นักรบจันทรา
7.0
เขียนโดย Sagestone
วันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 22.34 น.
29 ตอน
0 วิจารณ์
28.87K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 9 มกราคม พ.ศ. 2560 20.05 น. โดย เจ้าของนิยาย
15) ตอนที่ 15
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 15
“ข้าก็ไม่รู้เรื่องนางเหมือนกัน เราคงต้องยกเรื่องทั้งหมดไปถามนางผู้หยั่งรู้”
นั่นคือคำตอบที่ดาริอุสได้รับจากผู้กล้าแสงตะวันเมื่อเขาถามถึงหญิงสาวนามลาควีล่า เชื่อว่าหากไปถามอลิเซียก็คงได้คำตอบแบบเดียวกัน
มาถึงตอนนี้ก็ได้แค่เดินผ่านสถานที่สุดหลอนเพื่อไปยังปราสาทแก้วผลึกเท่านั้น!
“ไปทางขวาค่ะ” คนนำทางชี้กระบอกส่องแสงไปทางแยกขวามือ มีเส้นสีขาวคล้ายไข่มุกขีดคาดอยู่บนพื้นขวางทางไว้ด้วย “นั่นคือหนึ่งในเส้นวัดใจค่ะ” อลิเซียหัวเราะน้อย ๆ ไบรอันซึ่งกลัวผีที่สุดหวาดวิตกเกินพอดี
ก่อนถึงเส้นสีขาวหญิงสาวผู้ข้ามกาลเวลาก็บอกให้ทุกคนหยุดก่อน เพื่ออธิบายให้เข้าใจ
“เมื่อผ่านเส้นนี้ไป เงาของเราทุกคนจะมีชีวิตขึ้นมาเดินข้าง ๆ มันก็แค่เดินไปสักพักจนพ้นระยะ ไม่ทำอันตรายเราหากเราไม่ไปยุ่งกับมัน”
“แล้วถ้าไปยุ่งล่ะ” ไบรอันถามด้วยท่าทางหวาดๆ
“ผลสะท้อนของการโจมตี ไม่ว่าจะทางกายภาพหรือเวทมนตร์ มันจะส่งผลกับเจ้าของเงา สมมุติข้าชกท้องเงาของตัวเอง ท้องของข้าก็จะรู้สึกเจ็บไปด้วย ถ้าใช้อาวุธก็อาจเลือดตกยางออกถึงตาย”
“เหมือนจะไม่มีอะไรนะ มันเป็นการป้องกันจริงหรือ” ดาริอุสถาม
“มันใช้ไม่ได้ผลกับคนที่มีสติเข้มแข็งค่ะ แต่สำหรับคนที่หวาดกลัวหรือประสาทอ่อนแล้ว ย่อมระแวงเงาที่เดินเคียงคู่มาด้วยความที่ไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรู และยามขวัญเสียก็จะไร้การไตร่ตรองจนทำร้ายเงาตัวเองหรือคนอื่นด้วยความหวาดกลัวค่ะ”
“แล้วเงาตะคุ่ม ๆ รายทางนั่นล่ะ ข้าเห็นมาสักพักแล้ว” ดาริอุสถามโดยไม่เกรงใจไบรอันที่กลัวผี
“นั่นคือวิญญาณผู้พิทักษ์ค่ะ จะกัดกินร่างของผู้หลงทางหรือไม่มีการระวังตัว เมื่อร่างสิ้นลม วิญญาณจะกลายเป็นผู้พิทักษ์อีกตน ตราบใดที่เรารวมหมู่กันอยู่ก็ไม่ต้องห่วงค่ะ”
ดาริอุสพยักหน้ารับทราบแล้วเดินต่อไป เมื่อข้ามเส้นขีดสีขาวเงาของเขาก็พลันมีชีวิต เป็นกลุ่มก้อนความมืดที่เหมือนเขาทุกประการเดินร่วมทางไปด้วยราวกับมีตัวตนจริง ๆ ไบรอันอุทานเบา ๆ ด้วยความกลัว ส่วนลาควีล่าลองสัมผัสเงาตัวเองด้วยความอยากรู้ เมื่ออลิเซียเห็นว่าทุกคนปกติจึงเดินนำต่อไปโดยมีเงาของนางเคียงคู่ไปด้วย
“เงานี้จะหายไปเองหากเราไม่สนใจมัน ต้องไม่ใส่ใจมันค่ะท่านผู้กล้าแสงตะวัน!” อลิเซียหันมาเอ็ดไบรอันที่จ้องมองหุ่นเงาตัวเองตาไม่กระพริบ
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ร่างเงาของเกือบทุกคนก็หายไป เว้นเพียงเงาของไบรอันที่เจ้าตัวกลัวจับใจ
“ช่วงระยะนี้หนักหน่อยนะคะ มันจะขุดความกลัวของทุกคนขึ้นมา แต่ละคนจะเห็นภาพไม่เหมือนกัน วิธีรับมือคือเดินไปข้างหน้า หากเงายังอยู่มันจะเกลี้ยกล่อมให้กลับหลังหรือออกนอกทางไปเลย หากกัดฟันทนไปได้จนพ้นระยะภาพลวงตาก็จะหายไป ข้าไม่ใคร่แน่ใจนักว่าจะผ่านไปได้โดยไม่ต้องช่วยไหม” อลิเซียเกาหัวแกรกก้าวนำอย่างอาจหาญ
“เล่นกดดันกันแบบนี้ ข้าว่ารอกลางวันดีกว่า” ดาริอุสเปรย คิดถึงภาพน่ากลัวที่เขาจะต้องเห็น
“ยามกะกลางคืนจะเล่นงานที่จิตใจ ถ้าเราใจแข็งเสียอย่างก็สบายค่ะ ข้าเชื่อว่าทุกคนผ่านไปได้ และคงต้องทำเวลากันหน่อย คน ๆ หนึ่งกำลังเดินอยู่หน้าพวกเรา ข้าไม่รู้ว่าเขารู้เส้นทางที่ถูกต้องได้อย่างไรแต่กำลังนำเราอยู่ไม่ไกลนัก”
“ใครกัน” ดาริอุสถามตรงๆ
“ท่านเวเบอร์ค่ะ” อลิเซียตอบหนัก ๆ “ระวังอย่าก้าวออกจากถนนนะคะ สิ่งที่รายล้อมจะดึงไปจากเส้นทางที่ถูกต้อง”
ไม่ทันขาดคำดีหมอกสีขาวอมเหลืองก็ลอยขึ้นมาราวม่านมองเห็นคนข้างหน้าได้ลาง ๆ อลิเซียหันมาบอกว่าหมอกนี้จะหายไปเมื่อพ้นระยะก่อนจะบอกให้ทุกคนก้าวไปต่อ
“สิ่งสำคัญคือ ต้องเดินหน้าไปด้วยใจแน่วแน่ อย่าหลงติดกับความเศร้าหมองเป็นอันขาด ช่วงนี้เป็นทางตรงอย่างเดียว...”
แล้วเสียงอธิบายของอลิเซียก็เงียบลงจนเหมือนเขาเดินอยู่คนเดียวบนถนนสายนี้
“ดาริอุส...” ดาริอุสทำใจแข็งหันไปตามเสียงเรียก รูปเงาของพ่อบุญธรรมยืนอยู่ข้างทาง ท่าทางอิดโรยด้วยโรคร้ายที่คร่าชีวิต “เจ้าปล่อยให้ข้าตาย แล้วก็ทิ้งโรงฝึก”
ดาริอุสพยายามตั้งสติทำใจเป็นกลาง ขาทั้งสองหนักอึ้งด้วยความรู้สึกผิดจนยากที่จะก้าวเดิน
“มาเวอร์ริค เจ้ารอดแต่ปล่อยให้ข้าตาย จนพ่อของเจ้าต้องกลายเป็นจอมอสูร” เสียงจากเงาไร้หน้าดึงรั้งดาริอุสเอาไว้แต่เขาก็พยายามเดินหน้าสุดกำลังเช่นกัน น้ำตาเริ่มไหลด้วยความรู้สึกผิดบาประคนคิดถึง ไม่ได้แค่ช่วยโรงฝึกของพ่อบุญธรรมไม่ได้ ยังปล่อยให้พ่อแท้ ๆ ของตัวเองตายอีกด้วย
“เจ้าหรือนักรบจันทรา” อีกเสียงดังขึ้นจากทางด้านหน้า เงาร่างไร้รูปทรงก่อตัวขึ้นขวางทางดั่งกำแพงกั้นเขาจากทางข้างหน้า “ข้าคือจอมปิศาจ ศัตรูอย่างเป็นทางการของเจ้า”
ดาริอุสหยุดกึก เงาไร้รูปทรงแปรเปลี่ยนไม่หยุดนิ่ง เดี๋ยวเป็นอสูรร่างยักษ์ เดี๋ยวเป็นสัตว์ร้าย เดี๋ยวเป็นหญิงสาว หากยังคงขวางทางไม่ยอมให้ผ่านไป เขาขนลุกด้วยความกลัวจับใจ
“คิดว่าจะปราบข้าได้หรือ ด้วยกระบี่กระจอกเล่มนั้นน่ะหรือ” เงาตั้งคำถาม “ความจริงเราไม่ต้องสู้กันเลย แค่เจ้ามาอยู่เคียงข้างพ่อของเจ้า ครอบครองดินแดนนี้ด้วยพลังของข้า เราก็จะไม่ต้องปะทะกัน ไม่ดีหรอกหรือ”
“ข้าจะช่วยพ่อข้า!” ดาริอุสตอบอย่างหนักแน่น หากความจริงขาทั้งคู่ชาด้วยความกลัวไม่อาจขยับได้แม้แต่นิด
“แต่เราไม่จำเป็นต้องสู้กัน” เงาที่ยังแปรรูปร่างอยู่ยื่นสิ่งที่น่าจะเป็นหัวมาใกล้ “ข้าช่วยปลดปล่อยพ่อเจ้าให้ก็ได้ แล้วเราก็หายกัน ไม่อย่างนั้นก็ใช้กระบี่ที่เจ้าภูมิใจฟาดฟันข้าเปิดทางเสีย ข้าว่าเจ้าไม่กล้าหรอก มันคือดาบวิเศษแห่งเปลวเพลิง ปัดเป่าความมืดได้แน่นอน”
“ได้...” ตาของดาริอุสย้ายที่ไปยังกระบี่ดาบแสงตะวัน แค่ใช้สิ่งนี้ หมอกและภาพลวงตาก็จะสลาย เขาจะเห็นพรรคพวกที่อยู่ข้างหน้า การขู่ขวัญจะได้จบเสียที
“ถ้าเราจุดไฟกลุ่มหนึ่งจะกลัว แต่อีกกลุ่มที่รับมือยากกว่าจะมาทางเราค่ะ พวกเราใช้เวทมนตร์กันได้แค่สองคน ไม่ทันมันหรอก”
คำเตือนของอลิเซียดังก้องในหัว ดาริอุสกำลังถูกหลอกให้จุดไฟ เพื่อเรียกตัวที่พวกเขาสู้ไม่ได้มาที่นี่!
“ข้ามองเห็นความกลัวของเจ้า การแยกจาก การหยุดนิ่ง การสูญเสีย” เสียงไร้ตัวตนดังขึ้นอีก “เพราะเจ้าไม่อยากแยกจากบ้านถึงเดินทางไปทั่วให้ทุกแห่งเป็นบ้าน เพราะเจ้าเห็นว่าทุกสิ่งจำเป็นต้องเคลื่อนไหวไม่อย่างนั้นก็ตายจึงกลัวการหยุดนิ่ง เพราะเจ้าผูกพันกับสิ่งต่างๆมากเกินไปจึงกลัวการสูญเสีย ข้าพูดถูกหรือไม่ เจ้าจึงเดินทางไปที่ต่างๆไม่ยอมหยุดนิ่ง”
“แล้วทำไม” ดาริอุสกัดฟันพูด ดึงความกล้าทั้งหมดออกมา “ความกลัวคือสิ่งสามัญสำหรับมนุษย์ ข้าไม่ผิดที่กลัวเรื่องพวกนั้น!” เขาคำราม ปล่อยความโกรธออกมาแทนที่ความกลัว
“อย่างนั้นก็ผ่านข้าไปสิ แต่บอกไม่ได้หรอกนะว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเดินทะลุภาพมายานี่ หญิงที่ช่วยเจ้าได้ก็ล่วงหน้าไปไกลแล้วเสียด้วย”
“มายาก็คือมายาวันยันค่ำ” ดาริอุสขบฟันด้วยโทสะที่ไร้เหตุผล “ข้าจะเดินผ่านไปให้ดูเอง!”
คราวนี้ดาริอุสไม่รอให้เงาเปลี่ยนรูปพูดต่อ เขากลั้นใจเดินเฉิบๆทะลุไปราวกับมองไม่เห็น กลุ่มก้อนภาพมายาหายวับไปทันที เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก เหลือแค่เดินต่อไปให้ทันคนข้างหน้า
การข่มขวัญหลังจากนั้นคือเสียงครวญครางของเหล่าเพื่อนผู้วายชนม์ของเขา เหล่าคนที่สิ้นลมระหว่างทำหน้าที่อารักขาคาราวานพ่อค้าร้องเรียกเขาระงม บ้างขอให้เขาช่วย บ้างบอกให้เขาหนี ดาริอุสหลับหูหลับตาเดินให้เร็วที่สุด!
“เราเดินพ้นแล้ว หยุดได้แล้วค่ะ!”
ดาริอุสรู้ตัวอีกทีเมื่อถูกอลิเซียฉุดตัวไว้ หมอกอาคมหายไปแล้ว เขามองเห็นไบรอันนั่งร้องไห้อยู่คนเดียว ลาควีล่าหน้าซีดเผือด แต่ละคนต้องพบกับสิ่งที่กลัวที่สุดเหมือนกันแน่ๆ คนที่ยังเป็นปกติคืออลิเซียก็ยังตาบวมแดง
“เช็ดน้ำตาก่อนค่ะ ท่านนักรบจันทรา” อลิเซียร้องทักว่าเขากำลังร้องไห้อยู่เช่นกัน
“มันเหมือนความฝันเลยอลิเซีย” ลาควีล่าจับแขนอลิเซียเพื่อดูว่าไม่ใช่ความฝัน “น่ากลัวจริงๆ”
“ก็แค่ภาพมายาทั่วไปเหมือนความฝันค่ะ มันบั่นทอนจิตใจเราแต่ทำร้ายเราไม่ได้ พูดอย่างนั้นข้าก็เกือบไปเหมือนกัน” อลิเซียหัวเราะเบา ๆ “ร้องไห้พอหรือยังคะท่านผู้กล้าแสงตะวัน”
ผู้กล้าแสงตะวันยังนั่งก้มหน้านิ่ง ไม่มีการตอบสนอง
“มันเป็นแค่ความฝันไบรอัน เหมือนที่ท่านปลอบข้าเมื่อเช้า มันไม่ใช่ภาพจริง ๆ” ลาควีล่านั่งลงจับมือไบรอันไว้อย่างอ่อนโยน “เราลืมสิ่งที่เห็นแล้วก้าวต่อไปดีกว่า ท่านชอบพูดแบบนี้นี่”
“แบบนี้ผ่านด่านต่อไปไม่ได้แน่ ข้าประเมินความแกร่งภายในของท่านผู้กล้าผิดไป” อลิเซียเกาคางครุ่นคิด “ถ้าใช้ตอนนี้จะถือเป็นสปอย์หรือเปล่านะ คงต้องทำ ไม่อย่างนั้นเราไปไม่ถึงไหนแน่”
ว่าแล้วหญิงสาวนักท่องเวลาก็ประสานมือไว้ระดับทรวงอกแล้วท่องบทสวด มันไม่เหมือนภาษาใดที่ดาริอุสเคยฟัง ทุกพยางค์ล้วนเปล่งรัศมีแห่งความเมตตาออกมา แขนขาที่เกร็งสั่นด้วยความกลัวผ่อนคลายขึ้น รอบด้านที่เคยน่าสะพรึงกลัวกลับเป็นป่ายามราตรีตามปกติ ยิ่งนางสวดยิ่งสัมผัสได้ถึงพลังที่ไม่เหมือนเวทมนตร์ มันเอ่อล้นด้วยความอบอุ่นและชีวิตชีวาราวกับมีครอบแก้วคอยปกป้องอยู่
ผู้กล้าแสงตะวันเงยหน้าด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่เข้ามาแทรกแซงความกลัว
“พลังอะไรกัน ไม่เหมือนเวทมนตร์เลย” ไบรอันแทรกขึ้น หญิงสาวไม่สนใจยังคงท่องบทสวดต่อไปจนจบ
“มันคือพลังสีขาวค่ะ เสริมกำลังใจ ขับไล่สิ่งชั่วร้าย” อลิเซียอธิบายสั้นๆ ก่อนหันมาทำหน้ายักษ์ใส่ผู้กล้าแสงตะวัน “คราวนี้ลุกได้แล้วค่ะท่านผู้กล้า สิ่งไร้ตัวตนไม่มีทางรบกวนเราได้แล้ว จะได้ไปต่อให้สุดทาง”
ไบรอันลุกขึ้นอย่างจำยอมแล้วเดินต่ออย่างหมดเรี่ยวแรงโดยมีลาควีล่าเดินเคียงข้าง...
ผู้กล้าแสงตะวันเดินโซซัดโซเซเพราะภาพหลอนที่กัดกร่อนจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นการตายของพ่อแม่ อาจารย์ อโฟเดล รวมไปถึงไซเรน่าด้วย ได้ชื่อเป็นผู้กล้าเสียเปล่ากลับช่วยใครไม่ได้เลยสักคน ไม่คู่ควรใช้ชื่อผู้กล้าอีกต่อไปแล้ว โชคดีที่หญิงสาวนักท่องเวลามีพลังสีขาวที่ต่างจากเวทมนตร์อื่นๆ ไม่อย่างนั้นเขาคงหมดแรงยืนแน่
“ที่เจ้าท่องเมื่อกี้คืออะไรอลิเซีย ทำให้ข้าดีขึ้นได้”
“คาถาเกราะแก้วเจ็ดชั้นค่ะ สองสิ่งที่ทรงอำนาจที่สุดในสากลโลกคือไฟ และพระพุทธคุณ”
“แล้วพระพุทธคุณคืออะไร”
“เหมือนเวทมนตร์ในดินแดนไร้เวทมนตร์ค่ะ ไม่ขออธิบายมาก แค่มันช่วยปกป้องพวกเราจากความมืดหรือสิ่งที่ก่อกำเนิดจากความมืดได้ก็พอ”
แล้วบทสนนาของพวกเขาก็หยุดลง ดูเหมือนดาริอุสจะสนใจใคร่รู้เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าพระพุทธคุณ หากหญิงสาวไม่ยอมตอบอย่างชัดเจนว่ามันคืออะไร เดินลัดเลาะตามทางเดินได้สักพักก็ถึงศาลาใหญ่ กลางศาลามีแท่นสำหรับเคลื่อนย้ายอยู่ และมีชายอีกคนหนึ่งยืนมองพวกเขาอย่างพิศวง
“เจ้าก็จะพบผู้หยั่งรู้ด้วยหรือ เวเบอร์” ไบรอันออกปากถาม เหตุการณ์ต่อสู้เมื่อคืนก่อนยังจำได้ดี
“ผู้หญิงคนนั้นคือใครกัน ข้าคิดว่าสีตาแบบนั้นจะมีแค่เจ้าคนเดียวเสียอีกไบรอัน” เวเบอร์ร้องทักอย่างไม่เต็มใจ “แล้วท่อนส่องแสงนั่นคืออะไร”
“ข้าคือผู้เดินทางท่องเวลาค่ะท่านเวเบอร์ ชื่ออลิเซีย สักวันเราจะได้พบกันในสภาพอื่นที่ดีกว่านี้” อลิเซียทักทายอย่างเป็นกันเองราวเป็นคนรู้จัก “ตอนนี้เราขึ้นไปปราสาทแก้วผลึกก่อนดีกว่าค่ะ จะได้พบผู้หยั่งรู้ก่อนรุ่งสาง”
“ผู้หยั่งรู้ในยุคนี้สถิตอยู่กับไบรอันนี่นา” เวเบอร์ขมวดคิ้ว “ข้าแค่ได้รับคำสั่งให้มาเฝ้ารอยามนางผู้หยั่งรู้ตื่นเท่านั้น”
“ข้าพาท่านผู้กล้าแสงตะวันมาเพื่อการนั้นล่ะค่ะ” อลิเซียหัวเราะน้อย ๆ แล้วชวนทุกคนก้าวขึ้นแผ่นหินที่จารึกอักขระเคลื่อนย้ายไว้
กรงแสงสีทองล้อมรอบพวกเขาห้าคนในพริบตา เมื่อแสงหายก็พบว่าพวกตนอยู่หน้าปราสาทที่สร้างจากแก้วผลึกทึบแสงเสียแล้ว ปลายยอดแก้วผลึกหลายสิบยอดสูงเสียดฟ้า ไกลออกไปด้านหลังเป็นทุ่งหญ้าและหมอกมนตราราวเป็นเส้นแบ่งระหว่างฟ้ากับดิน มีหญิงสาวในชุดผ้าไหมสีอ่อนยืนรอต้อนรับอยู่
“ท่านทีร่า” อลิเซียร้องทัก หญิงสาวในชุดผ้าไหมยิ้มตอบอย่างคนรู้จัก “ข้าพาผู้กล้าแสงตะวันมาแล้วค่ะ ข้างล่างยังน่าขนลุกเหมือนเดิม”
“ข้ารอวันนี้มากกว่าวันที่จะได้อุ้มท่านเสียอีกอลิเซีย ต้องเรียกลิเซียสินะ” หญิงนามทีร่าตอบ
“ชื่อนั้นสำหรับคนในครอบครัวค่ะ แต่ท่านเรียกได้ข้าไม่ว่าหรอก”
“เข้าเรื่องกันดีกว่าไหม” ต้องอาศัยดาริอุสดึงให้ทั้งคู่ทำตัวเป็นงานเป็นการ “นางผู้หยั่งรู้ พวกเราต้องการพบ”
“อย่างนั้นเชิญท่านหญิงอลิเซียและพรรคพวกของนักรบจันทราพบกับนางผู้หยั่งรู้ พระนางในรุ่นนี้หลับใหลที่ห้องโถงแห่งการทำนาย ข้าจะนำทางให้แม้จะรู้ว่าอลิเซียรู้จักทางเป็นอย่างดี” นางบริวารของผู้หยั่งรู้หยอกล้อกับอลิเซียอย่างสนิทสนม
“ท่านหญิงหรือ” ไบรอันพูดกับตัวเอง ไหนคนน้องบอกว่าไม่ใช่เชื้อพระวงศ์อย่างไรละ
เป็นครั้งแรกที่ผู้กล้าแสงตะวันมาเยือนปราสาทแก้วผลึก ปราการของผู้มีเนตรแห่งเทพพยากรณ์หรือนางผู้หยั่งรู้ ทุกรุ่นจะถือกำเนิดจากสตรีพรหมจรรย์ที่ได้รับเลือก มีเพียงรุ่นนี้เท่านั้นที่มาสิงสู่ใช้ร่างเดียวกับเขา
“สมชื่อปราสาทแก้วผลึกจริงๆ แม้แต่ดอกไม้ยังเป็นผลึกเลย” ดาริอุสเอ่ยอย่างชื่นชม
“เป็นสิ่งประดิษฐ์ทางเวทมนตร์ เมืองแก้วผลึกของเราขึ้นชื่อเรื่องเวทมนตร์ประดิษฐ์จำพวกวัตถุเวทมนตร์ ทั้งรับซื้อวัสดุและขายเครื่องรางของขลัง” ทีร่าอธิบายกับดาริอุสซึ่งตั้งใจฟังโดยไม่มีอาการง่วงนอน
โถงแห่งการทำนายเป็นห้องกว้างขวาง รอบด้านเป็นกระจกแก้วใสแจ๋ว เรียงรายด้วยม้านั่งจนเหมือนห้องนั่งรอมากกว่าห้องแห่งการทำนายตามชื่อ กลางห้องมีแท่นผลึกแก้วซึ่งนางผู้หยั่งรู้นอนหลับไม่รู้ตื่น
ตัวนางผู้หยั่งรู้จะเรียกว่าเป็นฝาแฝดของไบรอันก็คงไม่ผิดนัก นางมีใบหน้ารูปไข่ ผมสีเหลืองซีด สวมเสื้อนอนบางๆราวกำลังหลับอยู่ฉะนั้น ใบหน้าเกลี้ยงเกลาหลับตาพริ้มนั้นไร้วิญญาณคงมีแต่ร่าง กระนั้นก็ยังเต่งตึงทุกส่วนสัด หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ ใบหน้ามีสีเลือดฝาดไม่ซีดเหมือนซากศพ
“เราต้องการจุมพิตจากเจ้าชาย ในที่นี่คือผู้กล้าแสงตะวัน เพื่อถ่ายทอดวิญญาณให้กับร่างนี้ ปลุกพระนางจากการหลับใหล” ทีร่ากับอลิเซียหัวเราะคิกคักแต่ไบรอันไม่สนุกด้วย เขาไม่ชอบจูบใครต่อใครมั่วซั่ว
“ถ้าท่านผู้กล้าไม่จูบ พระนางผู้หยั่งรู้ก็ไม่ตื่นนะคะ” อลิเซียหัวเราะจนน้ำตาไหลอาบแก้ม “อย่างนั้นต้องขอแรงท่านนักรบจันทราและท่านเวเบอร์ช่วยแล้ว บังคับตามสบายค่ะ หากมีการขัดขืนข้าจะช่วยเอง”
“ไม่ต้องแล้ว ข้าจะทำเอง อยากได้นักใช่ไหมจูบเนี่ย” ไบรอันหมดความอดทนแล้ว คงหมดท่าหากถูกสองคนนั้นจับตัวจริง ๆ เขาก้มลงไปที่ปากนางผู้หยั่งรู้เพียงแค่สัมผัสโดนแล้วรีบยกตัวขึ้น
แค่นั้นก็เหลือเฟือสำหรับการถ่ายทอดวิญญาณ ลมหายใจของนางผู้หยั่งรู้กระตุกเล็กน้อย ดวงตางามเปิดออกกระพือถี่ให้คุ้นชินกับแสงมนตราบนเพดาน ไม่นานคู่แฝดของไบรอันก็ยันตัวขึ้นนั่งด้วยอาการสงบ รับน้ำจากคนรับใช้มาดื่มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“คงลำบากมากเลยสินะ ทุกคน” พระนางก้มหัวให้พวกเขาน้อยๆ “โดยเฉพาะผู้กล้าแสงตะวันที่ข้าขออาศัยเป็นที่พักพิงจนกว่าร่างนี้จะแข็งแรงพอ เรียกข้าว่าเนอร์วาน่าเถอะ”
“ช่วยอธิบายด้วย ขอสั้นๆ” ไบรอันผู้ง่วงนอนเต็มทีรีบกันท่า เพราะสังหรณ์ว่าสาวๆทั้งสามจะหยอกล้อกันเสียก่อน
“ร่างนี้ของข้าเป็นร่างที่ซึมซับพลังด้านลบมากเกินไป เนอร์วาน่าคนก่อนจึงทำการแยกร่างกับวิญญาณของข้าออกจากกัน โดยส่งวิญญาณไปอยู่กับว่าที่ผู้กล้าแสงตะวันตั้งแต่เกิด จะเรียกว่ากาฝากก็คงไม่ผิดอะไรหรอก” เนอร์วาน่าอธิบายด้วยน้ำเสียงแหบเครือ ดูนางยังไม่คล่องในการพูดเท่าไรนัก
“แล้วข้าจะยังเปิดดูอนาคตได้ไหม” ไบรอันถามเข้าประเด็น
“แล้วแต่ข้า” เนอร์วาน่าทำให้ไบรอันชะงัก “ต้นขั้วพลังในการเปิดปิดมิติเวลาเป็นของข้า ข้าจึงเป็นผู้กำหนดว่าสิ่งใดท่านควรรู้ สิ่งใดท่านไม่ควรรู้ ตอนนี้ขอข้าพักผ่อนก่อนแล้วค่อยคุยตามลำดับ”
“ลำดับอะไรหรือ”
“ลิเซีย ฝากอธิบายด้วย” แล้วเนอร์วาน่าก็เดินออกไปจากห้องโถงพร้อมบริวาร
“มันเป็นอย่างนี้ค่ะ ทุกคนสามารถตีราคาค่างวดได้มากน้อยต่างกัน นางผู้หยั่งรู้จะวัดความสำคัญทางวิญญาณก่อนการพยากรณ์ เช่น กษัตริย์ได้รับฟังก่อนอัศวิน ชาวบ้านที่มีจริยธรรมสูงกว่าได้รับฟังก่อนผู้มีจริยธรรมต่ำกว่า แล้วคำพยากรณ์ที่ได้จะตีเป็นราคาค่างวดอีกครั้งหนึ่งโดยไม่สนใจว่าผู้รับฟังคำพยากรณ์อยู่ในระดับใด และผู้หยั่งรู้เองจะต้องตอบคำถามอย่างเที่ยงตรงทุกครั้งโดยไม่สามารถโกหก ทำได้อย่างมากแค่ไม่บอกเท่านั้นค่ะ”
“อย่างนั้นข้าก็ถามได้ก่อนสิ” ดาริอุสชี้ไปที่ตัวเองซึ่งเป็นเจ้าชาย
“ผิดอย่างแรงค่ะ ท่านเวเบอร์จะได้รับคำพยากรณ์ก่อน จะเป็นอย่างไรขึ้นกับอารมณ์ของท่านเนอร์วาน่า จากนั้นก็ท่านผู้กล้าแสงตะวัน แล้วก็ท่านนักรบจันทราค่ะ”
“ข้าเป็นคนธรรมดานะ” เวเบอร์พูดลอยๆ
“คุณค่าของวิญญาณวัดกันที่อดีต ปัจจุบัน และอนาคตรวมกันค่ะ” อลิเซียอธิบายอย่างผู้เชี่ยวชาญ “หากถามว่าเป็นคิวแรกได้อย่างไรก็ต้องตอบว่าสปอย์เลอร์ บอกไปเดี๋ยวหมดสนุก”
รอไม่กี่อึดใจเนอร์วาน่าก็กลับมาอีกครั้งในชุดผ้าไหมสง่างาม ความสวยของนางนั้นหากบอกว่าเป็นแฝดของไบรอันก็คงไม่มีใครเชื่อ แม้ไม่เท่าลาควีล่าแต่ถือว่างามในชั้นวงศ์วานกษัตริย์
“ขอบใจนะลิเซีย กลับห้องได้แล้วผู้ใหญ่เขาจะคุยกัน”
อลิเซียโค้งให้ทุกคนก่อนออกจากห้องไปอย่างร่าเริง ไม่มีท่าทีเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย
“นางโตพอ ๆ กับเราแล้วนะ” ดาริอุสถามโง่ๆออกมา
“ก็ยุคนี้นางยังไม่เกิด ย่อมถือว่าอายุเป็นศูนย์” เนอร์วาน่าไล่ทุกคนให้ไปนั่งบนม้านั่ง ส่วนตัวนางยืนด้านหลังแท่นที่นางเคยนอนเหยียดกาย “คนแรกก็เวเบอร์ โฟรแซท เฟียร์เลส...ข้ารู้ว่าท่านจะถามอะไร แต่ราคาค่างวดมันสูงนะ ให้พี่เจ้ามาถามข้าเองดีกว่า”
“ราคาของคำพยากรณ์นั้นคือสิ่งใด” เวเบอร์ยืนขึ้นอย่างไร้ความหวาดกลัว
“รับเวทมนต์เต็มกำลังของข้าได้โดยเข่าไม่ติดพื้น แค่นั้น” เนอร์วาน่ายักไหล่ นางดูเหมือนเสือดาวที่กำลังเล่นกับเหยื่ออันโอชะ “เจ้าทำไม่ได้หรอกเลิกคิดถามเรื่องนั้นเถิด ถามอีกเรื่องดีกว่า ของวิเศษที่ช่วยนายเจ้าได้ จะถามเป็นเรื่องที่สองใช่ไหม”
“ข้ายังไม่เข้าใจ เหตุใดเรื่องคนที่สองจึงต้องเป็นความลับขนาดนี้ หากไม่ติดที่ต้องมาดินแดนนี้ท่านพี่ข้าก็อยากมาด้วยตัวเอง” เวเบอร์พูดด้วยความลังเลใจ
“เพราะคนที่สองทรงพลังและไม่เสถียรน่ะสิ แค่ถูกแทรกแซงนิดเดียวก็เปลี่ยนเป็นหอกข้างแคร่ได้แล้ว ข้าจึงได้รับคำสั่งโดยตรง นอกจากสี่เสาหลัก ข้าบอกได้เฉพาะพี่สาวเจ้าเท่านั้น”
“แต่ข้ายังอยากรู้ ได้โปรดให้ข้าลองรับเวทมนตร์ของท่านเถิด ข้าเป็นอมตะอย่างไรก็ไม่ตายหรอก” เวเบอร์ยังไม่วายขอในสิ่งที่เกินมือเอื้อม ไบรอันไม่รู้ว่านางผู้หยั่งรู้ทรงพลังมากแค่ไหนแต่มีพลังอำนาจมากกว่าเขาแน่นอน
“แค่มีสัญลักษณ์แห่งพลังก็ลำพองเสียแล้วหรือ อย่างนั้นก็ก้าวออกมาข้างหน้า ข้าจะใช้เวทมนตร์กับท่านครั้งเดียวแต่ต่อเนื่อง จนกว่าข้าจะเห็นว่าควรหยุด”
เวเบอร์ก้าวออกมายืนหน้าแท่น เนอร์วาน่ายกมือขวาขึ้นแล้วเอ่ยคำ!
ราวกับมีมือยักษ์กดลงบนร่างของเวเบอร์ ทั่วทั้งร่างหนักขึ้นหลายเท่าตัวราวกับนางกำลังเพิ่มน้ำหนักให้เขากระนั้น เขารู้ได้ทันทีว่านางใช้เวทมนตร์สร้างแรงโน้มถ่วงเพื่อกดเขาลงพื้นเหมือนบี้หนอนแมลง ต่อให้เวเบอร์แกร่งแค่ไหนก็ต้องงอเข่าเพื่อรับน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นมหาศาล
“นี่เพิ่งเริ่มนะ จะเพิ่มแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนกว่าข้าจะพอใจ เจ้าเป็นอมตะจริงไหม ไม่ต้องห่วงหรอก” เนอร์วาน่าแสยะยิ้มอย่างบ้าคลั่ง
เวเบอร์กัดฟันทนรับน้ำหนักที่มากขึ้นเรื่อยๆ เขาย่อตัวลงทีละนิดอย่างช้า ๆ ความเป็นอมตะไม่ได้ช่วยให้เขาทนทานต่อน้ำหนักตัวเลย อีกไม่นานเข่าคงแตะพื้นแน่
“ถึงเข่าจะแตะพื้นข้าก็ไม่หยุด” เนอร์วาน่าเสริมอย่างเยือกเย็น “เจ้าเล่นงานร่างทรงข้าไว้เยอะเมื่อคืนก่อน จำได้ไหม”
ไม่ทันสิ้นเสียงนางก็เพิ่มกำลังขึ้นอีกเท่าตัว เวเบอร์ทรุดลงไปหมอบกับพื้น สีหน้ายังไม่ยอมแพ้แม้จ่ายให้นางตามราคาไม่ได้ก็ตาม ไม่นานกระดูกแขนและขาก็หักดังสนั่น เวเบอร์ครางโอดโอยเหมือนใกล้ตาย จากนักรบผู้ห้าวหาญกลายเป็นกองเศษเนื้อถูกขยี้กับพื้นอย่างไร้ปรานี กระนั้นก็ยังไม่ตาย...
“ข้าก็ไม่รู้เรื่องนางเหมือนกัน เราคงต้องยกเรื่องทั้งหมดไปถามนางผู้หยั่งรู้”
นั่นคือคำตอบที่ดาริอุสได้รับจากผู้กล้าแสงตะวันเมื่อเขาถามถึงหญิงสาวนามลาควีล่า เชื่อว่าหากไปถามอลิเซียก็คงได้คำตอบแบบเดียวกัน
มาถึงตอนนี้ก็ได้แค่เดินผ่านสถานที่สุดหลอนเพื่อไปยังปราสาทแก้วผลึกเท่านั้น!
“ไปทางขวาค่ะ” คนนำทางชี้กระบอกส่องแสงไปทางแยกขวามือ มีเส้นสีขาวคล้ายไข่มุกขีดคาดอยู่บนพื้นขวางทางไว้ด้วย “นั่นคือหนึ่งในเส้นวัดใจค่ะ” อลิเซียหัวเราะน้อย ๆ ไบรอันซึ่งกลัวผีที่สุดหวาดวิตกเกินพอดี
ก่อนถึงเส้นสีขาวหญิงสาวผู้ข้ามกาลเวลาก็บอกให้ทุกคนหยุดก่อน เพื่ออธิบายให้เข้าใจ
“เมื่อผ่านเส้นนี้ไป เงาของเราทุกคนจะมีชีวิตขึ้นมาเดินข้าง ๆ มันก็แค่เดินไปสักพักจนพ้นระยะ ไม่ทำอันตรายเราหากเราไม่ไปยุ่งกับมัน”
“แล้วถ้าไปยุ่งล่ะ” ไบรอันถามด้วยท่าทางหวาดๆ
“ผลสะท้อนของการโจมตี ไม่ว่าจะทางกายภาพหรือเวทมนตร์ มันจะส่งผลกับเจ้าของเงา สมมุติข้าชกท้องเงาของตัวเอง ท้องของข้าก็จะรู้สึกเจ็บไปด้วย ถ้าใช้อาวุธก็อาจเลือดตกยางออกถึงตาย”
“เหมือนจะไม่มีอะไรนะ มันเป็นการป้องกันจริงหรือ” ดาริอุสถาม
“มันใช้ไม่ได้ผลกับคนที่มีสติเข้มแข็งค่ะ แต่สำหรับคนที่หวาดกลัวหรือประสาทอ่อนแล้ว ย่อมระแวงเงาที่เดินเคียงคู่มาด้วยความที่ไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรู และยามขวัญเสียก็จะไร้การไตร่ตรองจนทำร้ายเงาตัวเองหรือคนอื่นด้วยความหวาดกลัวค่ะ”
“แล้วเงาตะคุ่ม ๆ รายทางนั่นล่ะ ข้าเห็นมาสักพักแล้ว” ดาริอุสถามโดยไม่เกรงใจไบรอันที่กลัวผี
“นั่นคือวิญญาณผู้พิทักษ์ค่ะ จะกัดกินร่างของผู้หลงทางหรือไม่มีการระวังตัว เมื่อร่างสิ้นลม วิญญาณจะกลายเป็นผู้พิทักษ์อีกตน ตราบใดที่เรารวมหมู่กันอยู่ก็ไม่ต้องห่วงค่ะ”
ดาริอุสพยักหน้ารับทราบแล้วเดินต่อไป เมื่อข้ามเส้นขีดสีขาวเงาของเขาก็พลันมีชีวิต เป็นกลุ่มก้อนความมืดที่เหมือนเขาทุกประการเดินร่วมทางไปด้วยราวกับมีตัวตนจริง ๆ ไบรอันอุทานเบา ๆ ด้วยความกลัว ส่วนลาควีล่าลองสัมผัสเงาตัวเองด้วยความอยากรู้ เมื่ออลิเซียเห็นว่าทุกคนปกติจึงเดินนำต่อไปโดยมีเงาของนางเคียงคู่ไปด้วย
“เงานี้จะหายไปเองหากเราไม่สนใจมัน ต้องไม่ใส่ใจมันค่ะท่านผู้กล้าแสงตะวัน!” อลิเซียหันมาเอ็ดไบรอันที่จ้องมองหุ่นเงาตัวเองตาไม่กระพริบ
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ร่างเงาของเกือบทุกคนก็หายไป เว้นเพียงเงาของไบรอันที่เจ้าตัวกลัวจับใจ
“ช่วงระยะนี้หนักหน่อยนะคะ มันจะขุดความกลัวของทุกคนขึ้นมา แต่ละคนจะเห็นภาพไม่เหมือนกัน วิธีรับมือคือเดินไปข้างหน้า หากเงายังอยู่มันจะเกลี้ยกล่อมให้กลับหลังหรือออกนอกทางไปเลย หากกัดฟันทนไปได้จนพ้นระยะภาพลวงตาก็จะหายไป ข้าไม่ใคร่แน่ใจนักว่าจะผ่านไปได้โดยไม่ต้องช่วยไหม” อลิเซียเกาหัวแกรกก้าวนำอย่างอาจหาญ
“เล่นกดดันกันแบบนี้ ข้าว่ารอกลางวันดีกว่า” ดาริอุสเปรย คิดถึงภาพน่ากลัวที่เขาจะต้องเห็น
“ยามกะกลางคืนจะเล่นงานที่จิตใจ ถ้าเราใจแข็งเสียอย่างก็สบายค่ะ ข้าเชื่อว่าทุกคนผ่านไปได้ และคงต้องทำเวลากันหน่อย คน ๆ หนึ่งกำลังเดินอยู่หน้าพวกเรา ข้าไม่รู้ว่าเขารู้เส้นทางที่ถูกต้องได้อย่างไรแต่กำลังนำเราอยู่ไม่ไกลนัก”
“ใครกัน” ดาริอุสถามตรงๆ
“ท่านเวเบอร์ค่ะ” อลิเซียตอบหนัก ๆ “ระวังอย่าก้าวออกจากถนนนะคะ สิ่งที่รายล้อมจะดึงไปจากเส้นทางที่ถูกต้อง”
ไม่ทันขาดคำดีหมอกสีขาวอมเหลืองก็ลอยขึ้นมาราวม่านมองเห็นคนข้างหน้าได้ลาง ๆ อลิเซียหันมาบอกว่าหมอกนี้จะหายไปเมื่อพ้นระยะก่อนจะบอกให้ทุกคนก้าวไปต่อ
“สิ่งสำคัญคือ ต้องเดินหน้าไปด้วยใจแน่วแน่ อย่าหลงติดกับความเศร้าหมองเป็นอันขาด ช่วงนี้เป็นทางตรงอย่างเดียว...”
แล้วเสียงอธิบายของอลิเซียก็เงียบลงจนเหมือนเขาเดินอยู่คนเดียวบนถนนสายนี้
“ดาริอุส...” ดาริอุสทำใจแข็งหันไปตามเสียงเรียก รูปเงาของพ่อบุญธรรมยืนอยู่ข้างทาง ท่าทางอิดโรยด้วยโรคร้ายที่คร่าชีวิต “เจ้าปล่อยให้ข้าตาย แล้วก็ทิ้งโรงฝึก”
ดาริอุสพยายามตั้งสติทำใจเป็นกลาง ขาทั้งสองหนักอึ้งด้วยความรู้สึกผิดจนยากที่จะก้าวเดิน
“มาเวอร์ริค เจ้ารอดแต่ปล่อยให้ข้าตาย จนพ่อของเจ้าต้องกลายเป็นจอมอสูร” เสียงจากเงาไร้หน้าดึงรั้งดาริอุสเอาไว้แต่เขาก็พยายามเดินหน้าสุดกำลังเช่นกัน น้ำตาเริ่มไหลด้วยความรู้สึกผิดบาประคนคิดถึง ไม่ได้แค่ช่วยโรงฝึกของพ่อบุญธรรมไม่ได้ ยังปล่อยให้พ่อแท้ ๆ ของตัวเองตายอีกด้วย
“เจ้าหรือนักรบจันทรา” อีกเสียงดังขึ้นจากทางด้านหน้า เงาร่างไร้รูปทรงก่อตัวขึ้นขวางทางดั่งกำแพงกั้นเขาจากทางข้างหน้า “ข้าคือจอมปิศาจ ศัตรูอย่างเป็นทางการของเจ้า”
ดาริอุสหยุดกึก เงาไร้รูปทรงแปรเปลี่ยนไม่หยุดนิ่ง เดี๋ยวเป็นอสูรร่างยักษ์ เดี๋ยวเป็นสัตว์ร้าย เดี๋ยวเป็นหญิงสาว หากยังคงขวางทางไม่ยอมให้ผ่านไป เขาขนลุกด้วยความกลัวจับใจ
“คิดว่าจะปราบข้าได้หรือ ด้วยกระบี่กระจอกเล่มนั้นน่ะหรือ” เงาตั้งคำถาม “ความจริงเราไม่ต้องสู้กันเลย แค่เจ้ามาอยู่เคียงข้างพ่อของเจ้า ครอบครองดินแดนนี้ด้วยพลังของข้า เราก็จะไม่ต้องปะทะกัน ไม่ดีหรอกหรือ”
“ข้าจะช่วยพ่อข้า!” ดาริอุสตอบอย่างหนักแน่น หากความจริงขาทั้งคู่ชาด้วยความกลัวไม่อาจขยับได้แม้แต่นิด
“แต่เราไม่จำเป็นต้องสู้กัน” เงาที่ยังแปรรูปร่างอยู่ยื่นสิ่งที่น่าจะเป็นหัวมาใกล้ “ข้าช่วยปลดปล่อยพ่อเจ้าให้ก็ได้ แล้วเราก็หายกัน ไม่อย่างนั้นก็ใช้กระบี่ที่เจ้าภูมิใจฟาดฟันข้าเปิดทางเสีย ข้าว่าเจ้าไม่กล้าหรอก มันคือดาบวิเศษแห่งเปลวเพลิง ปัดเป่าความมืดได้แน่นอน”
“ได้...” ตาของดาริอุสย้ายที่ไปยังกระบี่ดาบแสงตะวัน แค่ใช้สิ่งนี้ หมอกและภาพลวงตาก็จะสลาย เขาจะเห็นพรรคพวกที่อยู่ข้างหน้า การขู่ขวัญจะได้จบเสียที
“ถ้าเราจุดไฟกลุ่มหนึ่งจะกลัว แต่อีกกลุ่มที่รับมือยากกว่าจะมาทางเราค่ะ พวกเราใช้เวทมนตร์กันได้แค่สองคน ไม่ทันมันหรอก”
คำเตือนของอลิเซียดังก้องในหัว ดาริอุสกำลังถูกหลอกให้จุดไฟ เพื่อเรียกตัวที่พวกเขาสู้ไม่ได้มาที่นี่!
“ข้ามองเห็นความกลัวของเจ้า การแยกจาก การหยุดนิ่ง การสูญเสีย” เสียงไร้ตัวตนดังขึ้นอีก “เพราะเจ้าไม่อยากแยกจากบ้านถึงเดินทางไปทั่วให้ทุกแห่งเป็นบ้าน เพราะเจ้าเห็นว่าทุกสิ่งจำเป็นต้องเคลื่อนไหวไม่อย่างนั้นก็ตายจึงกลัวการหยุดนิ่ง เพราะเจ้าผูกพันกับสิ่งต่างๆมากเกินไปจึงกลัวการสูญเสีย ข้าพูดถูกหรือไม่ เจ้าจึงเดินทางไปที่ต่างๆไม่ยอมหยุดนิ่ง”
“แล้วทำไม” ดาริอุสกัดฟันพูด ดึงความกล้าทั้งหมดออกมา “ความกลัวคือสิ่งสามัญสำหรับมนุษย์ ข้าไม่ผิดที่กลัวเรื่องพวกนั้น!” เขาคำราม ปล่อยความโกรธออกมาแทนที่ความกลัว
“อย่างนั้นก็ผ่านข้าไปสิ แต่บอกไม่ได้หรอกนะว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเดินทะลุภาพมายานี่ หญิงที่ช่วยเจ้าได้ก็ล่วงหน้าไปไกลแล้วเสียด้วย”
“มายาก็คือมายาวันยันค่ำ” ดาริอุสขบฟันด้วยโทสะที่ไร้เหตุผล “ข้าจะเดินผ่านไปให้ดูเอง!”
คราวนี้ดาริอุสไม่รอให้เงาเปลี่ยนรูปพูดต่อ เขากลั้นใจเดินเฉิบๆทะลุไปราวกับมองไม่เห็น กลุ่มก้อนภาพมายาหายวับไปทันที เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก เหลือแค่เดินต่อไปให้ทันคนข้างหน้า
การข่มขวัญหลังจากนั้นคือเสียงครวญครางของเหล่าเพื่อนผู้วายชนม์ของเขา เหล่าคนที่สิ้นลมระหว่างทำหน้าที่อารักขาคาราวานพ่อค้าร้องเรียกเขาระงม บ้างขอให้เขาช่วย บ้างบอกให้เขาหนี ดาริอุสหลับหูหลับตาเดินให้เร็วที่สุด!
“เราเดินพ้นแล้ว หยุดได้แล้วค่ะ!”
ดาริอุสรู้ตัวอีกทีเมื่อถูกอลิเซียฉุดตัวไว้ หมอกอาคมหายไปแล้ว เขามองเห็นไบรอันนั่งร้องไห้อยู่คนเดียว ลาควีล่าหน้าซีดเผือด แต่ละคนต้องพบกับสิ่งที่กลัวที่สุดเหมือนกันแน่ๆ คนที่ยังเป็นปกติคืออลิเซียก็ยังตาบวมแดง
“เช็ดน้ำตาก่อนค่ะ ท่านนักรบจันทรา” อลิเซียร้องทักว่าเขากำลังร้องไห้อยู่เช่นกัน
“มันเหมือนความฝันเลยอลิเซีย” ลาควีล่าจับแขนอลิเซียเพื่อดูว่าไม่ใช่ความฝัน “น่ากลัวจริงๆ”
“ก็แค่ภาพมายาทั่วไปเหมือนความฝันค่ะ มันบั่นทอนจิตใจเราแต่ทำร้ายเราไม่ได้ พูดอย่างนั้นข้าก็เกือบไปเหมือนกัน” อลิเซียหัวเราะเบา ๆ “ร้องไห้พอหรือยังคะท่านผู้กล้าแสงตะวัน”
ผู้กล้าแสงตะวันยังนั่งก้มหน้านิ่ง ไม่มีการตอบสนอง
“มันเป็นแค่ความฝันไบรอัน เหมือนที่ท่านปลอบข้าเมื่อเช้า มันไม่ใช่ภาพจริง ๆ” ลาควีล่านั่งลงจับมือไบรอันไว้อย่างอ่อนโยน “เราลืมสิ่งที่เห็นแล้วก้าวต่อไปดีกว่า ท่านชอบพูดแบบนี้นี่”
“แบบนี้ผ่านด่านต่อไปไม่ได้แน่ ข้าประเมินความแกร่งภายในของท่านผู้กล้าผิดไป” อลิเซียเกาคางครุ่นคิด “ถ้าใช้ตอนนี้จะถือเป็นสปอย์หรือเปล่านะ คงต้องทำ ไม่อย่างนั้นเราไปไม่ถึงไหนแน่”
ว่าแล้วหญิงสาวนักท่องเวลาก็ประสานมือไว้ระดับทรวงอกแล้วท่องบทสวด มันไม่เหมือนภาษาใดที่ดาริอุสเคยฟัง ทุกพยางค์ล้วนเปล่งรัศมีแห่งความเมตตาออกมา แขนขาที่เกร็งสั่นด้วยความกลัวผ่อนคลายขึ้น รอบด้านที่เคยน่าสะพรึงกลัวกลับเป็นป่ายามราตรีตามปกติ ยิ่งนางสวดยิ่งสัมผัสได้ถึงพลังที่ไม่เหมือนเวทมนตร์ มันเอ่อล้นด้วยความอบอุ่นและชีวิตชีวาราวกับมีครอบแก้วคอยปกป้องอยู่
ผู้กล้าแสงตะวันเงยหน้าด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่เข้ามาแทรกแซงความกลัว
“พลังอะไรกัน ไม่เหมือนเวทมนตร์เลย” ไบรอันแทรกขึ้น หญิงสาวไม่สนใจยังคงท่องบทสวดต่อไปจนจบ
“มันคือพลังสีขาวค่ะ เสริมกำลังใจ ขับไล่สิ่งชั่วร้าย” อลิเซียอธิบายสั้นๆ ก่อนหันมาทำหน้ายักษ์ใส่ผู้กล้าแสงตะวัน “คราวนี้ลุกได้แล้วค่ะท่านผู้กล้า สิ่งไร้ตัวตนไม่มีทางรบกวนเราได้แล้ว จะได้ไปต่อให้สุดทาง”
ไบรอันลุกขึ้นอย่างจำยอมแล้วเดินต่ออย่างหมดเรี่ยวแรงโดยมีลาควีล่าเดินเคียงข้าง...
ผู้กล้าแสงตะวันเดินโซซัดโซเซเพราะภาพหลอนที่กัดกร่อนจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นการตายของพ่อแม่ อาจารย์ อโฟเดล รวมไปถึงไซเรน่าด้วย ได้ชื่อเป็นผู้กล้าเสียเปล่ากลับช่วยใครไม่ได้เลยสักคน ไม่คู่ควรใช้ชื่อผู้กล้าอีกต่อไปแล้ว โชคดีที่หญิงสาวนักท่องเวลามีพลังสีขาวที่ต่างจากเวทมนตร์อื่นๆ ไม่อย่างนั้นเขาคงหมดแรงยืนแน่
“ที่เจ้าท่องเมื่อกี้คืออะไรอลิเซีย ทำให้ข้าดีขึ้นได้”
“คาถาเกราะแก้วเจ็ดชั้นค่ะ สองสิ่งที่ทรงอำนาจที่สุดในสากลโลกคือไฟ และพระพุทธคุณ”
“แล้วพระพุทธคุณคืออะไร”
“เหมือนเวทมนตร์ในดินแดนไร้เวทมนตร์ค่ะ ไม่ขออธิบายมาก แค่มันช่วยปกป้องพวกเราจากความมืดหรือสิ่งที่ก่อกำเนิดจากความมืดได้ก็พอ”
แล้วบทสนนาของพวกเขาก็หยุดลง ดูเหมือนดาริอุสจะสนใจใคร่รู้เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าพระพุทธคุณ หากหญิงสาวไม่ยอมตอบอย่างชัดเจนว่ามันคืออะไร เดินลัดเลาะตามทางเดินได้สักพักก็ถึงศาลาใหญ่ กลางศาลามีแท่นสำหรับเคลื่อนย้ายอยู่ และมีชายอีกคนหนึ่งยืนมองพวกเขาอย่างพิศวง
“เจ้าก็จะพบผู้หยั่งรู้ด้วยหรือ เวเบอร์” ไบรอันออกปากถาม เหตุการณ์ต่อสู้เมื่อคืนก่อนยังจำได้ดี
“ผู้หญิงคนนั้นคือใครกัน ข้าคิดว่าสีตาแบบนั้นจะมีแค่เจ้าคนเดียวเสียอีกไบรอัน” เวเบอร์ร้องทักอย่างไม่เต็มใจ “แล้วท่อนส่องแสงนั่นคืออะไร”
“ข้าคือผู้เดินทางท่องเวลาค่ะท่านเวเบอร์ ชื่ออลิเซีย สักวันเราจะได้พบกันในสภาพอื่นที่ดีกว่านี้” อลิเซียทักทายอย่างเป็นกันเองราวเป็นคนรู้จัก “ตอนนี้เราขึ้นไปปราสาทแก้วผลึกก่อนดีกว่าค่ะ จะได้พบผู้หยั่งรู้ก่อนรุ่งสาง”
“ผู้หยั่งรู้ในยุคนี้สถิตอยู่กับไบรอันนี่นา” เวเบอร์ขมวดคิ้ว “ข้าแค่ได้รับคำสั่งให้มาเฝ้ารอยามนางผู้หยั่งรู้ตื่นเท่านั้น”
“ข้าพาท่านผู้กล้าแสงตะวันมาเพื่อการนั้นล่ะค่ะ” อลิเซียหัวเราะน้อย ๆ แล้วชวนทุกคนก้าวขึ้นแผ่นหินที่จารึกอักขระเคลื่อนย้ายไว้
กรงแสงสีทองล้อมรอบพวกเขาห้าคนในพริบตา เมื่อแสงหายก็พบว่าพวกตนอยู่หน้าปราสาทที่สร้างจากแก้วผลึกทึบแสงเสียแล้ว ปลายยอดแก้วผลึกหลายสิบยอดสูงเสียดฟ้า ไกลออกไปด้านหลังเป็นทุ่งหญ้าและหมอกมนตราราวเป็นเส้นแบ่งระหว่างฟ้ากับดิน มีหญิงสาวในชุดผ้าไหมสีอ่อนยืนรอต้อนรับอยู่
“ท่านทีร่า” อลิเซียร้องทัก หญิงสาวในชุดผ้าไหมยิ้มตอบอย่างคนรู้จัก “ข้าพาผู้กล้าแสงตะวันมาแล้วค่ะ ข้างล่างยังน่าขนลุกเหมือนเดิม”
“ข้ารอวันนี้มากกว่าวันที่จะได้อุ้มท่านเสียอีกอลิเซีย ต้องเรียกลิเซียสินะ” หญิงนามทีร่าตอบ
“ชื่อนั้นสำหรับคนในครอบครัวค่ะ แต่ท่านเรียกได้ข้าไม่ว่าหรอก”
“เข้าเรื่องกันดีกว่าไหม” ต้องอาศัยดาริอุสดึงให้ทั้งคู่ทำตัวเป็นงานเป็นการ “นางผู้หยั่งรู้ พวกเราต้องการพบ”
“อย่างนั้นเชิญท่านหญิงอลิเซียและพรรคพวกของนักรบจันทราพบกับนางผู้หยั่งรู้ พระนางในรุ่นนี้หลับใหลที่ห้องโถงแห่งการทำนาย ข้าจะนำทางให้แม้จะรู้ว่าอลิเซียรู้จักทางเป็นอย่างดี” นางบริวารของผู้หยั่งรู้หยอกล้อกับอลิเซียอย่างสนิทสนม
“ท่านหญิงหรือ” ไบรอันพูดกับตัวเอง ไหนคนน้องบอกว่าไม่ใช่เชื้อพระวงศ์อย่างไรละ
เป็นครั้งแรกที่ผู้กล้าแสงตะวันมาเยือนปราสาทแก้วผลึก ปราการของผู้มีเนตรแห่งเทพพยากรณ์หรือนางผู้หยั่งรู้ ทุกรุ่นจะถือกำเนิดจากสตรีพรหมจรรย์ที่ได้รับเลือก มีเพียงรุ่นนี้เท่านั้นที่มาสิงสู่ใช้ร่างเดียวกับเขา
“สมชื่อปราสาทแก้วผลึกจริงๆ แม้แต่ดอกไม้ยังเป็นผลึกเลย” ดาริอุสเอ่ยอย่างชื่นชม
“เป็นสิ่งประดิษฐ์ทางเวทมนตร์ เมืองแก้วผลึกของเราขึ้นชื่อเรื่องเวทมนตร์ประดิษฐ์จำพวกวัตถุเวทมนตร์ ทั้งรับซื้อวัสดุและขายเครื่องรางของขลัง” ทีร่าอธิบายกับดาริอุสซึ่งตั้งใจฟังโดยไม่มีอาการง่วงนอน
โถงแห่งการทำนายเป็นห้องกว้างขวาง รอบด้านเป็นกระจกแก้วใสแจ๋ว เรียงรายด้วยม้านั่งจนเหมือนห้องนั่งรอมากกว่าห้องแห่งการทำนายตามชื่อ กลางห้องมีแท่นผลึกแก้วซึ่งนางผู้หยั่งรู้นอนหลับไม่รู้ตื่น
ตัวนางผู้หยั่งรู้จะเรียกว่าเป็นฝาแฝดของไบรอันก็คงไม่ผิดนัก นางมีใบหน้ารูปไข่ ผมสีเหลืองซีด สวมเสื้อนอนบางๆราวกำลังหลับอยู่ฉะนั้น ใบหน้าเกลี้ยงเกลาหลับตาพริ้มนั้นไร้วิญญาณคงมีแต่ร่าง กระนั้นก็ยังเต่งตึงทุกส่วนสัด หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ ใบหน้ามีสีเลือดฝาดไม่ซีดเหมือนซากศพ
“เราต้องการจุมพิตจากเจ้าชาย ในที่นี่คือผู้กล้าแสงตะวัน เพื่อถ่ายทอดวิญญาณให้กับร่างนี้ ปลุกพระนางจากการหลับใหล” ทีร่ากับอลิเซียหัวเราะคิกคักแต่ไบรอันไม่สนุกด้วย เขาไม่ชอบจูบใครต่อใครมั่วซั่ว
“ถ้าท่านผู้กล้าไม่จูบ พระนางผู้หยั่งรู้ก็ไม่ตื่นนะคะ” อลิเซียหัวเราะจนน้ำตาไหลอาบแก้ม “อย่างนั้นต้องขอแรงท่านนักรบจันทราและท่านเวเบอร์ช่วยแล้ว บังคับตามสบายค่ะ หากมีการขัดขืนข้าจะช่วยเอง”
“ไม่ต้องแล้ว ข้าจะทำเอง อยากได้นักใช่ไหมจูบเนี่ย” ไบรอันหมดความอดทนแล้ว คงหมดท่าหากถูกสองคนนั้นจับตัวจริง ๆ เขาก้มลงไปที่ปากนางผู้หยั่งรู้เพียงแค่สัมผัสโดนแล้วรีบยกตัวขึ้น
แค่นั้นก็เหลือเฟือสำหรับการถ่ายทอดวิญญาณ ลมหายใจของนางผู้หยั่งรู้กระตุกเล็กน้อย ดวงตางามเปิดออกกระพือถี่ให้คุ้นชินกับแสงมนตราบนเพดาน ไม่นานคู่แฝดของไบรอันก็ยันตัวขึ้นนั่งด้วยอาการสงบ รับน้ำจากคนรับใช้มาดื่มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“คงลำบากมากเลยสินะ ทุกคน” พระนางก้มหัวให้พวกเขาน้อยๆ “โดยเฉพาะผู้กล้าแสงตะวันที่ข้าขออาศัยเป็นที่พักพิงจนกว่าร่างนี้จะแข็งแรงพอ เรียกข้าว่าเนอร์วาน่าเถอะ”
“ช่วยอธิบายด้วย ขอสั้นๆ” ไบรอันผู้ง่วงนอนเต็มทีรีบกันท่า เพราะสังหรณ์ว่าสาวๆทั้งสามจะหยอกล้อกันเสียก่อน
“ร่างนี้ของข้าเป็นร่างที่ซึมซับพลังด้านลบมากเกินไป เนอร์วาน่าคนก่อนจึงทำการแยกร่างกับวิญญาณของข้าออกจากกัน โดยส่งวิญญาณไปอยู่กับว่าที่ผู้กล้าแสงตะวันตั้งแต่เกิด จะเรียกว่ากาฝากก็คงไม่ผิดอะไรหรอก” เนอร์วาน่าอธิบายด้วยน้ำเสียงแหบเครือ ดูนางยังไม่คล่องในการพูดเท่าไรนัก
“แล้วข้าจะยังเปิดดูอนาคตได้ไหม” ไบรอันถามเข้าประเด็น
“แล้วแต่ข้า” เนอร์วาน่าทำให้ไบรอันชะงัก “ต้นขั้วพลังในการเปิดปิดมิติเวลาเป็นของข้า ข้าจึงเป็นผู้กำหนดว่าสิ่งใดท่านควรรู้ สิ่งใดท่านไม่ควรรู้ ตอนนี้ขอข้าพักผ่อนก่อนแล้วค่อยคุยตามลำดับ”
“ลำดับอะไรหรือ”
“ลิเซีย ฝากอธิบายด้วย” แล้วเนอร์วาน่าก็เดินออกไปจากห้องโถงพร้อมบริวาร
“มันเป็นอย่างนี้ค่ะ ทุกคนสามารถตีราคาค่างวดได้มากน้อยต่างกัน นางผู้หยั่งรู้จะวัดความสำคัญทางวิญญาณก่อนการพยากรณ์ เช่น กษัตริย์ได้รับฟังก่อนอัศวิน ชาวบ้านที่มีจริยธรรมสูงกว่าได้รับฟังก่อนผู้มีจริยธรรมต่ำกว่า แล้วคำพยากรณ์ที่ได้จะตีเป็นราคาค่างวดอีกครั้งหนึ่งโดยไม่สนใจว่าผู้รับฟังคำพยากรณ์อยู่ในระดับใด และผู้หยั่งรู้เองจะต้องตอบคำถามอย่างเที่ยงตรงทุกครั้งโดยไม่สามารถโกหก ทำได้อย่างมากแค่ไม่บอกเท่านั้นค่ะ”
“อย่างนั้นข้าก็ถามได้ก่อนสิ” ดาริอุสชี้ไปที่ตัวเองซึ่งเป็นเจ้าชาย
“ผิดอย่างแรงค่ะ ท่านเวเบอร์จะได้รับคำพยากรณ์ก่อน จะเป็นอย่างไรขึ้นกับอารมณ์ของท่านเนอร์วาน่า จากนั้นก็ท่านผู้กล้าแสงตะวัน แล้วก็ท่านนักรบจันทราค่ะ”
“ข้าเป็นคนธรรมดานะ” เวเบอร์พูดลอยๆ
“คุณค่าของวิญญาณวัดกันที่อดีต ปัจจุบัน และอนาคตรวมกันค่ะ” อลิเซียอธิบายอย่างผู้เชี่ยวชาญ “หากถามว่าเป็นคิวแรกได้อย่างไรก็ต้องตอบว่าสปอย์เลอร์ บอกไปเดี๋ยวหมดสนุก”
รอไม่กี่อึดใจเนอร์วาน่าก็กลับมาอีกครั้งในชุดผ้าไหมสง่างาม ความสวยของนางนั้นหากบอกว่าเป็นแฝดของไบรอันก็คงไม่มีใครเชื่อ แม้ไม่เท่าลาควีล่าแต่ถือว่างามในชั้นวงศ์วานกษัตริย์
“ขอบใจนะลิเซีย กลับห้องได้แล้วผู้ใหญ่เขาจะคุยกัน”
อลิเซียโค้งให้ทุกคนก่อนออกจากห้องไปอย่างร่าเริง ไม่มีท่าทีเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย
“นางโตพอ ๆ กับเราแล้วนะ” ดาริอุสถามโง่ๆออกมา
“ก็ยุคนี้นางยังไม่เกิด ย่อมถือว่าอายุเป็นศูนย์” เนอร์วาน่าไล่ทุกคนให้ไปนั่งบนม้านั่ง ส่วนตัวนางยืนด้านหลังแท่นที่นางเคยนอนเหยียดกาย “คนแรกก็เวเบอร์ โฟรแซท เฟียร์เลส...ข้ารู้ว่าท่านจะถามอะไร แต่ราคาค่างวดมันสูงนะ ให้พี่เจ้ามาถามข้าเองดีกว่า”
“ราคาของคำพยากรณ์นั้นคือสิ่งใด” เวเบอร์ยืนขึ้นอย่างไร้ความหวาดกลัว
“รับเวทมนต์เต็มกำลังของข้าได้โดยเข่าไม่ติดพื้น แค่นั้น” เนอร์วาน่ายักไหล่ นางดูเหมือนเสือดาวที่กำลังเล่นกับเหยื่ออันโอชะ “เจ้าทำไม่ได้หรอกเลิกคิดถามเรื่องนั้นเถิด ถามอีกเรื่องดีกว่า ของวิเศษที่ช่วยนายเจ้าได้ จะถามเป็นเรื่องที่สองใช่ไหม”
“ข้ายังไม่เข้าใจ เหตุใดเรื่องคนที่สองจึงต้องเป็นความลับขนาดนี้ หากไม่ติดที่ต้องมาดินแดนนี้ท่านพี่ข้าก็อยากมาด้วยตัวเอง” เวเบอร์พูดด้วยความลังเลใจ
“เพราะคนที่สองทรงพลังและไม่เสถียรน่ะสิ แค่ถูกแทรกแซงนิดเดียวก็เปลี่ยนเป็นหอกข้างแคร่ได้แล้ว ข้าจึงได้รับคำสั่งโดยตรง นอกจากสี่เสาหลัก ข้าบอกได้เฉพาะพี่สาวเจ้าเท่านั้น”
“แต่ข้ายังอยากรู้ ได้โปรดให้ข้าลองรับเวทมนตร์ของท่านเถิด ข้าเป็นอมตะอย่างไรก็ไม่ตายหรอก” เวเบอร์ยังไม่วายขอในสิ่งที่เกินมือเอื้อม ไบรอันไม่รู้ว่านางผู้หยั่งรู้ทรงพลังมากแค่ไหนแต่มีพลังอำนาจมากกว่าเขาแน่นอน
“แค่มีสัญลักษณ์แห่งพลังก็ลำพองเสียแล้วหรือ อย่างนั้นก็ก้าวออกมาข้างหน้า ข้าจะใช้เวทมนตร์กับท่านครั้งเดียวแต่ต่อเนื่อง จนกว่าข้าจะเห็นว่าควรหยุด”
เวเบอร์ก้าวออกมายืนหน้าแท่น เนอร์วาน่ายกมือขวาขึ้นแล้วเอ่ยคำ!
ราวกับมีมือยักษ์กดลงบนร่างของเวเบอร์ ทั่วทั้งร่างหนักขึ้นหลายเท่าตัวราวกับนางกำลังเพิ่มน้ำหนักให้เขากระนั้น เขารู้ได้ทันทีว่านางใช้เวทมนตร์สร้างแรงโน้มถ่วงเพื่อกดเขาลงพื้นเหมือนบี้หนอนแมลง ต่อให้เวเบอร์แกร่งแค่ไหนก็ต้องงอเข่าเพื่อรับน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นมหาศาล
“นี่เพิ่งเริ่มนะ จะเพิ่มแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนกว่าข้าจะพอใจ เจ้าเป็นอมตะจริงไหม ไม่ต้องห่วงหรอก” เนอร์วาน่าแสยะยิ้มอย่างบ้าคลั่ง
เวเบอร์กัดฟันทนรับน้ำหนักที่มากขึ้นเรื่อยๆ เขาย่อตัวลงทีละนิดอย่างช้า ๆ ความเป็นอมตะไม่ได้ช่วยให้เขาทนทานต่อน้ำหนักตัวเลย อีกไม่นานเข่าคงแตะพื้นแน่
“ถึงเข่าจะแตะพื้นข้าก็ไม่หยุด” เนอร์วาน่าเสริมอย่างเยือกเย็น “เจ้าเล่นงานร่างทรงข้าไว้เยอะเมื่อคืนก่อน จำได้ไหม”
ไม่ทันสิ้นเสียงนางก็เพิ่มกำลังขึ้นอีกเท่าตัว เวเบอร์ทรุดลงไปหมอบกับพื้น สีหน้ายังไม่ยอมแพ้แม้จ่ายให้นางตามราคาไม่ได้ก็ตาม ไม่นานกระดูกแขนและขาก็หักดังสนั่น เวเบอร์ครางโอดโอยเหมือนใกล้ตาย จากนักรบผู้ห้าวหาญกลายเป็นกองเศษเนื้อถูกขยี้กับพื้นอย่างไร้ปรานี กระนั้นก็ยังไม่ตาย...
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ