Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ
8.0
เขียนโดย Raji
วันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2559 เวลา 20.00 น.
10 ตอน
0 วิจารณ์
12.12K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2559 17.12 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) Login 4 : Restart แห่งการจากลา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความLogin 4 : Restart แห่งการจากลา
หลังได้รับข้อความสั่งให้หนีจากอิงศรแล้ว มิ่งขวัญก็วิ่งกลับมาถึงห้างสรรพสินค้าและทันทีที่ขึ้นไปถึงชั้นลอยซึ่งเชื่อมไปสู่สถานีรถไฟฟ้าก็เจอพวกเด็ก ๆ จากสถานสงเคราะห์อยู่กันครบห้าคนแต่กลับไม่เจออิงศรและสีดา
อย่างไรก็ตามเขาได้รับการฝากฝังจากอิงศรมาให้พาทุกคนที่มารวมตัวกันหนีไปขึ้นรถไฟก่อน
"ทุกคนรีบไปที่สถานีกันเหอะ"
มิ่งขวัญสั่งทันทีที่เข้ามารวมกลุ่ม แล้วทุกคนก็เริ่มวิ่งไปยังสถานี โดยมีฟูกับมิกซ์นำหัวแถว ส่วนมิ่งขวัญคอยรั้งท้ายเพื่อระวังหลังให้
"ขวัญแล้วพี่ศรล่ะ!?"
เสียงของฟูดังมาจากแถวหน้า
"ไม่รู้... เดี๋ยวก็มามั้งรีบไปก่อนเถอะ"
มิ่งขวัญตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีนัก
และแล้วพวกเขาก็มาถึงสถานี ถัดจากนั้นก็วิ่งข้ามประตูเก็บตั๋วไปจนถึงบันไดอีกที่จะขึ้นไปยังชั้นชานชาลาที่หนึ่ง ภายในสถานีไม่มีสัตว์เทวะแล้วเพราะการทำลาย จุดพลังงานตอนที่ยกกันมาสำรวจคราวก่อน
ตอนนั้นเองเส้นทางเบื้องหน้าบันไดก็ถูกปิดโดยชายผมแดงที่จู่ ๆ ก็โผล่มาขวาง โดยที่พวกเขาแทบจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าชายคนนี้เข้ามาในสถานีตั้งแต่เมื่อไหร่
ชายคนดังกล่าวมีผิวซีดขาวกว่าปกติ สวมเสื้อโค้ทสีแดงมีขนมินท์สีขาวที่ปกคอเสื้อ ชื่อที่เขียนบนหน้าจอแสดงแถบพลังชีวิตเขียนด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษสีฟ้า ตรงกับที่อิงศรแจ้งมา ดังนั้นชายคนนี้จึงเป็นศัตรู ส่วนความเก่งกาจที่ขนาดอิงศรยังบอกว่าอย่าไปยุ่งด้วยนั้นแค่มองตัวเลขเลเวลที่ลอยอยู่ข้างชื่อก็รับรู้ได้
Lithium LV. 144
[/////39608:39698/////]
ไหนจะมีรังสีฆ่าฟันที่มองไม่เห็นแผ่ออกมาจนรู้สึกได้อีก ไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนเลย...
มิ่งขวัญนิยามความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้ออกมาอย่างนั้น
สัมผัสของชายผมแดงทำให้มือที่จับดาบสั่นจนต้องเอามืออีกข้างมาช่วยประคอง ความรู้สึกเย็นยะเยือกแผ่วาบไปทั่วสันหลังนอกจากนี้ยังรู้สึกถึงสายตาที่คมกล้าดุจดาบกำลังทิ่มแทงเข้ามาจากอีกฝ่าย ถึงแม้จะมีแว่นตาที่มีเลนส์ประหลาด ๆ สะท้อนแสงออกเป็นสีรุ้งได้ใส่อยู่ก็ตาม
"นอกจากเป้าหมายแล้วที่เหลือก็ให้กำจัดทิ้งทั้งหมดสินะ..."
เหมือนจะได้ยินชายผมแดงพึมพำออกมาเช่นนั้นก่อนจะลั่นวาจาอย่างตรงไปตรงมา
"คนที่ผมต้องการมีเพียงชาวโลกที่ชื่ออิงศรกับมิ่งขวัญ ถ้าไม่มาขัดขวางจะยอมไว้ชีวิตพวกเธอให้ก็ได้"
น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจแล้วยังแฝงไว้ด้วยความรู้สึกดูถูกดูแคลน ทำเหมือนกับว่าพวกเขาจะขายเพื่อนขายครอบครัวให้โดยง่าย
"พูดบ้า ๆ ใครมันจะไปยอมทำตามที่แกบอกกันเล่า! "
ฟูตะหวาดเสียงดังลั่น
ถูกอย่างที่ว่าหากมันคิดว่าพวกเราจะขายพวกเดียวกันเพื่อเอาตัวรอดแล้วล่ะก็มันคิดผิดถนัดเลย...
มิ่งขวัญเห็นด้วยกับฟูอยู่ในใจ ถึงอิงศรจะห้ามเอาไว้ไม่ให้เข้าปะทะก็ตามแต่ได้ยินที่พูดมาเมื่อกี้แล้วไม่โกรธก็ไม่ใช่ลูกผู้ชายแล้ว
ชายผมแดงเหมือนจะพูดอะไรซักอย่าง ตอนนั้นเสียงปืนของมิกซ์ก็ดังขึ้นทำให้ได้ยินไม่ครบทั้งหมดแต่เหมือนจะเปรยว่า
"โง่เขลาสมกับเป็นชาวโลกซะจริง..."
แต่ลูกกระสุนก็พุ่งออกไปแล้วก่อนที่ชายผมแดงจะรู้ตัวเสียอีก ลูกกระสุนจะต้องเข้าเป้าอย่างแน่นอนเพราะถ้าไม่รู้ตัวก่อนก็ไม่มีทางที่จะหลบได้ ทว่า...
ความคิดเช่นนั้นมันผิดพลาด...
ผิดพลาดตั้งแต่ตอนที่คิดจะสู้กับสัตว์ประหลาดในคราบมนุษย์ตนนี้แล้ว
ร่างของชายผมแดงเรือนหายไปดั่งภาพลวงตา พริบตาถัดมาก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้ามิกซ์ราวกับเล่นกล...
เป็นไปได้หรือที่คน ๆ หนึ่งจะหายตัวจากที่หนึ่งไปยังอีกที่ได้แถมยังหลบกระสุนปืนที่ยิงออกไปก่อนจะรู้ตัวได้ด้วยอีกต่างหาก
แล้วตอนนั้นเองก็มีเสียงเหมือนกับกระดูกถูกกระชากจนหลุดออกจากกันดังพล่อก
ถัดมาศีรษะของมิกซ์ก็หลุดกระเด็นไปต่อหน้า
กว่าจะเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตอนที่เลือดซึ่งพุ่งออกจากคอที่ขาดไปแล้วของมิกซ์หยดลงบนแก้ม สิ่งที่สะท้อนอยู่ในดวงตาก่อนที่ชายผมแดงจะเลือนหายไปอีกครั้งคือเจ้านั่นค้างอยู่ในท่าที่เหมือนกับปัดมือออกไป...
เป็นไปได้อย่างนั้นหรือที่ใช้แค่มือเปล่าก็ตัดหัวคนได้อย่างง่ายดายเหมือนหักกิ่งไม้
มิ่งขวัญได้แต่ย้ำถามกับตัวเองว่านี่คือฝันร้ายใช่ไหม
"กรี้ดดด!!"
เสียงกรีดร้องของพลอยดังขึ้น แล้วเธอก็ถูกทะลวงหน้าอกทะลุไปถึงกลางหลัง สิ้นใจตามมิกซ์ไปทันที กระทั่งเน็กซ์และนิวที่ยังลืมตาดูโลกได้ไม่ถึงสิบปีก็ถูกช่วงชิงชีวิตไปด้วยกัน
"อึก..."
ฟูส่งเสียงออกมาเพียงเล็กน้อยทั้งที่ถูกทะลวงทะลุอกซ้ายด้วยมือเปล่า คงเพราะความเจ็บปวดที่ไปหยุดเสียงเอาไว้ ถึงอย่างนั้นเด็กชายก็ไม่มีโอกาสจะรอดชีวิตเพราะสิ่งที่อยู่ในมือของชายผมแดงซึ่งทะลวงหน้าอกทะลุออกมาถึงหลังนั้นคือก้อนเนื้อหัวใจที่ยังเต้นตุบ ๆ และถูกขยี้แหลกคามือที่ย้อมเป็นสีแดงก่ำด้วยเลือดของครอบครัว
จากนั้นชายผมแดงก็ถอนมือออก ร่างของฟูล้มลงราวกับขอนไม้
ทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว
กว่าที่สมองจะประมวลผลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้
กว่าที่ความเศร้าโศกอาลัยอาวรณ์จะถูกกลั่นออกมาเป็นน้ำตา
ยังต้องใช้เวลาอีกหลายวินาที หลังจากนั้นแรงที่รั้งขาให้ยืนไว้ก็หายไปซะดื้อ ๆ
มิ่งขวัญล้มตัวคุกเข่าอย่างสิ้นหวัง แต่กระนั้นชายผมแดงกลับโผล่มาอยู่ต่อหน้าและยื่นมือให้พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งคารมหรือความคิดที่อยากจะรักษาน้ำใจก็ไม่มีอยู่ในคำพูดนั้นเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว
"เอ้า จะไปกันได้รึยัง"
ทั้งที่น้ำตาคลอเบ้าแต่กลับร้องไม่ออก ชายตรงหน้าไม่ใช่คนที่ใช้น้ำตาแล้วจะแสดงความเห็นใจให้อย่างแน่นอน จิตใต้สำนึกบอกกล่าวออกมาเช่นนั้น
หลังจากคำพูดนั้น มิ่งขวัญก็ไม่ได้ตอบกลับออกไปจึงมีแต่ความเงียบที่เกิดขึ้น
จนกระทั่งชายผมแดงเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเหมือนกับพึ่งรู้สึกตัวถึงอะไรบางอย่างจึงดึงมือกลับไปมองดูอย่างพินิจพิเคราะห์
"อืม...ว่าแล้วเชียวรู้งี้น่าจะใส่ถุงมือก่อน เธอคงไม่ชอบเลือดสินะ แต่ว่าชั้นชอบมันมากเลยล่ะเพราะว่ามันเป็นสีแดงยังไงล่ะ"
ชายผมแดงปรับน้ำเสียงในครั้งนี้ให้อ่อนลงจนฟังดูเป็นผู้เป็นคนกว่าเดิม แต่ไม่มีคนสติดีที่ไหนเขาพูดเรื่องพรรค์นั้นกันทั้งที่พึ่งฆ่าคนไปหรอก
ระหว่างความช็อกกับความเศร้า ความกลัวกับความโกรธ ความรู้สึกทั้งหมดผสมปนเปเป็นเนื้อเดียวกันจนร่างกายไม่สามารถตอบสนองอารมณ์ทั้งหมดนั้นออกมาได้นอกจากการหลั่งน้ำตา
ความเงียบสงัดดำเนินต่อมาหลังจากคำพูดของชายผมแดง ก่อนจะถูกทำลายด้วยเสียงโลหะกระทบพื้น
มีกระป๋องเหล็กสองใบกลิ้งตกลงมาจากบันไดที่อยู่ทางด้านหลังของชายผมแดง
และในตอนนั้นเอง
"บัฟ---แอโร่ว! "
น้ำที่เสียงคุ้นหูก็ดังข้ามมา ที่ตรงบริเวณกลางบันไดพอดี อิงศรยืนอยู่ที่นั่นแล้วแผลงศรลงมา ในจังหวะเดียวกับที่ควันสีขาวพวยพุ่งออกจากกระป๋องโลหะ
ชายผมแดงไม่ได้หลบลูกธนูเหมือนตอนหลบลูกกระสุนเพราะวิสัยทัศน์ถูกบดบังจนคาดเดาไม่ได้ว่าลูกธนูจะมาจากทางไหน จึงเลือกที่จะจับมันด้วยมือเปล่าในตอนที่ลูกธนูจวนจะเข้าถึงตัว เขามีพลังถึงขนาดนั้นแต่ก็ไม่ได้เกินกว่าที่อิงศรคาดการณ์เอาไว้นัก
ลูกธนูที่ชายผมแดงจับอยู่ได้ระเบิดออก เปลวไฟหลังการระเบิดไหลบ่าทับท่วมร่างก่อนจะก่อตัวเป็นมหิงสาเพลิงแล้วผลักไสร่างสีแดงออกไปจากม่านควัน
ชายผมแดงพยายามใช้เท้าจิกพื้นเพื่อหยุดมหิงสาเพลิงแต่ก็ถูกดันจนลากเอาพื้นสถานีลอกเปิกไปเป็นทาง เขาถอยจนไปชนเข้ากับกำแพงกั้นจนทะลุและร่วงลงไปจากสถานีพร้อมกับมหิงสาเพลิงที่กำลังจะสลายไป
ท่ามกลางควันจำนวนมหาศาล มิ่งขวัญรู้สึกได้ว่าตัวของเขาถูกลากออกไปจากกลุ่มควัน มีเสียงของอิงศรดังมาว่า
"ทำใจดี ๆ ไว้ขวัญ"
ไม่รู้ทำไมแต่พอได้ยินน้ำเสียงที่อ่อนโยนนั่นแล้วเสียงสะอื้นที่ปล่อยไม่ออกถึงได้ไหลไม่หยุดแล้วมิ่งขวัญก็ร้องไห้คร่ำครวญไปตลอดทางที่หนี
ณ ชั้นชานชาลารถไฟฟ้าที่สอง อิงศรกำลังสั่งเริ่มการทำงานของระบบคนขับอัตโนมัติ
เสียงเครื่องยนต์คำรามดังกระหึ่มไปทั้งชานชาลาจนน่าหวั่นว่าเสียงจะนำพาศัตรูมาหา แต่อีกแค่ห้านาทีรถก็จะออกแล้ว จนกว่าจะถึงตอนนั้นคงทันแบบฉิวเฉียด
เด็กชายเดินออกจากห้องคนขับและ ที่เบื้องหน้านั้นมิ่งขวัญนั่งกอดเข่ารอเขาอยู่ยังคงร้องไห้ไม่หยุด หลังจากเอาแต่พล่ามว่า ฟูตายแล้ว มิกซ์ตายแล้ว ทุกคนตายหมดแล้ว หลังจากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกนอกจากส่งเสียงสะอื้น
อิงศรไม่คิดตำหนิในเรื่องนั้น เพราะขนาดตัวเขาเองที่แค่ไปเห็นตอนร่างกายของทุกคนถูกทำลายลงหมดเท่านั้นก็ยังแทบใจสลาย
แต่มิ่งขวัญเป็นคนที่เห็นทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ ที่ยังพอมีสติอยู่เงียบๆ แบบนี้ได้ถ้าไม่ใช่เพราะสภาพจิตใจเข้มแข็งกว่าก็คงจะช็อกจนเพี้ยนไปมากกว่านี้ แต่ดูจากอาการคงไม่ใช่ทั้งสองอย่าง มิ่งขวัญเหมือนจะมีสิ่งที่ยังช่วยยึดเหนี่ยวเอาไว้มากกว่าจิตใจถึงยังไม่สลายไป
"ขวัญเข้าไปรอในรถเถอะ"
อิงศรพูด
"..."
แต่มิ่งขวัญยังคงไม่ขยับตัว อิงศรจึงพูดอีกครั้งแต่ปรับน้ำเสียงลดลงจนเหมือนกับอ้อนวอน
"ขอร้องล่ะขวัญขึ้นไปรอที่รถเถอะ"
เหมือนจะได้ผล มิ่งขวัญพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่ตู้โดยสารอย่างว่าง่าย เด็กชายถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่แค่เดี๋ยวเดียวก็กลับมาตีสีหน้าจริงจังอีก
นั่นเพราะยังมีอีกเรื่องที่ต้องไปทำ คือตามหาตัวสีดาที่ไม่สามารถติดต่อได้ด้วยระบบของเกม แต่ก่อนหน้านั้นจะต้องส่งมิ่งขวัญหนีไปที่ปลอดภัยก่อน
อิงศรหันไปมองเสาค้ำยันสถานีต้นที่เขาเคยคุยกับมิ่งขวัญเมื่อสี่วันก่อน ตอนนี้มันถูกติดตั้งระเบิดเอาไว้สี่ลูก ที่ชั้นอื่นของสถานีก็มีติดไว้ทุกที่ ถ้ากดสวิตซ์เมื่อไหร่ทุกลูกจะทำงานพร้อมกันแล้วส่งสถานีแห่งนี้กลับคืนสู่ดิน
อิงศรติดตั้งระเบิดเหล่านี้ หลังจากบอกให้ทุกคนหนีผ่านทาง 'Chat' แล้วเขาก็ใช้ทางลัดมุ่งหน้ามาสถานีก่อนเพื่อเตรียมการให้พวกมิ่งขวัญที่กำลังจะมาสามารถหนีไปได้โดยปลอดภัยจึงติดตั้งระเบิดเอาไว้ทุกจุดในสถานีกะเอาไว้ว่าเมื่อรถไฟออกไปแล้วจะทำลายสถานีทิ้งไม่ให้พวกมันไล่ตามไปได้
หลังจากนั้นถ้าเคลื่อนไหวเพียงลำพังก็อาจจะพอเล็ดลอดสายตาศัตรูได้แล้วไปหาตัวสีดาให้เจอจากนั้นค่อยตามไปสมทบกับมิ่งขวัญทีหลัง แผนการทั้งหมดอยู่ในหัวของอิงศร เหลือก็แค่ปฏิบัติตามเท่านั้น
อีกสามนาทีรถไฟจะออก บริเวณโดยรอบยังคงสงบดีหากสถานการณ์ดำเนินไปแบบนี้ก็ไม่มีอะไรต้องห่วง อิงศรจึงตัดสินใจจะออกไปตามหาสีดาตั้งแต่ตอนนี้เลย
ทว่า ทันทีเขากำลังจะเดินออกไปจากชานชาลาอยู่นั่นเอง มิ่งขวัญก็ตะโกนมา
"ศรจะไปไหนน่ะ?! "
อิงศรหันกลับไปเตรียมจะบ่นว่าอย่าทำตัวเรื่องมาก... แต่ก็พูดไม่ออก ใบหน้าของมิ่งขวัญแสดงความกังวลและความกลัวออกมาอย่างชัดเจน
เด็กชายจิกปากด้วยความเจ็บใจ เขาไม่อยากทิ้งน้องชายไปกับรถไฟเพียงลำพังในสถานการณ์แบบนี้หรอก แต่จะทิ้งสีดาไปก็ไม่ได้ สามเดือนที่ผ่านมาเธอคนนั้นเสมือนเป็นครอบครัวคนหนึ่งไปแล้ว ถ้าหากว่าที่หลงไปเป็น ฟู มิกซ์ พลอย เน็กซ์ หรือ นิว เขาก็ต้องไปช่วยให้ได้ จนกว่าจะเห็นกับตาว่าทุกคนยังอยู่หรือตายไปแล้ว
"สีดา...ยังหาตัวเธอไม่เจอเลย ขวัญนายไปรอที่สถานีปลายทางก่อนเถอะเดี๋ยวจะตามไปทีหลัง"
อิงศรกัดฟันพูดและหวังให้น้องชายเข้าใจ
"ไม่ได้นะ! ขืน...ขืนทำแบบนั้น..."
น้ำเสียงของมิ่งขวัญสั่นเครือ ใบแก้มอาบไปด้วยน้ำตาพลางพูดถ้อยคำที่แสนเจ็บปวด
"ขืนทำแบบนั้นเดี๋ยวศรก็ถูกพวกมันฆ่าไปด้วยหรอก"
พูดออกมาอย่างนั้นแล้วก็วิ่งมาฉุดแขนของเขาจะลากให้ไปที่ตู้โดยสารด้วยกัน
"เราหนีกันเถอะนะศร"
"อย่านะ...ขวัญ...ปล่อยสิ"
อิงศรพยายามแกะมือน้องชายออก
"ขวัญเราจะทิ้งครอบครัวไม่ได้นะช่วยเข้าใจแล้วรีบหนี"
"ไม่เอา ขวัญไม่อยากเสียใครไปอีกแล้ว! "
มิ่งขวัญพูดแทรกแล้วดึงแขนเขาแรงกว่าเดิม
"ขวัญ!! "
อิงศรกระชากแขนออกจนเผลอทำมือปัดใส่หน้าน้องไป มิ่งขวัญเซถลาเหมือนจะล้ม
"อ๊ะ! "
ด้วยความตกใจจึงรีบเข้าไปจับตัวน้องไว้
"ขอโทษนะขวัญ เจ็บมากรึเปล่า"
มิ่งขวัญส่ายหน้าก่อนจะยืนยันคำเดิม
"ศรหนีไปด้วยกันเถอะนะ"
อิงศรถอนหายใจอีกครั้ง พยายามคิดหาคำพูดที่จะทำให้มิ่งขวัญยอมเข้าใจ ตอนนั้นเองที่สถานการณ์ผันเปลี่ยนไปอีกครั้ง
จากด้านหลังเขารู้สึกได้ว่ามีร่างของมนุษย์คนใหม่เพิ่มขึ้นมาในชานชาลารถไฟ
ดูเหมือนอีกฝ่ายจงใจทำให้พวกเขารู้เพราะถึงกับพูดออกมาเสียงดังให้ได้ยินกันอย่างชัดเจน
"อ้าว ตรงนั้นมันพวกลูกของชาวโลกที่ ซุงลี่กำลังตามหาอยู่นี่น้า~"
เจ้าของเสียงเป็นชายผิวซีดเหมือนกับพวกศัตรูมีผมสีเงินและสวมเสื้อโค้ทแบบเดียวกับชายผมแดง แต่ชุดของชายผู้นี้เป็นสีดำ
“เอ๊~ ชื่ออะไรแล้วนะพวกเธอน่ะอ๋อใช่ ๆ อิงศรกับมิ่งขวัญ งั้นก็ต้องเรียกว่า ซุงอิง กับ ซุงมิ่ง สิน้า~ ผมล่ะทึ่งกับพวกเธอจริง ๆ ทั้งที่เจอกับระดับราชครูแต่ก็ยังหนีรอดมาได้อีกเนี่ยไม่ทราบว่าทำได้ยังไงหรือครับ"
ย่างก้าวของผู้มาใหม่แต่ละก้าวนั้นล้วนสง่างามแม้แต่เด็กที่ไม่สนใจเรื่องกิริยามารยาททางสังคมชนชั้นสูงอย่างเขาเองก็รับรู้ได้ เมื่อรวมใบหน้าที่งดงามเข้ากับลักษณะท่าทางอันสูงส่งเยี่ยงขุนนางแล้วนั่นก็ทำให้รู้สึกถึงความน่าเกรงขามคนละแบบกับที่ชายผมแดงมี
อิงศรเพ่งสายตาไปที่หน้าจอแสดงชื่อและเลเวลของชายชุดดำ
Potassium LV. 144
[/////66666:66666/////]
แล้วจิกปากพลางสบถว่า
"โถ่เว้ยเจ้านี่ก็ระดับเดียวกับไอ้หมอนั่นเรอะ"
"อะฮะ สีหน้าแบบนั้นใช้ได้เลยนี่"
ชายชุดดำกล่าวนำจากนั้นก็เริ่มพล่ามไม่หยุดปาก
"สำหรับผมแล้วหนึ่งในสิ่งที่ชื่นชอบเกี่ยวกับชาวโลกมากที่สุดก็คือใบหน้ายามสิ้นหวังของพวกเธอเนี่ยแหละ ในตอนที่ความหวังสูญสิ้นไปต่อหน้านั่นน่ะมันงดงามยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดบนดวงดาวที่แสนโสมมแห่งนี้เลยเชียว"
ราวกับว่าไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา ไม่สิทำเป็นไม่เห็นมากกว่า...
อิงศรตีความอีกฝ่ายออกมาอย่างนั้น ทั้งที่เขายกคันธนูก็แล้ว ขึ้นลูกศรก็แล้ว แต่อีกฝ่ายไม่ได้มีทีท่าจะป้องกันตัวเลยแม้แต่น้อย
จากจุดนี้ระยะห่างราว ๆ สิบสองเมตรไม่มีทางที่คนสายตาสั้นเช่นเขาจะยิงโดน ยิ่งกับสัตว์ประหลาดแบบพวกมันยิ่งเป็นไปไม่ได้เว้นแต่ว่า
"ล็อกออน! "
อิงศรประกาศใช้สกิลจากนั้นก็ดึงลูกศรเพลิงเหนี่ยวสายดีดออกแล้วพูดต่อทันทีว่า
"ฟาสช็อต (Fast Shot) "
แล้วแผลงธนูออกไป การยิงที่เหมือนกับยิงออกไปเพียงครั้งเดียว แต่ความจริงแล้วเขายิงออกไปสามครั้งด้วยกัน เป็นผลมาจากสกิลที่ใช้ ด้วยวิธีนี้ลูกธนูทั้งสามดอกจะได้รับการสนับสนุนจาก 'ล็อกออน' ช่วยให้มั่นใจได้ว่าการยิงนี้จะไม่พลาดเป้า
“เปล่าประโยชน์ เปล่าประโยชน์ เอเลี่ยนอย่างพวกผมน่ะเก่งกว่าชาวโลกตั้งสิบสองเท่าเชียวนะ...”
จังหวะที่ชายชุดดำเอ่ยขึ้นมานั้นเป็นจังหวะเดียวกับที่ลูกธนูเพลิงทิ่มแทงใส่ร่าง และในตอนที่สมองของอิงศรสรุปว่าลูกธนูเข้าเป้าไปแล้วนั่นเอง ร่างของชายชุดดำกลับเลือนหายไปจากสายตา
"สิ้นหวังไปซะจะดีกว่าเพราะสีหน้าแบบนั้นมันงดงามมากกว่าน้า~"
อิงศรหันเหสายตาไปยังทิศทางตรงกันข้าม ที่นั่นชายชุดดำกำลังยืนกอดอกอยู่ ดวงตาหรี่แคบจดจ้องมาทางพวกเขา มือข้างหนึ่งยกขึ้นป้องปากเหมือนกำลังหัวเราะเยาะ ส่วนอีกข้างนั้นกำลูกธนูเพลิงทั้งสามดอกเอาไว้ สมองเปลี่ยนข้อสรุปใหม่…
เป็นข้อสรุปที่ยากจะเชื่อ แต่มันคือเรื่องจริงที่อีกฝ่ายรับลูกธนูเอาไว้ได้ทั้งหมด
"ช่วยดิ้นรนอย่างเต็มที่แล้วก็สิ้นหวังลงไปอย่างงดงามให้ดูหน่อยเถอะ... "
ชายผู้อ้างตัวว่าเป็นเอเลี่ยนกล่าวออกมาเช่นนั้น แล้วบีบธนูเพลิงที่กำเอาไว้ ลูกธนูหักเปาะและสลายตัวลงในทันที
เหลือเวลาอีกราวหนึ่งนาทีก่อนที่รถไฟจะออกจากสถานี แต่ศัตรูที่ไม่มีทางเอาชนะได้กลับยืนอยู่ต่อหน้า จากการนี้เองอิงศรก็ได้ข้อสรุปของการต่อสู้ในครั้งนี้ เป็นข้อสรุปที่น่าเศร้า...
จะต้องมีใครซักคนเสียสละตัวเองยื้อศัตรูเอาไว้แล้วให้อีกคนหนีไปซึ่งคนที่จะโดยสารรถไฟขบวนนี้จะต้องเป็นมิ่งขวัญ จากนั้นเขาจะระเบิดสถานีแห่งนี้ไปพร้อมกับตัวเอง โครงเรื่องแบบนั้นคงจะดีที่สุด มันเป็นคำตอบที่สร้างขึ้นจากความหวังที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด
"ไม่มีทางเลือกแล้วสินะ"
อิงศรพูดเหมือนจะสบถ
"ขวัญนายรีบขึ้นรถไปซะอีกหนึ่งนาทีรถจะออกแล้ว ชั้นจะต้านเอาไว้ให้จนกว่าจะถึงตอนนั้น"
น้ำเสียงของเขาเด็ดขาดเพื่อเป็นหลักประกันว่ามิ่งขวัญจะไม่ขัดขืนต่อประสงค์ดีที่จะเสียสละร่างนี้ต่อชีวิตให้ แล้วอิงศรก็พุ่งออกไปพร้อมกับขึ้นธนู
"อะฮะ เลือดขึ้นหน้าแล้วสิแบบนั้นมันน่าเบื่อน้า~"
เอเลี่ยนพูดเปรยๆ เหมือนจะเสียดาย จากนั้นร่างกายก็เริ่มเลือนหาย
พริบตานั้นเองด้วยสัญชาตญาณพาไปอิงศรตั้งสมาธิจดจ่ออยู่กับการเคลื่อนไหวสุดท้ายของศัตรูก่อนที่จะหายไปจากสายตา
ร่างที่กำลังเลือนหายนั้นก็แค่ภาพติดตาที่เกิดจากการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงจนตามองไม่ทัน แต่การเคลื่อนไหวก่อนที่ภาพติดตาจะหายไปจะช่วยบอกล่วงหน้าได้ว่าอีกฝ่ายจะบุกเข้ามาจากทางไหน
อิงศรอ่านการเคลื่อนไหวที่ว่าแล้วก็เหมือนจะจับจุดขึ้นมาได้เด็กชายหยุดวิ่งแล้วย้ายคันธนูไปทางซ้าย
"เห เธอเร็วขึ้นกว่าเดิมรึเปล่านี่"
เอเลี่ยนโผล่มาตรงจุดที่คันศรหันไปพอดี ถึงฟังจากน้ำเสียงจะดูเหมือนกำลังตกใจแต่สีหน้าก็ยังคงรอยยิ้มไว้ไม่เปลี่ยนแปลง
"เสร็จฉันล่ะไอ้ปีศาจ! "
อิงศรสบถใส่รอยยิ้มนั้นแล้วปล่อยมือจะแผลงศรออกไป แต่ทว่ามือของชายชุดดำได้ตวัดขึ้นมาก่อนสันมือนั้นฟันถูกกระดูกข้อต่อและแขนข้างซ้ายของอิงศรก็ถูกตัดขาดอย่างง่ายดายราวกับกระดาษ
"ศร !!"
มิ่งขวัญส่งเสียงตะโกนมาจากด้านหลัง ทั้งที่ควรจะขึ้นไปอยู่บนรถไฟแล้ว
"อิเล็กทริกเบลด! "
ตอนนั้นแขนของอิงศรที่ยังจับคันธนูไว้ก็ลอยเคว้งกลางอากาศ เลือดพุ่งทะลักออกจากส่วนที่โดนตัด เด็กชายใช้มือขวากดมันไว้
ความรู้สึกที่แขนซ้ายหายไปชั่วขณะ
"อึก..."
ความเจ็บปวดเริ่มแทรกเข้ามาร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองด้วยการส่งเสียงครางแถบพลังชีวิตลดลงไปเกินครึ่งในการโจมตีนี้
อิงศร LV. 17
[//...160:850.....]
มิ่งขวัญวิ่งผ่านอิงศรไป แล้วกวัดแกว่งดาบที่มีสายฟ้าสถิตไปมาอย่างสะเปะสะปะ ถ้าคู่ต่อสู้เป็นสัตว์เทวะแค่นั้นก็คงจะทำอะไรได้บ้าง แต่มันใช้กับศัตรูที่มีความคิดและฝีมือเหนือชั้นกว่าไม่ได้
แค่หวดดาบได้ไม่กี่ครั้งก็ถูกชายชุดดำจับแขนยกตัวลอยขึ้นเหนือพื้นก่อนจะถีบส่งจนร่างลอยละลิ่วกลับมากระแทกอิงศรแล้วลากกันกลิ้งโคโล่ไปหยุดอยู่หน้าประตูรถไฟ
"โอ๊ะโอ๋ดูเหมือนว่าหนูน้อยหมวกแดงของเรากำลังจะมากันแล้วนะ"
เอเลี่ยนกล่าวออกมา แล้วตอนนั้นเองก็มีผู้มาเยือนชั้นชานชาลาที่สองเพิ่มขึ้น ชายผมแดงเดินขึ้นบันไดมาพร้อมกับกลุ่มชุดดำที่เป็นพวกเดียวกัน
เอเลี่ยนละความสนใจไปจากพวกเขาแล้วหันไปทางกลุ่มของชายผมแดง
"อ้าว มาแล้วเหรอกำลังเล่นกันเพลิน ๆ เลยล่ะแต่ก็เริ่มน่าเบื่อแล้วเหมือนกัน"
แล้วพูดคุยด้วยอย่างสนิทสนม
ชายผมแดงมองมาทางอิงศรกับมิ่งขวัญที่ยังฟุบกันอยู่หน้าประตูรถไฟสลับกับเอเลี่ยนที่กำลังส่งยิ้มหน้าชื่นมื่นให้ อยู่สองถึงสามครั้งก่อนจะเริ่มตำหนินายเอเลี่ยนชุดดำ
"ท่านลำดับที่สี่ ไปลงมือกับพวกเขาแบบนั้นเกิดตายขึ้นมาจะโดนท่านลำดับที่สามว่าเอาได้นะครับ"
ได้ฟังดังนั้นเอเลี่ยนก็เหยียดยิ้มสนุกสนาน
"ออมมือไว้แล้วล่ะเพราะถ้าขืนโดนท่านรูบิเดียมเล่นงานถึงเป็นผมก็คงเอาชีวิตไม่รอดหรอก เชิญเธอจับลูกหมาป่าใส่ตะกร้าต่อเลยซุงลี่หมวกแดง"
ชายผมแดงทำเมินคำพูดเล่นสนุกนั้นแล้วเดินเข้ามาหาแต่ก็ทิ้งระยะห่างเอาไว้
"จะไม่ทำร้ายพวกเธอหรอกนะยอมมอบตัวแต่โดยดีเถอะ"
แล้วยื่นข้อเสนอตอนนั้นเองถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายทิ้งระยะห่างเพื่อให้พวกเขาเชื่อในคำพูดที่ลั่นวาจามา
อิงศรยันร่างกายท่อนบนขึ้นแล้วเปิดหน้าจอ 'Inventory' แล้วหยิบกระป๋องระเบิดควันกับสวิตซ์กดระเบิดออกมาถือด้วยมือขวาที่เหลืออยู่
"จะหนีไปด้วยสิ่งนั้นสินะ"
ชายผมแดงชี้มาที่รถไฟ พริบตาที่ความสนใจของพวกเอเลี่ยนมาถึงจุดนี้ ดวงตาของอิงศรก็เบิกกว้างขึ้น ...
นี่มันสถานการณ์เลวร้ายสุดกู่ถ้าหากว่ารถไฟถูกทำลายขึ้นมาพวกเขาก็หมดทางรอด แต่ทว่า...
"จะหนีไปก็ได้นะ"
ชายผมแดงพูดอย่างนั้นราวกับจะมอบความหวังให้
"แต่ยานที่ช้าเป็นเต่าคลานแบบนั้นน่ะแค่ประเดี๋ยวเดียวก็ตามทันแล้วเลิกคิดซะจะดีกว่า"
แล้วพูดอย่างมั่นใจ น้ำเสียงนั้นไม่ได้แฝงคำโกหกไว้เลย
"อะฮะ ข่มกันซะไม่เหลือให้ตั้งตัวเลยนะซุงลี่ถึงมันจะจริงก็เถอะ"
เอเลี่ยนชุดดำพูดกลั้วเสียงหัวเราะ
เมื่อประเมินจากความสามารถที่ผ่านมาก็มีความเป็นไปได้ที่คำพูดทั้งหมดจะเป็นความจริง พวกเขาไม่สามารถหนีรอดได้...
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็จะหนีให้ดู จะต้องพามิ่งขวัญหนีไปให้จงได้ อิงศรสาบานกับตัวเอง นี่ไม่ใช่เรื่องของศักดิ์ศรีพี่ชายอีกแล้วแต่เป็นใจจริงที่อยากจะปกป้องครอบครัวเอาไว้
แล้วก็พลางนึกถึงตอนที่ฟังมิ่งขวัญพูดแล้วรู้สึกหวั่นไหวเมื่อสี่วันก่อนขึ้นมา
ถึงได้พึ่งจะมาเข้าใจเอาตอนนี้ ที่ตัวเขาเปลี่ยนไปไม่ใช่เพราะถูกความป่าเถื่อนของโลกนี้กลืนกินจนสูญเสียความเป็นคน แต่เป็นเพราะตัวเขามีความเป็นมนุษย์มากขึ้นต่างหาก เพื่อคนที่รักเพื่อครอบครัวที่ถวิลหามนุษย์สามารถจะกลายเป็นฆาตกรหรืออะไรก็ได้ทั้งนั้น
"ขวัญฟังนะ ก่อนสิบวินาทีสุดท้ายที่ประตูรถจะปิด สัญญาณเตือนจะดังตอนนั้นชั้นจะใช้ระเบิดควันนี่ถ่วงเวลาพวกมันไว้แล้วนายก็รีบหนีขึ้นรถไฟไปซะ"
อิงศรยกกระป๋องระเบิดให้ดูแล้วกระซิบ
"ศรจะหนีไปด้วยกันใช่ไหม?"
มิ่งขวัญยังคงถามคำถามเดิมอยู่ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่จะตอบตกลง สวิตซ์กดระเบิดจะต้องกดตอนอยู่ที่ชานชาลาเท่านั้นไม่อย่างนั้นระยะสั่งการจะไม่พอทำให้ระเบิดทั้งหมดทำงาน และต้องกดตอนที่รถไฟวิ่งออกไปจากสถานีแล้ว
"อืม ชั้นจะไปด้วย"
อิงศรพูดพลางหลบสายตา
"ศร..."
มิ่งขวัญเหมือนจะพูดอะไรซักอย่าง แต่แล้วเสียงสัญญาณรถไฟออกกลับดังขึ้น
"ตอนนี้แหละไปเลย! "
อิงศรขว้างระเบิดลงพื้น ไอควันจำนวนมหาศาลพวยพุ่งตลบอบอวลไปทั่วทั้งชานชาลา
"ทำแบบนั้นไปก็เปล่าประโยชน์น่า"
ชายผมแดงตะหวาด
"เออนี่ซุงลี่"
ชายเสื้อโค้ทสีดำเรียกเขาจึงหันไปสนทนาด้วยระหว่างที่รอให้ควันจาง
"ตอนที่ผมมาเดินเล่นอยู่แถวนี้ก็เห็นมีระเบิดวางเอาไว้ให้ทั่วตึกเลยล่ะ นั่นเป็นของเธอรึเปล่า"
"หือ? ไม่นะครับภารกิจตามล่าเราไม่พกของทำนองนั้นมากันหรอก"
"งั้นก็ชักท่าไม่ดีแล้วล่ะ ทางที่ดีเราเตรียมรับมือกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นจะดีกว่านะ"
ด้วยคำพูดนั้นทำให้ชายผมแดงย้ายมือไปวางลงกับดาบที่เอว
เวลาผ่านไปจนกระทั่งประตูรถไฟปิดลงไอควันถึงได้จางหายและตอนนี้มิ่งขวัญก็ไปอยู่อีกฟากของประตูรถไฟเพียงลำพังตามโครงเรื่องที่อิงศรคิดไว้...
"ขวัญ! เฮ้ขวัญ! ทำไมทำแบบนี้ล่ะ!"
แต่อิงศรกลับเป็นฝ่ายที่ทุบมือใส่ประตูรถจากฝั่งด้านในของตู้โดยสาร....
นั่นก็เพราะตอนที่ระเบิดควันทำงานมิ่งขวัญที่ควรจะต้องเข้ามาอยู่ข้างในตามที่เขาพูดโกหกไว้ กลับเข้ามาแย่งสวิตซ์กดระเบิดไปจากมือแล้วผลักเขาเข้ามาในรถแทน
"พี่ศรน่ะเวลาจะพูดโกหกจะไม่ยอมพูดตามใจขวัญอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ"
เสียงของมิ่งขวัญไม่สามารถจะเล็ดลอดผ่านประตูรถไฟไปได้ อิงศรจึงไม่ได้ยินคำพูดของเขา
"ขวัญก็กลัวนะ....กลัวที่จะตายเหมือนกัน..."
เด็กชายกล่าวถ้อยคำทั้งน้ำตาพลางเหลือบสายตามองไปยังเสาค้ำยันสถานีต้นที่พวกเขาพูดถึงกันเมื่อสี่วันก่อน ตอนที่อิงศรยอมว่าตามอย่างง่าย ๆ ก็รู้ตัวตั้งแต่ตอนนั้น
"แต่ที่กลัวยิ่งกว่าก็คือโลกที่ไม่มีศรอยู่...โลกแบบนั้นน่ะขวัญอยู่ไม่ได้หรอก"
และแล้วรถไฟก็เคลื่อนตัวออกจากสถานี อิงศรพยายามวิ่งสวนทางกลับไปยังตู้โดยสารท้ายขบวนด้วยกำลังทั้งหมดเท่าที่ร่างกายจะเอื้ออำนวยในสภาพที่เสียเลือดจากแขนข้างที่ขาด ภาพของมิ่งขวัญที่มองผ่านกระจกประตูรถในแต่ละบานนั้นทยอยห่างไกลออกไป
จนกระทั่งภาพสุดท้าย คือภาพที่ร่างของมิ่งขวัญถูกชายผมแดงตวัดดาบผ่าลำตัวขาดกลาง แถบพลังชีวิตสุดท้ายที่มองเห็นก่อนที่ขบวนรถจะออกไปพ้นสถานีนั้นเหลืออยู่เพียงน้อยนิด
มิ่งขวัญ LV. 16
[/......66:1450.....]
อิงศรเบ้ปากแล้วตะโกนสุดเสียง
"ไม่ได้นะ! ถ้ากดระเบิดทั้งที่HPเหลืออยู่แค่นั้นล่ะก็.."
อนิจจาเสียงของเขาส่งไปไม่ถึงมิ่งขวัญ ภาพบนกระจกกลายเป็นทิวทัศน์ด้านนอกสถานีไปเสียแล้ว
หลังจากรถไฟวิ่งไปได้ระยะหนึ่ง ระเบิดที่วางไว้ก็เริ่มทำงานเป็นฝีมือมิ่งขวัญอย่างไม่ต้องสงสัยและด้วยพลังชีวิตที่มีอยู่แค่นั้นไม่มีทางรอดจากการถูกซากสถานีถล่มใส่ได้อย่างแน่นอน
อิงศรได้แต่มองสถานีที่กำลงถล่มทลายกลับคืนสู่ดิน ทยอยห่างออกไปไกลจนกระทั่งลับสายตา
"ขวัญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญ
ญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญ!!! "
แล้วกรีดร้องจนคอแทบแตกก่อนล้มฟุบลงกับพื้น พลางส่งเสียงครางอย่างขมขื่น และหวังให้ทั้งหมดเป็นเพียงแค่ฝันร้ายแล้วรีบตื่นจากมันเสียที
น้ำตาไหลเป็นสายจนกระทั่งดวงตาแห้งขอด แต่อิงศรก็ยังส่งเสียงสะอื้นไห้และครางออกมาอย่างเจ็บปวด
ที่ผ่านมาเขาทำได้ดีในเรื่องของการสะกดข่มใจตัวเองไม่ให้แสดงความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา แต่หนนี้ถึงจะพยายามสะกดข่มใจตัวเองอย่างหนักกว่าครั้งไหน ๆ ก็ไม่อาจหยุดความเศร้าเสียใจนี้ไว้ในอกได้เลย
ความเจ็บปวดจากแขนที่ถูกตัดขาดนั้นหายไปและแขนที่โดนตัดก็งอกออกมาใหม่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังรู้สึกทรมาน รู้สึกอึดอัดที่จะหายใจ รู้สึกเจ็บปวดที่จะรับรู้ว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่ในโลกที่ทุกคนตายจากเขาไปหมดแล้ว
ทำไมถึงเป็นเขาที่ได้หนีมา...
ทำไมมิ่งขวัญที่อ่อนแอถึงได้ทรยศต่อความหวังดี...
ทำไมถึงผลักไสชะตากรรมแบบนี้ให้...
คำถามต่าง ๆ ผุดขึ้นมาอย่างไม่มีคำตอบ
"..."
เด็กชายอยากที่จะสบถถ้อยคำประชดประชันในชะตาชีวิตของตัวเองแต่ก็ไม่เสียงจะทำแบบนั้นจึงได้แต่สาปแช่งตัวเองที่มีชีวิตรอดอยู่ในใจ จนกระทั่งสติหลุดลอยไปในที่สุด
สติของอิงศรกลับมาอีกครั้ง เด็กชายปรือตาขึ้นเล็กน้อย แล้วตรวจสอบสถานการณ์ของตัวเอง ตู้โดยสารท้ายขบวนที่ได้เห็นมิ่งขวัญเป็นครั้งสุดท้ายเขาตื่นขึ้นที่นั่น รถไฟดูเหมือนพึ่งจะเข้าจอดที่สถานี
"ทุกนายจงดีใจซะในที่สุดพระเจ้าก็ตอบรับคำสวดภาวนาของพวกเราแล้ว"
มีเสียงแว่วมาจากด้านนอกของรถไฟ
"ผู้กอบกู้จะขี่ม้าสีขาวออกมาพร้อมกับธนูแห่งชัยชนะ จงไปเอาตัวผู้กอบกู้ของพวกเรามา! "
น้ำเสียงนั้นหนักแน่นและแฝงไปด้วยความน่าเกรงขาม ยามเมื่อประตูรถไฟเปิดออก ก็มีคนในชุดเครื่องแบบทหารก้าวเท้าเข้ามาในรถ หนึ่งคน สองคน สามคน ไล่มาเรื่อย ๆ แต่ละบานประตูรถจะมีคนเข้ามาหนึ่งคน และทุกคนกำลังมองหาอะไรบางอย่าง
"แต่ก็เหลือเชื่อเลยแฮะส่งขบวนรถไฟเปล่า ๆ ไปดันวิ่งกลับมาเองได้ซะงั้นนายรู้อยู่ก่อนแล้วสินะสิงห์"
ตอนนั้นเองก็ได้ยินเสียงของผู้ชายอีกคนดังมาจากด้านหลัง ตรงกับบานประตูสุดท้ายของขบวนรถไฟที่เขานั่งอยู่ จากนั้นก็มีเสียงที่ได้ยินในครั้งแรกดังตามมา
"ถ้าชั้นบอกว่าผู้กอบกู้จะมามันก็ต้องมา"
เจ้าของเสียงก้าวเท้าเข้ามาในรถไฟเป็นชายในชุดทหารท่าทางเย็นชารูปหน้าคมสัน และไม่มีสิ่งที่เรียกว่าอารมณ์ฉาบอยู่บนใบหน้าเพราะแทบจะไม่มีรอยย่นจากการยิ้มหรือหัวเราะปรากฎให้เห็นราวกับว่าเขาไม่เคยแสดงมันออกมา
"พูดแบบมั่นใจขนาดนั้นอีกละเคยเผื่อใจกันหน้าแตกไว้บ้างไหมเนี่ย..."
พวกเขาหยุดการสนทนากันเพียงเพราะมาเจออิงศรนั่งรออยู่ในรถไฟ
"..."
สายตาของชายไร้อารมณ์จ้องมาที่อิงศร
"มาสายไปสี่เดือนยี่สิบสองวันสิบชั่วโมงกับอีกยี่สิบแปดวินาที แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนตามคำพยากรณ์ของซีลอร์ด นายคือผู้ถูกฟันเฟืองเลือกให้เป็น 'ผู้กอบกู้' อย่างนั้นสินะ"
"..."
อิงศรไม่เข้าใจความหมายของคำพูดนั้น ไม่เข้าใจด้วยว่าพวกคนเหล่านี้เป็นใครและต้องการอะไรจากเขา
ระหว่างนั้นชายที่ยืนอยู่ข้างกันก็ลงมือกระทำบางอย่างด้วยการเปิดหน้าจอระบบเกมขึ้นแล้วย้ายจอหันมาทางอิงศร
"สิงห์ เจ้าเด็กนี่อาชีพ 'เรนเจอร์' (Ranger) เหมือนกับชั้นเลยแต่อาวุธที่ติดตั้งเป็นประเภทธนูแหะ"
โดนชายคนนั้นตรวจสอบข้อมูลไปแล้ว ...แต่จะสำคัญอะไรอีกล่ะ... อิงศรคิดแล้วสีหน้าก็พลอยหมองหม่นไปด้วย
"งั้นก็ตรงตามคำพยากรณ์"
ชายไร้อารมณ์ผู้ถูกเรียกว่าสิงห์สรุปคำพูดนั้นก่อนจะประชิดเข้ามา
"จากนี้ไปชั้นจะขอใช้แกเป็นตัวหมากที่แสนสำคัญเพื่อกอบกู้มนุษยชาติล่ะนะเจ้าหนู"
แล้วพูดพร้อมกับส่งมือมาเหมือนจะช่วยพยุงให้ลุกขึ้น
"อย่ามาพูดบ้า ๆ นะ!"
อิงศรตะหวาดใส่มือข้างนั้น แล้วแสดงใบหน้าอ่อนแอ ออกมาเป็นครั้งแรก
"ชั้นน่ะ...ชั้นน่ะ...ปกป้องใครเอาไว้ไม่ได้เลย...แล้วนายยัง...จะบอกให้ชั้นเป็นผู้กอบกู้อะไรอีก"
เด็กชายพูดตัดพ้อต่อชะตาชีวิตด้วยน้ำเสียงกล้ำกลืนสุดประมาณ
"เกมของชั้นมันโอเวอร์ไปแล้ว!!"
ตะโกนด้วยใบหน้าที่เจ็บปวดและมีหยาดน้ำตาไหลรินออกมา
แต่ชายไร้อารมณ์ก็ไม่ได้แสดงความเห็นใจให้ ที่จริงใบหน้าของเขาหยุดนิ่งอยู่แบบนั้นตั้งแต่ที่เจอกันแล้วจนตอนนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
"เกมโอเวอร์งั้นเหรอ..."
เขาพูดตอบกลับมา แล้วเก็บมือจากนั้นก็เชิดใบหน้าขึ้น
"แล้วมันยังไงกันล่ะ ชีวิตที่รอดมาได้บนความตายของผู้คนนั่นนายคิดจะเอาไปใช้ทำอะไร"
"เรื่องนั้น..!"
อิงศรคิดจะพูดสวนแต่กลับถูกแทรกด้วยสายตาที่ดุดันซึ่งปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เรียบนิ่ง
"เท่ากับว่าชีวิตในตอนนี้มันไม่ใช่ของนายอีกต่อไปแล้วชะตากรรมไม่ได้กำหนดให้นายมาจบอยู่ที่เส้นสตาร์ทนี่"
ชายตรงหน้าตะหวาดออกมาเช่นนั้นแล้วก็ส่งมือมาให้อีกพลางพูดว่า
"มากับชั้นสิ ! รีสตาร์ทเกมของนายอีกครั้งแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ซะ ! ชั้นจะชี้นำให้เอง !"
หากยอมปล่อยให้ตัวเองเป็นคนอ่อนแอแล้วคว้ามือนั้นไว้ชะตาชีวิตหลังจากนี้คงจะบิดผันเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ บรรยากาศบอกเล่าออกมาเช่นนั้น
แต่จะสำคัญอะไรอีก...
ตัวตนของเขาได้ตายไปตั้งแต่ตอนสถานีรถไฟที่ถล่มลงมาตอนนั้น ไม่จำเป็นต้องทำตัวเข้มแข็งเพื่อปกป้องใครอีกแล้ว อิงศรคว้ามือนั้นไว้โดยไม่คิดลังเล
.....จากนั้นเพียงชั่วพริบตากาลเวลาก็ผันผ่านไปอย่างง่ายดายถึงสามปี.....
สามปีต่อมา
ณ สวนสาธารณะในเขตมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ที่นี่ถูกโอบล้อมโดยธรรมชาติแสนจะเขียวขจี รอบสวนสาธารณะนั้นเป็นคูคลองที่ขุดขึ้นจากฝีมือของมนุษย์ คลองมีความกว้างไม่มากแต่ก็ลึกกว่าที่เห็นถัดจากคลองไปนั้นเป็นรั้วอิฐที่เก่าจนพุพังลงมาเป็นซาก บางแห่งถูกรถขับเข้ามาชนตอนวันสิ้นโลกจนพังเสียหาย
ภายในสวนเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์แสดงประวัติศาสตร์ของวิทยาลัย และบนหลังคาสามเหลี่ยมหน้าจั่วของอาคารพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เอง ก็มีเด็กหนุ่มในชุดเครื่องแบบทหารทาบทับด้วยผ้าคลุมสีดำปรากฏตัวขึ้น
เด็กหนุ่มมีเรือนผมสีดำหยิกหยักศกบ้างนิดหน่อยปอยผมที่ตกลงมาข้างหน้าหวีเก็บไปทางซ้าย เผยให้เห็นดวงตาที่ดูเย็นชาเล็กน้อย ชุดเครื่องแบบทหารสีเขียวลายพรางกับผ้าคลุมสีดำช่วยให้ผิวพรรณที่ขาวผ่องอยู่แล้วดูเด่นสะดุดตาขึ้น ถึงเป็นทหารแต่ก็มีผิวพรรณที่มีน้ำมีนวลยิ่งกว่าผู้หญิงจนบางครั้งก็ถูกเอาไปล้อในเรื่องนี้อยู่บ่อย ๆ
ยามเมื่อสายลมพัดผ่าน ปลายผ้าคลุมสีดำก็จะโบกสะบัดพลิ้วไหว ในตอนนั้นเองเสียงคำรามของสัตว์เทวะก็ดังกึกก้อง
Heraldic Beast Deity: Zodiac Sagitarius Keeper Lv.10
[/////2000:2500///..]
จ่าฝูงสัตว์เทวะครึ่งคนครึ่งม้าผู้รับใช้เทพแห่งจักรราศี กำลังควบห้อมาตามเส้นทางสะพานที่ตัดเลียบถนนด้านหน้าสวนสาธารณะและที่เบื้องหน้าสัตว์เทวะนั้นมีชายในชุดทหารแบบเดียวกันสองนายกำลังประจันหน้าอยู่
เด็กหนุ่มจ้องมองการต่อสู้นั้นจากบนหลังคาพิพิธภัณฑ์ ในสายตาของเขานายทหารทั้งสองดูกระอักกระอ่วนกับการต่อสู้เป็นอย่างยิ่ง
"ผ่าสิเฮ้ย นี่มันมาถึงตรงนี้แล้วเหรอเนี่ย"
"จะยังไงก็อย่าให้มันเข้าไปที่พิพิธภัณฑ์เด็ดขาดเลยนะ ขืนเสียฮาบิแททพอยซ์ที่นี่ไปค่ายเราได้เละเทะแน่"
นายทหารสนทนากันอย่างตึงเครียด มือที่จับอาวุธนั้นมีเหงื่อไหลอาบแสดงให้เห็นว่าพวกเขากำลังถูกไล่ต้อนไปสู่ความหายนะ จากสัตว์เทวะที่มีระดับแค่เลเวลสิบ...
ถึงจะเป็นระดับจ่าฝูงสัตว์เทวะแต่มันก็แค่นั้น เด็กหนุ่มประเมินแล้วว่าเสียเวลาเปล่าถึงจะดูการต่อสู้พรรค์นี้ก็ไม่สามารถเรียนรู้อะไรได้เลย
"แย่แล้วเจ้านั่นมันกระโดดหนีเข้าไปแล้ว"
เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นเมื่อ ครึ่งม้าครึ่งคนกระโดดข้ามหัวนายทหารลงมาในสวน
"บ้าจริง! วันนี้คนเฝ้าฮาบิแททพอยซ์เป็นเด็กฝึกงานนะรีบไปช่วยเร็วเข้า"
พวกเขากระโจนตามมาจากสะพานด้วย แต่ก็สายเกินไปสัตว์เทวะจวนเจียนจะเข้ามาถึงอาคารพิพิธภัณฑ์แล้ว
"เจ้าเด็กฝึกงานนั่นไปทำอะไรอยู่บนนั้นน่ะ"
"พลสำรองอิงศรรีบหนีไปเร็ว!!"
พวกเขามองเห็นเด็กหนุ่มแล้วจึงส่งเสียงตะโกนมาเตือนให้รีบหนี แต่เด็กหนุ่มกลับเหยียดยิ้มพลางขึ้นลูกธนูเล็งไปยังสัตว์เทวะ
"จงสถิตในคันศรข้า บัฟ - แอโร่ว!!"
จากนั้นก็แผลงศร ลูกธนูที่พุ่งออกไปกลายเป็นมหิงสาเพลิงขวิดใส่สัตว์เทวะจนมันร่วงลงไปในคลอง
"กิฟท์แอโร่ว(Gift Arrow)
เด็กหนุ่มแผลงศรตามไปอีกสามครั้งอย่างแม่นยำ ลูกธนูทั้งหมดปักเข้าที่คอของสัตว์เทวะ อีกทั้งบนลูกศรแต่ละดอกยังมีระเบิดพ่วงติดไปด้วย
"เกมโอเวอร์ไปซะ ไอ้สัตว์ประหลาด"
เด็กหนุ่มพูดพร้อมกับกดสวิตซ์สั่งให้ระเบิดทำงาน เกิดเสียงตูมครั้งใหญ่ประหนึ่งฟ้าถล่มดินทลายร่างของสัตว์เทวะแหลกเละไม่มีชิ้นดีก่อนจะสลายไปในภายหลัง แรงระเบิดยังหอบเอาน้ำในคลองขึ้นมาเทกระจาดสาดเป็นสายฝนตกใส่แค่นายทหารทั้งสองเท่านั้นอีกด้วย
"ไอ้บ้าอิงศรนี่แกจงใจใช่ม้าย!!"
หนึ่งในนายทหารที่โดนน้ำคลองสาดเป็นหัวหน้าของทีมได้ส่งเสียงตะหวาดตำหนิการทำงานมา แต่อิงศรเมินใส่คำพูดนั้นพลางมองตรงไปเบื้องหน้า
ทอดสายตาออกไปไกลจนถึง แนวป่าคอนกรีตไร้ผู้คนซึ่งโลกหลังการล่มสลายสรรสร้างขึ้นยามที่มองดูซากอาคารเหล่านั้นภาพของเมื่อสามปีก่อนก็เหมือนจะหวนกลับมา เด็กหนุ่มหลับตาลง
"จากตอนนั้นผ่านมาสามปีแล้วสินะ..."
แล้วพึมพำออกมา
ในที่สุดเขาก็ได้กลับมาสู่บ้านเกิด
กลับมายังเมืองที่สูญเสียความหมายในการมีชีวิตอยู่ไปจนหมดสิ้น
รวมถึงเป็นเมืองแห่งการเริ่มต้นในการต่อสู้กับ...
โลกที่ล่มสลาย สัตว์เทวะ และ มนุษย์ต่างดาว ของพวกเขา...
อิงศร LV. 42
[/////2990:2990/////]
หลังได้รับข้อความสั่งให้หนีจากอิงศรแล้ว มิ่งขวัญก็วิ่งกลับมาถึงห้างสรรพสินค้าและทันทีที่ขึ้นไปถึงชั้นลอยซึ่งเชื่อมไปสู่สถานีรถไฟฟ้าก็เจอพวกเด็ก ๆ จากสถานสงเคราะห์อยู่กันครบห้าคนแต่กลับไม่เจออิงศรและสีดา
อย่างไรก็ตามเขาได้รับการฝากฝังจากอิงศรมาให้พาทุกคนที่มารวมตัวกันหนีไปขึ้นรถไฟก่อน
"ทุกคนรีบไปที่สถานีกันเหอะ"
มิ่งขวัญสั่งทันทีที่เข้ามารวมกลุ่ม แล้วทุกคนก็เริ่มวิ่งไปยังสถานี โดยมีฟูกับมิกซ์นำหัวแถว ส่วนมิ่งขวัญคอยรั้งท้ายเพื่อระวังหลังให้
"ขวัญแล้วพี่ศรล่ะ!?"
เสียงของฟูดังมาจากแถวหน้า
"ไม่รู้... เดี๋ยวก็มามั้งรีบไปก่อนเถอะ"
มิ่งขวัญตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีนัก
และแล้วพวกเขาก็มาถึงสถานี ถัดจากนั้นก็วิ่งข้ามประตูเก็บตั๋วไปจนถึงบันไดอีกที่จะขึ้นไปยังชั้นชานชาลาที่หนึ่ง ภายในสถานีไม่มีสัตว์เทวะแล้วเพราะการทำลาย จุดพลังงานตอนที่ยกกันมาสำรวจคราวก่อน
ตอนนั้นเองเส้นทางเบื้องหน้าบันไดก็ถูกปิดโดยชายผมแดงที่จู่ ๆ ก็โผล่มาขวาง โดยที่พวกเขาแทบจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าชายคนนี้เข้ามาในสถานีตั้งแต่เมื่อไหร่
ชายคนดังกล่าวมีผิวซีดขาวกว่าปกติ สวมเสื้อโค้ทสีแดงมีขนมินท์สีขาวที่ปกคอเสื้อ ชื่อที่เขียนบนหน้าจอแสดงแถบพลังชีวิตเขียนด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษสีฟ้า ตรงกับที่อิงศรแจ้งมา ดังนั้นชายคนนี้จึงเป็นศัตรู ส่วนความเก่งกาจที่ขนาดอิงศรยังบอกว่าอย่าไปยุ่งด้วยนั้นแค่มองตัวเลขเลเวลที่ลอยอยู่ข้างชื่อก็รับรู้ได้
Lithium LV. 144
[/////39608:39698/////]
ไหนจะมีรังสีฆ่าฟันที่มองไม่เห็นแผ่ออกมาจนรู้สึกได้อีก ไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนเลย...
มิ่งขวัญนิยามความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้ออกมาอย่างนั้น
สัมผัสของชายผมแดงทำให้มือที่จับดาบสั่นจนต้องเอามืออีกข้างมาช่วยประคอง ความรู้สึกเย็นยะเยือกแผ่วาบไปทั่วสันหลังนอกจากนี้ยังรู้สึกถึงสายตาที่คมกล้าดุจดาบกำลังทิ่มแทงเข้ามาจากอีกฝ่าย ถึงแม้จะมีแว่นตาที่มีเลนส์ประหลาด ๆ สะท้อนแสงออกเป็นสีรุ้งได้ใส่อยู่ก็ตาม
"นอกจากเป้าหมายแล้วที่เหลือก็ให้กำจัดทิ้งทั้งหมดสินะ..."
เหมือนจะได้ยินชายผมแดงพึมพำออกมาเช่นนั้นก่อนจะลั่นวาจาอย่างตรงไปตรงมา
"คนที่ผมต้องการมีเพียงชาวโลกที่ชื่ออิงศรกับมิ่งขวัญ ถ้าไม่มาขัดขวางจะยอมไว้ชีวิตพวกเธอให้ก็ได้"
น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจแล้วยังแฝงไว้ด้วยความรู้สึกดูถูกดูแคลน ทำเหมือนกับว่าพวกเขาจะขายเพื่อนขายครอบครัวให้โดยง่าย
"พูดบ้า ๆ ใครมันจะไปยอมทำตามที่แกบอกกันเล่า! "
ฟูตะหวาดเสียงดังลั่น
ถูกอย่างที่ว่าหากมันคิดว่าพวกเราจะขายพวกเดียวกันเพื่อเอาตัวรอดแล้วล่ะก็มันคิดผิดถนัดเลย...
มิ่งขวัญเห็นด้วยกับฟูอยู่ในใจ ถึงอิงศรจะห้ามเอาไว้ไม่ให้เข้าปะทะก็ตามแต่ได้ยินที่พูดมาเมื่อกี้แล้วไม่โกรธก็ไม่ใช่ลูกผู้ชายแล้ว
ชายผมแดงเหมือนจะพูดอะไรซักอย่าง ตอนนั้นเสียงปืนของมิกซ์ก็ดังขึ้นทำให้ได้ยินไม่ครบทั้งหมดแต่เหมือนจะเปรยว่า
"โง่เขลาสมกับเป็นชาวโลกซะจริง..."
แต่ลูกกระสุนก็พุ่งออกไปแล้วก่อนที่ชายผมแดงจะรู้ตัวเสียอีก ลูกกระสุนจะต้องเข้าเป้าอย่างแน่นอนเพราะถ้าไม่รู้ตัวก่อนก็ไม่มีทางที่จะหลบได้ ทว่า...
ความคิดเช่นนั้นมันผิดพลาด...
ผิดพลาดตั้งแต่ตอนที่คิดจะสู้กับสัตว์ประหลาดในคราบมนุษย์ตนนี้แล้ว
ร่างของชายผมแดงเรือนหายไปดั่งภาพลวงตา พริบตาถัดมาก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้ามิกซ์ราวกับเล่นกล...
เป็นไปได้หรือที่คน ๆ หนึ่งจะหายตัวจากที่หนึ่งไปยังอีกที่ได้แถมยังหลบกระสุนปืนที่ยิงออกไปก่อนจะรู้ตัวได้ด้วยอีกต่างหาก
แล้วตอนนั้นเองก็มีเสียงเหมือนกับกระดูกถูกกระชากจนหลุดออกจากกันดังพล่อก
ถัดมาศีรษะของมิกซ์ก็หลุดกระเด็นไปต่อหน้า
กว่าจะเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตอนที่เลือดซึ่งพุ่งออกจากคอที่ขาดไปแล้วของมิกซ์หยดลงบนแก้ม สิ่งที่สะท้อนอยู่ในดวงตาก่อนที่ชายผมแดงจะเลือนหายไปอีกครั้งคือเจ้านั่นค้างอยู่ในท่าที่เหมือนกับปัดมือออกไป...
เป็นไปได้อย่างนั้นหรือที่ใช้แค่มือเปล่าก็ตัดหัวคนได้อย่างง่ายดายเหมือนหักกิ่งไม้
มิ่งขวัญได้แต่ย้ำถามกับตัวเองว่านี่คือฝันร้ายใช่ไหม
"กรี้ดดด!!"
เสียงกรีดร้องของพลอยดังขึ้น แล้วเธอก็ถูกทะลวงหน้าอกทะลุไปถึงกลางหลัง สิ้นใจตามมิกซ์ไปทันที กระทั่งเน็กซ์และนิวที่ยังลืมตาดูโลกได้ไม่ถึงสิบปีก็ถูกช่วงชิงชีวิตไปด้วยกัน
"อึก..."
ฟูส่งเสียงออกมาเพียงเล็กน้อยทั้งที่ถูกทะลวงทะลุอกซ้ายด้วยมือเปล่า คงเพราะความเจ็บปวดที่ไปหยุดเสียงเอาไว้ ถึงอย่างนั้นเด็กชายก็ไม่มีโอกาสจะรอดชีวิตเพราะสิ่งที่อยู่ในมือของชายผมแดงซึ่งทะลวงหน้าอกทะลุออกมาถึงหลังนั้นคือก้อนเนื้อหัวใจที่ยังเต้นตุบ ๆ และถูกขยี้แหลกคามือที่ย้อมเป็นสีแดงก่ำด้วยเลือดของครอบครัว
จากนั้นชายผมแดงก็ถอนมือออก ร่างของฟูล้มลงราวกับขอนไม้
ทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว
กว่าที่สมองจะประมวลผลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้
กว่าที่ความเศร้าโศกอาลัยอาวรณ์จะถูกกลั่นออกมาเป็นน้ำตา
ยังต้องใช้เวลาอีกหลายวินาที หลังจากนั้นแรงที่รั้งขาให้ยืนไว้ก็หายไปซะดื้อ ๆ
มิ่งขวัญล้มตัวคุกเข่าอย่างสิ้นหวัง แต่กระนั้นชายผมแดงกลับโผล่มาอยู่ต่อหน้าและยื่นมือให้พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งคารมหรือความคิดที่อยากจะรักษาน้ำใจก็ไม่มีอยู่ในคำพูดนั้นเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว
"เอ้า จะไปกันได้รึยัง"
ทั้งที่น้ำตาคลอเบ้าแต่กลับร้องไม่ออก ชายตรงหน้าไม่ใช่คนที่ใช้น้ำตาแล้วจะแสดงความเห็นใจให้อย่างแน่นอน จิตใต้สำนึกบอกกล่าวออกมาเช่นนั้น
หลังจากคำพูดนั้น มิ่งขวัญก็ไม่ได้ตอบกลับออกไปจึงมีแต่ความเงียบที่เกิดขึ้น
จนกระทั่งชายผมแดงเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเหมือนกับพึ่งรู้สึกตัวถึงอะไรบางอย่างจึงดึงมือกลับไปมองดูอย่างพินิจพิเคราะห์
"อืม...ว่าแล้วเชียวรู้งี้น่าจะใส่ถุงมือก่อน เธอคงไม่ชอบเลือดสินะ แต่ว่าชั้นชอบมันมากเลยล่ะเพราะว่ามันเป็นสีแดงยังไงล่ะ"
ชายผมแดงปรับน้ำเสียงในครั้งนี้ให้อ่อนลงจนฟังดูเป็นผู้เป็นคนกว่าเดิม แต่ไม่มีคนสติดีที่ไหนเขาพูดเรื่องพรรค์นั้นกันทั้งที่พึ่งฆ่าคนไปหรอก
ระหว่างความช็อกกับความเศร้า ความกลัวกับความโกรธ ความรู้สึกทั้งหมดผสมปนเปเป็นเนื้อเดียวกันจนร่างกายไม่สามารถตอบสนองอารมณ์ทั้งหมดนั้นออกมาได้นอกจากการหลั่งน้ำตา
ความเงียบสงัดดำเนินต่อมาหลังจากคำพูดของชายผมแดง ก่อนจะถูกทำลายด้วยเสียงโลหะกระทบพื้น
มีกระป๋องเหล็กสองใบกลิ้งตกลงมาจากบันไดที่อยู่ทางด้านหลังของชายผมแดง
และในตอนนั้นเอง
"บัฟ---แอโร่ว! "
น้ำที่เสียงคุ้นหูก็ดังข้ามมา ที่ตรงบริเวณกลางบันไดพอดี อิงศรยืนอยู่ที่นั่นแล้วแผลงศรลงมา ในจังหวะเดียวกับที่ควันสีขาวพวยพุ่งออกจากกระป๋องโลหะ
ชายผมแดงไม่ได้หลบลูกธนูเหมือนตอนหลบลูกกระสุนเพราะวิสัยทัศน์ถูกบดบังจนคาดเดาไม่ได้ว่าลูกธนูจะมาจากทางไหน จึงเลือกที่จะจับมันด้วยมือเปล่าในตอนที่ลูกธนูจวนจะเข้าถึงตัว เขามีพลังถึงขนาดนั้นแต่ก็ไม่ได้เกินกว่าที่อิงศรคาดการณ์เอาไว้นัก
ลูกธนูที่ชายผมแดงจับอยู่ได้ระเบิดออก เปลวไฟหลังการระเบิดไหลบ่าทับท่วมร่างก่อนจะก่อตัวเป็นมหิงสาเพลิงแล้วผลักไสร่างสีแดงออกไปจากม่านควัน
ชายผมแดงพยายามใช้เท้าจิกพื้นเพื่อหยุดมหิงสาเพลิงแต่ก็ถูกดันจนลากเอาพื้นสถานีลอกเปิกไปเป็นทาง เขาถอยจนไปชนเข้ากับกำแพงกั้นจนทะลุและร่วงลงไปจากสถานีพร้อมกับมหิงสาเพลิงที่กำลังจะสลายไป
ท่ามกลางควันจำนวนมหาศาล มิ่งขวัญรู้สึกได้ว่าตัวของเขาถูกลากออกไปจากกลุ่มควัน มีเสียงของอิงศรดังมาว่า
"ทำใจดี ๆ ไว้ขวัญ"
ไม่รู้ทำไมแต่พอได้ยินน้ำเสียงที่อ่อนโยนนั่นแล้วเสียงสะอื้นที่ปล่อยไม่ออกถึงได้ไหลไม่หยุดแล้วมิ่งขวัญก็ร้องไห้คร่ำครวญไปตลอดทางที่หนี
ณ ชั้นชานชาลารถไฟฟ้าที่สอง อิงศรกำลังสั่งเริ่มการทำงานของระบบคนขับอัตโนมัติ
เสียงเครื่องยนต์คำรามดังกระหึ่มไปทั้งชานชาลาจนน่าหวั่นว่าเสียงจะนำพาศัตรูมาหา แต่อีกแค่ห้านาทีรถก็จะออกแล้ว จนกว่าจะถึงตอนนั้นคงทันแบบฉิวเฉียด
เด็กชายเดินออกจากห้องคนขับและ ที่เบื้องหน้านั้นมิ่งขวัญนั่งกอดเข่ารอเขาอยู่ยังคงร้องไห้ไม่หยุด หลังจากเอาแต่พล่ามว่า ฟูตายแล้ว มิกซ์ตายแล้ว ทุกคนตายหมดแล้ว หลังจากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกนอกจากส่งเสียงสะอื้น
อิงศรไม่คิดตำหนิในเรื่องนั้น เพราะขนาดตัวเขาเองที่แค่ไปเห็นตอนร่างกายของทุกคนถูกทำลายลงหมดเท่านั้นก็ยังแทบใจสลาย
แต่มิ่งขวัญเป็นคนที่เห็นทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ ที่ยังพอมีสติอยู่เงียบๆ แบบนี้ได้ถ้าไม่ใช่เพราะสภาพจิตใจเข้มแข็งกว่าก็คงจะช็อกจนเพี้ยนไปมากกว่านี้ แต่ดูจากอาการคงไม่ใช่ทั้งสองอย่าง มิ่งขวัญเหมือนจะมีสิ่งที่ยังช่วยยึดเหนี่ยวเอาไว้มากกว่าจิตใจถึงยังไม่สลายไป
"ขวัญเข้าไปรอในรถเถอะ"
อิงศรพูด
"..."
แต่มิ่งขวัญยังคงไม่ขยับตัว อิงศรจึงพูดอีกครั้งแต่ปรับน้ำเสียงลดลงจนเหมือนกับอ้อนวอน
"ขอร้องล่ะขวัญขึ้นไปรอที่รถเถอะ"
เหมือนจะได้ผล มิ่งขวัญพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่ตู้โดยสารอย่างว่าง่าย เด็กชายถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่แค่เดี๋ยวเดียวก็กลับมาตีสีหน้าจริงจังอีก
นั่นเพราะยังมีอีกเรื่องที่ต้องไปทำ คือตามหาตัวสีดาที่ไม่สามารถติดต่อได้ด้วยระบบของเกม แต่ก่อนหน้านั้นจะต้องส่งมิ่งขวัญหนีไปที่ปลอดภัยก่อน
อิงศรหันไปมองเสาค้ำยันสถานีต้นที่เขาเคยคุยกับมิ่งขวัญเมื่อสี่วันก่อน ตอนนี้มันถูกติดตั้งระเบิดเอาไว้สี่ลูก ที่ชั้นอื่นของสถานีก็มีติดไว้ทุกที่ ถ้ากดสวิตซ์เมื่อไหร่ทุกลูกจะทำงานพร้อมกันแล้วส่งสถานีแห่งนี้กลับคืนสู่ดิน
อิงศรติดตั้งระเบิดเหล่านี้ หลังจากบอกให้ทุกคนหนีผ่านทาง 'Chat' แล้วเขาก็ใช้ทางลัดมุ่งหน้ามาสถานีก่อนเพื่อเตรียมการให้พวกมิ่งขวัญที่กำลังจะมาสามารถหนีไปได้โดยปลอดภัยจึงติดตั้งระเบิดเอาไว้ทุกจุดในสถานีกะเอาไว้ว่าเมื่อรถไฟออกไปแล้วจะทำลายสถานีทิ้งไม่ให้พวกมันไล่ตามไปได้
หลังจากนั้นถ้าเคลื่อนไหวเพียงลำพังก็อาจจะพอเล็ดลอดสายตาศัตรูได้แล้วไปหาตัวสีดาให้เจอจากนั้นค่อยตามไปสมทบกับมิ่งขวัญทีหลัง แผนการทั้งหมดอยู่ในหัวของอิงศร เหลือก็แค่ปฏิบัติตามเท่านั้น
อีกสามนาทีรถไฟจะออก บริเวณโดยรอบยังคงสงบดีหากสถานการณ์ดำเนินไปแบบนี้ก็ไม่มีอะไรต้องห่วง อิงศรจึงตัดสินใจจะออกไปตามหาสีดาตั้งแต่ตอนนี้เลย
ทว่า ทันทีเขากำลังจะเดินออกไปจากชานชาลาอยู่นั่นเอง มิ่งขวัญก็ตะโกนมา
"ศรจะไปไหนน่ะ?! "
อิงศรหันกลับไปเตรียมจะบ่นว่าอย่าทำตัวเรื่องมาก... แต่ก็พูดไม่ออก ใบหน้าของมิ่งขวัญแสดงความกังวลและความกลัวออกมาอย่างชัดเจน
เด็กชายจิกปากด้วยความเจ็บใจ เขาไม่อยากทิ้งน้องชายไปกับรถไฟเพียงลำพังในสถานการณ์แบบนี้หรอก แต่จะทิ้งสีดาไปก็ไม่ได้ สามเดือนที่ผ่านมาเธอคนนั้นเสมือนเป็นครอบครัวคนหนึ่งไปแล้ว ถ้าหากว่าที่หลงไปเป็น ฟู มิกซ์ พลอย เน็กซ์ หรือ นิว เขาก็ต้องไปช่วยให้ได้ จนกว่าจะเห็นกับตาว่าทุกคนยังอยู่หรือตายไปแล้ว
"สีดา...ยังหาตัวเธอไม่เจอเลย ขวัญนายไปรอที่สถานีปลายทางก่อนเถอะเดี๋ยวจะตามไปทีหลัง"
อิงศรกัดฟันพูดและหวังให้น้องชายเข้าใจ
"ไม่ได้นะ! ขืน...ขืนทำแบบนั้น..."
น้ำเสียงของมิ่งขวัญสั่นเครือ ใบแก้มอาบไปด้วยน้ำตาพลางพูดถ้อยคำที่แสนเจ็บปวด
"ขืนทำแบบนั้นเดี๋ยวศรก็ถูกพวกมันฆ่าไปด้วยหรอก"
พูดออกมาอย่างนั้นแล้วก็วิ่งมาฉุดแขนของเขาจะลากให้ไปที่ตู้โดยสารด้วยกัน
"เราหนีกันเถอะนะศร"
"อย่านะ...ขวัญ...ปล่อยสิ"
อิงศรพยายามแกะมือน้องชายออก
"ขวัญเราจะทิ้งครอบครัวไม่ได้นะช่วยเข้าใจแล้วรีบหนี"
"ไม่เอา ขวัญไม่อยากเสียใครไปอีกแล้ว! "
มิ่งขวัญพูดแทรกแล้วดึงแขนเขาแรงกว่าเดิม
"ขวัญ!! "
อิงศรกระชากแขนออกจนเผลอทำมือปัดใส่หน้าน้องไป มิ่งขวัญเซถลาเหมือนจะล้ม
"อ๊ะ! "
ด้วยความตกใจจึงรีบเข้าไปจับตัวน้องไว้
"ขอโทษนะขวัญ เจ็บมากรึเปล่า"
มิ่งขวัญส่ายหน้าก่อนจะยืนยันคำเดิม
"ศรหนีไปด้วยกันเถอะนะ"
อิงศรถอนหายใจอีกครั้ง พยายามคิดหาคำพูดที่จะทำให้มิ่งขวัญยอมเข้าใจ ตอนนั้นเองที่สถานการณ์ผันเปลี่ยนไปอีกครั้ง
จากด้านหลังเขารู้สึกได้ว่ามีร่างของมนุษย์คนใหม่เพิ่มขึ้นมาในชานชาลารถไฟ
ดูเหมือนอีกฝ่ายจงใจทำให้พวกเขารู้เพราะถึงกับพูดออกมาเสียงดังให้ได้ยินกันอย่างชัดเจน
"อ้าว ตรงนั้นมันพวกลูกของชาวโลกที่ ซุงลี่กำลังตามหาอยู่นี่น้า~"
เจ้าของเสียงเป็นชายผิวซีดเหมือนกับพวกศัตรูมีผมสีเงินและสวมเสื้อโค้ทแบบเดียวกับชายผมแดง แต่ชุดของชายผู้นี้เป็นสีดำ
“เอ๊~ ชื่ออะไรแล้วนะพวกเธอน่ะอ๋อใช่ ๆ อิงศรกับมิ่งขวัญ งั้นก็ต้องเรียกว่า ซุงอิง กับ ซุงมิ่ง สิน้า~ ผมล่ะทึ่งกับพวกเธอจริง ๆ ทั้งที่เจอกับระดับราชครูแต่ก็ยังหนีรอดมาได้อีกเนี่ยไม่ทราบว่าทำได้ยังไงหรือครับ"
ย่างก้าวของผู้มาใหม่แต่ละก้าวนั้นล้วนสง่างามแม้แต่เด็กที่ไม่สนใจเรื่องกิริยามารยาททางสังคมชนชั้นสูงอย่างเขาเองก็รับรู้ได้ เมื่อรวมใบหน้าที่งดงามเข้ากับลักษณะท่าทางอันสูงส่งเยี่ยงขุนนางแล้วนั่นก็ทำให้รู้สึกถึงความน่าเกรงขามคนละแบบกับที่ชายผมแดงมี
อิงศรเพ่งสายตาไปที่หน้าจอแสดงชื่อและเลเวลของชายชุดดำ
Potassium LV. 144
[/////66666:66666/////]
แล้วจิกปากพลางสบถว่า
"โถ่เว้ยเจ้านี่ก็ระดับเดียวกับไอ้หมอนั่นเรอะ"
"อะฮะ สีหน้าแบบนั้นใช้ได้เลยนี่"
ชายชุดดำกล่าวนำจากนั้นก็เริ่มพล่ามไม่หยุดปาก
"สำหรับผมแล้วหนึ่งในสิ่งที่ชื่นชอบเกี่ยวกับชาวโลกมากที่สุดก็คือใบหน้ายามสิ้นหวังของพวกเธอเนี่ยแหละ ในตอนที่ความหวังสูญสิ้นไปต่อหน้านั่นน่ะมันงดงามยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดบนดวงดาวที่แสนโสมมแห่งนี้เลยเชียว"
ราวกับว่าไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา ไม่สิทำเป็นไม่เห็นมากกว่า...
อิงศรตีความอีกฝ่ายออกมาอย่างนั้น ทั้งที่เขายกคันธนูก็แล้ว ขึ้นลูกศรก็แล้ว แต่อีกฝ่ายไม่ได้มีทีท่าจะป้องกันตัวเลยแม้แต่น้อย
จากจุดนี้ระยะห่างราว ๆ สิบสองเมตรไม่มีทางที่คนสายตาสั้นเช่นเขาจะยิงโดน ยิ่งกับสัตว์ประหลาดแบบพวกมันยิ่งเป็นไปไม่ได้เว้นแต่ว่า
"ล็อกออน! "
อิงศรประกาศใช้สกิลจากนั้นก็ดึงลูกศรเพลิงเหนี่ยวสายดีดออกแล้วพูดต่อทันทีว่า
"ฟาสช็อต (Fast Shot) "
แล้วแผลงธนูออกไป การยิงที่เหมือนกับยิงออกไปเพียงครั้งเดียว แต่ความจริงแล้วเขายิงออกไปสามครั้งด้วยกัน เป็นผลมาจากสกิลที่ใช้ ด้วยวิธีนี้ลูกธนูทั้งสามดอกจะได้รับการสนับสนุนจาก 'ล็อกออน' ช่วยให้มั่นใจได้ว่าการยิงนี้จะไม่พลาดเป้า
“เปล่าประโยชน์ เปล่าประโยชน์ เอเลี่ยนอย่างพวกผมน่ะเก่งกว่าชาวโลกตั้งสิบสองเท่าเชียวนะ...”
จังหวะที่ชายชุดดำเอ่ยขึ้นมานั้นเป็นจังหวะเดียวกับที่ลูกธนูเพลิงทิ่มแทงใส่ร่าง และในตอนที่สมองของอิงศรสรุปว่าลูกธนูเข้าเป้าไปแล้วนั่นเอง ร่างของชายชุดดำกลับเลือนหายไปจากสายตา
"สิ้นหวังไปซะจะดีกว่าเพราะสีหน้าแบบนั้นมันงดงามมากกว่าน้า~"
อิงศรหันเหสายตาไปยังทิศทางตรงกันข้าม ที่นั่นชายชุดดำกำลังยืนกอดอกอยู่ ดวงตาหรี่แคบจดจ้องมาทางพวกเขา มือข้างหนึ่งยกขึ้นป้องปากเหมือนกำลังหัวเราะเยาะ ส่วนอีกข้างนั้นกำลูกธนูเพลิงทั้งสามดอกเอาไว้ สมองเปลี่ยนข้อสรุปใหม่…
เป็นข้อสรุปที่ยากจะเชื่อ แต่มันคือเรื่องจริงที่อีกฝ่ายรับลูกธนูเอาไว้ได้ทั้งหมด
"ช่วยดิ้นรนอย่างเต็มที่แล้วก็สิ้นหวังลงไปอย่างงดงามให้ดูหน่อยเถอะ... "
ชายผู้อ้างตัวว่าเป็นเอเลี่ยนกล่าวออกมาเช่นนั้น แล้วบีบธนูเพลิงที่กำเอาไว้ ลูกธนูหักเปาะและสลายตัวลงในทันที
เหลือเวลาอีกราวหนึ่งนาทีก่อนที่รถไฟจะออกจากสถานี แต่ศัตรูที่ไม่มีทางเอาชนะได้กลับยืนอยู่ต่อหน้า จากการนี้เองอิงศรก็ได้ข้อสรุปของการต่อสู้ในครั้งนี้ เป็นข้อสรุปที่น่าเศร้า...
จะต้องมีใครซักคนเสียสละตัวเองยื้อศัตรูเอาไว้แล้วให้อีกคนหนีไปซึ่งคนที่จะโดยสารรถไฟขบวนนี้จะต้องเป็นมิ่งขวัญ จากนั้นเขาจะระเบิดสถานีแห่งนี้ไปพร้อมกับตัวเอง โครงเรื่องแบบนั้นคงจะดีที่สุด มันเป็นคำตอบที่สร้างขึ้นจากความหวังที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด
"ไม่มีทางเลือกแล้วสินะ"
อิงศรพูดเหมือนจะสบถ
"ขวัญนายรีบขึ้นรถไปซะอีกหนึ่งนาทีรถจะออกแล้ว ชั้นจะต้านเอาไว้ให้จนกว่าจะถึงตอนนั้น"
น้ำเสียงของเขาเด็ดขาดเพื่อเป็นหลักประกันว่ามิ่งขวัญจะไม่ขัดขืนต่อประสงค์ดีที่จะเสียสละร่างนี้ต่อชีวิตให้ แล้วอิงศรก็พุ่งออกไปพร้อมกับขึ้นธนู
"อะฮะ เลือดขึ้นหน้าแล้วสิแบบนั้นมันน่าเบื่อน้า~"
เอเลี่ยนพูดเปรยๆ เหมือนจะเสียดาย จากนั้นร่างกายก็เริ่มเลือนหาย
พริบตานั้นเองด้วยสัญชาตญาณพาไปอิงศรตั้งสมาธิจดจ่ออยู่กับการเคลื่อนไหวสุดท้ายของศัตรูก่อนที่จะหายไปจากสายตา
ร่างที่กำลังเลือนหายนั้นก็แค่ภาพติดตาที่เกิดจากการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงจนตามองไม่ทัน แต่การเคลื่อนไหวก่อนที่ภาพติดตาจะหายไปจะช่วยบอกล่วงหน้าได้ว่าอีกฝ่ายจะบุกเข้ามาจากทางไหน
อิงศรอ่านการเคลื่อนไหวที่ว่าแล้วก็เหมือนจะจับจุดขึ้นมาได้เด็กชายหยุดวิ่งแล้วย้ายคันธนูไปทางซ้าย
"เห เธอเร็วขึ้นกว่าเดิมรึเปล่านี่"
เอเลี่ยนโผล่มาตรงจุดที่คันศรหันไปพอดี ถึงฟังจากน้ำเสียงจะดูเหมือนกำลังตกใจแต่สีหน้าก็ยังคงรอยยิ้มไว้ไม่เปลี่ยนแปลง
"เสร็จฉันล่ะไอ้ปีศาจ! "
อิงศรสบถใส่รอยยิ้มนั้นแล้วปล่อยมือจะแผลงศรออกไป แต่ทว่ามือของชายชุดดำได้ตวัดขึ้นมาก่อนสันมือนั้นฟันถูกกระดูกข้อต่อและแขนข้างซ้ายของอิงศรก็ถูกตัดขาดอย่างง่ายดายราวกับกระดาษ
"ศร !!"
มิ่งขวัญส่งเสียงตะโกนมาจากด้านหลัง ทั้งที่ควรจะขึ้นไปอยู่บนรถไฟแล้ว
"อิเล็กทริกเบลด! "
ตอนนั้นแขนของอิงศรที่ยังจับคันธนูไว้ก็ลอยเคว้งกลางอากาศ เลือดพุ่งทะลักออกจากส่วนที่โดนตัด เด็กชายใช้มือขวากดมันไว้
ความรู้สึกที่แขนซ้ายหายไปชั่วขณะ
"อึก..."
ความเจ็บปวดเริ่มแทรกเข้ามาร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองด้วยการส่งเสียงครางแถบพลังชีวิตลดลงไปเกินครึ่งในการโจมตีนี้
อิงศร LV. 17
[//...160:850.....]
มิ่งขวัญวิ่งผ่านอิงศรไป แล้วกวัดแกว่งดาบที่มีสายฟ้าสถิตไปมาอย่างสะเปะสะปะ ถ้าคู่ต่อสู้เป็นสัตว์เทวะแค่นั้นก็คงจะทำอะไรได้บ้าง แต่มันใช้กับศัตรูที่มีความคิดและฝีมือเหนือชั้นกว่าไม่ได้
แค่หวดดาบได้ไม่กี่ครั้งก็ถูกชายชุดดำจับแขนยกตัวลอยขึ้นเหนือพื้นก่อนจะถีบส่งจนร่างลอยละลิ่วกลับมากระแทกอิงศรแล้วลากกันกลิ้งโคโล่ไปหยุดอยู่หน้าประตูรถไฟ
"โอ๊ะโอ๋ดูเหมือนว่าหนูน้อยหมวกแดงของเรากำลังจะมากันแล้วนะ"
เอเลี่ยนกล่าวออกมา แล้วตอนนั้นเองก็มีผู้มาเยือนชั้นชานชาลาที่สองเพิ่มขึ้น ชายผมแดงเดินขึ้นบันไดมาพร้อมกับกลุ่มชุดดำที่เป็นพวกเดียวกัน
เอเลี่ยนละความสนใจไปจากพวกเขาแล้วหันไปทางกลุ่มของชายผมแดง
"อ้าว มาแล้วเหรอกำลังเล่นกันเพลิน ๆ เลยล่ะแต่ก็เริ่มน่าเบื่อแล้วเหมือนกัน"
แล้วพูดคุยด้วยอย่างสนิทสนม
ชายผมแดงมองมาทางอิงศรกับมิ่งขวัญที่ยังฟุบกันอยู่หน้าประตูรถไฟสลับกับเอเลี่ยนที่กำลังส่งยิ้มหน้าชื่นมื่นให้ อยู่สองถึงสามครั้งก่อนจะเริ่มตำหนินายเอเลี่ยนชุดดำ
"ท่านลำดับที่สี่ ไปลงมือกับพวกเขาแบบนั้นเกิดตายขึ้นมาจะโดนท่านลำดับที่สามว่าเอาได้นะครับ"
ได้ฟังดังนั้นเอเลี่ยนก็เหยียดยิ้มสนุกสนาน
"ออมมือไว้แล้วล่ะเพราะถ้าขืนโดนท่านรูบิเดียมเล่นงานถึงเป็นผมก็คงเอาชีวิตไม่รอดหรอก เชิญเธอจับลูกหมาป่าใส่ตะกร้าต่อเลยซุงลี่หมวกแดง"
ชายผมแดงทำเมินคำพูดเล่นสนุกนั้นแล้วเดินเข้ามาหาแต่ก็ทิ้งระยะห่างเอาไว้
"จะไม่ทำร้ายพวกเธอหรอกนะยอมมอบตัวแต่โดยดีเถอะ"
แล้วยื่นข้อเสนอตอนนั้นเองถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายทิ้งระยะห่างเพื่อให้พวกเขาเชื่อในคำพูดที่ลั่นวาจามา
อิงศรยันร่างกายท่อนบนขึ้นแล้วเปิดหน้าจอ 'Inventory' แล้วหยิบกระป๋องระเบิดควันกับสวิตซ์กดระเบิดออกมาถือด้วยมือขวาที่เหลืออยู่
"จะหนีไปด้วยสิ่งนั้นสินะ"
ชายผมแดงชี้มาที่รถไฟ พริบตาที่ความสนใจของพวกเอเลี่ยนมาถึงจุดนี้ ดวงตาของอิงศรก็เบิกกว้างขึ้น ...
นี่มันสถานการณ์เลวร้ายสุดกู่ถ้าหากว่ารถไฟถูกทำลายขึ้นมาพวกเขาก็หมดทางรอด แต่ทว่า...
"จะหนีไปก็ได้นะ"
ชายผมแดงพูดอย่างนั้นราวกับจะมอบความหวังให้
"แต่ยานที่ช้าเป็นเต่าคลานแบบนั้นน่ะแค่ประเดี๋ยวเดียวก็ตามทันแล้วเลิกคิดซะจะดีกว่า"
แล้วพูดอย่างมั่นใจ น้ำเสียงนั้นไม่ได้แฝงคำโกหกไว้เลย
"อะฮะ ข่มกันซะไม่เหลือให้ตั้งตัวเลยนะซุงลี่ถึงมันจะจริงก็เถอะ"
เอเลี่ยนชุดดำพูดกลั้วเสียงหัวเราะ
เมื่อประเมินจากความสามารถที่ผ่านมาก็มีความเป็นไปได้ที่คำพูดทั้งหมดจะเป็นความจริง พวกเขาไม่สามารถหนีรอดได้...
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็จะหนีให้ดู จะต้องพามิ่งขวัญหนีไปให้จงได้ อิงศรสาบานกับตัวเอง นี่ไม่ใช่เรื่องของศักดิ์ศรีพี่ชายอีกแล้วแต่เป็นใจจริงที่อยากจะปกป้องครอบครัวเอาไว้
แล้วก็พลางนึกถึงตอนที่ฟังมิ่งขวัญพูดแล้วรู้สึกหวั่นไหวเมื่อสี่วันก่อนขึ้นมา
ถึงได้พึ่งจะมาเข้าใจเอาตอนนี้ ที่ตัวเขาเปลี่ยนไปไม่ใช่เพราะถูกความป่าเถื่อนของโลกนี้กลืนกินจนสูญเสียความเป็นคน แต่เป็นเพราะตัวเขามีความเป็นมนุษย์มากขึ้นต่างหาก เพื่อคนที่รักเพื่อครอบครัวที่ถวิลหามนุษย์สามารถจะกลายเป็นฆาตกรหรืออะไรก็ได้ทั้งนั้น
"ขวัญฟังนะ ก่อนสิบวินาทีสุดท้ายที่ประตูรถจะปิด สัญญาณเตือนจะดังตอนนั้นชั้นจะใช้ระเบิดควันนี่ถ่วงเวลาพวกมันไว้แล้วนายก็รีบหนีขึ้นรถไฟไปซะ"
อิงศรยกกระป๋องระเบิดให้ดูแล้วกระซิบ
"ศรจะหนีไปด้วยกันใช่ไหม?"
มิ่งขวัญยังคงถามคำถามเดิมอยู่ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่จะตอบตกลง สวิตซ์กดระเบิดจะต้องกดตอนอยู่ที่ชานชาลาเท่านั้นไม่อย่างนั้นระยะสั่งการจะไม่พอทำให้ระเบิดทั้งหมดทำงาน และต้องกดตอนที่รถไฟวิ่งออกไปจากสถานีแล้ว
"อืม ชั้นจะไปด้วย"
อิงศรพูดพลางหลบสายตา
"ศร..."
มิ่งขวัญเหมือนจะพูดอะไรซักอย่าง แต่แล้วเสียงสัญญาณรถไฟออกกลับดังขึ้น
"ตอนนี้แหละไปเลย! "
อิงศรขว้างระเบิดลงพื้น ไอควันจำนวนมหาศาลพวยพุ่งตลบอบอวลไปทั่วทั้งชานชาลา
"ทำแบบนั้นไปก็เปล่าประโยชน์น่า"
ชายผมแดงตะหวาด
"เออนี่ซุงลี่"
ชายเสื้อโค้ทสีดำเรียกเขาจึงหันไปสนทนาด้วยระหว่างที่รอให้ควันจาง
"ตอนที่ผมมาเดินเล่นอยู่แถวนี้ก็เห็นมีระเบิดวางเอาไว้ให้ทั่วตึกเลยล่ะ นั่นเป็นของเธอรึเปล่า"
"หือ? ไม่นะครับภารกิจตามล่าเราไม่พกของทำนองนั้นมากันหรอก"
"งั้นก็ชักท่าไม่ดีแล้วล่ะ ทางที่ดีเราเตรียมรับมือกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นจะดีกว่านะ"
ด้วยคำพูดนั้นทำให้ชายผมแดงย้ายมือไปวางลงกับดาบที่เอว
เวลาผ่านไปจนกระทั่งประตูรถไฟปิดลงไอควันถึงได้จางหายและตอนนี้มิ่งขวัญก็ไปอยู่อีกฟากของประตูรถไฟเพียงลำพังตามโครงเรื่องที่อิงศรคิดไว้...
"ขวัญ! เฮ้ขวัญ! ทำไมทำแบบนี้ล่ะ!"
แต่อิงศรกลับเป็นฝ่ายที่ทุบมือใส่ประตูรถจากฝั่งด้านในของตู้โดยสาร....
นั่นก็เพราะตอนที่ระเบิดควันทำงานมิ่งขวัญที่ควรจะต้องเข้ามาอยู่ข้างในตามที่เขาพูดโกหกไว้ กลับเข้ามาแย่งสวิตซ์กดระเบิดไปจากมือแล้วผลักเขาเข้ามาในรถแทน
"พี่ศรน่ะเวลาจะพูดโกหกจะไม่ยอมพูดตามใจขวัญอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ"
เสียงของมิ่งขวัญไม่สามารถจะเล็ดลอดผ่านประตูรถไฟไปได้ อิงศรจึงไม่ได้ยินคำพูดของเขา
"ขวัญก็กลัวนะ....กลัวที่จะตายเหมือนกัน..."
เด็กชายกล่าวถ้อยคำทั้งน้ำตาพลางเหลือบสายตามองไปยังเสาค้ำยันสถานีต้นที่พวกเขาพูดถึงกันเมื่อสี่วันก่อน ตอนที่อิงศรยอมว่าตามอย่างง่าย ๆ ก็รู้ตัวตั้งแต่ตอนนั้น
"แต่ที่กลัวยิ่งกว่าก็คือโลกที่ไม่มีศรอยู่...โลกแบบนั้นน่ะขวัญอยู่ไม่ได้หรอก"
และแล้วรถไฟก็เคลื่อนตัวออกจากสถานี อิงศรพยายามวิ่งสวนทางกลับไปยังตู้โดยสารท้ายขบวนด้วยกำลังทั้งหมดเท่าที่ร่างกายจะเอื้ออำนวยในสภาพที่เสียเลือดจากแขนข้างที่ขาด ภาพของมิ่งขวัญที่มองผ่านกระจกประตูรถในแต่ละบานนั้นทยอยห่างไกลออกไป
จนกระทั่งภาพสุดท้าย คือภาพที่ร่างของมิ่งขวัญถูกชายผมแดงตวัดดาบผ่าลำตัวขาดกลาง แถบพลังชีวิตสุดท้ายที่มองเห็นก่อนที่ขบวนรถจะออกไปพ้นสถานีนั้นเหลืออยู่เพียงน้อยนิด
มิ่งขวัญ LV. 16
[/......66:1450.....]
อิงศรเบ้ปากแล้วตะโกนสุดเสียง
"ไม่ได้นะ! ถ้ากดระเบิดทั้งที่HPเหลืออยู่แค่นั้นล่ะก็.."
อนิจจาเสียงของเขาส่งไปไม่ถึงมิ่งขวัญ ภาพบนกระจกกลายเป็นทิวทัศน์ด้านนอกสถานีไปเสียแล้ว
หลังจากรถไฟวิ่งไปได้ระยะหนึ่ง ระเบิดที่วางไว้ก็เริ่มทำงานเป็นฝีมือมิ่งขวัญอย่างไม่ต้องสงสัยและด้วยพลังชีวิตที่มีอยู่แค่นั้นไม่มีทางรอดจากการถูกซากสถานีถล่มใส่ได้อย่างแน่นอน
อิงศรได้แต่มองสถานีที่กำลงถล่มทลายกลับคืนสู่ดิน ทยอยห่างออกไปไกลจนกระทั่งลับสายตา
"ขวัญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญ
ญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญ!!! "
แล้วกรีดร้องจนคอแทบแตกก่อนล้มฟุบลงกับพื้น พลางส่งเสียงครางอย่างขมขื่น และหวังให้ทั้งหมดเป็นเพียงแค่ฝันร้ายแล้วรีบตื่นจากมันเสียที
น้ำตาไหลเป็นสายจนกระทั่งดวงตาแห้งขอด แต่อิงศรก็ยังส่งเสียงสะอื้นไห้และครางออกมาอย่างเจ็บปวด
ที่ผ่านมาเขาทำได้ดีในเรื่องของการสะกดข่มใจตัวเองไม่ให้แสดงความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา แต่หนนี้ถึงจะพยายามสะกดข่มใจตัวเองอย่างหนักกว่าครั้งไหน ๆ ก็ไม่อาจหยุดความเศร้าเสียใจนี้ไว้ในอกได้เลย
ความเจ็บปวดจากแขนที่ถูกตัดขาดนั้นหายไปและแขนที่โดนตัดก็งอกออกมาใหม่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังรู้สึกทรมาน รู้สึกอึดอัดที่จะหายใจ รู้สึกเจ็บปวดที่จะรับรู้ว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่ในโลกที่ทุกคนตายจากเขาไปหมดแล้ว
ทำไมถึงเป็นเขาที่ได้หนีมา...
ทำไมมิ่งขวัญที่อ่อนแอถึงได้ทรยศต่อความหวังดี...
ทำไมถึงผลักไสชะตากรรมแบบนี้ให้...
คำถามต่าง ๆ ผุดขึ้นมาอย่างไม่มีคำตอบ
"..."
เด็กชายอยากที่จะสบถถ้อยคำประชดประชันในชะตาชีวิตของตัวเองแต่ก็ไม่เสียงจะทำแบบนั้นจึงได้แต่สาปแช่งตัวเองที่มีชีวิตรอดอยู่ในใจ จนกระทั่งสติหลุดลอยไปในที่สุด
สติของอิงศรกลับมาอีกครั้ง เด็กชายปรือตาขึ้นเล็กน้อย แล้วตรวจสอบสถานการณ์ของตัวเอง ตู้โดยสารท้ายขบวนที่ได้เห็นมิ่งขวัญเป็นครั้งสุดท้ายเขาตื่นขึ้นที่นั่น รถไฟดูเหมือนพึ่งจะเข้าจอดที่สถานี
"ทุกนายจงดีใจซะในที่สุดพระเจ้าก็ตอบรับคำสวดภาวนาของพวกเราแล้ว"
มีเสียงแว่วมาจากด้านนอกของรถไฟ
"ผู้กอบกู้จะขี่ม้าสีขาวออกมาพร้อมกับธนูแห่งชัยชนะ จงไปเอาตัวผู้กอบกู้ของพวกเรามา! "
น้ำเสียงนั้นหนักแน่นและแฝงไปด้วยความน่าเกรงขาม ยามเมื่อประตูรถไฟเปิดออก ก็มีคนในชุดเครื่องแบบทหารก้าวเท้าเข้ามาในรถ หนึ่งคน สองคน สามคน ไล่มาเรื่อย ๆ แต่ละบานประตูรถจะมีคนเข้ามาหนึ่งคน และทุกคนกำลังมองหาอะไรบางอย่าง
"แต่ก็เหลือเชื่อเลยแฮะส่งขบวนรถไฟเปล่า ๆ ไปดันวิ่งกลับมาเองได้ซะงั้นนายรู้อยู่ก่อนแล้วสินะสิงห์"
ตอนนั้นเองก็ได้ยินเสียงของผู้ชายอีกคนดังมาจากด้านหลัง ตรงกับบานประตูสุดท้ายของขบวนรถไฟที่เขานั่งอยู่ จากนั้นก็มีเสียงที่ได้ยินในครั้งแรกดังตามมา
"ถ้าชั้นบอกว่าผู้กอบกู้จะมามันก็ต้องมา"
เจ้าของเสียงก้าวเท้าเข้ามาในรถไฟเป็นชายในชุดทหารท่าทางเย็นชารูปหน้าคมสัน และไม่มีสิ่งที่เรียกว่าอารมณ์ฉาบอยู่บนใบหน้าเพราะแทบจะไม่มีรอยย่นจากการยิ้มหรือหัวเราะปรากฎให้เห็นราวกับว่าเขาไม่เคยแสดงมันออกมา
"พูดแบบมั่นใจขนาดนั้นอีกละเคยเผื่อใจกันหน้าแตกไว้บ้างไหมเนี่ย..."
พวกเขาหยุดการสนทนากันเพียงเพราะมาเจออิงศรนั่งรออยู่ในรถไฟ
"..."
สายตาของชายไร้อารมณ์จ้องมาที่อิงศร
"มาสายไปสี่เดือนยี่สิบสองวันสิบชั่วโมงกับอีกยี่สิบแปดวินาที แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนตามคำพยากรณ์ของซีลอร์ด นายคือผู้ถูกฟันเฟืองเลือกให้เป็น 'ผู้กอบกู้' อย่างนั้นสินะ"
"..."
อิงศรไม่เข้าใจความหมายของคำพูดนั้น ไม่เข้าใจด้วยว่าพวกคนเหล่านี้เป็นใครและต้องการอะไรจากเขา
ระหว่างนั้นชายที่ยืนอยู่ข้างกันก็ลงมือกระทำบางอย่างด้วยการเปิดหน้าจอระบบเกมขึ้นแล้วย้ายจอหันมาทางอิงศร
"สิงห์ เจ้าเด็กนี่อาชีพ 'เรนเจอร์' (Ranger) เหมือนกับชั้นเลยแต่อาวุธที่ติดตั้งเป็นประเภทธนูแหะ"
โดนชายคนนั้นตรวจสอบข้อมูลไปแล้ว ...แต่จะสำคัญอะไรอีกล่ะ... อิงศรคิดแล้วสีหน้าก็พลอยหมองหม่นไปด้วย
"งั้นก็ตรงตามคำพยากรณ์"
ชายไร้อารมณ์ผู้ถูกเรียกว่าสิงห์สรุปคำพูดนั้นก่อนจะประชิดเข้ามา
"จากนี้ไปชั้นจะขอใช้แกเป็นตัวหมากที่แสนสำคัญเพื่อกอบกู้มนุษยชาติล่ะนะเจ้าหนู"
แล้วพูดพร้อมกับส่งมือมาเหมือนจะช่วยพยุงให้ลุกขึ้น
"อย่ามาพูดบ้า ๆ นะ!"
อิงศรตะหวาดใส่มือข้างนั้น แล้วแสดงใบหน้าอ่อนแอ ออกมาเป็นครั้งแรก
"ชั้นน่ะ...ชั้นน่ะ...ปกป้องใครเอาไว้ไม่ได้เลย...แล้วนายยัง...จะบอกให้ชั้นเป็นผู้กอบกู้อะไรอีก"
เด็กชายพูดตัดพ้อต่อชะตาชีวิตด้วยน้ำเสียงกล้ำกลืนสุดประมาณ
"เกมของชั้นมันโอเวอร์ไปแล้ว!!"
ตะโกนด้วยใบหน้าที่เจ็บปวดและมีหยาดน้ำตาไหลรินออกมา
แต่ชายไร้อารมณ์ก็ไม่ได้แสดงความเห็นใจให้ ที่จริงใบหน้าของเขาหยุดนิ่งอยู่แบบนั้นตั้งแต่ที่เจอกันแล้วจนตอนนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
"เกมโอเวอร์งั้นเหรอ..."
เขาพูดตอบกลับมา แล้วเก็บมือจากนั้นก็เชิดใบหน้าขึ้น
"แล้วมันยังไงกันล่ะ ชีวิตที่รอดมาได้บนความตายของผู้คนนั่นนายคิดจะเอาไปใช้ทำอะไร"
"เรื่องนั้น..!"
อิงศรคิดจะพูดสวนแต่กลับถูกแทรกด้วยสายตาที่ดุดันซึ่งปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เรียบนิ่ง
"เท่ากับว่าชีวิตในตอนนี้มันไม่ใช่ของนายอีกต่อไปแล้วชะตากรรมไม่ได้กำหนดให้นายมาจบอยู่ที่เส้นสตาร์ทนี่"
ชายตรงหน้าตะหวาดออกมาเช่นนั้นแล้วก็ส่งมือมาให้อีกพลางพูดว่า
"มากับชั้นสิ ! รีสตาร์ทเกมของนายอีกครั้งแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ซะ ! ชั้นจะชี้นำให้เอง !"
หากยอมปล่อยให้ตัวเองเป็นคนอ่อนแอแล้วคว้ามือนั้นไว้ชะตาชีวิตหลังจากนี้คงจะบิดผันเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ บรรยากาศบอกเล่าออกมาเช่นนั้น
แต่จะสำคัญอะไรอีก...
ตัวตนของเขาได้ตายไปตั้งแต่ตอนสถานีรถไฟที่ถล่มลงมาตอนนั้น ไม่จำเป็นต้องทำตัวเข้มแข็งเพื่อปกป้องใครอีกแล้ว อิงศรคว้ามือนั้นไว้โดยไม่คิดลังเล
.....จากนั้นเพียงชั่วพริบตากาลเวลาก็ผันผ่านไปอย่างง่ายดายถึงสามปี.....
สามปีต่อมา
ณ สวนสาธารณะในเขตมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ที่นี่ถูกโอบล้อมโดยธรรมชาติแสนจะเขียวขจี รอบสวนสาธารณะนั้นเป็นคูคลองที่ขุดขึ้นจากฝีมือของมนุษย์ คลองมีความกว้างไม่มากแต่ก็ลึกกว่าที่เห็นถัดจากคลองไปนั้นเป็นรั้วอิฐที่เก่าจนพุพังลงมาเป็นซาก บางแห่งถูกรถขับเข้ามาชนตอนวันสิ้นโลกจนพังเสียหาย
ภายในสวนเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์แสดงประวัติศาสตร์ของวิทยาลัย และบนหลังคาสามเหลี่ยมหน้าจั่วของอาคารพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เอง ก็มีเด็กหนุ่มในชุดเครื่องแบบทหารทาบทับด้วยผ้าคลุมสีดำปรากฏตัวขึ้น
เด็กหนุ่มมีเรือนผมสีดำหยิกหยักศกบ้างนิดหน่อยปอยผมที่ตกลงมาข้างหน้าหวีเก็บไปทางซ้าย เผยให้เห็นดวงตาที่ดูเย็นชาเล็กน้อย ชุดเครื่องแบบทหารสีเขียวลายพรางกับผ้าคลุมสีดำช่วยให้ผิวพรรณที่ขาวผ่องอยู่แล้วดูเด่นสะดุดตาขึ้น ถึงเป็นทหารแต่ก็มีผิวพรรณที่มีน้ำมีนวลยิ่งกว่าผู้หญิงจนบางครั้งก็ถูกเอาไปล้อในเรื่องนี้อยู่บ่อย ๆ
ยามเมื่อสายลมพัดผ่าน ปลายผ้าคลุมสีดำก็จะโบกสะบัดพลิ้วไหว ในตอนนั้นเองเสียงคำรามของสัตว์เทวะก็ดังกึกก้อง
Heraldic Beast Deity: Zodiac Sagitarius Keeper Lv.10
[/////2000:2500///..]
จ่าฝูงสัตว์เทวะครึ่งคนครึ่งม้าผู้รับใช้เทพแห่งจักรราศี กำลังควบห้อมาตามเส้นทางสะพานที่ตัดเลียบถนนด้านหน้าสวนสาธารณะและที่เบื้องหน้าสัตว์เทวะนั้นมีชายในชุดทหารแบบเดียวกันสองนายกำลังประจันหน้าอยู่
เด็กหนุ่มจ้องมองการต่อสู้นั้นจากบนหลังคาพิพิธภัณฑ์ ในสายตาของเขานายทหารทั้งสองดูกระอักกระอ่วนกับการต่อสู้เป็นอย่างยิ่ง
"ผ่าสิเฮ้ย นี่มันมาถึงตรงนี้แล้วเหรอเนี่ย"
"จะยังไงก็อย่าให้มันเข้าไปที่พิพิธภัณฑ์เด็ดขาดเลยนะ ขืนเสียฮาบิแททพอยซ์ที่นี่ไปค่ายเราได้เละเทะแน่"
นายทหารสนทนากันอย่างตึงเครียด มือที่จับอาวุธนั้นมีเหงื่อไหลอาบแสดงให้เห็นว่าพวกเขากำลังถูกไล่ต้อนไปสู่ความหายนะ จากสัตว์เทวะที่มีระดับแค่เลเวลสิบ...
ถึงจะเป็นระดับจ่าฝูงสัตว์เทวะแต่มันก็แค่นั้น เด็กหนุ่มประเมินแล้วว่าเสียเวลาเปล่าถึงจะดูการต่อสู้พรรค์นี้ก็ไม่สามารถเรียนรู้อะไรได้เลย
"แย่แล้วเจ้านั่นมันกระโดดหนีเข้าไปแล้ว"
เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นเมื่อ ครึ่งม้าครึ่งคนกระโดดข้ามหัวนายทหารลงมาในสวน
"บ้าจริง! วันนี้คนเฝ้าฮาบิแททพอยซ์เป็นเด็กฝึกงานนะรีบไปช่วยเร็วเข้า"
พวกเขากระโจนตามมาจากสะพานด้วย แต่ก็สายเกินไปสัตว์เทวะจวนเจียนจะเข้ามาถึงอาคารพิพิธภัณฑ์แล้ว
"เจ้าเด็กฝึกงานนั่นไปทำอะไรอยู่บนนั้นน่ะ"
"พลสำรองอิงศรรีบหนีไปเร็ว!!"
พวกเขามองเห็นเด็กหนุ่มแล้วจึงส่งเสียงตะโกนมาเตือนให้รีบหนี แต่เด็กหนุ่มกลับเหยียดยิ้มพลางขึ้นลูกธนูเล็งไปยังสัตว์เทวะ
"จงสถิตในคันศรข้า บัฟ - แอโร่ว!!"
จากนั้นก็แผลงศร ลูกธนูที่พุ่งออกไปกลายเป็นมหิงสาเพลิงขวิดใส่สัตว์เทวะจนมันร่วงลงไปในคลอง
"กิฟท์แอโร่ว(Gift Arrow)
เด็กหนุ่มแผลงศรตามไปอีกสามครั้งอย่างแม่นยำ ลูกธนูทั้งหมดปักเข้าที่คอของสัตว์เทวะ อีกทั้งบนลูกศรแต่ละดอกยังมีระเบิดพ่วงติดไปด้วย
"เกมโอเวอร์ไปซะ ไอ้สัตว์ประหลาด"
เด็กหนุ่มพูดพร้อมกับกดสวิตซ์สั่งให้ระเบิดทำงาน เกิดเสียงตูมครั้งใหญ่ประหนึ่งฟ้าถล่มดินทลายร่างของสัตว์เทวะแหลกเละไม่มีชิ้นดีก่อนจะสลายไปในภายหลัง แรงระเบิดยังหอบเอาน้ำในคลองขึ้นมาเทกระจาดสาดเป็นสายฝนตกใส่แค่นายทหารทั้งสองเท่านั้นอีกด้วย
"ไอ้บ้าอิงศรนี่แกจงใจใช่ม้าย!!"
หนึ่งในนายทหารที่โดนน้ำคลองสาดเป็นหัวหน้าของทีมได้ส่งเสียงตะหวาดตำหนิการทำงานมา แต่อิงศรเมินใส่คำพูดนั้นพลางมองตรงไปเบื้องหน้า
ทอดสายตาออกไปไกลจนถึง แนวป่าคอนกรีตไร้ผู้คนซึ่งโลกหลังการล่มสลายสรรสร้างขึ้นยามที่มองดูซากอาคารเหล่านั้นภาพของเมื่อสามปีก่อนก็เหมือนจะหวนกลับมา เด็กหนุ่มหลับตาลง
"จากตอนนั้นผ่านมาสามปีแล้วสินะ..."
แล้วพึมพำออกมา
ในที่สุดเขาก็ได้กลับมาสู่บ้านเกิด
กลับมายังเมืองที่สูญเสียความหมายในการมีชีวิตอยู่ไปจนหมดสิ้น
รวมถึงเป็นเมืองแห่งการเริ่มต้นในการต่อสู้กับ...
โลกที่ล่มสลาย สัตว์เทวะ และ มนุษย์ต่างดาว ของพวกเขา...
อิงศร LV. 42
[/////2990:2990/////]
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ