ใต้เงาจันทร์

-

เขียนโดย Giants_tee

วันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2559 เวลา 15.49 น.

  2 chapter
  0 วิจารณ์
  4,385 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2559 11.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) บทที่ 1

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

       เสียงนาฬิกาปลุกที่ดังลั่นห้องส่งให้ผู้ที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงต้องปรือตามอง ห้องสีครามทะมึนที่ยังคงดูแปลกตา ทำให้คิดไปถึงพนังสีขาวในห้องเล็กๆโกโรโกโสที่แสนจะคิดถึง นานหลายปีเต็มทีกับการย้ายเข้ามาอยู่ที่นี้ บ้านใหญ่โตที่เธอไม่เคยอยากจะคุ้นชิน แต่ก็จำเป็นต้องอยู่!

 

 

         เธอได้เพียงเหม่อมองแสงที่ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามา เฝ้าถามตัวเองว่าถ้าวันนั้น...ไม่ตอบตกลงชีวิตไป ตอนนี้จะเป็นเช่นไรกันนะ ทุกเรื่องราวในวันนั้นยังคงชัดเจนแม้จะผ่านมานานแสนนาน นานจนเธอก็ชักจะลืมเลือนไปแล้วด้วยซ้ำ...

 

 

           บ้านทั้งหลังยังคงไร้เสียงเคลื่อนไหว ลมหนาวปะทะเข้ามาทำให้รู้สึกสั่นไปทั้งร่าง วันนี้คงเป็นวันที่อากาศดีสำหรับทุกคน แต่สำหรับตัวเธอมันช่างหดหู่ ถ้าไม่เพียงเพราะเจ้าของบ้านที่ป่วยจนทำให้หลงๆลืมๆ วันดีคืนดีเกิดนึกขึ้นได้ว่าเด็กทุกคนควรจะได้ไปโรงเรียน และใช่...เธอก็ต้องไปโรงเรียนเช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะมัน ชีวิตที่มันยุ่งยากอยู่แล้วก็คงไม่ชวนปวดหัวหนักขึ้นขนาดนี้

 

 

          แค่เล่นไปตามบทในบ้านเธอก็เหนื่อยเต็มทน นี้ยังต้องออกไปโกหกคนข้างนอกอีก คิดแล้วเจ้าตัวก็ถึงกับถอนใจ แล้วเสียงร้องและสัมผัสอันคุ้นเคยที่เท้าก็ดึงสติให้ต้องหันไปหา เจ้าแมวดำตัวเขื่อนกำลังพยายามเรียกร้องความสนใจ เธอยิ้มให้มันก่อนอุ้มมันขึ้นแนบอกอย่างรักใคร่

 

 

      “ว่าไง...หิวแล้วละสิ” ว่าพลางก็ลูบไปตามขนปุย เจ้าเหมียวหลับตาพริ้มรับการสัมผัส

 

  

       “ก็อยากจะเอาแกไปด้วยจริงๆเฉาก๊วย แต่รอบนี้คงจะแอบเอาแกใส่กระเป๋าเหมือนครั้งก่อนไม่ไหวแน่ ตอนนี้แกไม่ใช่ลูกแมวอีกแล้วนะ”

 

 

       ปัง! ปัง!

 

 

 

       “ตื่นรึยังค่ะคุณหนู”

 

 

          ประตูถูกเปิดขึ้นทันที ผู้ที่โผล่มาคือป้าอรแม่บ้านผู้คอยดูแลเธอนับตั้งแต่ก้าวมาอยู่ที่นี้ หญิงสูงวัยดูตกใจเล็กน้อยเมื่อมองไปที่กระเป๋าใบใหญ่ที่ยังตั้งอยู่ในสภาพเดิม เธอเป็นคนลากมันมาวางไว้ให้ดารินใส่ของสำหรับเอาติดตัวไปยังโรงเรียน แต่ดารินก็ปล่อยมันไว้อย่างงั้นโดยไม่คิดจะสนใจ

 

 

         “โธ่ คุณหนู...เดี๋ยวก็ถูกคุณชายดุเอานะคะ” รอยยิ้มแห้งๆผุดขึ้นบนหน้าของเธอ

 

 

              “ไปอยู่ที่นู้นคุณหนูต้องดูแลตัวเองนะคะ ป้าละเป็นห่วงเหลือเกิน...โดยเฉพาะเรื่องนั้น”

 

 

        “ถ้าถูกจับได้ก็คงต้องกลับไปนับหนึ่งใหม่ แต่มันอาจจะดีกว่าตอนนี้ก็ได้นะป้า” ผู้เอ่ยยิ้มตอบให้กับท่าทางที่ดูกังวลของอีกฝ่าย ชั่ววูบรอยยิ้มเย็นชาก็แปรเปลี่ยนกลับมาเฉยเมยเช่นเคยเป็น ในขณะที่มือยังคงกอดแมวไว้แน่น

 

 

          "ป้าอร...เฉาก๊วยมันเป็นเพื่อนตัวเดียวที่รินมีในบ้านหลังนี้ ถ้าเกิดออกไปแล้วถูกจับได้ ถ้าเกิดไม่ได้กลับมาที่นี้อีก ฝากป้าดูแลเฉาก๊วยมันด้วยนะ"

 

 

        “ดูพูดเข้าสิ ไม่เอาค่ะ คุณหนูก็แค่ไปเรียนเดี๋ยวปิดเทอมก็ได้กลับมาแล้ว เอาเป็นว่ารีบแต่งตัวเถอะ ค่ะใกล้ถึงเวลาอาหารเช้าแล้ว เอาของที่จะเอาไปที่นู้นมารวมไว้ตรงนี้ป้าอรจะได้รีบจัดใส่กระเป๋าให้นะคะ

 

 

          ว่าแล้วเธอก็รีบจัดแจงตามที่เอ่ย ป้าอรเป็นอีกคนที่รับรู้เรื่องราวต่างๆในบ้านหลังนี้ แม้ตัวเธอมักจะแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ แต่เพราะเธอเป็นคนเดียวที่ดีกับดารินทั้งต่อหน้าและลับหลัง ดารินจึงมองป้าอรราวกับญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งของเธอ

 

 

         หลังแต่งตัวเรียบร้อยแทนที่จะมุ่งไปยังโต๊ะอาหารเธอเลือกพาร่างก้าวไปยังสวน นานแล้วที่ไม่ได้ออกมาสูดอากาศในยามเช้า สวนดูครึกครื้นเต็มไปด้วยดอกไม้ที่แข่งกันผลิบาน คนสวนกำลังก้มหน้าก้มตาทำงานตัดแต่งต้นไม้อย่างขะมักเขม้น พื้นที่บ้านที่กว้างขวางเกินที่จะดูแลกันได้ ทุกๆเดือนจึงมักจะมีคนสวนที่ถูกจ้างเข้ามาช่วยดูแลอีกกำลัง

 

 

        หลายคนที่นี้คุ้นเคยกับภาพเด็กสาวทีมักจะออกมาเดินเล่นพร้อมรอยยิ้มทักทาย แต่สำหรับอีกฝ่ายใบหน้ายิ้มแย้มที่แสนถนัดมักจะถูกฉาบเป็นหน้าด่านยามเมื่อต้องพบเจอผู้คน หากไม่ยิ้มคงเหลือไว้แค่ความเฉยชา นั้นละคือตัวตนที่แท้จริงที่ถูกดารินซ่อนไว้

 

 

           แดดเริ่มส่องมากขึ้นทุกขณะ อากาศสดใสยามเช้าทำให้จิตใจวุ่นวายน้อยลง ไม่ช้าเจ้าตัวก็ตัดสินใจก้าวเดินกลับไปยังตัวบ้าน หากเพียงความคิดมากมายที่ยังคงวุ่นวายอยู่ในหัวก็พาให้ร่างพุ่งชนเข้ากับชายหนุ่มที่ยืนนิ่งไปไม่ห่าง เส้นผมสีดำถูกหวีจนเรียบ แว่นตาที่ดูไม่เหมาะกับหน้า สายตาดุเข้มที่ส่งมาให้ก็ยิ่งขัดไปกับหน้าขาวที่ดูสุขุม

 

 

        “ระวังหน่อยสิ”

 

 

         “ขอโทษ...ค่ะ” เธอเอ่ยอย่างเคยชิน มันคือคำพูดติดปากเวลาที่มีเรื่องต้องเสวนากับคนตรงหน้า ชายหนุ่มที่เป็นคนที่ยื่นข้อเสนอบ้าๆให้กับเธอในวันนั้น เทภาวัตน์ วิริยอนันต์ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายผู้แก่กว่าเธอถึง 9 ปี

 

 

        “จัดข้าวของเรียบร้อยแล้วรึ?”

 

 

         “อ๋อ...มั้งค่ะ” เธอขยับก้าวไปข้างๆชายหนุ่มที่เดินนำเข้าไปในบ้าน จริงๆก็ไม่แปลกใจกับท่าที่ดูเคร่งเครียดของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชาย ดูเหมือนการต้องย้ายไปเรียนในโรงเรียนประจำจะไม่ได้สร้างปัญหาหนักใจกับเธอแค่เพียงผู้เดียวแน่ๆ

 

           ผู้เป็นนายหญิงของบ้านหรือคนที่เธอต้องเรียกว่าแม่อยู่ที่นั้น โต๊ะใหญ่เต็มไปด้วยอาหารเช้าหอมกรุ่น รอยยิ้มหวานทำให้ใบหน้าของหญิงสูงวัยตรงหน้ามองดูอ่อนโยน เยาวภารั้งเธอเข้าไปนั่งข้างๆ อย่างรักใคร่เหมือนดังเช่นทุกวัน

 

 

        “ริน ลูกพร้อมสำหรับโรงเรียนใหม่รึยังจ๊ะ”

 

 

           รอยยิ้มของเยาวภาดูกว้างขวางมากกว่าปกติ นานแล้วที่ไม่ได้เห็นท่าทางที่ดูแข็งแรงสดชื่นจากหญิงผู้นี้ ครั้งแรกที่เจอกัน เยาวภาผู้ป่วยหนักได้เพียงนอนอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าซีดขาว หญิงตรงหน้าร้องเรียกเธอว่าลูกและกอดเธอแน่นในนาทีแรกทีพบ และนับตั้งแต่การมาของเธอก็ทำให้อาการของคุณนายใหญ่ประจำบ้านหลังนี้มีแต่จะดีขึ้น

 

 

        “ค่ะ” เธอตอบขณะก้มลงตักอาหารอย่างละเลียด

 

 

           “พ่อกับแม่เคยเรียนที่นั้น พี่เทพของเราก็ด้วย ที่นั้นมีอะไรดีๆเยอะแยะมากมาย ลูกจะต้องสนุกแน่นอนจ๊ะ”

 

 

          เธอได้เพียงยิ้มตอบรับด้วยหน้ากากที่แสนถนัด เทภาวัตน์หรือพี่เทพยังคงนั่งกินอาหารตามปกติ เธอแปลกใจนักที่ชายหนุ่มดันมาเห็นด้วยกับเยาวภาในเรื่องนี้ การให้เธอไปอยู่โรงเรียนประจำหรอ นี้มันฆ่าตัวตายชัดๆ!!!

 

 

         ผู้เป็นแม่น้ำตาซึมขณะยืนส่งเธอขึ้นรถ เยาวภาแม้จะอยากไปส่งเธอให้ถึงโรงเรียนด้วยตนเอง แต่เพราะร่างกายที่ไม่แข็งแรงจึงมีเพียงเทภาวัตน์เท่านั้นที่จะไปกับเธอ หญิงสูงวัยกอดเธอแน่นเป็นครั้งที่ร้อยก่อนที่จะปล่อยเธอขึ้นรถด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ ไม่ช้ารถก็วิ่งออกไปจากประตูบ้านอย่างรวดเร็ว

 

 

        ชายหนุ่มข้างๆได้เพียงขับรถไปเงียบๆ ทิวทัศน์แปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆตลอดเส้นทาง ไม่นานรถก็มุ่งเข้าไปจอดในโรงพยาบาลใหญ่ ดารินรีบลงจากรถด้วยจิตใจพองเธอ เกือบครึ่งปีแล้วที่เธอไม่มีดอกาสได้มาเยื่อนที่แห่งนี้ ทั้งคู่ก้าวไปยังตัวอาคารสีขาว มุ่งไปยังห้องเล็กๆที่ตั้งอยู่ลึกเข้าไปในตึก

 

 

      "เดี๋ยวฉันจะเข้าไปจัดการเรื่องยาของเธอ รอฉันอยู่ที่นี้แล้วอย่าออกไปไหนละ"

 

 

        พูดจบชายหนุ่มก็เดินจากไป ทิ้งเธอไว้ในห้องสีขาวเล็กๆ ดารินรีบเดินเข้าไปยังห้องอย่างไม่รีรอ เธอเดินมาหยุดนิ่งข้างเตียงของหญิงสูงวัยรายหนึ่ง มีสายน้ำเกลือและเครื่องมือระโหยงระยางค์ติดอยู่กับร่างของหญิงตรงหน้า ดารินค่อยๆเอื่้อมมือไปสัมผัสกับมือของอีกฝ่ายอย่างคิดถึง

 

 

         "แม่...เป็นยังไงบ้าง สบายดีรึเปล่า ชินไม่ได้มาเยี่ยมแม่ตั้งนาน คิดถึงแม่เหลือเกิน..."

 

 

         มีเพียงดวงตาที่กระพริบบอกให้รู้ว่าคนที่นอนแน่นิ่งเองก็รับรู้กับการมาของอีกฝ่าย แม้จะไม่สามารถตอบอะไรกลับมาได้ก็ตาม สุดาผู้เป็นแม่ประสบเหตุการณ์เส้นเลือดแตกในสมอง หลังจากนั้นเธอก็ทำได้เพียงนอนนิ่งอยู่บนเตียง และต้องพึ่งพาเครื่องมือและยาเพื่อให้มีชีวิตรอดไปได้ในแต่ละวัน

 

       ดารินหรือแท้จริงคือเด็กหนุ่มนามว่าชิน ทำได้เพียงมองดูผู้เป็นแม่แท้ๆด้วยดวงตาแดงกล่ำ ถ้าไม่เพราะเทภาวัตน์และเงินของตระกูลวิริยอนันต์ เขาคงจะเสียแม่ไปตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อน แต่เพื่อจะรั้งแม่ไว้ให้นานที่สุด ชินจึงยอมทำทุกอย่าง

 

 

         แม้จะเป็นการต้องใช้ชีวิตเป็นเด็กสาวที่ชื่อว่า ดาริน วิริยอนันต์!!!

 

 

        หลังจาก เยี่ยมเยือนสุดาได้ไม่นาน ก็ถึงเวลาที่ชินต้องบอกลาแม่อีกครั้ง ก่อนจะมุ่งหน้ากลับมายังเส้นทางเดิมที่ควรจะเป็น

 

 

        "ขอบคุณนะที่พาผมมาเจอแม่..."

 

 

 

        อีกฝ่ายยังคงขับรถต่อไป ทำเป็นไม่ได้ยินที่เขาเอ่ย

 

 

         "บอกแล้วไง ถ้าทำคะแนนสอบเทียบของโรงเรียนได้ดี ฉันจะให้เธอได้เยี่ยมแม่ของเธอ และฉันไม่เคยผิดคำพูดกับใคร"

 

 

         แม้คำตอบที่ได้จากอีกฝ่ายจะอกกมาด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจ แต่เด็กหนุ่มก็ยังคงมีกำลังใจขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากได้พบแม่และเห้นว่าทานยังอยู่ดีด้วยตาของตัวเอง แม้มันจะทำให้เค้าต้องทนอดหลับอดนอนท่องหนังสืออยู่เป็นแรมเดือน

 

         หลังจากนั้นก็เพียงนั่งมองวิวข้างทางที่เปลี่ยนไป ต้องขับรถไปถึง 5 ชั่วโมงจึงจะไปถึงโรงเรียนประจำที่ตั้งอยู่ทางเหนือ เส้นทางดูห่างไกลผ่านทุ่งหญ้าและป่าเขา แต่ไม่ว่าอย่างไรสุดท้ายการเดินทางก็ย่อมต้องถึงปลายทาง ไม่เย็นมากนักรถเก่งคันงามก็ค่อยๆแล่นมาจอดหน้าอาคารสีครามรูปทรงคล้ายโบสถ์ ชินไม่รอช้าเอื้อมไปเปิดประตูรถออก แต่ต้องหยุดเมื่อสัมผัสถึงมือของคนข้างๆที่หยุดเขาไว้

 

 

       “รู้ใช่ไหมว่าต้องดูแลตัวเองยังไงตอนอยู่ที่นี้”เทภาวัตน์เอ่ยทั้งที่ดวงตาไม่ได้มองมาที่เขาเลย

 

 

       “อย่าให้ใครจับได้เข้าใจไหม ไม่งั้นทุกอย่างที่เราตกลงกันไว้จะเป็นโฆคะ เธอเข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหมดาริน!”

 

 

        ความรู้สึกสะท้านแล่นพล่านไปทั้งร่าง ห้าปีแล้วกับการรักษาคำสาบานและแน่นอนตัวเขาตั้งใจจะรักษามันไปตลอดชีวิตปลอมๆ ถ้ามันจะทำให้แม่ของเขารอด!

 

 

         ทำไมคุณถึงเห็นด้วยกับเรื่องส่งผมมาอยู่ที่นี้ล่ะ คุณก็รู้ว่ามันเสี่ยง ผมอาจจะเล่นละครตามที่คุณบอกได้หากคนพวกนั้นแค่ผ่านมาแล้วก็ไป แต่ผมจะรักษาความลับต่อไปได้ยังไง ถ้าต้องไปอยู่ร่วมห้องกับคนอื่นแบบนี้”

 

 

        เมื่อมีเพียงคนทั้งคู่ ก็ไม่จำเป็นต้องเล่นละครกันอีกต่อไป

 

 

         “ทุกคนในตระกูลของฉันมาจากที่นี้ ตอนนี้เธอเป็นคนของเรา และแม่ก็อยากให้เธอมาเรียนในที่ที่แม่เคยเรียน ตอนนี้สิ่งที่เธอต้องทำก็คือทำตามที่ฉันบอก” แล้วเสียงของเขาก็เปลี่ยนมาขุ่นเคือง“อีกอย่างอย่าเรียกฉันว่าคุณหรือใช้แทนตัวเองว่าผมให้ได้ยินอีก ตอนนี้เธอเป็น ดาริน วิริยอนันต์ อย่าให้ฉันต้องพูดซ้ำ”

 

 

        ความร้อนระอุคุกรุ่นอยู่ในอก ตลอดมาชีวิตของชินมีเพียงแม่ แม่ผู้ใจดีกับบ้านสีขาวหลังเล็กในย่านคนจน แม่ที่แม้จะยากจนแต่ก็ดูแลลูกเป็นอย่างดี แตกต่างกับพ่อที่ตายไปแล้วในความคิดของเขาตลอดมา ถ้าไม่เพราะสุดาที่มาล้มป่วยในตอนนั้น เขาก้คงไม่มีวันยอมรับข้อเสนอพิลึกแบบนี้แน่ 

 

 

        ความจริงก็รู้ดีว่าเยาวภาผู้เป็นแม่มีความหมายกับเทภาวัตน์แค่ไหน หากไม่เพราะเธออยากให้ลูกสาวได้ไปโรงเรียน ตัวปลอมอย่างเขาก็คงไม่มีวันได้ก้าวออกจากบ้านที่เปรียบดังคุก แต่นั้นล่ะ คิดว่าตัวเขาเองจะอยากมาอยู่ที่นี้นักรึไง ที่ต้องมานั่งสมเพชตัวเองทุกวันมันก็มากพออยู่แล้ว

 

 

         ในระหว่างที่ความเงียบครอบคุมคนทั้งคู่ หญิงคนหนึ่งก็ก้าวเดินมุ่งตรงมาที่รถ เทภาวัตน์เปิดประตูและลุกเดินไปหลังรถเพื่อหยิบข้าวของทันที ชินเองได้เพียงลุกเดินมายืนนิ่งด้วยสีหน้ารันทด หญิงแก่ตรงหน้ายิ้มให้เขาอย่างใจดี การแต่งกายที่ดูดีบ่งบอกว่าเธอคงจะเป็นมากกว่าอาจารย์ เทภาวัตน์ค่อยๆลากกระเป๋ามาวางข้างๆ ในนาทีนั้นชินรู้แล้วว่าการกลืนอะไรใหญ่ๆลงไปในท้องมันรู้สึกอย่างนี้เอง...

 

 

       “หน้าตาเหมือนคุณพ่อนะคะ สวยน่ารักจริงๆ” เธอเอ่ยพร้อมยิ้มกว้างส่งมาให้

 

 

       ชินได้เพียงยิ้มตอบ ไม่แปลกที่ใครๆที่นี้จะรู้จักกับคนในครอบครัววิริยอนันต์ ตระกูลเก่าแก่ที่ส่งลูกหลานของตระกูลมาใช้ชีวิตในโรงเรียนแห่งนี้มาตั้งแต่อดีต ถ้าไม่เพราะบารมีเก่าของตระกูล ดารินคนนี้ก้คงไม่สามารถเข้าเรียนมัธยมปลายที่นี้ได้แน่ ทั้งที่ไม่เคยเรียนมัธยมต้นที่ไหนมาก่อนเลยด้วยซ้ำ

 

 

          ชินได้เพียงกวาดสายตาไปรอบๆตัวโรงเรียนอย่างเหนื่อยใจ

 

 

  

       “นี่ของฝากจากคุณแม่ครับ ผู้อำนวยการสบายดีนะครับ” เทภาวัตน์เอ่ยขึ้นขณะยื่นกล่องของฝากให้แก่หญิงตรงหน้า เธอยิ้มกว้างก่อนรับไป

 

  

      “เกรงใจจริงๆ แล้วเทภาวัตน์เป็นอย่างไร ทำงานในโรงพยาบาลเป็นไงบ้าง ครูได้ข่าวว่าเรากำลังจะเปิดคลีนิคของตัวเองในตัวเมืองใช่ไหม...ยินดีด้วยนะ ”

 

 

        เขาได้เพียงยิ้มตอบ

 

 

       ครั้งเมื่อไม่คิดจะใส่ใจการทักทายของคนตรงหน้า ชินก็เพียงยื่นนิ่งทำใจให้สงบ ไม่นานเทพาวัตน์ก็กล่าวลาและมองมาที่เขา

 

 

       “อย่าลืมกินยาที่พี่ให้ไว้ล่ะ”

 

 

         คงเพราะท่าทางของชินที่มันดูแย่ถึงขีดสุด เทภาวัตน์ที่มองสบท่าทางราวกับจะเอ่ยอะไรออกมา แต่สุดท้ายก็ได้เพียงมองหน้า แล้วก็กลับขึ้นรถและขับจากไป.. ทิ้งเขาไว้กับอนาคตที่แสนวุ่นวายเบื้องหลัง

 

 

                  อ่านจบอย่าลืมคอมเม้นต์ติชมกันด้วยนะคะ ^ ^

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา