำเพียงแค่ยักไหล่ส่งท่าทีสบาย เด็กหนุ่มหันไปพูดคุยกับนายจ้างนิดหน่อยทั้งรอยยิ้มกว้างปล่อยเด็กหัวร้อนให้โวยวายอย่างนั้น พอเหลียวกลับมามองหน้าไลรอน เห็นแววอ้อนคู่นั้นพยักเพยิดไปทางเพื่อนสนิท
 
          'ถ้าจะอ้อนกันขนาดนั้นละก็นะ'
          "ลุงเชนครับ"
          "เอ็งน่ะมัวแต่ตามใจหลานข้ามาก มันเลยนิสัยเสีย ถ้าอยากจะไปกันจริงก็ต้องให้เจ้าเนลมันอดทนเฝ้าร้านหนึ่งอาทิตย์แล้วข้าจะอนุญาต"
          "ลุงเชน!!"คนโดนบ่นอ้างร้องเสียงหลงทันควัน ชายแก่เดินตรงดิ่งเข้ามาก่อนเข้าไปยืนหน้าตู้เก็บสมุนไพรข้างลูกจ้าง เมลส่งยิ้มบาง ยืนเท้าคางมองเด็กทั้งสองจากนอกตู้ทรงครึ่งวงกลม
          "ถ้างั้นผมไม่ไปก็ได้ครับ ยังไงตอนนี้เนลก็ไปไม่ได้แล้ว"ไลรอนรีบเอ่ยเสริมต่อทันที 
          "เห็นไหมลุง เพราะลุงกักตัวผมอะ ไลเลยไม่ยอมไปเลยเนี่ย ความผิดลุงนะ"
          การทะเลาะวิวาทขนาดย่อมที่เกิดขึ้นแทบจะทุกวัน เมลได้แต่เท้าคางมองแล้วหัวเราะเสียงเบาอย่างขบขัน ไลรอนยังคงเกรงใจอยู่บ้าง เลยได้แต่ทำหน้าปั้นยากสลับกับหัวเราะเสียงเบา ส่งท้ายด้วยยิ้มแหย น่ารักน่าเอ็นดูแต่ก็น่าสงสารในเวลาเดียวกัน
 
          คำสั่งของชายแก่ยังคงมีอำนาจอยู่เสมอ ผลสุดท้ายมันก็จบลงด้วยการที่ทั้งเนลทั้งไลรอนอยู่เฝ้าร้านไปด้วยกันเลย เหลือแต่เมลที่ได้โอกาสออกมานอกร้าน ผลัดเวรแทนส่วนของช่วงเช้าและบ่ายที่ใช้ไป
 
          บรรยากาศยามเย็นชักเริ่มหนาวลงไปทุกที หน้าหนาวปีนี้มาเร็วกว่าที่ผ่านมามาก เมลจึงได้คว้าเอาเสื้อคลุมขนาดพอดีตัวติดมือมาด้วย ทีแรกตั้งใจไว้ว่าจะพาเด็กน้อยชาวภูตมากับตนแต่ตอนนี้ดันทำไม่ได้ซะแล้ว
          "ก็ช่วยไม่ได้ละนะ"เมลยิ้มบางตลอดทางเดินมายังตลาด รอบกายคลาคล่ำไปด้วยผู้คน แม้จะไม่มากเท่าช่วงเช้าก็ตามที แต่จากโคมไฟเวทมนตร์หลากสีที่ถูกยกมาวางหรือแม้กระทั่งประกายไฟล้อมรอบที่ถูกจัดไว้พอเป็นส่วนให้เห็นพื้นที่โดยรอบก็พอจะสร้างสีสรรค์ได้ เสียแต่มันราคาแพงเนี่ยละ เลยมีส่วนน้อยที่จะประดับกันเป็นจุดพอไม่ให้มืดเกินไป
          ทุกอย่างก็เป็นปกติดังเช่นทุกวัน คนเดินกันขวักไขว่ ชาวบ้านจับจ่ายซื้อของ เดินดูกันไปตามประสาคู่รัก ครอบครัวหรือคนโสด จะแปลกไปก็แค่อากาศที่เย็นกว่าปกติ และตัวเขาในตอนที่ได้แต่จับชายเสื้อแน่น ฝีเท้าหยุดลงตรงหน้าทางยาวไปยังใจกลาง
          "ฮัดชิ่ว"มันก็แค่การจามที่เสียงดังกว่าปกติเท่านั้นเองหลายคนหันกลับมามองแล้วอมยิ้มขำ เมินกันก็เยอะ ปฏิกิริยาพวกนั้นไม่ค่อยผิดจากที่คาดเท่าไหร่หลายคนก็คงคิดว่าเขาเป็นแค่หวัดเท่านั้น คงจะหนาวเพราะอากาศที่เริ่มลดต่ำลงละสิท่า...
 
          ...ถ้าได้เห็นหยดเลือดสองสามหยดปนมาด้วยคงขำไม่ออกกันแน่ ดีนะที่เมลรีบเช็ดออกได้ทันก่อนใครจะสังเกตอีก
 
          'แค่วันเดียว ละอองพวกนั้นมันกระจายได้รุนแรงขนาดนี้เลยหรอ'รอบตัวเมลตอนนี้ห้อมล้อมไปด้วยฝุ่นสีถ่านลอยอบอวลไปทั่ว ทั้งเกาะตามตัวผู้คน ทั้งในอากาศหรือแม้กระทั่งลึกเข้าไปภายในจิตใจ ก่อนหน้านี้เขาหาเวลามาสำรวจก็ตั้งหลายครั้งไม่เห็นถึงความผิดปกติใด แต่เพียงชั่วข้ามคืนมันก็แพร่กระจายได้ถึงขนาดนี้
          ละอองดำจากความมืดในส่วนลึกของบันทึก...
          'นี่มันบ้าชะมัด'
          ตึกตึก ตึกตัก
          หัวใจเต้นระรัวและถี่ขึ้นมาก บ่งบอกถึงร่างกายที่ต้องแบกรับภาระจากสิ่งอันไม่บริสุทธิ์ ต้องหายใจรับอากาศพิษนั้นตลอดทางเดิน จี้รูปหัวใจค่อยเรืองรองแสงสีทองอบอุ่นราวกับจะปกป้องผู้เป็นนายให้บรรเทาลง แม้เขาจะไม่ใช่ภูตสายเลือดบริสุทธิ์ แต่เผ่าพันธุ์ที่เชื่อมต่อห้องสมุดแห่งชีวิตโดยตรงอย่างเขาน่ะ ได้รับผลเข้าเต็มเปาเลยละ
          จะได้เร่งตัวหาต้นตออย่างเอาจริงเอาจังก็คราวนี้ละ
 
          ก้าวแล้วก้าวเล่ากับความคึกครื้นของผู้คน ยิ่งเดินเข้าไปมากเท่าไหร่สัมผัสก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น หลังจากตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ได้เกือบสิบนาทีร่างก็เริ่มมีการปรับตัว จากเดิมที่แทบจะหายใจไม่ออกก็เริ่มจะค่อยยังชั่วขึ้น ถึงความรู้สึกเหนอะในโพรงจมูกจะยังคงอยู่ แต่พลังฟื้นฟูก็ยังคงทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี ร่างกายของเขาค่อยฟื้นตัวระหว่างทางเดินแม้ว่ามันจะทำเขารู้สึกเหนื่อยขึ้นอีกหน่อยจนต้องนวดขมับของตน 
          'ปวดหัวชะมัด'
          "เมล!"
          "ดูเหมือนว่านี่เป็นครั้งที่สองของวันแล้วสินะที่ที่มีตะโกนเรียกชื่อเราน่ะ"เด็กหนุ่มสงบสติตนก่อนจะรีบหันขวับไปมองที่มาของเสียงนั้นทันควัน ลืมเก็บสร้อยกลับเข้าเสื้อตามอย่างปกติ
          "...หืม นาย...โซลันสินะ"
          "ดีใจที่ยังจำกันได้นะ"ข้างหลังของเขาคือชายหนุ่มร่างสูงโปร่งชวนคุ้นตา เส้นผมสีฟ้าอมเขียวยุ่งนิดหน่อย ถึงจะเจอกันแค่ครั้งเดียวแต่เขาก็ยังพอจำได้ อย่าได้ดูถูกความจำของผู้บันทึกเชียวนะ
 
          "ไม่นึกว่าจะได้เจอกันอีกแล้วแฮะ"เด็กหนุ่มส่งยิ้มบางตอบกลับไปให้คนรู้จักเก่า มือข้างหนึ่งเนียนขยับสร้อยของตนให้เข้าที่ก่อนจะหยอดมันเข้าเสื้อตามเดิม ชั่วแวบหนึ่งนั่นที่ดวงตาสีน้ำเงินคู่นั้นจ้องมายังสร้อยของเขา เพราะแบบนั้นถึงได้รู้สึกตัว
          'จะให้พูดว่าเกือบไปแล้วก็คงไม่ทัน ตอนนี้คงต้องเนียนไปก่อนสถานเดียว'
          "เมื่อกี้นี้รีบเดินเร็วเชียวนะ เล่นซะเกือบตามไม่ทันแน่ะ"
          ทั้งเมลทั้งโซลันเหลียวไปมองยังผู้มาใหม่แทบจะทันควันตามปฏิกิริยาตอบสนองนั้น สาวน้อยท่าทางบอบบาง ส่วนสูงเพียงไหล่ของเขา หญิงสาวเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนและดวงหน้าอันอ่อนหวาน พาลให้เมลกระตุกยิ้มในใจอย่างอดไม่ได้
          "ว่าแต่เด็กคนนั้นใครหรอ โซลัน ดูหน้าไม่คุ้นเลย"หญิงสาวหันมาจ้องตาแป๋วใส่หนุ่มน้อย เธอเดินมาขนาบข้างกันก่อนจะจ้องตาเขาเขม็งอย่างอยากรู้อยากเห็น เรียกรอยยิ้มบางจากโซลัน
          "นั่นสินะ เกือบลืมแนะนำตัวไปเลย วิเวียน นี่ เมล โอนิกซ์ พวกเรารู้จักกันโดยบังเอิญจากอุบัติเหตุในตลาดนิดหน่อยน่ะนะ แล้วก็เมล นี่วิเวียน เกลนด้า เธอเป็น..."
 
          "แฟนสาวจ้า"
          เป๊าะ
          "เจ็บนะ โซลัน มาดีดหน้าผากฉันทำไมเนี่ย"
          "ก็เธอกำลังอำเพื่อนใหม่ของเราอยู่ไงฉันได้ถึงทำน่ะ"ชายหนุ่มหันมาว่าทั้งรอยยิ้มขำ ก่อนจะหันกลับมามองเมลที่ตอนนี้ยกกำมือขึ้นปิดปาก หลุดหัวเราะเสียงเบาขบขันอย่างอดไม่ได้
          "วิเวียนกับฉันพวกฉันเป็นแค่เพื่อนสนิทกัน อย่าเพิ่งเข้าใจผิดซะละ"
          "จะพยายามนะ"รอยยิ้มบางปรากฏขึ้น เช่นเดียวกับอีกสองคนตรงหน้าที่ขยันฉีกยิ้มให้แม้คนหน้านิ่งจะแค่หยักมุมปากตรงข้ามกับหญิงสาวที่ฉีกยิ้มจนกว้าง เด็กหนุ่มลอบสังเกตท่าทีเป็นมิตรของคนทั้งสองแล้วเหลือบไปเห็นเงาของบางสิ่ง มีเพียงหญิงสาวเท่านั้นที่ใส่แหวนทองในนิ้วนางซ้ายของเธอ
          บ่งบอกถึงว่าเธอได้หมั้นกับใครสักคนไปเรียบร้อยแล้ว... สถานะโสดถูกกลบไปแล้วเรียบร้อย
 
          "แต่ว่าทั้งสองคนดูท่าทางจะอายุมากกว่าผมแบบนี้ ต้องพูดสุภาพใส่แทนซะแล้วสินะครับ"เมลทำหน้าตื่นนิดหน่อยเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาลงนิดหน่อย ท่าทีขี้เล่นเมื่อกี้ถูกปรับลงไปมากทีเดียว
          "ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่า คนกันเองทั้งที คิดซะว่าได้เพื่อนใหม่มาเพิ่มอีกเป็นคนอายุน้อยกว่าก็ไม่เลว"
          "ฉันเองก็ไม่ถือหรอกนะ"โซเรียน่ามาช่วยเสริมอีกที ฝ่ามือขาวเหลืองซีดหน่อยถูกยื่นออกมา เมลเอื้อมไปตอบรับอย่างไม่ลังเลก่อนจะอมยิ้มบางให้
          "ถ้างั้นคราวนี้ก็คงต้องพูดว่ายินดีที่ได้รู้จักกับเพื่อนใหม่อย่างเป็นทางการแล้วสินะ"
          "แน่นอน"ชายหนุ่มว่าเสียงขรึมแฝงความใจดี
          "ใช่แล้วละ ยินดีที่ได้รู้จักนะเมล"และหญิงสาวรูปร่างสะสวยคนนั้น
          คนทั้งสามปลีกตัวออกมาจากกลางทางเดิน เพื่อให้ได้พูดคุยหันมากขึ้น ด้วยความร่าเริงของวิเวียน เธอก็ช่วยให้พวกเขาคุยกันอย่างถูกคอได้ง่ายดาย จนได้ความว่าโซลันและเพื่อนสาวของเขาเข้ามาตลาดนี่เพื่อหาซื้ออะไรบางอย่างกันนิดหน่อยให้กับคู่หมั้นของเธอ ด้วยการเลือกซื้ออะไรที่น่าจะทำให้เจ้าตัวประหลาดใจได้ เสียแต่พวกเขามีโอกาสมาที่นี่น้อยครั้งได้
 
          'พวกขุนนางชั้นสูงหน่อยก็งี้แหละนะ'ถึงฝั่งนั้นจะไม่บอกอะไรให้รู้ก็เถอะ แต่จากท่าทางแล้วเขาคาดเดาไว้คงไม่ผิดพลาด ในเมื่อเจ้าตัวเลือกจะมาฐานะคนธรรมดาเขาก็ขอเล่นตามหน่อยคงไม่เสียหาย
          "ถ้างั้นให้ฉันช่วยแนะนำให้ไหมล่ะ วิเวียน ยังไงตอนนี้ก็ว่างแล้วด้วย"
          "ถ้าได้แบบนั้นก็ดีน่ะสิ ตอนนี้ฉันน่ะกำลังหัวหมุนแทบแย่ ถ้าได้เมลช่วยคงจะหายกังวลได้แล้วละ"
          "ไม่รับประกันหรอกนะว่าจะถูกใจเธอ แต่ถ้าเรื่องความแปลกนี่ขอรับประกันเลย!"
          "ตกลง รีบพาฉันไปเร็วเข้า!"แค่ไม่ถึงสิบนาทีหนุ่มน้อยก็พูดคุยถูกคอกับหญิงสาวไปเรียบร้อย ท่าทางกะตือรือร้นของเธอเรียกให้ชายหนุ่มผมฟ้าอมเขียวได้แต่ส่ายหัวน้อย ๆ อย่างระอา 
          "ถ้างั้นก็... "
          วืด
          ยังไม่ทันจะได้พาไปอย่างคำว่า ฝ่ามือของใครบางคนก็ตรงมาจะผลักเสียก่อน เมลก้าวเท้าหลบได้ทันควันก่อนจะโดนผลักจนกลิ้ง นายทหารร่างใหญ่สองคนตรงดิ่งมาแยกกลางระหว่างเขากับขุนนางทั้งสองคนทันควัน มิวายหันมาทำตาดุใส่กันด้วย แต่เมื่อเจอดวงตาคมกริบจากชายหนุ่มผู้เป็นนายถึงได้เงียบลง
 
          "นายกำลังเสียมารยาทใส่เพื่อนของฉัน"
          "ขะ ขออภัยครับ"
          "ว่าแต่รีบตรงดิ่งมานี่มีเรื่องอะไร"น้ำเสียงทุ้มเจือความใจดีพลันเปลี่ยนมาเป็นเรียบนิ่งเช่นเคย เมลปัดเสื้อนิดหน่อยจัดให้เข้าที่ แอบเหลือบเห็นว่าแม้แต่วิเวียนเองก็ยังตีหน้าเครียดเหมือนกัน ถึงเวลาที่ควรทำตามมารยาทด้วยการออกจากวงสนทนาทันที จนเมื่อระยะไกลจนแน่ใจแล้วว่าเจ้าคนน่าสงสัยจะเดินพ้นไป ทหารจึงได้เอ่ยข่าวร้ายแก่โซลันทันควัน
          "ตอนนี้เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับท่านโซลัน เรื่องท่านพ่อของท่านน่ะ!"
          ...
          ..
          .
          ตึกตึก ตึกตึก
          เสียงฝีเท้าของชายหนุ่มที่เล็ดรอดเข้ามาในโสตประสาท ดวงหน้าคมคายนิ่งเรียบยามนี้ฉายแววกังวลและรุ่มร้อน แม้แต่เพื่อนสาวคนสนิทข้างตัวเองก็เช่นกัน ทางเดินซึ่งคลาคล่ำไปด้วยผู้คนยามนี้ถูกแหวกด้วยทหารสองหน่อตรงหน้า
          'ตอนนี้ท่านเคเดย์นกำลังตกเป็นผู้ต้องสงสัยในการกบฏขอรับ'
          คลิก
          "กลายเป็นว่าเจ้าสร้อยนี่ยิ่งเรืองแสงหนักกว่าตอนเข้ามาต้นทางตลาดอีกแฮะ"เมลว่าเสียงนิ่งเรียบ นัยน์ตาสีน้ำตาลส้มมองความวุ่นวายขนาดย่อมภายใต้เบื้องล่างเท้าของตน มือข้างหนึ่งจับก้อนปุกปุยสีขาวกลมในมือแล้วบีบมันจนแหลกละเอียด
          เครื่องดักฟังเวทมนตร์ชนิดไร้สายชนิดใช้แล้วทิ้ง...
          ...ขอเพียงแค่นึกถึงหน้าคนนั้นก็จะได้ยินเสียงรอบบริเวณอย่างที่เจ้าตัวไม่รู้สึก
 
          มันคือของประดิษฐ์ชนิดพิเศษที่เพื่อนนักบันทึกอุตส่าห์ทำให้จากการขอของเขา กับคนที่เวทมนตร์ไม่ได้เรื่องมันก็ต้องแบบนี้แหละนะ 
          เด็กหนุ่มนั่งกุมสร้อยของตน เหนือต้นไม้ใหญ่ที่อุตส่าห์หาที่ปีนมาดักฟังได้จนยากลำบาก ขึ้นมาได้แต่อาจจะลงกลับไปไม่ได้
          "ให้ตายสิ"
          จี้สร้อยรูปหัวใจยามนี้ยังคงกระพริบถี่ หนุ่มน้อยตัดสินใจดับความวุ่นวายนั้น หลับตาลงอย่างเชื่องช้าเพื่อรับไออุ่นเพียงหนึ่งเดียวในมือจากสร้อย ชั่วพริบตาสมุดเล่มหนาก็ปรากฏบนฝ่ามือ เมลรีบพลิกหน้าบันทึกดูข้างในทว่ายังไม่จะได้เปิดไปไกลเท่าไหร่ก็เห็นต้นตอของมันแล้ว ฝุ่นละอองสีดำสนิทที่ยามนี้เริ่มกลืนกินแผ่นกลางหน้ากระดาษเป็นอย่างแรกแทนที่จะลามจากหน้าสุดมาก่อน 
 
          ความแปลกประหลาดนั้นทำให้เขาเลือกจะจ้องมันลึกลงไปเพื่อรับรู้ถึงที่มา ทันทีที่ยื่นมือไปสัมผัสข้างใน ไอดำก็กัดกินเขาจนปวดแสบปวดร้อนไปหมดพร้อมกับภาพที่แล่นเข้ามาในหัว
          "เจ้านั่นเริ่มต้นจากที่นั่นสินะ"เหตุการณ์ในอดีตก่อนหน้าไม่นานที่เขาได้เห็น ชายชราวัยกลางคนในชุดรุ่มร่ามและเป็นทางการ อีกทั้งยังเครื่องประดับอันใหญ่บนหัวทองนั่น
          "ในที่สุดฉันก็เจอแกแล้ว...เจ้าบันทึกเจ้าปัญหา"

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา