Rogue Night

3.0

เขียนโดย Sara

วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2559 เวลา 20.29 น.

  2 chapter
  0 วิจารณ์
  4,055 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2559 20.31 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) Chapter1 Is he a scapegoat?

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Chapter1

Is he a scapegoat?

                “คุณโรคค์คะ มิสเตอร์แอ็บเบอร์ไลน์จากสก็อตแลนยาร์ดมาหาค่ะ ตอนนี้รออยู่ที่ต้องรับแขก” ไลล่า เบล แม่บ้านวัยกลางคนเอ่ยกับชายหนุ่มผู้ที่นั่งอยู่บนโซฟาในห้องทำงานอย่างนอบน้อม ก่อนถอยฉากออกไปเมื่อชายหนุ่มเจ้าของบ้านพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้

                โรคค์ปิดหนังสือพิมพ์ในมือที่อ่านอยู่พร้อมกับจิบชาเร็วๆ หนึ่งอึก ก่อนจะลุกออกจากห้องทำงานไปยังห้องรับแขกชั้นล่าง ที่นั่นเขาเห็นชายวัยกลางคนในชุดเครื่องแบบสีดำกำลังคุยกับการ์ดคนสนิทของเขา ริชาร์ด

                “สารวัตรแอ็บเบอร์ไลน์” ชายหนุ่มเรียก ก่อนจับมือที่สวมถุงมือสีขาวของอีกฝ่ายเป็นเชิงทักทาย

                “คุณสเปนเซอร์” แอ็บเบอร์ไลน์ทักทายกลับ ก่อนนั่งลงโดยไม่รอการเชื้อเชิญจากเจ้าของบ้านและเข้าสู่บทสนทนาทันที “ต้องขอโทษที่ต้องมารบกวนคุณเวลานี้ด้วยนะ พอดีผมมีธุระสำคัญที่ต้องมาพบคุณให้ได้”

                “ครับผม ยินดีครับ” โรคค์พูดอย่างมีน้ำใจพร้อมยิ้มรับด้วยรอยยิ้มของนักธุรกิจ “เรื่องการฆาตรกรรมมิสเตอร์เอ็ดเวิร์ดใช่มั้ยครับ”

                แอ็บเบอร์ไลน์ขมวดคิ้ว มองชายหนุ่มตรงหน้าที่ขยับตัวไปกระซิบอะไรบางอย่างกับการ์ดของตัวเอง ก่อนที่ริชาร์ดจะพยักหน้ารับและเดินออกจากห้องไป น่าจะออกจากบ้านไปด้วยเมื่อดูจากทิศทางแล้ว

                “ครับ ใช่” เขาตอบเมื่อโรคค์หันหน้ากลับมา “ดูเหมือนคุณก็รู้เรื่องนี้ด้วย”

                โรคค์หัวเราะก่อนตอบพร้อมรอยยิ้มในหน้าอย่างเคยนิสัย “ทำไมจะไม่ล่ะครับ มันคงจะแปลกมาถ้าผมไม่รู้”

                สารวัตรแอ็บเบอร์ไลน์พยักหน้าอย่างพอใจด้วยใบหน้านิ่งขรึม ก่อนพูดขึ้นทันที “ถ้างั้นผมคงไม่ต้องอธิบายมากสินะ คุณสเปนเซอร์” เขาเว้นวรรค “ผมอยากรู้ว่าคุณเกี่ยวข้องกับการฆาตรกรรมมิสเตอร์เอ็ดเวิร์ด เชส แมคเกรย์หรือเปล่า”

                ความเงียบโรยตัวอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่โรคค์จะขยับรอยยิ้มปริศนาตามแบบนักธุรกิจของเขา “ไม่ครับ ไม่เลย” เขาพูดพลางส่ายหน้าช้าๆ อย่างจริงจัง

                สารวัตรแอ็บเบอร์ไลน์ขมวดคิ้วมองชายหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่าแต่พร้อมด้วยหน้าตาและความสามารถอย่างพินิจ

                โรคค์ สเปนเซอร์ เป็นชายหนุ่มนักธุรกิจเจ้าของกิจการหนังสือพิมพ์รายใหญที่ชื่อว่า ลอนดอนสตรีท ด้วยอายุยี่สิบเจ็ดปี รูปร่างสูง หุ่นดี หน้าตาหล่อเหลาด้วยเส้นผมสีน้ำตาลและดวงตาสีเขียวลึกลับ สาวๆ แทบทุกคนในลอนดอนชอบเขา เป็นคนดังในหมู่คนดัง เสียอย่างเดียวคือโสด และแน่นอนว่านิสัยค่อนข้างไปทางเจ้าชู้

                ลอนดอนสตรีท ของโรคค์กับ เดอะ แมคเดลี่ ของเอ็ดเวิร์ด เชส แมคเกรย์ เป็นหนังสือพิมพ์ที่ได้รับความนิยมอันดับต้นๆ และแน่นอนว่าเป็นคู่แข่งกัน ดังนั้นไม่แปลกหากว่าชายหนุ่มเจ้าของ ลอนดอนสตรีท คนนี้จะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง

                “แล้วจริงรึเปล่าที่ว่าคุณกับมิสเตอร์แมคเกรย์เคยมีปากเสียงทะเลาะกัน” แอ็บเบอร์ไลน์ถามต่อ

                “ครับ” ชายหนุ่มยอมรับ ก่อนอธิบาย “พอดีเราแย่งหุ้นส่วนคนสำคัญกันน่ะครับ ตอนแรกเราสองคนตกลงเรื่องนี้กันแล้ว แล้วก็โชคดีของผมที่หุ้นส่วนคนนั้นตกลงยอมทำธุรกิจด้วย แต่ก็โชคร้ายของผมอีกนั่นแหละที่สุดท้ายเขาก็ขอยกเลิกสัญญาแล้วไปอยู่กับทางนั้น บอกตามตรงว่าผมโมโห เพราะผมกับหุ้นส่วนคนนั้นเราตกลงและคุยงานกันแล้วตั้งสามเดือน ผมไม่พอใจ...”

                “พวกคุณสองคน หมายถึงกับมิสเตอร์แมคเกรย์จึงทะเลาะกัน” สารวัตรต่อ

                “ครับ ประมาณนั้น” โรคค์พูดพลางยักไหล่หนึ่งข้าง

                “ร้ายแรงขนาดไหน”

                โรคค์ขมวดคิ้วก่อนทำท่าคล้ายกับครุ่นคิดว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง “อันที่จริงก็แค่ทะเลาะกันด้วยคำพูดหน่อยๆ น่ะครับ”

                “ข่มขู่?”

                โรคค์เลิกคิ้วให้กับสัญชาตญาณของตำรวจตรงหน้า ก่อนแย้มยิ้ม “อันที่จริงก็ใช่ เค้าขู่ผมก่อน”

                “แสดงว่าคุณก็ข่มขู่เขาเหมือนกัน?”

                ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดัง ก่อนพยักหน้ารัวๆ เหมือนอดไม่อยู่ “ใช่ครับ ใช่”

                สารวัตรแอ็บเบอร์ไลน์บีบมือตัวเองแน่นเมื่อเห็นท่าทีของโรคค์ ก่อนที่เขาจะค่อยๆ ถาม “ขู่กันเรื่องอะไรบ้างครับ”

                “ก็...” โรคค์ลากเสียงยาวพร้อมกับเหลือบตาขึ้นไปข้างบนอย่างครุ่นคิด “เขาบอกว่า หุ้นส่วนคนนี้เป็นของเขา ธุรกิจของผมก็จะเป็นของเขาด้วยเหมือนกัน”

                “โอ้...แล้วคุณ”

                “ผมก็บอกเขาไปว่า เค้าเป็นของผมต่างหาก ยกนี้ผมแพ้ แต่อย่าเผลอล่ะ เพราะถ้าคุณเผลอ...ผมจะฮุบหนังสือพิมพ์ของคุณซะ”

                และตอนนี้เขาก็ฮุบมันได้แล้วจริงๆ แอ็บเบอร์ไลน์คิด ก่อนขมวดคิ้วให้กับพวกหัวนักธุรกิจที่จ้องแต่จะกินสมบัติของอีกฝ่าย

                “ฟังดูแล้วมันไม่ได้ช่วยให้คุณหลุดจากตำแหน่งผู้ต้องสงสัยเลยนะครับ”

                โรคค์หัวเราะเล็กน้อย ก่อนพยักหน้ายิ้มๆ “ใช่ครับ ผมก็เห็นด้วยกับคุณ แต่ก็นั่นแหละ ผมไม่ได้คิดจะแก้ตัวอะไรอยู่แล้ว”

                สารวัตรแอ็บเบอร์ไลน์หันไปหน้าไปทางขวาเล็กน้อย ก่อนมองคนตรงหน้าด้วยหางตาอย่างไม่ไว้ใจ “แสดงว่าคุณไม่ปฏิเสธ...”

                “ใจเย็นครับท่านสารวัตร” โรคค์พูดกลั้วหัวเราะด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก ยกขาขึ้นมาไหว่ห้างพร้อมกับวางมือประสานกันไว้บนตัก เอนหลังพิงพนักโซฟาด้วยท่าทางสบายๆ “ผมไม่ปฏิเสธที่ทะเลาะกับเขา แล้วก็ไม่ปฏิเสธการสืบสวนของพวกคุณ เพียงแต่...คุณไม่มีหลักฐาน”

                ความโกรธวิ่งเป็นริ้วๆ ขึ้นขมับของสารวัตรแอ็บเบอร์ไลน์ เขาเม้มปากอย่างอดกลั้น “คำพูดของคุณไงคุณสเปนเซอร์”

                “แล้วยังไงครับ” เขาผายมือออกกว้าง ก่อนจะใช้นิ้วชี้ชี้หน้าของคนอาวุโสกว่าอย่างไม่เกรง “ผม...ไม่เคยพูดเลยนะว่าผมฆ่าเขา คุณแอ็บเบอร์ไลน์ ผมแค่อยากเตือนว่าคุณใส่ร้ายผมไม่ได้”

                “ผมไม่เคยใส่ร้ายใคร”

                “ผมรู้” โรคค์ยิ้ม ก่อนเอนหลังกลับมานั่งท่าเดิม “ผมรู้ว่าวันนี้คุณมาแค่หาข้อมูล”

                “แต่วันหลังผมจะมาพร้อมหมายศาล มิสเตอร์สเปนเซอร์” แอ็บเบอร์ไลน์พูดอย่างอดทนพร้อมกับลุกขึ้น ทำให้ชายหนุ่มลุกขึ้นตาม

                “หวังว่าจะไม่มีวันนั้นนะครับ” โรคค์กล่าวยิ้มๆ ก่อนจะยืดตัวตรงแล้วผายมือไปทางประตู “เชิญครับ ถ้าต้องการความช่วยเหลือจากผมก็มาได้ ผมยินดีช่วยทุกอย่างยกเว้นเป็นแพะให้ใคร”

                แอ็บเบอร์ไลน์หรี่ตามองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยท่าทางไม่พอใจ ก่อนเขาจะหยิบหมวกที่วางบนโต๊ะขึ้นมาใส่ แล้วเดินไปทางประตู โดยไม่ลืมกล่าวอำลา

                “แล้วเจอกันมิสเตอร์สเปนเซอร์”

                โรคค์ยิ้มรับและเอ่ยตอบ “ลาก่อนครับสารวัตรแอ็บเบอร์ไลน์”

 

                รอยยิ้มของชายหนุ่มค่อยๆ ลอยหลุดจากใบหน้าอย่างช้าๆ เขาเดินกลับไปยังห้องทำงานของตนเองก่อนนั่งลงบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน ยกขาขึ้นไขว่ห้าง มือประสานกันไว้บนตัก หัวคิ้วขมวดมุ่นบ่งบอกว่ากำลังคิดหนัก สักพักเขาก็เอื้อมไปยกหูโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานขึ้นก่อนหมุนหมายเลข รอไม่กี่วินาทีเสียงจากปลายสายก็ตอบรับ

                “สวัสดีครับเลดีแมรีแอนน์” โรคค์เอ่ยเสียงหวานเย้ายวนตามนิสัยพร้อมกับฉีกยิ้มคุ้นเคย “ฮาโรลด์อยู่รึเปล่าครับ” เขาถามก่อนยิ้มกว้าขึ้นเมื่ออีกฝ่ายพูดอะไรบางอย่างออกมา “ครับ ถ้างั้นไม่เป็นครับ ครับ...ครับ...ขอบคุณมากครับ” ชายหนุ่มวางหูโทรศัพท์กลับที่ ก่อนจะเอนหลังพิงพนักเหมือนเดิม เขาอยู่ท่านี้นานเป็นชั่วโมงจนกระทั่งประตูห้องทำงานถูกเปิดออกแล้วริชาร์ดก็ก้าวเข้ามา

                “เป็นยังไงบ้าง” เขาถามออกไป

                “ผมไปดูมาแล้ว ไม่มีหลักฐานอะไรโยงมาถึงคุณเลยครับ สงสัยพวกสก็อตแลนยาร์ดคงสืบสาวเอาตามลำดับเหตุการณ์น่ะครับ อีกอย่าง...คุณโรคค์ก็ เอ่อ...เพิ่งเทคโอเวอร์โรงหนังสือพิมพ์ของเขาไป” ริชาร์ดติดขัดในช่วงท้ายด้วยไม่แน่ใจว่าควรพูดออกไปดีหรือไม่ แต่เขาก็ลอบถอนหายใจออกมาเมื่อโรคค์ทำแค่ยิ้มที่มุมปากเบาๆ ไม่ได้กระโดดข้ามโต๊ะออกมาต่อยหน้าเขา

                “ก็บอกแล้วไงว่าอย่าเผลอ” ชายหนุ่มหัวเราะเล็กน้อย ก่อนคลายมือแล้วเอื้อมไปหยิบปากกามาควงเล่น

                “แล้วจะเอายังไงต่อดีครับ ดูท่าแล้วทางนั้นคงไม่ปล่อยคุณง่ายๆ”

                “หลักฐานไม่มี ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว” โรคค์พูดพลางเหลือบตาไปมองหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่บนโต๊ะหน้าโซฟา “โดนพวกลอบสังหารฆ่าเอา ต่อให้เป็นสก็อตแลนยาร์ดก็ไม่มีปัญญาจับได้หรอก คนพวกนั้นหายากจะตาย อีกอย่างตอนนี้ข่าวก็ดังมาก จนกว่าพวกเขาจะปิดคดีเราคงทำอะไรไม่ได้มากนักหรอก”

                ริชาร์ดมองหน้าเจ้านายตัวเองที่ดูจะไม่แยแสต่อข่าวเสียๆ หายๆ ของตัวเอง แล้วก็รอยยิ้มปริศนาบนใบหน้าของชายหนุ่มนั่นอีกที่ทำให้เขารู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ก่อนที่เขาจะขมวดคิ้วมุ่นเมื่อโรคค์ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปหยิบโค้ทหนังสีดำที่แขวนอยู่บนขาตั้งพร้อมกับหมวกทรงสูง หยิบกระบอกไปป์ขึ้นมาอัดยาเส้น จุดไฟสูบ แล้วคว้าไม้เท้าเป็นอย่างสุดท้าย ท่าทางเตรียมออกไปข้างนอกเต็มที่

                เมื่อเห็นท่าทางอย่างนั้นของเจ้านาย ริชาร์ดก็ร้องขึ้นอย่างแปลกใจทันที “จะไปไหนครับคุณโรคค์”

                โรคค์หันมายิ้มก่อนสวมหมวกแล้วดูดไปป์ทีหนึ่ง พ่นควันสีขาวออกมาอย่างใจเย็น ก่อนตอบสั้นๆ “โรงพิมพ์”

                รถม้านำชายหนุ่มและการ์ดคนสนิทมายังแถวถนนโอล์ด ไพน์ สตรีท ซึ่งไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้านของเขาเท่าไหร่นัก ที่นั่นเป็นที่ตั้งของโรงพิมพ์ ลอนดอนสตรีท แห่งที่หนึ่งของเขาเอง อันที่จริงมันควรจะเรียกว่าสำนักงานมากกว่าโรงงานด้วยซ้ำ เป็นอาคารอิฐสีน้ำตาลสี่ชั้นที่ตั้งอยู่ใกล้สถานีรถไฟไปสามช่วงถนน จึงทำให้แถวนี้ค่อนข้างคึกคักซึ่งอัดแน่นไปด้วยอาคารที่ส่วนใหญ่เป็นบ้านเช่าและสำนักงานต่างๆ

                ทันทีที่ลงจากรถม้าได้โรคค์ก็เดินจ้ำอ้าวเข้าไปสำนักงานอย่างเร่งรีบราวกับว่าถ้าชักช้าอาจจะลืมเรื่องที่ต้องทำไปซะก่อน

                รูเพิร์ท เฟียส ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายรับผิดชอบข้อมูลเดินเข้ามาหาชายหนุ่มด้วยท่าทางเร่งร้อน สีหน้าฉายชัดถึงความวิตกกังวล

                “มิสเตอร์โรคค์” เขาเรียกพร้อมกับโค้งศีรษะเล็กน้อย “เป็นยังไงบ้างครับ”

                โรคค์ยิ้มรับให้กับความเป็นห่วงของชายอาวุโสอายุอานามประมาณสี่สิบปีเศษ ก่อนตอบไปเหมือนเรื่องธรรมดา “สบายดี ตอนนี้น่ะนะ”

                “ผมว่าไม่นะครับ ตอนนี้สำนักพิมพ์อื่นเขาเล่นเขียนข่าวของคุณกันตามใจชอบเลย ผมว่ามันอาจไม่เป็นผลดีสำหรับคุณ” รูเพิร์ทพูดด้วยน้ำเสียงกังวลอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่โรคค์ถอดหมวกแล้วเดินไปนั่งลงบนโซฟาของโซนรับแขก ตั้งแต่ชั้นหนึ่งถึงชั้นสามเป็นสำนักงานเต็มตัว ส่วนชั้นสี่เป็นที่พักของคนงานบางคนรวมถึงของเขาด้วย เสียงเคาะพิมพ์ดีดดังก็อกแก็กๆ ระงม เขาสูบไปป์สูดกลิ่นของยาเส้นผสมกับกลิ่นหมึกและกลิ่นกระดาษซีดๆ ในห้องรับแขกเล็กๆ

                “เราก็ทำเหมือนพวกเขาบ้างสิ จะได้เป็นผลดีต่อหนังสือพิมพ์ของเราบ้าง” โรคค์เสนอยิ้มๆ ซึ่งทำให้ริชาร์ดที่ยืนอยู่ด้านหลังต้องขมวดคิ้วเร็วๆ

                รูเพิร์ทคิดว่าตัวเองไม่เข้าใจคำพูดของชายหนุ่มเท่าไหร่ แต่เมื่อได้คิดและประมวลผลเพียงชั่วขณะเขาก็ต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจ เตรียมอ้าปากค้างอย่างไม่เห็นด้วยสุดๆ

                “โอ้...ไม่” เขาครางอย่างตกตะลึงเล็กน้อย “แบบ...แบบนี้ไม่ดีแน่ครับ มันจะเป็นผลเสียต่อคุณอย่างมาก...มากเลยล่ะ”

                “พูดอย่างกับว่าตอนนี้ไม่มีผลเสียซะอีก” โรคค์กลั้วหัวเราะเล็กน้อยก่อนขยับท่าทางโดยโน้มตัวไปข้างหน้า “ฟังนะ ตอนนี้หนังสือพิมพ์ทุกฉบับมันตีข่าวของเอ็ดเวิร์ดกับฉันไปเรียบร้อยแล้ว จะเป็นไรไปถ้าจะเพิ่มไปอีกซักฉบับสองฉบับ”

                “แต่มิสเตอร์โรคค์ครับ...”

                “ถามหน่อยนะรูเพิร์ท” โรคค์เกริ่น “นายจะรู้สึกยังไงถ้าเกิดว่าเจ้าของหนังสือพิมพ์รายหนึ่งลงข่าวว่าตัวเองเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรม”

                รูเพิร์ท เฟียส ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะตอบแบบอ้ำๆ อึ้งๆ “ก็คงสงสัยล่ะครับ”

                “สงสัยยังไง” โรคค์จี้ต่อ

                “สงสัยว่าเจ้าของหนังสือพิมพ์คนนั้นเขาคิดอะไรอยู่ แล้วก็...เอ่อ...คงอยากรู้นิดหน่อยว่าเขาจะพาดหัวข่าวของตัวเองว่าอะไร...”

                ทันใดนั้นโรคค์ก็ดีดนิ้วดังเป๊าะจนเกือบลั่นหูของริชาร์ดและรูเพิร์ด “นั่นไงล่ะ นายว่าทุกคนเขาจะไม่คิดเหมือนนายอย่างนั้นเหรอ”

                รูเพิร์ทเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง สรุปง่ายๆ ก็คือโรคค์คิดจะขายข่าวของตัวเองเพื่อเพิ่มยอดขายหนังสือพิมพ์ อีกอย่างเป็นไปได้มากว่าผู้คนในลอนดอนต้องสนใจหนังสือพิมพ์ของเขามากกว่าเจ้าอื่นแน่ๆ หนังสือพิมพ์ฉบับอื่นอาจจะรู้แค่ผิวเผินและตีข่าวกันไปอย่างมั่วๆ แต่ถ้าเป็นหนังสือพิมพ์ของเจ้าของคดีเองล่ะ เป็นไปได้สูงว่ามันจะตีแผ่ความจริงมากกว่า เท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับประชาชนที่โหยหาข้อเท็จจริงของคดีใหญ่คดีนี้ และที่สำคัญที่สุดก็คือ โรคค์ สเปนเซอร์ เป็นคนดังในหมู่คนดัง นั่นหมายความว่ามีคนคอยให้ความสนใจในตัวเขาอยู่แล้วไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม...

                แต่ถึงอย่างนั้นรูเพิร์ทก็ยังไม่แน่ใจว่าจะเห็นด้วยดีหรือไม่ และดูเหมือนการ์ดคนสนิทของโรคค์ที่ยืนอยู่ข้างหลังชายหนุ่มก็คงคิดเช่นเดียวกับเขาเมื่อดูจากคิ้วที่ขมวดจนจะผูกกันได้คู่นั้น

                “เอ่อ มิสเตอร์โรคค์ ทางที่ดีผมว่าคุณคิดดูอีกรอบเถอะครับ” เขาพูดพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่ภรรยาถักให้มาซับเหงื่อตรงขมับอย่างว้าวุ่น

                โรคค์ยิ้มออกมา ดวงตาสีเขียววาววับ ยกไปป์ขึ้นดูดอีกครั้งอย่างใจเย็น “ผมจะรอตรวจต้นฉบับอยู่ตรงนี้นะ คุณเฟียส”

                เหงื่อที่เพิ่งซับออกไปหมาดๆ กลับซึมออกมาเพิ่มอีกครั้งทั้งๆที่เป็นช่วงกลางต้นฤดูหนาว เขารู้ว่าประเด็นมันไม่ใช่อากาศหรอก รูเพิร์ทกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคออย่างฝืดๆ ก่อนจะทำท่าทางเลิกลั่ก เป็นอาการที่เกิดจากการไม่ตรงกันระหว่างสิ่งที่จะทำกับสิ่งที่คิด

                ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เห็นด้วยแต่ดูเหมือนว่าเจ้านายของเขาจะเอาจริง แล้วมีหรือที่เขาจะกล้าขัด

                “เอ่อ...ถ้าอย่างนั้นผมจะรีบไปร่างต้นฉบับมาให้” รูเพิร์ทพูด ก่อนขมวดคิ้วเมื่อโรคค์ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งจากกระเป๋าด้านในเสื้อโค้ทราคาแพงมาให้ เขาแทบจะเดาได้เลยว่ามันคืออะไร

                “เขียนตามนี้นะ ส่วนที่เหลือจะเขียนยังไงก็แล้วแต่คุณ ให้ความคิดเห็นของคุณไปหน่อยก็ดี”

                รูเพิร์ทมองมันอย่างปลงๆ พร้อมยื่นมือสั่นๆ ไปหยิบมันมา ก่อนพูดขึ้นอย่างยากลำบาก “ได้ครับ”

                โรคค์ยิ้มตามหลังให้ลูกน้องของตนเองที่ออกไปจากห้องรับแขก ก่อนเงยหน้ามองคนที่ยืนเงียบมานานที่อยู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น

                “ผมว่าไลล่าเธอต้องปรี๊ดแน่ๆ เลยครับ”

                โรคค์หัวเราะออกมา ไม่ใช่ว่าริชาร์ดพูดถูก แต่เป็นเพราะว่าเขาเองก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน

                “เค้าเรียกว่าพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส” โรคค์พูดยิ้มอย่างเดาใจยาก

                “แต่ผมว่าหลังจากนั้นมันจะยิ่งวิกฤตไปกันใหญ่สิครับ” ริชาร์ดขัดด้วยน้ำเสียงกึ่งๆ กังวล ก่อนขมวดคิ้วอีกรอบเมื่อเห็นเจ้านายตัวเองหัวเราะออกมา

                “ถ้าอย่างนั้นเราอาจจะได้โอกาสใหญ่ๆ เลยก็ได้” โรคค์พูดพลางตบแขนคนที่ยืนอยู่ข้างหลังอย่างสนิทสนม “เอาน่าริช เชื่อฉันเถอะ มันต้องมีอะไรดีๆ เกิดขึ้นสักอย่างแหละน่า”

                ริชาร์ดมองรอยยิ้มของเจ้านายที่ตั้งใจส่งมาเพื่อย้ำคำพูด นอกจากหน้าตาและฐานะของโรคค์ สเปนเซอร์ เขาเองก็หวังว่าจะมีสิ่งที่ดีๆ อะไรซักอย่างเกิดขึ้นกับคนตรงหน้า อะไรดีๆ สักอย่างที่พอจะช่วยอดีตอันดำมืดของชายหนุ่มผู้นี้ได้...

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
1 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา