MOUNTAIN DOOM ล่อมาชำแหละ

8.0

เขียนโดย องค์ชายแมว

วันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 เวลา 15.36 น.

  3 บท
  0 วิจารณ์
  5,775 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 17.25 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) แขกที่ไม่ได้รับเชิญ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
ตอนที่ 3 แขกที่ไม่ได้รับเชิญ
     ปรกติแล้วต้นสนไม่ควรที่จะล้มขวางทางอยู่ตรงนั้น สาบานได้เลยว่ามีคนทำเรื่องบ้าๆแบบนี้ขึ้น และมันต้องเป็นผู้ที่ไม่หวังดีต่อกลุ่มนักเดินทางแน่นอน ทั้งหมดต้องเปลี่ยนเส้นทางไปยังทางแยกอีกทางด้วยความจำเป็น ได้แต่หวังว่ามันจะพาไปยังผาม่านเมฆได้เช่นกัน พวกเขาเดินทางบนถนนลูกรังมาเป็นเวลากว่ายี่สิบนาทีแล้ว จนในที่สุดก็ถึงที่หมาย
     ทว่าไม่ใช่หน้าผาจุดหมายปลายทางแต่อย่างใด ฮิวโก้จอดรถบริเวณลานกว้างที่มีต้นหญ้าขึ้นชุกชม ล้อมรอบห่างๆด้วยต้นสนและพืชลำต้นสูงมากมายหลายชนิด
     มีรถรุ่น ฟอร์ด เรนเจอร์ จอดอยู่ก่อนหน้าพวกเขาหนึ่งคัน มันถูกล็อคเอาไว้อย่างแน่นหนา ไม่มีวี่แววของเจ้าของอยู่รอบบริเวณแต่อย่างใด อาจเป็นกลุ่มนักเดินทางที่มาไต่ผาม่านเมฆเหมือนกันจึงจอดทิ้งเอาไว้ตรงนี้
     ทั้งหมดต้องเดินเท้าต่อเพื่อขึ้นไปให้ถึงผาม่านเมฆที่อยู่ในระยะสายตาของพวกเขาแล้ว ระยะสูงเทียมฟ้าเลยทีเดียวเมื่อมองจากตรงนี้ กลุ่มนักเดินทางหยิบเอาเต็นท์ผ้าใบลายทหารออกมากางบนพื้นดินใกล้กับรถเคลื่อนที่ของพวกเขา เป็นจำนวนสามชุด เป็นแบบสำเร็จรูปเก็บอยู่ในซิปอย่างดี เมื่อนำออกมามันจะกางออกเองโดยอัตโนมัติ
     เก่งและแมนนอนด้วยกันเหมือนทุกครั้ง เชอร์รี่และแคทเธอรีนก็เช่นกัน ส่วนฮิวโก้นอนคนเดียว เนื่องจากเหลือเศษหนึ่งคนที่ไม่มีคู่ แต่เขาก็เป็นหนุ่มติสม์รักสันโดษอยู่แล้ว จึงเข้าทาง
     นาฬิกาข้อมือของแมนบอกเวลาบ่ายสามโมงเย็น ทั้งหมดจึงปรึกษากันอีกรอบ และได้คำตอบว่าควรไปปีนหน้าผาพรุ่งนี้ เนื่องจากระยะทางไปกลับ ไหนจะปีนอีก คงกินเวลาไปจนพลบค่ำกว่าจะกลับมาถึงแคมป์ที่พักที่พวกเขาจัดเตรียมไว้
     “หวังว่าพวกเขาคงไม่ก่อกวนเรานะ” เก่งตั้งคำถามขึ้นถึงเจ้าของรถที่จอดข้างๆกัน
     “ว่าแล้ว…ช่วงหยุดยาวแบบนี้คงไม่ได้มีแค่พวกเรากลุ่มเดียวหรอกที่มาปีนหน้าผาชื่อดัง ทุกคนก็คงอยากมาสำผัสด้วยตัวเองทั้งนั้นละ ไอ้ข่าวลือที่ว่ามันอันตรายที่สุดอ่ะนะ”
     แมนพูดขณะตอกเข็มโลหะบริเวณมุมเต็นท์ทั้งสี่ด้านเพื่อตรึงให้อยู่กับที่ ป้องกันการพลิกตะแคงจากการนอนดิ้นและลมแร็ง มันคงจะไม่ดีเท่าไหร่หากตอนหลับเกิดละเมอพลิกตัวไปพร้อมกับเต็นท์
     “เราจะขาดความเป็นส่วนตัวมั้ยเนี่ย หวังว่าพวกเขาคงมีมารยาทในตอนกลางคืนนะ” ฮิวโก้ ถอนหายใจ ทำหน้าเซ็งกะตาย
     “ขอเป็นหนุ่มหล่อๆแล้วกัน เพราะแถวนี้ไม่ค่อยเจริญหูเจริญตาเท่าไหร่” เชอร์รี่พูดพลางหัวเราะ ก่อนจะหันไปสบตากับแมนคู่กัด
     “ปากหมาจริงๆเลยนะเชอร์รี่” หนุ่มหัวเกรียนร้อนตัว
     “อะไรของแกวะแมน อยู่ดีๆมาด่ากันแบบเนี้ย” เชอร์รี่ลุกพรวดขึ้นยืน พลางยกมือขึ้นท้าวเอว
     “พอเถอะๆ ฉันขี้เกียจฟังพวกแกทะเลาะกันแล้วนะ ทุกรอบเลยที่ไปเที่ยว ขออยู่สงบๆสักครั้งได้มั้ย” เก่งยกมือห้ามปรามทั้งสองคน
     ทั้งคู่ต่างฝ่ายต่างเงียบ แล้วนั่งลงตอกเข็มโลหะอีกสองมุมที่เหลือต่อไป ขณะแคทเธอรีนยังคงเงียบไม่พูดไม่จาเช่นเดิม ไม่รู้ว่าเธออยู่ร่วมกันในกลุ่มเพื่อนที่พูดมากอย่างนี้ได้ยังไงกัน
     “นี่แคท ระยะทางจากตรงนี้ไปยังหน้าผาข้างหน้านั่น ประมาณกี่กิโลเหรอ” ฮิวโก้ถาม
     “ไม่ไกลหรอก เดินเท้าก็ประมาณหนึ่งถึงสองโลได้นะ”
     บทสนทนาของทั้งหมดจบลงแค่นั้น  ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาจัดเตรียมแคมป์ที่พักต่อไป
     บริเวณที่พวกเขาอยู่นั้น ห่างจากปากทางเข้าข้างล่างขึ้นมาเป็นระยะทางกว่ายี่สิบกิโลเมตร ระหว่างทางขึ้นมาไม่พบบ้านคนให้เห็นสักหลัง รวมถึงรถที่สวนทางก็ไม่มีให้เห็นสักคัน แต่บรรยากาศโดยรวมยังคงอยู่ในเกณฑ์ปรกติไม่น่ากลัวอย่างที่คิด
     จนกระทั่ง…
     ฟ้ามืดเริ่มมาเยือน ทำให้ป่ารอบด้านดับ มันสงัดเงียบเสียจนผิดแปลก ไม่มีเสียงสัตว์ให้ได้ยินเลยสักตัวเดียวในรอบรัศมีที่พวกเขาค้างแรม
     แสงจากกองไฟอาบไปทั่วบริเวณที่พัก มันถูกจุดขึ้นรอบๆเต็นท์ที่พวกเขานอนเป็นจำนวนสี่ตำแหน่ง ทั้งหมดนั่งล้อมวงรอบกองไฟเหมือนตอนเข้าค่ายลูกเสือ มีเพียงเสียงเผาไหม้และปะทุของกองไฟที่ยังพอดับเหงาให้พวกเขาได้บ้าง
     ความสว่างจากกองไฟส่งผลให้บริเวณที่พวกเขาพักเป็นจุดเด่นขึ้นมาทันทีเมื่ออยู่ท่ามกลางความมืดในป่า แต่มันก็ส่งผลดีต่อพวกเขาเพราะมันสามารถไล่ยุงได้เยี่ยมทีเดียว และอาจไล่สัตว์ร้ายไม่ให้กล้าเข้ามาเดินยุ่มยามบริเวณแคมป์ได้ดีอีกด้วย
     แต่ก็ส่งผลร้ายในเวลาเดียวกัน เพราะมันไม่สามารถรอดพ้นสายตาของผู้ไม่ประสงค์ดีไปได้ การจุดไฟแบบนี้สามารถทำให้คนที่อยู่ในระยะทางหลายกิโลเมตรมองเห็นได้อย่างชัดเจน และถ้าหากป่านั้นมีบางอย่างที่น่ากลัวกว่าสัตว์ร้ายก็ไม่ควรจุดดีกว่า
     “ให้ตายสิ…เงียบชะมัด สัตว์แถวนี้ตายกันหมดแล้วหรือไงเนี่ย ไม่ส่งเสียงออกมาทักทายกันบ้างเลย” เก่งพูดด้วยความสงสัย
     “หรือว่า…สัตว์ในป่าแห่งนี้อาจจะถูกบางอย่างฆ่ากินจนเกลี้ยงแล้วก็ได้ หึ หึ หึ ” แมนส่องไฟฉายเข้าที่หน้าตัวเอง แล้วแลบลิ้นระลื่น
     “ทำบ้าอะไรของแกวะแมน เขาห้ามพูดอะไรที่มันน่ากลัวในป่าไม่ใช่เหรอ” ฮิวโก้ผลักไฟฉายออกจากหน้าเพื่อน
     “ก็เอาสิ ถ้ามีใครอยากลองดีกับพวกเราก็เข้ามา”
แมนวางไฟฉายลง ก่อนจะหยิบเอาโลหะขนาดยาวเท่าแขนตัวเองขึ้นมากำชับไว้ในมือ
     “มีเจ้านี่อยู่ อุ่นใจได้เลย”
     แมนพูดพลางหักกลางลำของวัตถุนั้นขึ้นเช็คดู มีกระสุนบรรจุอยู่ในรังเพลิงหนึ่งนัด  มันคือปืนลูกซองยาวเรมิงตัน 870 สีดำทมิฬ แมนยกขึ้นเล็งในระดับสายตาแล้วหันไปทางป่า
     “ใครกล้าหาเรื่องพ่อจะยิงแสกกลางหน้าผากเลย”
     เขาแอบเอาปืนของพ่อพกติดตัวไปด้วยทุกครั้งที่ออกทริป เพราะผู้ปกครองของแมนเป็นทหารที่มียศถาบรรดาศักดิ์สูงคนนึง จึงไม่แปลกเลยที่จะมีอาวุธสงครามอยู่ในบ้านมากมาย
     ระหว่างที่แมนโชว์เรมิงตันกระบอกโปรดอย่างภาคภูมิใจ เชอร์รี่ก็แอบทำหน้าเหม็นใส่เพื่อนของเขาอย่างทุกครั้งที่เคยทำ แมนเป็นคนขี้อวดมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว นั่นคือข้อเสียของเขาที่เพื่อนไม่ชอบเอาเสียเลย
     “ว่าแต่เจ้าของรถฟอร์ดที่จอดอยู่ตรงนั้นไปไหนกันแน่ ป่านนี้แล้วยังไม่กลับมาอีก” ฮิวโก้อุทานด้วยความสงสัย
     “นั่นนะสิ ปีนเขาเพลินละมั้ง คงมากันเยอะน่าดูถึงกล้ากลับกันมืดค่ำดึกดื่นอย่างนี้” เก่งเสริม
     ระหว่างที่ทุกคนกำลังสนุกสนานไปกับการตั้งวงพูดคุย ก็มีหยดน้ำบางอย่างขัดจังหวะเอาเสีย มันตกจากฟากฟ้าลงมายังพื้นดินเรื่อยๆโดยไม่ปล่อยให้กลุ่มนักเดินทางได้ทันตั้งตัว
     “เฮ้ย ฝนสิม”
     แมนพูดก่อนจะรีบเก็บข้าวของเข้าไปในรถบ้าน ขณะที่เพื่อนๆอีกสี่คนก็รีบช่วยกันเคลื่อนย้ายสำภาระตามเข้าไป  เป็นเวลาเดียวกันที่ฝนเทกระหน่ำลงมาโดยไม่รู้สาเหตุ ไม่มีเค้ารางบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนเลยด้วยซ้ำถึงการมาของมัน
     ทุกคนเปียกปอนเพียงเล็กน้อยเพราะรีบหลบเข้าที่กำบังได้อย่างฉิวเฉียด ปล่อยให้เต๊นท์สามชุดที่กางเอาไว้ข้างนอกเปลี่ยวร้างผู้คนอยู่อย่างนั้น คงไม่มีใครอยากนอนท่ามกลางสายฝนที่รบกวนแก้วหูหรอก
     กองไฟทั้งสี่ที่ก่อเอาไว้มอดลงเหลือเพียงขี้เถ้า โดยมีสายฝนทำการชำระล้างมันอีกที เสียงฟ้าร้องคำรามสะท้านกึกก้องไปรอบหุบเขา ดังจนเชอร์รี่ต้องหยิบหมอนบนโซฟาขึ้นอุดหูเพราะความตกใจ
     “ดีนะกลับเข้ามาในรถทัน”
     ชายร่างอ้วนพูดพลางเอามือสางผมที่เปียก ขณะที่ฮิวโก้เดินกระเผลกไปหยิบผ้าเช็ดตัวส่งให้กับเพื่อนๆทุกคน พวกเขารับมันแล้วรีบเช็ดศีรษะทันทีเพราะกลัวจะไม่สบาย
     “สงสัยเจ้าพวกนั้นคงติดฝนอยู่ที่ไหนสักแห่งแล้วละ” เก่งยื่นหน้ามองผ่านกระจกรถออกไปยังฟอร์ดสีเลือดหมูที่จอดแช่อยู่ที่เดิม
     “ช่างหัวพวกมันเถอะ แยกย้ายกันนอนดีกว่า ใครจะออกไปนอนที่เต๊นท์ก็เอานะ” หนุ่มหัวเกรียนพูดพลางถอดเสื้อออกแล้วตากพาดไว้กับเคาร์เตอร์ครัว
     บนร่างของแมนพบรอกสักหลายแห่ง ทั้งรูปหัวกะโหลกที่ไหล่ขวา ปลาคราฟที่บ่าซ้าย และยันต์ห้าแถวที่หลัง เขามีรสนิยมทางนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อีกทั้งชายหนุ่มยังเสพติดเข็มอย่างหนัก และยังมีโปรเจคที่จะไปเอาลายเพิ่มบนผิวหนังเร็วๆนี้อีกด้วย
     ทุกคนต่างแยกย้ายกันเข้านอน ฮิวโก้ทิ้งตัวลงบนโซฟา เชอร์รี่และแคทปีนบันไดโลหะขึ้นไปบนที่นอนชั้นลอย เก่งขึ้นไปนั่งที่ตำแหน่งคนขับและปรับเบาะเอนกายลงนอนตรงนั้น โดยมีแมนอยู่อีกเบาะข้างๆกัน 
     ฮิวโก้สวมหมวกไฟฉายที่ตัวเองประดิษฐ์ขึ้น เขาเปิดสวิทซ์เพื่อให้แสงไฟส่องสว่างสาดลงบนหนังสือที่ตัวเองถืออยู่เขากำลังพลิกอ่านนิยายเล่มหนึ่งชื่อเรื่องว่า DEEP SEA เกี่ยวกับการเอาชีวิตรอดกลางทะเลอย่างสนุกสนาน
     ขณะที่เพื่อนๆทุกคนกำลังเข้าสู่ภวังค์
     ฝนยังคงเทกระหน่ำลงมาโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆจนผ่านไปครึ่งชั่วโมง ขณะที่เพื่อนหลับกันหมดแล้ว ฮิวโก้ปิดนิยายเล่มนั้นเพราะทนความง่วงไม่ไหว
     เขาลุกขึ้นเดินไปกินน้ำและกลับมาเอนกายลงบนโซฟาตามเดิม ก่อนจะหลับตาลงพักผ่อนจากความเหนื่อยล้าที่เผชิญมาทั้งวัน
     ทั้งหมดหลับสนิท…
     แต่บางอย่างกลับไม่ยอมหลับยอมนอน มีสัญญาณชีวิตจำพวกนึงจ้องมองผ่านกระจกเข้ามายังรถบ้านที่กลุ่มนักเดินทางกำลังหลับใหล
     หนึ่งในนั้นเช็ดน้ำลายที่มุมปากราวกับเห็นเหยื่ออันโอชะมันที่ต้องการ พวกมันซุ่มอยู่ในมุมมืดรอบบริเวณโดยไม่รู้จำนวน โลหะเงาวับเล่มหนึ่งกำชับในมืออย่างแน่นหนา ซ้อนเร้นอยู่ในความมืด
     แววตาแดงเถือกพลันจับจ้องไปยังเป้าหมายที่ไม่ได้สติ ขณะที่ยืนตากห่าฝนราวกับมีร่างกายเป็นส่วนหนึ่งของมัน ไม่สะทกสะท้านต่อความหนาวเย็น พวกมันไร้ความรู้สึก…
     “ครืด…ครืด…ครืดด”
     เก่งสะดุ้งตื่นขึ้นเพราะมีเสียงบางอย่างวนเวียนอยู่รอบรถ เขาเขย่าแขนแมนทันทีเพื่อปลุกขึ้นมาฟัง
     “ได้ยินมั้ย” เก่งถาม
     “อะไรของแกวะ ก็มีแต่เสียงฝน” แมนเงี่ยหูฟังด้วยความงัวเงีย แต่เสียงประปลาดกลับเงียบลงทันทีราวกับรู้ทัน “อย่าปลุกฉันอีกนะ คนจะหลับจะนอน”  
     เก่งทำหน้าเซ็งใส่ ชายร่างอ้วนหันไปมองเพื่อนๆว่ามีใครได้ยินเหมือนเขาบ้าง แต่ทุกคนกลับหลับสนิทแน่นิ่งเหมือนศพ
     ไม่มีใครบนรถได้ยินเสียงประหลาดนั้นเลย ยกเว้นเขา…
     หรืออาจจะหูฝาดไปก็ได้ เก่งนึกในใจก่อนจะเอนกายลงนอนเช่นเดิม พ่อกับแม่เคยสอนเขาว่า หากจำเป็นต้องพักแรมกลางป่าในตอนกลางคืน ไม่ควรทักหรือตอบรับเสียงใดๆที่บังเอิญแว่วผ่านหูเข้ามาทั้งนั้น เพราะมันอาจจะไม่ใช่คน…
     ครืด…ครืด…ครืดดด
     แต่เสียงประหลาดนั้นดังอีกครั้ง ขณะที่เก่งกำลังเคลิ้ม
     ถึงแม้เก่งจะเป็นคนขี้เกรงใจคน ดูอ่อนแอรักสงบ แต่เขากลับไม่เชื่อเรื่องผีสางที่พ่อกับแม่ได้กล่าวตักเตือนเอาไว้ หนุ่มร่างอ้วนขยี้ตาเพื่อปรับโฟกัสจากอาการงัวเงีย เขาขี้สงสัยเกินไป และต้องการรู้ให้ได้ว่ามันคือเสียงอะไร
     เขาหยิบเรมิงตันอันน่าภาคภูมิใจของแมนกำชับแน่นไว้ในมือ แล้วข้ามตัวมายังฝั่งตัวบ้านที่เชื่อมกันกับห้องเครื่องคนขับ สายตามองลอดผ่านกระจกรถออกไปหวังจะเห็นต้นตอของเสียงนั้น
     แต่เขามองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากต้นไม้และความมืด ความสงสัยทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มืออันซุกซนของเก่งจับที่บานเปิดแล้วผลักออกโดยไม่รีรอ ส่งผลให้ประตูรถเปิดอ้าออกทันที…
 
●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●
 
 
 
   

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา