MOUNTAIN DOOM ล่อมาชำแหละ
8.0
เขียนโดย องค์ชายแมว
วันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 เวลา 15.36 น.
3 บท
0 วิจารณ์
5,766 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 17.25 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) ออกเดินทาง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 1 ออกเดินทาง
ณ กระท่อมเก่าแห่งหนึ่งที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่
ข้างในพบร่างหญิงสาวนอนราบอยู่บนเตียงไม้ เธอแน่นิ่งไม่ได้สติอยู่ในท่านั้นเป็นเวลานานแล้ว เมื่อมองผ่านเสื้อเอวลอยที่ใส่พบว่าบริเวณท้องน้อยมีรอยเขียวช้ำจากการถูกทำร้าย
เมื่อประตูกระท่อมอ้าออก พลันปรากฏร่างชายสูงใหญ่ยืนทื่ออยู่เบื้องหน้าของหญิงสาว แววตาของมันจับจ้องร่างกายอิ่มเอิบของเธออย่างโรคจิต ไล่ตั้งแต่นิ้วเท้า หัวเข่า หน้าท้อง หน้าอก ไปจนถึงใบหน้าและเส้นผม
น้ำลายไหลเยิ้มออกจากปากด้วยความหิวกระหาย สองเท้าเดินปรี่เข้าไปยังร่างที่หมดสติอยู่บนเตียง มันยกมือขึ้นลูบศีรษะเธอ ก่อนจับไรผมสีทองขึ้นมาสูดดมพลางแสยะยิ้ม
ใช้เวลาไม่นานมันก็เปลื้องอาภรณ์ของเธอออกจนหมด ปล่อยร่างกายเปลือยเปล่าให้นอนโล่งโจ้งอยู่อย่างนั้น มันสัมผัสเรือนร่างของเธออย่างทะนุถนอมด้วยมือที่สากดั่งกรวด ก่อนจะเปลื้องเสื้อผ้าของตัวเองออกจนหมด แล้วนาบลงบนร่างกายของหญิงสาวที่หมดสติ
●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●
กรุงเทพมหานคร
เจ็ดโมงเช้า
“ฉันบอกแกแล้วว่าให้ออกจากกรุงเทพเร็วกว่านี้ เป็นไงละ…สนุกมั้ยล่ะทีนี้ขับรถต่อแถวคนอื่นเนี่ย” แมนพูดกับเพื่อนซี้ของตัวเอง ทำหน้าเยาะเย้ย
“เออ…เอาน่า จะบ่นทำพระแสงอะไรวะ เดี๋ยวก็ให้ขับเองซะนี่” เก่งตอบแมนกลับไปด้วยท่าทีหงุดหงิด
ทั้งคู่สนิทชิดเชื้อกันจนใช้คำว่าครอบครัวได้เลย เนื่องจากเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่จำความได้ อาศัยว่าบ้านใกล้เรือนเคียงจึงได้เล่นด้วยกันทุกวันเป็นประจำ
ถึงแม้เก่งและแมนจะเติบโตมาจนอายุย่างเข้าเลขสามแล้ว แต่ก็ไม่ทำให้ทั้งคูหมดไฟไปเสียง่ายๆ ยังขวนขวายหากิจกรรมที่ทำให้อะดรีนาลีนพลุ้งพล่านอยู่เสมอ โดยไม่ยอมปล่อยให้หัวใจเต้นตามจังหวะธรรมดาเหมือนคนปรกติทั่วไป โดยให้เหตุผลว่าความฟินมันต่างกัน ฉะนั้น ‘ผาม่านเมฆ’ จึงตอบโจทย์ได้ดีที่สุด
แมนคือชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ตัดผมทรงสกรีนเฮ็ด เคราบางๆถูกกันเป็นกรอบรอบใบหน้าด้วยมีดโกน ดั้งแหลมเป็นสันงอนปลาย เมื่อรูปร่างหน้าตาอันหล่อเหลาผสมเข้ากับบุคลิกกวนๆของเขา เลยทำให้แมนเป็นผู้ชายที่ดูแบดบอยในสายตาผู้หญิงเป็นอย่างมาก แต่มันก็ส่งผลดีเพราะเป็นแนวที่สาวคลั่งไคล้มากเลยทีเดียว
ส่วนเก่งนี่ก็ฉกาจสมชื่อ เขาทำอาชีพโปรแกรมเมอร์ให้กับบริษัทเกมส์ยักษ์ใหญ่ของประเทศไทยเป็นงานหลัก รับซ่อมคอมพ์เป็นอาชีพเสริม แต่ก็แจ้งเกิดได้แค่ความสามารถเนี่ยละที่ทำให้ดูโดดเด่นขึ้นมาได้ เพราะหน้าตาสุดแสนธรรมดามีแนวโน้มออกไปทางขี้เหร่ของเขามันไร้แรงดึงดูดทางใจจากสาวๆสิ้นเชิง
เก่งมีใบหน้ารูปไข่ ผมหยิกแสกออกด้านข้าง เว้นพื้นที่ว่างตรงหน้าผาก สวมแว่นสายตาทรงกลมสีดำ น้ำหนักประมาณ 90 กิโลกรัมส่งผลให้รูปร่างอ้วนท้วม เพราะไม่ได้ออกกำลังกายร่วมไปกับการรับประทานที่สุดแสนจะโหดเหี้ยมของเขา
ทั้งคู่อยู่บนทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด ก่อนจะใช้ถนนหมายเลข 9 วงแหวนรอบนอกตะวันตกเพื่อเข้าสู่เส้นทางไปยังจังหวัดโคราช โดยเก่งรับตำแหน่งตำแหน่งโซเฟอร์ตลอดทาง ส่วนแมนคอยบริการเสิร์ฟเนื้อสัตว์ พืช แป้ง ผลไม้ ลงสู่กะเพราะให้กับคนขับรถอีกทีหนึ่ง ทั้งนี้ก็ทำในส่วนของตัวเองด้วย
รถที่พวกเขาใช้เดินทางเป็นรถบ้านเคลื่อนที่ขนาดกระทัดรัด รูปทรงคล้ายแวนแต่สูงกว่า ข้างในมีครัวขนาดย่อม เตียงนอนชั้นลอย โซฟาสองตัว อุปกรณ์ต่างๆสำหรับเข้าป่าและปิคนิค ด้านบนมีหน้าต่างเล็กๆสำหรับชมวิว แถมลมยังสามารถพัดเข้ามาเพื่อให้อากาศข้างในระบายได้อีกด้วย
ขณะที่รถใช้ความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แมนก็ทำหน้าที่ผลิตเสบียงมื้อเช้าให้กับเพื่อนเขาไปด้วยพลางๆ โดยเข้าครัวขนาดย่อมเพื่อหั่นแซนวิซ เขาแบ่งมันออกเป็นสองส่วน แล้วเอาชิ้นที่ใหญ่กว่ายื่นให้กับเพื่อนร่างอ้วน
เก่งรับมันอย่างรีบร้อนแล้วส่งหายวับเข้าไปในปากทันที ลงไปสู่กระบวนการย่อยของกระเพาะต่อไป แมนไม่พูดพร่ำ เขารีบกินให้หมดเดี๋ยวนั้นก่อนที่เพื่อนของเขาจะแย่งมันไป
“ตรี๊ด ตรี๊ด ตรี๊ด”
เสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโซฟาดังขึ้น ขณะที่แมนก็กำลังเดินปรี่เข้าไปเพื่อรับมัน
“ไอ้โก้ใช่มั้ย” เก่งถามขณะหมุนพวงมาลัย
“ใช่” เพื่อนเขาตอบ ก่อนจะหยิบมันขึ้นมากดรับสาย
“ว่าไงโก้”
“พวกแกถึงไหนแล้ววะ รอนานแล้วเนี่ย” เสียงจากปลายสายพูด
“พึ่งลงทางด่วนมาเอง เดี๋ยวจะบอกให้เก่งรีบอัดไปละกัน”
“เออ รีบมาละ”
เสียงจากปลายสายตัดบทสั้นๆก่อนจะวางไป
แมนโยนมือถือไว้ที่เดิม แล้วเดินไปหยิบโค้กขวดใหญ่ที่วางอยู่ข้างๆลังเบียร์ขึ้นดื่มดับกระหาย หลังจากที่คอแห้งจากแซนวิชเมื่อครู่ เขายังนำน้ำขวดเดียวกันที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งไปแบ่งให้เก่งดื่มด้วย
“ฉันว่ายายเชอร์รี่ต้องบ่นฝากไอ้โก้มาแน่เลย มันถึงมาเร่งพวกเราแบบนี้เนี่ย” แมนเล่าให้เพื่อนฟัง ขณะที่เก่งกำลังกระดกโค้กที่แมนส่งให้
“ก็รู้ๆกันอยู่ว่าเชอร์รี่นะปากตลาดจะตาย” เก่งหัวเราะในลำคอ ก่อนจะถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย
บทสนทนาของทั้งคู่จบลงระหว่างที่รถเคลื่อนตัวไปด้วยความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้นกว่านั้น เพราะรถบนถนนเริ่มซาลงจากที่หนาตาในตอนแรก
ผู้คนต่างแยกย้ายกันกลับบ้านต่างจังหวัดช่วงวันหยุดยาวเสมอ ยิ่งเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์แบบวันนี้ยิ่งแล้วใหญ่เลย รถติดยังกับมดต่อแถวไปขนอาหารกลับรังเสียอีก โชคยังดีที่แมนและเก่งมีเป้าหมายปลายทางสิ้นสุดแค่โคราช เพราะถ้าขึ้นไปทางเหนือ รับรองได้เลยว่าได้ขับกันจนเมื่อยไปข้างหนึ่งแน่ๆ
เก่งทำเวลาเพียงสองชั่วโมงเศษก็ถึงจังหวัดเป้าหมายที่ระบุเอาไว้ในแผน
‘โคราช’
พวกเขายังคงมุ่งหน้าต่อไปโดยไม่ได้แวะพักที่ปั้มเพื่อทำธุระหรือหาของกินข้างทางแต่อย่างใด ด้วยความขี้เกรงใจของเก่ง กลัวว่าเพื่อนจะรอนาน จึงรีบไปรับอีกสามคนที่รออยู่ก่อนหน้าที่บ้านของแคทเธอรีน
“มาช้าจังนะพวกแก มัวแต่ม่อสาวที่ไหนกันอยู่ละ”
เมื่อรถบ้านเคลื่อนที่จอดสนิท เสียงหญิงสาวฝีปากกล้าก็ตะโกนออกมาต้อนรับทันที ขณะที่ทั้งสามคนนั่งรออยู่บนม้าหินอ่อนหน้าประตูร่วมครึ่งชั่วโมง โดยปิดล็อคบ้านเรียบร้อยเพื่อเตรียมพร้อมออกเดินทางทันทีโดยไม่ให้เสียเวลา
เบื้องหน้าของแมนและเก่งเห็นเป็นบ้านชั้นเดียวขนาดเล็ก สร้างไว้เป็นบ้านพักตากอากาศสำหรับพักผ่อนของแคทเธอรีนและครอบครัว ส่วนมากไม่ค่อยมีคนมาอยู่ถ้าไม่มีโอกาสพิเศษจริงๆอย่างวันนี้
“รถติด” แมนตอบสั้นๆ แล้วทำหน้ายียวนใส่เชอร์รี่
เธอเบะปากมองบน ก่อนจะทำหน้าตาไม่พอใจ เธอเป็นคนอารมณ์ร้อนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว โชคดีที่แมนไม่โดนเปิดฉากด่าแรงๆเหมือนทุกครั้ง ไม่งั้นคงได้ทะเลาะกันยาวอีกแน่ๆ
เชอร์รี่เป็นหญิงสาวผิวขาว ผมดำยาวแสกกลางหน้าผาก ร่างกายอวบอึ๋มกว่าเพื่อนสาวอย่างแคทเธอรีน ใบหน้าเรียวคางแหลม แววตามั่นใจ เติมปากด้วยลิปสีแดง และแต่งหน้าจัด เธอจะเป็นคนที่สวยมากคนหนึ่งเชียวละถ้าหากเลิกทำหน้าตาเบื่อโลก
“เอาล่ะๆ รีบไปกันเถอะ ต้องไปหาอะไรกินข้างทางแล้วไปตั้งเต๊นท์กันต่ออีก”
เก่งพูดตัดบทสนทนาอันแสนน่าเบื่อของทั้งคู่ ด้วยความกลัวว่าหากสองคนนี้เกิดทะเลาะกันขึ้นมา คงจะไม่ส่งผลดีต่อแก้วหูตัวเองและเพื่อนอีกสองคนแน่นอน
ทั้งหมดช่วยกันหอบเอาสำภาระที่วางอยู่บนม้าหินอ่อนขึ้นรถ ก่อนจะเดินตามกันขึ้นไปโดยผลัดให้ฮิวโก้เป็นคนขับ เพื่อให้เก่งได้พักผ่อนบ้าง เสียงเครื่องยนต์สตาร์ทขึ้นพร้อมกับควันรถที่ลอยสู่อากาศ ฮิวโก้เหยียบคันเร่งด้วยความเร็วระดับปานกลาง เพราะถ้าพูดถึงเรื่องรถแล้วละก็ เขาใจไม่ถึงเท่าไหร่ที่จะเหยียบมิดไมล์
ตัวเขาเองเคยมีความทรงจำที่แสนเลวร้ายเกี่ยวกับรถมาก่อน นานมาแล้วฮิวโก้เคยเป็นนักซิ่ง แต่เกิดอุบัติเหตุที่ทำให้ขาขวาของเขาต้องใส่เหล็กดามเอาไว้ ส่งผลให้เดินกระเผลกไม่สมประกอบเหมือนคนปรกติ
วันนั้นฝนตกหนัก ถนนลื่น มองทางไม่ชัด เขาขับรถยนต์ รุ่น ซีวิคมาด้วยความเร็วบนทางด่วนแห่งหนึ่งในกรุงเทพ พอถึงโค้งกลับเบรกไม่อยู่ ทำให้รถสะบัดไปตามแรงเหวี่ยงของโค้งนั้นทันที ร่างของเขากระเดนออกจากตัวรถ เหวี่ยงไปฟาดกับแผงกั้นแบริเออร์คอนกรีตข้างทาง ส่งผลให้ขาขวาหัก กระดูกแทงทะลุหน้าแข้งออกมา และนั่นเป็นต้นเหตุให้เขากลัวความเร็วไปโดยปริยาย
ฮิวโก้เป็นคนที่มีรูปร่างสูง สูงกว่าแมนนิดหน่อย ไว้ผมเซอร์ๆเหมือนนักร้องคนหนึ่งที่มีชื่อเหมือนเขา โกนเคราสะอาดสะอ้าน ใบหน้าขาวใส ดั้งโด้งงุ้มลงเหมือนเหยี่ยว คิ้วเชิดและริมฝีปากบาง โดยรวมแล้วหน้าตาดี แต่หล่อน้อยกว่าแมน
“ไม่ต้องขับเร็วละไอ้โก้ ฉันไม่อยากปลิวไปชนแบริเออร์แบบแก” แมนแซว ทำหน้าระรื่น
“เลว” ฮิวโก้พึมพำคนเดียว แต่หวังให้เพื่อนเขาได้ยิน
พวกเขาคุยกันสนุกสนานตลอดการเดินทาง ขณะที่รถกำลังมุ่งหน้าไปทางเทือกเขาขนาดใหญ่ มันใหญ่จนกินพื้นที่ไปหลายจังหวัด เป็นแนวยาวไล่ตั้งแต่ปราจีนบุรี สระแก้ว บุรีรัมย์ และนครราชสีมา ด้วยเส้นทางที่สลับซับซ้อนทำให้พวกเขาต้องอาศัย GPS นำทางไปอีกแรง
ทั้งหมดต้องเดินทางผ่านแม่น้ำขนาดใหญ่ติดหลายอำเภอในจังหวัดโคราช ก่อนจะใช้เส้นทางเลียบด้านข้างเพื่อลัดเลาะไปยังภูเขาที่อยู่ทางด้านหลัง ระหว่างทางที่รถแล่นออกจากตัวเมือง ทุกคนก็สังเกตุเห็นว่าบ้านเรือนของผู้คนเริ่มมีให้เห็นน้อยลง เพราะเริ่มเข้าเขตชนบท และมีทุ่งนาทอดยาวสุดลูกหูลูกตาให้เห็นสองข้างทางตลอดแนว
บางทีก็มีต้นไม้สูงกระหนาบข้างเป็นบางช่วง ชวนให้รู้สึกเงียบเหงาพิกล บางครั้งพวกเขาก็รู้สึกแปลกๆเพราะสายตาของชาวบ้านที่อยู่ตามบ้านเรือนสองข้างทาง รวมไปถึงคนที่ขี่มอเตอร์ไซต์สวนทางต่างส่งสายตาจ้องมองแปลกๆผ่านหน้าต่างเข้ามาในรถ ชวนให้ขนหัวลุก
“เธอเคยไปที่หน้าผานั่นจริงเหรอแคท” เก่งถามด้วยสีหน้าหวาดวิตก
“ก็จริงนะสิ ถามทำไมเหรอ…”
“ฉันว่าบรรยากาศมันแปลกๆ อีกอย่างสายตาคนพวกนั้นที่จ้องมองมาดูเหมือนอยากจะบอกอะไรพวกเราเลยนะ”
“ไม่มีอะไรหรอก คิดมากไปรึเปล่าวะ คนตามชนบทก็ยังงี้แหละ ขี้สงสัยเป็นธรรมดาว่ามีใครผ่านไปผ่านมาแถวย่านที่พวกเขาอยู่บ้าง แล้วยิ่งพวกเราเป็นคนแปลกหน้าด้วย มีเหรอที่จะไม่ถูกจับตามองน่ะ” แมนแสดงความเห็น
“อย่าคิดมากสิ…อย่างที่บอกอ่ะแหละ ฉันเคยไปปีนผาม่านเมฆมาแล้วกับเพื่อนๆอีกกลุ่มหนึ่ง ก็ไม่เห็นจะมีอะไรเลยนะ” แคทเธอรีนพูด
แคทเป็นสาวน้อยคนเดียวในกลุ่มที่น่าสงสารที่สุด เธอเคยเล่าให้เพื่อนๆฟังว่ากำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่ยังเล็ก มีแต่ลุงกับป้าที่คอยส่งเสียเลี้ยงดูเธอมาจนโต ทั้งเรื่องเรียน เรื่องกิน ค่าใช้จ่ายต่างๆก็ตกอยู่ในความรับผิดชอบของลุงกับป้าเธอทั้งหมด ไม่มีใครกล้าถามประวัติลึกๆของแคทมากนัก เพราะกลัวว่าจะไปสะกิดแผลในใจของเธอเข้า
แคทเป็นคนเงียบๆ และดูจริงจังกับชีวิต เมื่อก่อนเธอมีปัญหากับการย้ายโรงเรียนบ่อยมาก เปลี่ยนสถานศึกษาเป็นว่าเล่น อาจเป็นเพราะใบหน้าและรูปร่างที่ผิดแปลกราวกับคนพิการ ทำให้เธอมักถูกล้อจากกลุ่มเพื่อนอยู่บ่อยๆ จึงทนกับความกดดันไม่ไหวย้ายหนีไปเรื่อยๆ แต่ก็ทนเรียนจนจบมาได้
เธอมักมีนิสัยถามคำตอบคำ ถ้าไม่มีคนคุยด้วยเธอก็จะนั่งเงียบอยู่อย่างนั้นราวกับก้อนหิน เพราะว่าเธอเป็นคนแปลกๆแบบนี้ไง เลยทำให้แมนมักจะชอบแกล้งเธออยู่บ่อยๆ
แคทยังตัวเล็กและบางกว่าเชอร์รี่ที่เป็นคนเจ้าเนื้ออยู่มาก รูปร่างของเธอมีบางส่วนที่ผิดแปลกไป เช่น มือที่มีหกนิ้ว ปากเบี้ยว ตาเข ผมบางจนหน้าผากเกือบล้าน แต่นั่นก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับเพื่อนๆในกลุ่ม เพราะพวกเขาคบเธอเป็นเพื่อนที่หัวใจมากกว่าไม่ใช่เปลือกนอก
ทั้งหมดโดยสารไปด้วยรถบ้านเคลื่อนที่โดยมีจุดหมายคือผาม่านเมฆบนถนนที่ไม่มีชื่อเรียก แต่ชาวบ้านแถวนั้นนิยามเอาไว้ว่า
‘เส้นทางไปสู่ความตาย’
●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●
ณ กระท่อมเก่าแห่งหนึ่งที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่
ข้างในพบร่างหญิงสาวนอนราบอยู่บนเตียงไม้ เธอแน่นิ่งไม่ได้สติอยู่ในท่านั้นเป็นเวลานานแล้ว เมื่อมองผ่านเสื้อเอวลอยที่ใส่พบว่าบริเวณท้องน้อยมีรอยเขียวช้ำจากการถูกทำร้าย
เมื่อประตูกระท่อมอ้าออก พลันปรากฏร่างชายสูงใหญ่ยืนทื่ออยู่เบื้องหน้าของหญิงสาว แววตาของมันจับจ้องร่างกายอิ่มเอิบของเธออย่างโรคจิต ไล่ตั้งแต่นิ้วเท้า หัวเข่า หน้าท้อง หน้าอก ไปจนถึงใบหน้าและเส้นผม
น้ำลายไหลเยิ้มออกจากปากด้วยความหิวกระหาย สองเท้าเดินปรี่เข้าไปยังร่างที่หมดสติอยู่บนเตียง มันยกมือขึ้นลูบศีรษะเธอ ก่อนจับไรผมสีทองขึ้นมาสูดดมพลางแสยะยิ้ม
ใช้เวลาไม่นานมันก็เปลื้องอาภรณ์ของเธอออกจนหมด ปล่อยร่างกายเปลือยเปล่าให้นอนโล่งโจ้งอยู่อย่างนั้น มันสัมผัสเรือนร่างของเธออย่างทะนุถนอมด้วยมือที่สากดั่งกรวด ก่อนจะเปลื้องเสื้อผ้าของตัวเองออกจนหมด แล้วนาบลงบนร่างกายของหญิงสาวที่หมดสติ
●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●
กรุงเทพมหานคร
เจ็ดโมงเช้า
“ฉันบอกแกแล้วว่าให้ออกจากกรุงเทพเร็วกว่านี้ เป็นไงละ…สนุกมั้ยล่ะทีนี้ขับรถต่อแถวคนอื่นเนี่ย” แมนพูดกับเพื่อนซี้ของตัวเอง ทำหน้าเยาะเย้ย
“เออ…เอาน่า จะบ่นทำพระแสงอะไรวะ เดี๋ยวก็ให้ขับเองซะนี่” เก่งตอบแมนกลับไปด้วยท่าทีหงุดหงิด
ทั้งคู่สนิทชิดเชื้อกันจนใช้คำว่าครอบครัวได้เลย เนื่องจากเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่จำความได้ อาศัยว่าบ้านใกล้เรือนเคียงจึงได้เล่นด้วยกันทุกวันเป็นประจำ
ถึงแม้เก่งและแมนจะเติบโตมาจนอายุย่างเข้าเลขสามแล้ว แต่ก็ไม่ทำให้ทั้งคูหมดไฟไปเสียง่ายๆ ยังขวนขวายหากิจกรรมที่ทำให้อะดรีนาลีนพลุ้งพล่านอยู่เสมอ โดยไม่ยอมปล่อยให้หัวใจเต้นตามจังหวะธรรมดาเหมือนคนปรกติทั่วไป โดยให้เหตุผลว่าความฟินมันต่างกัน ฉะนั้น ‘ผาม่านเมฆ’ จึงตอบโจทย์ได้ดีที่สุด
แมนคือชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ตัดผมทรงสกรีนเฮ็ด เคราบางๆถูกกันเป็นกรอบรอบใบหน้าด้วยมีดโกน ดั้งแหลมเป็นสันงอนปลาย เมื่อรูปร่างหน้าตาอันหล่อเหลาผสมเข้ากับบุคลิกกวนๆของเขา เลยทำให้แมนเป็นผู้ชายที่ดูแบดบอยในสายตาผู้หญิงเป็นอย่างมาก แต่มันก็ส่งผลดีเพราะเป็นแนวที่สาวคลั่งไคล้มากเลยทีเดียว
ส่วนเก่งนี่ก็ฉกาจสมชื่อ เขาทำอาชีพโปรแกรมเมอร์ให้กับบริษัทเกมส์ยักษ์ใหญ่ของประเทศไทยเป็นงานหลัก รับซ่อมคอมพ์เป็นอาชีพเสริม แต่ก็แจ้งเกิดได้แค่ความสามารถเนี่ยละที่ทำให้ดูโดดเด่นขึ้นมาได้ เพราะหน้าตาสุดแสนธรรมดามีแนวโน้มออกไปทางขี้เหร่ของเขามันไร้แรงดึงดูดทางใจจากสาวๆสิ้นเชิง
เก่งมีใบหน้ารูปไข่ ผมหยิกแสกออกด้านข้าง เว้นพื้นที่ว่างตรงหน้าผาก สวมแว่นสายตาทรงกลมสีดำ น้ำหนักประมาณ 90 กิโลกรัมส่งผลให้รูปร่างอ้วนท้วม เพราะไม่ได้ออกกำลังกายร่วมไปกับการรับประทานที่สุดแสนจะโหดเหี้ยมของเขา
ทั้งคู่อยู่บนทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด ก่อนจะใช้ถนนหมายเลข 9 วงแหวนรอบนอกตะวันตกเพื่อเข้าสู่เส้นทางไปยังจังหวัดโคราช โดยเก่งรับตำแหน่งตำแหน่งโซเฟอร์ตลอดทาง ส่วนแมนคอยบริการเสิร์ฟเนื้อสัตว์ พืช แป้ง ผลไม้ ลงสู่กะเพราะให้กับคนขับรถอีกทีหนึ่ง ทั้งนี้ก็ทำในส่วนของตัวเองด้วย
รถที่พวกเขาใช้เดินทางเป็นรถบ้านเคลื่อนที่ขนาดกระทัดรัด รูปทรงคล้ายแวนแต่สูงกว่า ข้างในมีครัวขนาดย่อม เตียงนอนชั้นลอย โซฟาสองตัว อุปกรณ์ต่างๆสำหรับเข้าป่าและปิคนิค ด้านบนมีหน้าต่างเล็กๆสำหรับชมวิว แถมลมยังสามารถพัดเข้ามาเพื่อให้อากาศข้างในระบายได้อีกด้วย
ขณะที่รถใช้ความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แมนก็ทำหน้าที่ผลิตเสบียงมื้อเช้าให้กับเพื่อนเขาไปด้วยพลางๆ โดยเข้าครัวขนาดย่อมเพื่อหั่นแซนวิซ เขาแบ่งมันออกเป็นสองส่วน แล้วเอาชิ้นที่ใหญ่กว่ายื่นให้กับเพื่อนร่างอ้วน
เก่งรับมันอย่างรีบร้อนแล้วส่งหายวับเข้าไปในปากทันที ลงไปสู่กระบวนการย่อยของกระเพาะต่อไป แมนไม่พูดพร่ำ เขารีบกินให้หมดเดี๋ยวนั้นก่อนที่เพื่อนของเขาจะแย่งมันไป
“ตรี๊ด ตรี๊ด ตรี๊ด”
เสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโซฟาดังขึ้น ขณะที่แมนก็กำลังเดินปรี่เข้าไปเพื่อรับมัน
“ไอ้โก้ใช่มั้ย” เก่งถามขณะหมุนพวงมาลัย
“ใช่” เพื่อนเขาตอบ ก่อนจะหยิบมันขึ้นมากดรับสาย
“ว่าไงโก้”
“พวกแกถึงไหนแล้ววะ รอนานแล้วเนี่ย” เสียงจากปลายสายพูด
“พึ่งลงทางด่วนมาเอง เดี๋ยวจะบอกให้เก่งรีบอัดไปละกัน”
“เออ รีบมาละ”
เสียงจากปลายสายตัดบทสั้นๆก่อนจะวางไป
แมนโยนมือถือไว้ที่เดิม แล้วเดินไปหยิบโค้กขวดใหญ่ที่วางอยู่ข้างๆลังเบียร์ขึ้นดื่มดับกระหาย หลังจากที่คอแห้งจากแซนวิชเมื่อครู่ เขายังนำน้ำขวดเดียวกันที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งไปแบ่งให้เก่งดื่มด้วย
“ฉันว่ายายเชอร์รี่ต้องบ่นฝากไอ้โก้มาแน่เลย มันถึงมาเร่งพวกเราแบบนี้เนี่ย” แมนเล่าให้เพื่อนฟัง ขณะที่เก่งกำลังกระดกโค้กที่แมนส่งให้
“ก็รู้ๆกันอยู่ว่าเชอร์รี่นะปากตลาดจะตาย” เก่งหัวเราะในลำคอ ก่อนจะถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย
บทสนทนาของทั้งคู่จบลงระหว่างที่รถเคลื่อนตัวไปด้วยความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้นกว่านั้น เพราะรถบนถนนเริ่มซาลงจากที่หนาตาในตอนแรก
ผู้คนต่างแยกย้ายกันกลับบ้านต่างจังหวัดช่วงวันหยุดยาวเสมอ ยิ่งเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์แบบวันนี้ยิ่งแล้วใหญ่เลย รถติดยังกับมดต่อแถวไปขนอาหารกลับรังเสียอีก โชคยังดีที่แมนและเก่งมีเป้าหมายปลายทางสิ้นสุดแค่โคราช เพราะถ้าขึ้นไปทางเหนือ รับรองได้เลยว่าได้ขับกันจนเมื่อยไปข้างหนึ่งแน่ๆ
เก่งทำเวลาเพียงสองชั่วโมงเศษก็ถึงจังหวัดเป้าหมายที่ระบุเอาไว้ในแผน
‘โคราช’
พวกเขายังคงมุ่งหน้าต่อไปโดยไม่ได้แวะพักที่ปั้มเพื่อทำธุระหรือหาของกินข้างทางแต่อย่างใด ด้วยความขี้เกรงใจของเก่ง กลัวว่าเพื่อนจะรอนาน จึงรีบไปรับอีกสามคนที่รออยู่ก่อนหน้าที่บ้านของแคทเธอรีน
“มาช้าจังนะพวกแก มัวแต่ม่อสาวที่ไหนกันอยู่ละ”
เมื่อรถบ้านเคลื่อนที่จอดสนิท เสียงหญิงสาวฝีปากกล้าก็ตะโกนออกมาต้อนรับทันที ขณะที่ทั้งสามคนนั่งรออยู่บนม้าหินอ่อนหน้าประตูร่วมครึ่งชั่วโมง โดยปิดล็อคบ้านเรียบร้อยเพื่อเตรียมพร้อมออกเดินทางทันทีโดยไม่ให้เสียเวลา
เบื้องหน้าของแมนและเก่งเห็นเป็นบ้านชั้นเดียวขนาดเล็ก สร้างไว้เป็นบ้านพักตากอากาศสำหรับพักผ่อนของแคทเธอรีนและครอบครัว ส่วนมากไม่ค่อยมีคนมาอยู่ถ้าไม่มีโอกาสพิเศษจริงๆอย่างวันนี้
“รถติด” แมนตอบสั้นๆ แล้วทำหน้ายียวนใส่เชอร์รี่
เธอเบะปากมองบน ก่อนจะทำหน้าตาไม่พอใจ เธอเป็นคนอารมณ์ร้อนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว โชคดีที่แมนไม่โดนเปิดฉากด่าแรงๆเหมือนทุกครั้ง ไม่งั้นคงได้ทะเลาะกันยาวอีกแน่ๆ
เชอร์รี่เป็นหญิงสาวผิวขาว ผมดำยาวแสกกลางหน้าผาก ร่างกายอวบอึ๋มกว่าเพื่อนสาวอย่างแคทเธอรีน ใบหน้าเรียวคางแหลม แววตามั่นใจ เติมปากด้วยลิปสีแดง และแต่งหน้าจัด เธอจะเป็นคนที่สวยมากคนหนึ่งเชียวละถ้าหากเลิกทำหน้าตาเบื่อโลก
“เอาล่ะๆ รีบไปกันเถอะ ต้องไปหาอะไรกินข้างทางแล้วไปตั้งเต๊นท์กันต่ออีก”
เก่งพูดตัดบทสนทนาอันแสนน่าเบื่อของทั้งคู่ ด้วยความกลัวว่าหากสองคนนี้เกิดทะเลาะกันขึ้นมา คงจะไม่ส่งผลดีต่อแก้วหูตัวเองและเพื่อนอีกสองคนแน่นอน
ทั้งหมดช่วยกันหอบเอาสำภาระที่วางอยู่บนม้าหินอ่อนขึ้นรถ ก่อนจะเดินตามกันขึ้นไปโดยผลัดให้ฮิวโก้เป็นคนขับ เพื่อให้เก่งได้พักผ่อนบ้าง เสียงเครื่องยนต์สตาร์ทขึ้นพร้อมกับควันรถที่ลอยสู่อากาศ ฮิวโก้เหยียบคันเร่งด้วยความเร็วระดับปานกลาง เพราะถ้าพูดถึงเรื่องรถแล้วละก็ เขาใจไม่ถึงเท่าไหร่ที่จะเหยียบมิดไมล์
ตัวเขาเองเคยมีความทรงจำที่แสนเลวร้ายเกี่ยวกับรถมาก่อน นานมาแล้วฮิวโก้เคยเป็นนักซิ่ง แต่เกิดอุบัติเหตุที่ทำให้ขาขวาของเขาต้องใส่เหล็กดามเอาไว้ ส่งผลให้เดินกระเผลกไม่สมประกอบเหมือนคนปรกติ
วันนั้นฝนตกหนัก ถนนลื่น มองทางไม่ชัด เขาขับรถยนต์ รุ่น ซีวิคมาด้วยความเร็วบนทางด่วนแห่งหนึ่งในกรุงเทพ พอถึงโค้งกลับเบรกไม่อยู่ ทำให้รถสะบัดไปตามแรงเหวี่ยงของโค้งนั้นทันที ร่างของเขากระเดนออกจากตัวรถ เหวี่ยงไปฟาดกับแผงกั้นแบริเออร์คอนกรีตข้างทาง ส่งผลให้ขาขวาหัก กระดูกแทงทะลุหน้าแข้งออกมา และนั่นเป็นต้นเหตุให้เขากลัวความเร็วไปโดยปริยาย
ฮิวโก้เป็นคนที่มีรูปร่างสูง สูงกว่าแมนนิดหน่อย ไว้ผมเซอร์ๆเหมือนนักร้องคนหนึ่งที่มีชื่อเหมือนเขา โกนเคราสะอาดสะอ้าน ใบหน้าขาวใส ดั้งโด้งงุ้มลงเหมือนเหยี่ยว คิ้วเชิดและริมฝีปากบาง โดยรวมแล้วหน้าตาดี แต่หล่อน้อยกว่าแมน
“ไม่ต้องขับเร็วละไอ้โก้ ฉันไม่อยากปลิวไปชนแบริเออร์แบบแก” แมนแซว ทำหน้าระรื่น
“เลว” ฮิวโก้พึมพำคนเดียว แต่หวังให้เพื่อนเขาได้ยิน
พวกเขาคุยกันสนุกสนานตลอดการเดินทาง ขณะที่รถกำลังมุ่งหน้าไปทางเทือกเขาขนาดใหญ่ มันใหญ่จนกินพื้นที่ไปหลายจังหวัด เป็นแนวยาวไล่ตั้งแต่ปราจีนบุรี สระแก้ว บุรีรัมย์ และนครราชสีมา ด้วยเส้นทางที่สลับซับซ้อนทำให้พวกเขาต้องอาศัย GPS นำทางไปอีกแรง
ทั้งหมดต้องเดินทางผ่านแม่น้ำขนาดใหญ่ติดหลายอำเภอในจังหวัดโคราช ก่อนจะใช้เส้นทางเลียบด้านข้างเพื่อลัดเลาะไปยังภูเขาที่อยู่ทางด้านหลัง ระหว่างทางที่รถแล่นออกจากตัวเมือง ทุกคนก็สังเกตุเห็นว่าบ้านเรือนของผู้คนเริ่มมีให้เห็นน้อยลง เพราะเริ่มเข้าเขตชนบท และมีทุ่งนาทอดยาวสุดลูกหูลูกตาให้เห็นสองข้างทางตลอดแนว
บางทีก็มีต้นไม้สูงกระหนาบข้างเป็นบางช่วง ชวนให้รู้สึกเงียบเหงาพิกล บางครั้งพวกเขาก็รู้สึกแปลกๆเพราะสายตาของชาวบ้านที่อยู่ตามบ้านเรือนสองข้างทาง รวมไปถึงคนที่ขี่มอเตอร์ไซต์สวนทางต่างส่งสายตาจ้องมองแปลกๆผ่านหน้าต่างเข้ามาในรถ ชวนให้ขนหัวลุก
“เธอเคยไปที่หน้าผานั่นจริงเหรอแคท” เก่งถามด้วยสีหน้าหวาดวิตก
“ก็จริงนะสิ ถามทำไมเหรอ…”
“ฉันว่าบรรยากาศมันแปลกๆ อีกอย่างสายตาคนพวกนั้นที่จ้องมองมาดูเหมือนอยากจะบอกอะไรพวกเราเลยนะ”
“ไม่มีอะไรหรอก คิดมากไปรึเปล่าวะ คนตามชนบทก็ยังงี้แหละ ขี้สงสัยเป็นธรรมดาว่ามีใครผ่านไปผ่านมาแถวย่านที่พวกเขาอยู่บ้าง แล้วยิ่งพวกเราเป็นคนแปลกหน้าด้วย มีเหรอที่จะไม่ถูกจับตามองน่ะ” แมนแสดงความเห็น
“อย่าคิดมากสิ…อย่างที่บอกอ่ะแหละ ฉันเคยไปปีนผาม่านเมฆมาแล้วกับเพื่อนๆอีกกลุ่มหนึ่ง ก็ไม่เห็นจะมีอะไรเลยนะ” แคทเธอรีนพูด
แคทเป็นสาวน้อยคนเดียวในกลุ่มที่น่าสงสารที่สุด เธอเคยเล่าให้เพื่อนๆฟังว่ากำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่ยังเล็ก มีแต่ลุงกับป้าที่คอยส่งเสียเลี้ยงดูเธอมาจนโต ทั้งเรื่องเรียน เรื่องกิน ค่าใช้จ่ายต่างๆก็ตกอยู่ในความรับผิดชอบของลุงกับป้าเธอทั้งหมด ไม่มีใครกล้าถามประวัติลึกๆของแคทมากนัก เพราะกลัวว่าจะไปสะกิดแผลในใจของเธอเข้า
แคทเป็นคนเงียบๆ และดูจริงจังกับชีวิต เมื่อก่อนเธอมีปัญหากับการย้ายโรงเรียนบ่อยมาก เปลี่ยนสถานศึกษาเป็นว่าเล่น อาจเป็นเพราะใบหน้าและรูปร่างที่ผิดแปลกราวกับคนพิการ ทำให้เธอมักถูกล้อจากกลุ่มเพื่อนอยู่บ่อยๆ จึงทนกับความกดดันไม่ไหวย้ายหนีไปเรื่อยๆ แต่ก็ทนเรียนจนจบมาได้
เธอมักมีนิสัยถามคำตอบคำ ถ้าไม่มีคนคุยด้วยเธอก็จะนั่งเงียบอยู่อย่างนั้นราวกับก้อนหิน เพราะว่าเธอเป็นคนแปลกๆแบบนี้ไง เลยทำให้แมนมักจะชอบแกล้งเธออยู่บ่อยๆ
แคทยังตัวเล็กและบางกว่าเชอร์รี่ที่เป็นคนเจ้าเนื้ออยู่มาก รูปร่างของเธอมีบางส่วนที่ผิดแปลกไป เช่น มือที่มีหกนิ้ว ปากเบี้ยว ตาเข ผมบางจนหน้าผากเกือบล้าน แต่นั่นก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับเพื่อนๆในกลุ่ม เพราะพวกเขาคบเธอเป็นเพื่อนที่หัวใจมากกว่าไม่ใช่เปลือกนอก
ทั้งหมดโดยสารไปด้วยรถบ้านเคลื่อนที่โดยมีจุดหมายคือผาม่านเมฆบนถนนที่ไม่มีชื่อเรียก แต่ชาวบ้านแถวนั้นนิยามเอาไว้ว่า
‘เส้นทางไปสู่ความตาย’
●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ