นักรบจันทรา
7.0
เขียนโดย Sagestone
วันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 22.34 น.
29 ตอน
0 วิจารณ์
28.91K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 9 มกราคม พ.ศ. 2560 20.05 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) ตอนที่ 1
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 1
เป็นที่รู้กันทั่วว่าคาราวานของพ่อค้าต้องเผชิญภัยอันตรายนานัปการ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ร้าย ภัยธรรมชาติ หรือกองโจรดักปล้นสะดม ทางเครือข่ายการค้าจึงจัดตั้งกลุ่มคนที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือและป้องกันขบวนพ่อค้าที่ขนสินค้าไปต่างเมืองให้ได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพื้นฐานอย่างซ่อมแซมเกวียนชำรุด ทำอาหาร หรือต่อสู้เพื่อปกป้องชีวิตของคน สัตว์ลากเกวียนและสินค้าที่บรรทุกมา
และหนึ่งในคนกลุ่มนั้นก็กำลังมีปัญหาใหญ่หลวงกับฝ่ายบุคคลของสมาคมการค้าแห่งโทรเปส ดาริอุส ดรากานทุบโต๊ะดังปังด้วยความไม่ชอบใจ
“หมายความว่าอย่างไร! ที่บอกว่าจะให้ข้าออกจากงานเดี๋ยวนี้เลย” ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มจัดเหมือนสีดวงตาจ้องหน้าชายอีกคนเขม็ง ชายผู้ทำงานฝ่ายบุคคลของสมาคมการค้าประสานมือไว้บนโต๊ะวางสีหน้าเคร่งขรึมรับฟังคำบ่นอย่างใจเย็น
“เจ้าก็น่าจะรู้ว่าการค้าขายช่วงนี้ซบเซาและอันตรายขึ้น สัดส่วนรายได้จากขบวนพ่อค้าจึงลดลง”
“จะลดได้อย่างไร ในเมื่ออยู่ดีๆสัตว์วิเศษก็ดุร้ายอาละวาดไปทั่วทำให้ความต้องการเสบียงอาหารและอาวุธเพิ่มขึ้น ทางเมืองจึงต้องการพวกเราคุ้มครองขบวนขนส่งด้วยเป็นงานรองไม่ใช่หรือ แม้งานหลักรายได้ลดแต่งานรองก็ได้เพิ่ม ดีไม่ดีจะได้มากกว่าลดเสียอีก เห็นอย่างนี้ข้าเรียนมาพอสมควรเลยนะ” ชายหนุ่มทุบโต๊ะจนฝุ่นตลบแต่ยังไม่ได้คำตอบที่พอใจ
“ที่เขาต้องการคือผู้มีประสบการณ์ด้านทหารองค์รักษ์ ไม่เกี่ยวกับทางเราสักนิด”
“ท่านว่าไม่เกี่ยวอย่างนั้นหรือ! ข้าสาบานได้ มีพวกบ้าบิ่นเคยพูดว่าได้ทำงานคุ้มกันเสบียงทหารทั้งที่ไม่ได้มีประสบการณ์บ้าบอนั่น!”
ที่ทำการสมาคมพ่อค้าเป็นตึกสองชั้นเรียบง่ายบัดนี้ดังก้องด้วยเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวของดาริอุส
ทว่ามันไม่ช่วยเปลี่ยนอะไรได้เลยสักอย่าง สุดท้ายดาริอุสก็ต้องเก็บข้าวของน้อยนิดจากห้องพักโทรมๆออกร่อนเร่หาที่พำนักแห่งใหม่ คงมีหนทางอื่นให้เลือกมากกว่านี้หากเขายอมรับชะตากรรมโดยดี การที่ไปชวนตีกับหัวหน้าแบบนั้นทำให้เพื่อนของเขาถูกสั่งห้ามให้ความช่วยเหลือ และเขาต้องเก็บข้าวของออกไปทันทีโดยไม่ได้รับแม้แต่เบี้ยเลี้ยงงวดสุดท้าย
แล้วเพลงโศกก็เริ่มบรรเลงอย่างต่อเนื่องแผ่วเบาดุจขนนก ตลอดระยะเวลาการทำงานสองปีให้อะไรกับเขามากมาย ทั้งพวกพ้อง จุดยืน และจุดหมายใหญ่ที่สุดในชีวิตที่ต้องการท่องเที่ยวให้ทั่วทวีปใหญ่แห่งนี้ สิ่งนี้คือความทะเยอทะยานหนึ่งเดียวที่เขามี หากจะมีงานที่ทำให้ความต้องการที่ใหญ่ที่สุดสำเร็จผลก็คงเป็นงานคุ้มกันขบวนพ่อค้านี่ละ ได้เปิดหูเปิดตาในเมืองต่างๆพร้อมกันนั้นก็ได้ค่าจ้างด้วย วิชาดาบที่ได้รับการฝึกมาในโรงเรียนของท่านพ่อบุญธรรมก็ได้ใช้ด้วย
ก่อนความเศร้าจะเข้ามาเกาะกุมเอาไว้อีกครั้งมีแต่ต้องหาเรื่องอื่นคิดเท่านั้น
หรือเขาควรพับความฝันอันเกินตัวเอาไว้ก่อนแล้วหันมาเก็บเงินเพื่อสิ่งที่อยากทำเป็นอันดับสอง ไปดูมหาปราสาทของจักรวรรดิเพียรซ์กับซีเนียให้เห็นกับตาว่ายิ่งใหญ่เพียงไร ซึ่งโอกาสเป็นไปได้มีเพียงน้อยนิด การผ่านแดนต้องใช้ใบอนุญาตซึ่งเขาไม่มีมันแล้ว
ดาริอุสเดินคอตกไปตามทางอย่างเศร้าสร้อย พยายามขุดคุ้ยเป้าหมายใหม่ว่าควรทำอย่างไรดี โรงฝึกสำนักของพ่อบุญธรรมก็โดนยึดไปเรียบร้อยจะไปเอาคืนก็บารมีไม่ถึง หรือจะออกตามหาเด็กสาวคนนั้นดี ทว่าที่เขารู้ก็มีเพียงแค่ชื่อเท่านั้น เดิมเขาคิดว่าเมื่อเบื่อจากการเดินทางแล้วจะสืบทอดสำนัก ตอนนี้เขาไม่มีแม้สำนักให้อยู่ สุดท้ายสิ่งที่เขาได้รับจากพ่อบุญธรรมคือความทระนงในฝีมือเท่านั้น
“จะไปไหนน่ะดาเรียส หอบข้าวของพะรุงพะรังเชียว” คาร์ล เด็กฝึกงานร้านขายขนมอบทักด้วยความคุ้นเคย ดาริอุสหันไปมองด้วยแววตาเฉยชาเกินจำเป็น ร่างผอมในชุดสีขาวของผู้ช่วยพ่อครัวยืนโบกมืออยู่ที่ประตูหน้าร้านเรียกให้เขาเข้าไปคุยข้างใน
“แย่จริงๆเลยนะ นึกจะไล่ออกก็ไล่ออกเสียอย่างนั้น ข้าว่าตาลุงนั่นต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ” คาร์ลล้างมือแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เพื่อทำขนมอบต่อ ดาริอุสนั่งเอาคางเกยโต๊ะอย่างหมดเรี่ยวแรง เพื่อนที่ฝึกเป็นช่างทำขนมวางจานใส่แผ่นแป้งอบใหม่ๆไว้ตรงหน้าพร้อมน้ำชาอุ่นๆ “กินก่อนสิข้าเลี้ยงเอง นั่งให้สบายใจแล้วค่อยคิดต่อว่าจะทำอย่างไร ตรงนี้เป็นที่พักขนมอบก่อนเอาไปวางหน้าร้าน นั่งได้ตามใจชอบเลย”
“ขอบคุณแต่ไม่ละ” แล้วเขาก็ถอนหายใจหนึ่งเฮือกก่อนพูดต่อ “แล้วเจ้าไปไหนมา คุณว่าที่คนทำขนมอนาคตไกลมีที่ซุกหัวนอนพร้อมสรรพ”
แล้วดาริอุสก็รู้ว่าพลาด เพราะคาร์ลไม่ใช่คนที่เล่นหัวได้ด้วยง่ายๆ
“ข้ารู้ว่าตอนนี้เจ้าอารมณ์ไม่อยู่กับร่องกับรอย หากพูดแบบนี้อีกครั้งข้าจะเอาเรื่องนั้นของเจ้าไปแฉ ตกลงไหม” คาร์ลทุบไม้นวดบนก้อนแป้งที่หมักได้ที่แล้วอย่างรุนแรงเกินเหตุ แล้วเริ่มการนวดแผ่ให้ดี “ข้าไปซื้อเครื่องที่ร้านเครื่องเทศมา เจออะไรที่เจ้าน่าจะสนด้วย”
“ว่ามา”
อีกฝ่ายพยักพเยิดไปทางซองกระดาษขนาดใหญ่ที่ใส่กระปุกเครื่องเทศ แขกของร้านล่องลอยไปหามันอย่างคนไร้วิญญาณ เมื่อได้อ่านใบปลิวที่อยู่ข้างใต้แววตาก็กลับลุกโชนขึ้นอีกครั้ง มันคือประกาศรับสมัครอัศวินเพื่อเป็นพวกพ้องของผู้กล้าแสงอะไรสักอย่าง ตรงชื่อเขาอ่านไม่ออกเพราะมีรอยเจาะอยู่ มีคำโปรยสวยงามว่า งานรายได้ดี ที่สำคัญคือจะได้ออกไปตามเมืองต่างๆได้ดังใจ
“เป็นอย่างไรบ้าง” เด็กร้านขนมเงยหน้าจากแผ่นแป้งนุ่มฟู ทว่าเพื่อนที่เพิ่งตกงานวิ่งออกจากร้านไป ไม่ถึงสิบนาทีเขาก็กลับมายืนหอบเกาะขอบประตูอย่างร้อนรน
“ขอยืมเงินหน่อยสิ ค่ารถม้าไปเอคาเรียแพงสุดๆไปเลย นี่ข้ายังไม่ได้ลองไปถามศูนย์เวทมนตร์เพื่อขอบริการใช้มนตร์เคลื่อนย้ายเลยนะ ไม่รู้ว่าจะขูดเลือดขูดเนื้อไปถึงไหน” ...
วันสุดท้ายของการเปิดรับสมัครอัศวินช่วยงานดำเนินไปอย่างเอื่อยเฉื่อย เป็นอย่างที่ไบรอัน แบล็คสโตนคาดไว้ มีแต่พวกคลั่งสงคราม นักเลง อยากดัง และทหารเก่าที่มาสมัคร น้อยคนที่จะมาด้วยปณิธานส่วนตัว จุดประสงค์ของเขาคือหาผู้ช่วย เพราะเขาเพียงคนเดียวไม่สามารถควบคุมทหารที่อยู่ตามหัวเมืองน้อยใหญ่ของจักรวรรดิทั้งสองได้ครั้งเดียวหมด แถมยังมีแรงกดดันมาจากท่านหญิงเสียอีก
คิดแล้วปากกาขนนกในมือก็หักเป็นสองท่อน ชายหุ่นล่ำที่เพิ่งสัมภาษณ์เสร็จสะดุ้งสุดตัวด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายของผู้กล้าแสงตะวัน ตอนนี้ที่ต้องรอคือเวลาเท่านั้น
“ปิดรับสมัครแล้ว”
คนตรวจเอกสารหน้าห้องพูดกับใครสักคนที่แทบวิ่งชนโต๊ะรับสมัครกระเด็น ไบรอันชำเลืองมองนาฬิกาเวทมนตร์ สีดำครอบครองพื้นที่สักสามในสี่แล้ว อีกนานกว่าพระอาทิตย์จะตกดิน ซึ่งเขาจะต้องประกาศผลการคัดเลือกอัศวินสำหรับวันสุดท้ายของการรับสมัคร
“ให้กรอกข้อมูลแล้วเข้ามา ข้าจะรอ...” ผู้กล้าแสงตะวันเอ่ย พนักงานหน้าห้องที่เตรียมเลิกงานแล้วกระวีกระวาดหาใบสมัครยับๆให้ชายผมน้ำตาลนอกห้องไปเขียน
“ดาริอุส ดรากาน ดรากาน...ข้าเคยได้ยินชื่อนี้ที่ไหนสักแห่งนี่ละ...” ไบรอันเคาะนิ้วกับโต๊ะขัดเงา ในขณะที่ผู้สมัครคนสุดท้ายนั่งหลังตรงแน่วบนเก้าอี้กลางห้องรับการสัมภาษณ์ ในที่สุดเขาก็นึกออก “โรงฝึกดรากาน แหล่งพวกอันธพาล เห็นว่าเจ้าของคนเก่าหายตัวไปจึงถูกยึดนี่นา เจ้าคือลูกของเจ้าของหรือ”
“ลูกบุญธรรม พ่อบุญธรรมของข้าเล่าว่าครอบครัวแท้ๆของข้าไปรบแล้วตายในสงคราม ส่วนโรงฝึก...ก่อนหน้านี้ก็ดีอยู่หรอก พอเจ้านั่นแอบอ้างแล้วยึดไปก็กลายเป็นอย่างที่ท่านพูด”
“แล้วเหตุใดจึงมาสมัครล่ะ ข้ารับคนไปทำงานเป็นกองหน้าให้เหล่าทหารหาญ ไม่ใช่รับคนไปท่องเที่ยว”
“ตอนนี้ข้าร้อนเงินนิดหน่อย แล้วท่านให้เขียนเหตุผลที่มาสมัครเป็นอัศวินไม่ใช่หรือ นั่นอย่างไรละเหตุผลของข้า ข้าอยากทำงานไปพร้อมกับเดินทางไปทั่วๆ แต่ข้าไม่อยากทำการค้าหรือกวีพเนจร”
“อย่างนั้นก็ไปเป็นนักดาบพเนจรสิ”
เจอซักแบบนี้ดาริอุสถึงกับนึกคำพูดไม่ออก ของอย่างนั้นมันมีจริงที่ไหนกัน
“ข้าอยากหาเงินกับหาอะไรสนุกๆทำระหว่างเดินทางขอรับ แล้วการออกกำลังก็เป็นเรื่องดีด้วย”
“เจ้ากล้าพูดกับกลุ่มอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ไหมว่าการทำร้ายสัตว์เป็นการออกกำลัง รับรองว่าโดนเหยียบเละแน่”
“แต่ไหนแต่ไรศัตรูของข้ามีแค่พวกโจรเท่านั้น น้อยครั้งมากที่ข้าจะสังหารสัตว์เพื่อความสนุก”
ดาริอุสเริ่มอธิบาย ไบรอันแสร้งเลิกคิ้วอย่างมีข้อกังขา
“ข้าพูดผิดหรือ...”
ก่อนดาริอุสจะสงสัยน้ำเสียงของอีกฝ่าย ผู้กล้าแสงตะวันก็ถามต่อทันที
“ที่เขียนเอาไว้ว่ามีประสบการณ์เรียนวิชาด้านการใช้อาวุธมาสิบเจ็ดปีน่าสนใจมาก ข้าต้องการคนร้อนวิชาเอาไว้ถ่วงกับพวกบ้าหลักการ”
ดูเหมือนคนสัมภาษณ์จะลืมว่าพูดอะไรเป็นนัยเอาไว้เสียแล้ว อย่างไรก็ตามดาริอุสตอบคำถามตามความเป็นจริงจนกระทั่งคำถามสุดท้าย
“คำถามสุดท้าย เจ้ามีสิ่งที่ต้องปกป้องหรือไม่”
“เคยมี แต่ตอนนี้ไม่แล้ว”
“ไปรอที่ลานหน้าอาคารได้เลย อีกสักพักจะประกาศผลคัดเลือกในวันสุดท้าย”
นาฬิกาเวทมนตร์ตอนนี้สีดำกินพื้นที่เกือบหมดหน้าปัดแล้ว นอกหน้าต่างพระอาทิตย์ก็ลอยเรี่ยเส้นขอบฟ้าใกล้ตกเต็มที รายชื่อผู้ที่ผ่านการสัมภาษณ์ก็พร้อมอยู่แล้ว แค่เดินออกไปประกาศเท่านั้น...
วันรุ่งขึ้นดาริอุสรีบตื่นมาล้างหน้าสีฟันแต่เช้า เขากล่าวขอบคุณพ่อค้าคนหนึ่งที่ให้ที่พักในเขตปราสาทก่อนรีบเดินไปยังลานหน้าราชวังเพื่อรายงานตัวอีกครั้ง เขาผ่านการคัดเลือกหวุดหวิด ทว่ายังอดคิดไม่ได้ว่าทำถูกหรือไม่ หากเขาเป็นอัศวินทำงานร่วมกับกองทัพคงไม่ได้ออกเที่ยวไปไหนมาไหนแน่ ที่รีบตัดสินใจเพราะเห็นว่าเงินดี และเปิดรับสมัครถึงวันสุดท้ายแล้วต่างหาก
“ขอให้เข้าใจทั่วกันว่าผู้ที่มายืนอยู่ที่นี้ได้รับเลือกจากข้าแล้ว” ผู้ที่อ้างตนเป็นผู้กล้าแสงตะวันในข่าวลือเป็นชายร่างสูงคนที่เขาเจอในห้องสัมภาษณ์นั่นเอง ผมสีเหลืองมัดรวบอย่างประณีต เกราะหนังอ่อนปิดหุ้มทั่วตัวอย่างเป็นทางการ “ข้าจะแจกผลึกติดต่อเอาไว้สำหรับสื่อสารระหว่างพวกท่านกับข้า แล้วขอให้เลือกเมืองที่จะไปประจำการเพื่อต่อต้านปิศาจจากภายนอก”
มีชายหญิงเดินเข้ามาแจกผลึกแก้วสีขาวขุ่นให้คนในแถวตอนเรียงสี่ ชายร่างบางคาดดาบเล่มใหญ่ทางขวาของดาริอุสได้แล้ว หญิงในชุดเกราะทางซ้ายก็ได้แล้ว มีเพียงเขาที่ยังไม่ได้รับ จะเรียกคนแจกก็สัมผัสแววตาตึงเครียดที่ส่งตรงมาหาเขาได้จึงไม่อยากทำอะไรกระโตกกระตาก
เมื่อเกือบทุกคนรับของเสร็จก็แยกย้ายไปลงชื่อตามป้ายเมืองต่างๆ ระหว่างที่ดาริอุสกำลังลังเลระหว่างสองเมืองที่เขาไม่เคยไปนั้น ผู้กล้าแสงตะวันก็มาอยู่ตรงหน้า ยิ้มน้อยๆอย่างพึงพอใจ
“เจ้าพิเศษกว่าคนอื่น ไม่ต้องเลือกหรอก จากนี้ไปเจ้าจะต้องเป็นของข้า” ดาริอุสอุทานในลำคอ หมายความว่าอย่างไรกัน มองจากภายนอกแล้วไม่น่าเชื่อว่าผู้กล้านี่จะเป็นอย่างนั้น
แล้วผู้กล้าแสงตะวันก็รู้สึกตัวว่าพูดสั้นเกินไป จึงขอโทษแล้วพูดแก้เสียใหม่
“ข้าหมายถึงเป็นองครักษ์ของข้าต่างหาก” ไบรอันแก้ตัวอย่างไม่ร้อนรน “ข้าเป็นผู้ใช้อาวุธวิเศษก็จริงแต่ความสิ่งที่ใช้บ่อยคือเวทมนตร์ จึงต้องการผู้ช่วยคอยป้องกันในระยะประชิด จากที่ข้าประเมินเจ้าเหมาะกับงานนี้ที่สุด ช่วงอายุใกล้กับข้า แล้วก็มีทัศนคติที่ใช้ได้”
“แล้วข้าต้องทำอะไรบ้างหรือ ท่านผู้กล้า”
“เดินทางไปทั่วทวีปใหญ่กับข้าเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับกองทัพปิศาจและต่อสู้กับอำนาจฝ่ายมืดที่คุกคาม ไม่มีค่าตอบแทนเป็นทางการแต่สมบัติที่ข้าหาได้เจ้าจะได้รับด้วยสองในห้าส่วน และจะได้รับชื่อเสียงในฐานะพวกพ้องของผู้กล้าด้วย ตกลงไหม”
ดาริอุสประเมินอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว จากภายนอกดูภูมิฐานน่าเชื่อถือ ดวงตาสีมรกตจริงจังจนน่าเกรงขาม อายุน่าจะใกล้เคียงกับเขาจริงๆ ทางการก็ให้คำยืนยันแล้วว่าชายคนนี้คือผู้กล้าที่ผ่านการรับรองมาเรียบร้อยทุกประการ
“สวัสดิการอื่นล่ะ”
“ตามสมควร หากเจ้าอดข้าก็ต้องอดด้วย ที่พักกับการพยาบาลก็แล้วแต่ทางเมืองจัดหาให้ ข้าได้แบบไหนเจ้าก็ได้แบบนั้น พันธะสัญญาผูกพันจนกว่าจอมอสูรจะถูกโค่นได้โดยวิธีใดๆ”
“อย่างนั้นก็ตกลง ท่านจะให้ข้าเริ่มเมื่อไร”
“ข้าให้เวลาเตรียมตัวครึ่งวันพอไหม”
“สัมภาระของข้าอยู่ตรงโน้น” ดาริอุสชี้ไปที่โคนต้นไม้ใหญ่ประดับสถานที่
กระเป๋าสะพายโทรมๆใบหนึ่งวางพิงโคนไม้อย่างลวกๆ ข้างในเลือกเก็บเฉพาะสิ่งจำเป็นสำหรับการเดินทางไกล อย่างเช่นแผนที่ เข็มทิศ เครื่องจุดไฟ ยา มีดสั้น หินลับมีด ชุดเย็บผ้า เสื้อผ้าเปลี่ยน และอาหารแห้งที่ผ่านกรรมวิธีให้อยู่ได้นานกว่าปกติ ดาบคู่มือที่แย่งชิงมาได้จากคลังของโรงฝึกใส่ปลอกโลหะวางไว้บนกระเป๋าเป็นสัญลักษณ์บางอย่าง
“อ่านนี่แล้วลงชื่อเสีย สัญญาของเราจะได้เป็นผลทันที”
ผู้กล้ายื่นกระดาษแผ่นยาวพร้อมปากกาและถุงหมึกให้ ดาริอุสจึงตั้งหน้าอ่านตั้งแต่บรรทัดแรกเรื่อยมา
“ตรงนี้ ไม่ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงใดก็จะทำหน้าที่คุ้มกันผู้กล้าแสงตะวันอย่างสุดความสามารถ เขียนอย่างกับรู้เลยนะว่าจะเกิดอะไรขึ้น” ดาริอุสตั้งข้อสงสัย อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆพอเป็นพิธี “ตรงนี้ด้วย สัญญานี้จะสิ้นสุดลงเมื่อจอมอสูรถูกปราบได้ หรือผู้กล้าแสงตะวันสิ้นชีวิตโดยสมบูรณ์เท่านั้น เหมือนจะไม่มีอะไรแต่ฟังดูแปลกๆนะ”
สุดท้ายดาริอุสก็ลงลายมือชื่อที่ด้านล่างด้วยความโล่งใจ เขาจะได้งานพร้อมกับได้ออกท่องเที่ยวแล้ว แถมยังได้ทำงานร่วมกับผู้กล้าเหมือนในนิยายเสียด้วย
“ข้าไบรอัน แบล็คสโตน ยินที่ที่รู้จัก” ผู้กล้าแนะนำตัว...
เป็นครั้งแรกที่ดาริอุสเดินทางด้วยมนตร์เคลื่อนย้าย แสงสีทองล้อมรอบเหมือนกรงขัง แรงกดอากาศภายในเพิ่มขึ้นราวตั้งใจบีบให้ตัวเล็กลง ครั้นแสงหายไปแล้วแทนที่อากาศโล่งสบายจากภายนอกจะเข้ามากลับเป็นความเย็นยะเยือกราวน้ำแข็ง ความหนาวเย็นบาดผิวกายจนแทบปริขาด
ดาริอุสเหลียวซ้ายแลขวาก็พบว่ากำลังยืนอยู่กลางประตูเมืองหรือที่ไหนสักแห่ง กำแพงสีขาวด้านทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ประตูเหล็กสองข้างดูแข็งแกร่งจนไม่อยากคิดว่าทำได้ยากเพียงไร กลิ่นสดใหม่ของอากาศทางเหนือฟุ้งรอบทิศทาง ดวงตะวันที่น่าจะเป็นยามสายกลับอยู่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มันเบี่ยงออกด้านข้างเล็กน้อยอย่างผิดธรรมดา บางทีเขาอาจถูกเคลื่อนย้ายไปทางเหนือมากๆที่เวลาเดินเร็วกว่า
ไม่ไกลจากประตูนักมีบ้านเรือนเรียงรายกันอย่างเป็นแบบแผน ตัวบ้านเป็นหินเทาหลังคาแหลมสูง ตกแต่งโดยมีหินสลักลวดลายวกวนเหมือนสายน้ำบนขอบหน้าต่างและประตู เขาเคยอ่านจากที่ไหนสักแห่งว่ามันเป็นศิลปะตกแต่งของจักรวรรดิทางเหนือ สิ่งที่เบนความสนใจของเขาอยู่ไกลจนเห็นแค่เงาลางๆ ดูจากยอดและรูปแบบแล้วน่าจะเรียกว่าปราสาทได้ ยอดแหลมลดหลั่นเรียงรายไปทั้งซ้ายและขวาอย่างเป็นระเบียบ ยิ่งใหญ่ตระการตาอย่างที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน เหมือนมีใครนึกพิเรนทร์เอาภูเขายอดแหลมทั้งลูกมาตั้งกลางเมือง เรียกว่าสร้างเมืองล้อมภูเขาจะถูกกว่า
ทางผู้กล้าแสงตะวันเห็นพรรคพวกกำลังตื่นที่ก็ยิ้ม จนมั่นใจว่าอีกฝ่ายยืนมองมหาปราสาทอย่างตื่นตะลึงก็ทักขึ้น
“นั่นคือมหาปราสาทของซีเนีย ข้าต้องมารายงานกับองค์จักรพรรดิว่าเตรียมการพร้อมแล้ว จากนี้ข้าจะได้ทำงานในฐานะผู้กล้าแสงตะวันจริงๆเสียที” ไบรอันดึงร่างดาริอุสที่จ้องมองตาค้างให้หลบรถม้าด้านหลังแล้วเอาเหรียญทองจำนวนหนึ่งยัดใส่มือ “แล้วไปเจอกันที่โรงแรมวานเดอรี่โพนี่ เข้าใจไหม พูดสิ”
ต้องใช้เวลาหลายนาทีกว่าดาริอุสจะได้สติกลับคืนมา เมื่อกี้ผู้กล้าไบรอันพูดอะไรสักอย่างที่เกี่ยวกับลูกม้านะ
“ตอนนี้เราอยู่ที่เมืองหลวงของซีเนีย ไปรอข้าที่โรงแรมวานเดอรี่โพนี่ที่ประตูทางทิศตะวันออก บอกชื่อข้าไปเจ้าจะได้ห้องพักทันที...ตอนนี้จะไปไหนก็ไป นั่นข้าให้ยืม”
แล้วผู้กล้าแสงตะวันก็ขอตัวเดินไปมหาปราสาทเพียงลำพัง ทิ้งดาริอุสให้อยู่กับอิสรภาพชั่วคราวพร้อมเงินให้ใช้เสร็จสรรพ แต่เจ้านั่นบอกว่าที่นี่คือเมืองหลวงของซีเนียหรือ อย่างนั้นของที่ใหญ่ๆนั่นก็เป็นมหาปราสาทสินะ
เมื่อจ้องมองจนพอใจดาริอุสก็ไปหาที่นั่งใกล้ๆแล้วค้นหาสิ่งที่อยู่ลึกสุดของกระเป๋าสัมภาระออกมา เอกสารแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองหลวงของจักรวรรดิ เขารีบพลิกหน้าหาว่าควรไปดูที่ใดก่อนดีหลังจากเอาของไปเก็บในโรงแรมที่ว่าแล้ว...
เป็นที่รู้กันทั่วว่าคาราวานของพ่อค้าต้องเผชิญภัยอันตรายนานัปการ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ร้าย ภัยธรรมชาติ หรือกองโจรดักปล้นสะดม ทางเครือข่ายการค้าจึงจัดตั้งกลุ่มคนที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือและป้องกันขบวนพ่อค้าที่ขนสินค้าไปต่างเมืองให้ได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพื้นฐานอย่างซ่อมแซมเกวียนชำรุด ทำอาหาร หรือต่อสู้เพื่อปกป้องชีวิตของคน สัตว์ลากเกวียนและสินค้าที่บรรทุกมา
และหนึ่งในคนกลุ่มนั้นก็กำลังมีปัญหาใหญ่หลวงกับฝ่ายบุคคลของสมาคมการค้าแห่งโทรเปส ดาริอุส ดรากานทุบโต๊ะดังปังด้วยความไม่ชอบใจ
“หมายความว่าอย่างไร! ที่บอกว่าจะให้ข้าออกจากงานเดี๋ยวนี้เลย” ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มจัดเหมือนสีดวงตาจ้องหน้าชายอีกคนเขม็ง ชายผู้ทำงานฝ่ายบุคคลของสมาคมการค้าประสานมือไว้บนโต๊ะวางสีหน้าเคร่งขรึมรับฟังคำบ่นอย่างใจเย็น
“เจ้าก็น่าจะรู้ว่าการค้าขายช่วงนี้ซบเซาและอันตรายขึ้น สัดส่วนรายได้จากขบวนพ่อค้าจึงลดลง”
“จะลดได้อย่างไร ในเมื่ออยู่ดีๆสัตว์วิเศษก็ดุร้ายอาละวาดไปทั่วทำให้ความต้องการเสบียงอาหารและอาวุธเพิ่มขึ้น ทางเมืองจึงต้องการพวกเราคุ้มครองขบวนขนส่งด้วยเป็นงานรองไม่ใช่หรือ แม้งานหลักรายได้ลดแต่งานรองก็ได้เพิ่ม ดีไม่ดีจะได้มากกว่าลดเสียอีก เห็นอย่างนี้ข้าเรียนมาพอสมควรเลยนะ” ชายหนุ่มทุบโต๊ะจนฝุ่นตลบแต่ยังไม่ได้คำตอบที่พอใจ
“ที่เขาต้องการคือผู้มีประสบการณ์ด้านทหารองค์รักษ์ ไม่เกี่ยวกับทางเราสักนิด”
“ท่านว่าไม่เกี่ยวอย่างนั้นหรือ! ข้าสาบานได้ มีพวกบ้าบิ่นเคยพูดว่าได้ทำงานคุ้มกันเสบียงทหารทั้งที่ไม่ได้มีประสบการณ์บ้าบอนั่น!”
ที่ทำการสมาคมพ่อค้าเป็นตึกสองชั้นเรียบง่ายบัดนี้ดังก้องด้วยเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวของดาริอุส
ทว่ามันไม่ช่วยเปลี่ยนอะไรได้เลยสักอย่าง สุดท้ายดาริอุสก็ต้องเก็บข้าวของน้อยนิดจากห้องพักโทรมๆออกร่อนเร่หาที่พำนักแห่งใหม่ คงมีหนทางอื่นให้เลือกมากกว่านี้หากเขายอมรับชะตากรรมโดยดี การที่ไปชวนตีกับหัวหน้าแบบนั้นทำให้เพื่อนของเขาถูกสั่งห้ามให้ความช่วยเหลือ และเขาต้องเก็บข้าวของออกไปทันทีโดยไม่ได้รับแม้แต่เบี้ยเลี้ยงงวดสุดท้าย
แล้วเพลงโศกก็เริ่มบรรเลงอย่างต่อเนื่องแผ่วเบาดุจขนนก ตลอดระยะเวลาการทำงานสองปีให้อะไรกับเขามากมาย ทั้งพวกพ้อง จุดยืน และจุดหมายใหญ่ที่สุดในชีวิตที่ต้องการท่องเที่ยวให้ทั่วทวีปใหญ่แห่งนี้ สิ่งนี้คือความทะเยอทะยานหนึ่งเดียวที่เขามี หากจะมีงานที่ทำให้ความต้องการที่ใหญ่ที่สุดสำเร็จผลก็คงเป็นงานคุ้มกันขบวนพ่อค้านี่ละ ได้เปิดหูเปิดตาในเมืองต่างๆพร้อมกันนั้นก็ได้ค่าจ้างด้วย วิชาดาบที่ได้รับการฝึกมาในโรงเรียนของท่านพ่อบุญธรรมก็ได้ใช้ด้วย
ก่อนความเศร้าจะเข้ามาเกาะกุมเอาไว้อีกครั้งมีแต่ต้องหาเรื่องอื่นคิดเท่านั้น
หรือเขาควรพับความฝันอันเกินตัวเอาไว้ก่อนแล้วหันมาเก็บเงินเพื่อสิ่งที่อยากทำเป็นอันดับสอง ไปดูมหาปราสาทของจักรวรรดิเพียรซ์กับซีเนียให้เห็นกับตาว่ายิ่งใหญ่เพียงไร ซึ่งโอกาสเป็นไปได้มีเพียงน้อยนิด การผ่านแดนต้องใช้ใบอนุญาตซึ่งเขาไม่มีมันแล้ว
ดาริอุสเดินคอตกไปตามทางอย่างเศร้าสร้อย พยายามขุดคุ้ยเป้าหมายใหม่ว่าควรทำอย่างไรดี โรงฝึกสำนักของพ่อบุญธรรมก็โดนยึดไปเรียบร้อยจะไปเอาคืนก็บารมีไม่ถึง หรือจะออกตามหาเด็กสาวคนนั้นดี ทว่าที่เขารู้ก็มีเพียงแค่ชื่อเท่านั้น เดิมเขาคิดว่าเมื่อเบื่อจากการเดินทางแล้วจะสืบทอดสำนัก ตอนนี้เขาไม่มีแม้สำนักให้อยู่ สุดท้ายสิ่งที่เขาได้รับจากพ่อบุญธรรมคือความทระนงในฝีมือเท่านั้น
“จะไปไหนน่ะดาเรียส หอบข้าวของพะรุงพะรังเชียว” คาร์ล เด็กฝึกงานร้านขายขนมอบทักด้วยความคุ้นเคย ดาริอุสหันไปมองด้วยแววตาเฉยชาเกินจำเป็น ร่างผอมในชุดสีขาวของผู้ช่วยพ่อครัวยืนโบกมืออยู่ที่ประตูหน้าร้านเรียกให้เขาเข้าไปคุยข้างใน
“แย่จริงๆเลยนะ นึกจะไล่ออกก็ไล่ออกเสียอย่างนั้น ข้าว่าตาลุงนั่นต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ” คาร์ลล้างมือแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เพื่อทำขนมอบต่อ ดาริอุสนั่งเอาคางเกยโต๊ะอย่างหมดเรี่ยวแรง เพื่อนที่ฝึกเป็นช่างทำขนมวางจานใส่แผ่นแป้งอบใหม่ๆไว้ตรงหน้าพร้อมน้ำชาอุ่นๆ “กินก่อนสิข้าเลี้ยงเอง นั่งให้สบายใจแล้วค่อยคิดต่อว่าจะทำอย่างไร ตรงนี้เป็นที่พักขนมอบก่อนเอาไปวางหน้าร้าน นั่งได้ตามใจชอบเลย”
“ขอบคุณแต่ไม่ละ” แล้วเขาก็ถอนหายใจหนึ่งเฮือกก่อนพูดต่อ “แล้วเจ้าไปไหนมา คุณว่าที่คนทำขนมอนาคตไกลมีที่ซุกหัวนอนพร้อมสรรพ”
แล้วดาริอุสก็รู้ว่าพลาด เพราะคาร์ลไม่ใช่คนที่เล่นหัวได้ด้วยง่ายๆ
“ข้ารู้ว่าตอนนี้เจ้าอารมณ์ไม่อยู่กับร่องกับรอย หากพูดแบบนี้อีกครั้งข้าจะเอาเรื่องนั้นของเจ้าไปแฉ ตกลงไหม” คาร์ลทุบไม้นวดบนก้อนแป้งที่หมักได้ที่แล้วอย่างรุนแรงเกินเหตุ แล้วเริ่มการนวดแผ่ให้ดี “ข้าไปซื้อเครื่องที่ร้านเครื่องเทศมา เจออะไรที่เจ้าน่าจะสนด้วย”
“ว่ามา”
อีกฝ่ายพยักพเยิดไปทางซองกระดาษขนาดใหญ่ที่ใส่กระปุกเครื่องเทศ แขกของร้านล่องลอยไปหามันอย่างคนไร้วิญญาณ เมื่อได้อ่านใบปลิวที่อยู่ข้างใต้แววตาก็กลับลุกโชนขึ้นอีกครั้ง มันคือประกาศรับสมัครอัศวินเพื่อเป็นพวกพ้องของผู้กล้าแสงอะไรสักอย่าง ตรงชื่อเขาอ่านไม่ออกเพราะมีรอยเจาะอยู่ มีคำโปรยสวยงามว่า งานรายได้ดี ที่สำคัญคือจะได้ออกไปตามเมืองต่างๆได้ดังใจ
“เป็นอย่างไรบ้าง” เด็กร้านขนมเงยหน้าจากแผ่นแป้งนุ่มฟู ทว่าเพื่อนที่เพิ่งตกงานวิ่งออกจากร้านไป ไม่ถึงสิบนาทีเขาก็กลับมายืนหอบเกาะขอบประตูอย่างร้อนรน
“ขอยืมเงินหน่อยสิ ค่ารถม้าไปเอคาเรียแพงสุดๆไปเลย นี่ข้ายังไม่ได้ลองไปถามศูนย์เวทมนตร์เพื่อขอบริการใช้มนตร์เคลื่อนย้ายเลยนะ ไม่รู้ว่าจะขูดเลือดขูดเนื้อไปถึงไหน” ...
วันสุดท้ายของการเปิดรับสมัครอัศวินช่วยงานดำเนินไปอย่างเอื่อยเฉื่อย เป็นอย่างที่ไบรอัน แบล็คสโตนคาดไว้ มีแต่พวกคลั่งสงคราม นักเลง อยากดัง และทหารเก่าที่มาสมัคร น้อยคนที่จะมาด้วยปณิธานส่วนตัว จุดประสงค์ของเขาคือหาผู้ช่วย เพราะเขาเพียงคนเดียวไม่สามารถควบคุมทหารที่อยู่ตามหัวเมืองน้อยใหญ่ของจักรวรรดิทั้งสองได้ครั้งเดียวหมด แถมยังมีแรงกดดันมาจากท่านหญิงเสียอีก
คิดแล้วปากกาขนนกในมือก็หักเป็นสองท่อน ชายหุ่นล่ำที่เพิ่งสัมภาษณ์เสร็จสะดุ้งสุดตัวด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายของผู้กล้าแสงตะวัน ตอนนี้ที่ต้องรอคือเวลาเท่านั้น
“ปิดรับสมัครแล้ว”
คนตรวจเอกสารหน้าห้องพูดกับใครสักคนที่แทบวิ่งชนโต๊ะรับสมัครกระเด็น ไบรอันชำเลืองมองนาฬิกาเวทมนตร์ สีดำครอบครองพื้นที่สักสามในสี่แล้ว อีกนานกว่าพระอาทิตย์จะตกดิน ซึ่งเขาจะต้องประกาศผลการคัดเลือกอัศวินสำหรับวันสุดท้ายของการรับสมัคร
“ให้กรอกข้อมูลแล้วเข้ามา ข้าจะรอ...” ผู้กล้าแสงตะวันเอ่ย พนักงานหน้าห้องที่เตรียมเลิกงานแล้วกระวีกระวาดหาใบสมัครยับๆให้ชายผมน้ำตาลนอกห้องไปเขียน
“ดาริอุส ดรากาน ดรากาน...ข้าเคยได้ยินชื่อนี้ที่ไหนสักแห่งนี่ละ...” ไบรอันเคาะนิ้วกับโต๊ะขัดเงา ในขณะที่ผู้สมัครคนสุดท้ายนั่งหลังตรงแน่วบนเก้าอี้กลางห้องรับการสัมภาษณ์ ในที่สุดเขาก็นึกออก “โรงฝึกดรากาน แหล่งพวกอันธพาล เห็นว่าเจ้าของคนเก่าหายตัวไปจึงถูกยึดนี่นา เจ้าคือลูกของเจ้าของหรือ”
“ลูกบุญธรรม พ่อบุญธรรมของข้าเล่าว่าครอบครัวแท้ๆของข้าไปรบแล้วตายในสงคราม ส่วนโรงฝึก...ก่อนหน้านี้ก็ดีอยู่หรอก พอเจ้านั่นแอบอ้างแล้วยึดไปก็กลายเป็นอย่างที่ท่านพูด”
“แล้วเหตุใดจึงมาสมัครล่ะ ข้ารับคนไปทำงานเป็นกองหน้าให้เหล่าทหารหาญ ไม่ใช่รับคนไปท่องเที่ยว”
“ตอนนี้ข้าร้อนเงินนิดหน่อย แล้วท่านให้เขียนเหตุผลที่มาสมัครเป็นอัศวินไม่ใช่หรือ นั่นอย่างไรละเหตุผลของข้า ข้าอยากทำงานไปพร้อมกับเดินทางไปทั่วๆ แต่ข้าไม่อยากทำการค้าหรือกวีพเนจร”
“อย่างนั้นก็ไปเป็นนักดาบพเนจรสิ”
เจอซักแบบนี้ดาริอุสถึงกับนึกคำพูดไม่ออก ของอย่างนั้นมันมีจริงที่ไหนกัน
“ข้าอยากหาเงินกับหาอะไรสนุกๆทำระหว่างเดินทางขอรับ แล้วการออกกำลังก็เป็นเรื่องดีด้วย”
“เจ้ากล้าพูดกับกลุ่มอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ไหมว่าการทำร้ายสัตว์เป็นการออกกำลัง รับรองว่าโดนเหยียบเละแน่”
“แต่ไหนแต่ไรศัตรูของข้ามีแค่พวกโจรเท่านั้น น้อยครั้งมากที่ข้าจะสังหารสัตว์เพื่อความสนุก”
ดาริอุสเริ่มอธิบาย ไบรอันแสร้งเลิกคิ้วอย่างมีข้อกังขา
“ข้าพูดผิดหรือ...”
ก่อนดาริอุสจะสงสัยน้ำเสียงของอีกฝ่าย ผู้กล้าแสงตะวันก็ถามต่อทันที
“ที่เขียนเอาไว้ว่ามีประสบการณ์เรียนวิชาด้านการใช้อาวุธมาสิบเจ็ดปีน่าสนใจมาก ข้าต้องการคนร้อนวิชาเอาไว้ถ่วงกับพวกบ้าหลักการ”
ดูเหมือนคนสัมภาษณ์จะลืมว่าพูดอะไรเป็นนัยเอาไว้เสียแล้ว อย่างไรก็ตามดาริอุสตอบคำถามตามความเป็นจริงจนกระทั่งคำถามสุดท้าย
“คำถามสุดท้าย เจ้ามีสิ่งที่ต้องปกป้องหรือไม่”
“เคยมี แต่ตอนนี้ไม่แล้ว”
“ไปรอที่ลานหน้าอาคารได้เลย อีกสักพักจะประกาศผลคัดเลือกในวันสุดท้าย”
นาฬิกาเวทมนตร์ตอนนี้สีดำกินพื้นที่เกือบหมดหน้าปัดแล้ว นอกหน้าต่างพระอาทิตย์ก็ลอยเรี่ยเส้นขอบฟ้าใกล้ตกเต็มที รายชื่อผู้ที่ผ่านการสัมภาษณ์ก็พร้อมอยู่แล้ว แค่เดินออกไปประกาศเท่านั้น...
วันรุ่งขึ้นดาริอุสรีบตื่นมาล้างหน้าสีฟันแต่เช้า เขากล่าวขอบคุณพ่อค้าคนหนึ่งที่ให้ที่พักในเขตปราสาทก่อนรีบเดินไปยังลานหน้าราชวังเพื่อรายงานตัวอีกครั้ง เขาผ่านการคัดเลือกหวุดหวิด ทว่ายังอดคิดไม่ได้ว่าทำถูกหรือไม่ หากเขาเป็นอัศวินทำงานร่วมกับกองทัพคงไม่ได้ออกเที่ยวไปไหนมาไหนแน่ ที่รีบตัดสินใจเพราะเห็นว่าเงินดี และเปิดรับสมัครถึงวันสุดท้ายแล้วต่างหาก
“ขอให้เข้าใจทั่วกันว่าผู้ที่มายืนอยู่ที่นี้ได้รับเลือกจากข้าแล้ว” ผู้ที่อ้างตนเป็นผู้กล้าแสงตะวันในข่าวลือเป็นชายร่างสูงคนที่เขาเจอในห้องสัมภาษณ์นั่นเอง ผมสีเหลืองมัดรวบอย่างประณีต เกราะหนังอ่อนปิดหุ้มทั่วตัวอย่างเป็นทางการ “ข้าจะแจกผลึกติดต่อเอาไว้สำหรับสื่อสารระหว่างพวกท่านกับข้า แล้วขอให้เลือกเมืองที่จะไปประจำการเพื่อต่อต้านปิศาจจากภายนอก”
มีชายหญิงเดินเข้ามาแจกผลึกแก้วสีขาวขุ่นให้คนในแถวตอนเรียงสี่ ชายร่างบางคาดดาบเล่มใหญ่ทางขวาของดาริอุสได้แล้ว หญิงในชุดเกราะทางซ้ายก็ได้แล้ว มีเพียงเขาที่ยังไม่ได้รับ จะเรียกคนแจกก็สัมผัสแววตาตึงเครียดที่ส่งตรงมาหาเขาได้จึงไม่อยากทำอะไรกระโตกกระตาก
เมื่อเกือบทุกคนรับของเสร็จก็แยกย้ายไปลงชื่อตามป้ายเมืองต่างๆ ระหว่างที่ดาริอุสกำลังลังเลระหว่างสองเมืองที่เขาไม่เคยไปนั้น ผู้กล้าแสงตะวันก็มาอยู่ตรงหน้า ยิ้มน้อยๆอย่างพึงพอใจ
“เจ้าพิเศษกว่าคนอื่น ไม่ต้องเลือกหรอก จากนี้ไปเจ้าจะต้องเป็นของข้า” ดาริอุสอุทานในลำคอ หมายความว่าอย่างไรกัน มองจากภายนอกแล้วไม่น่าเชื่อว่าผู้กล้านี่จะเป็นอย่างนั้น
แล้วผู้กล้าแสงตะวันก็รู้สึกตัวว่าพูดสั้นเกินไป จึงขอโทษแล้วพูดแก้เสียใหม่
“ข้าหมายถึงเป็นองครักษ์ของข้าต่างหาก” ไบรอันแก้ตัวอย่างไม่ร้อนรน “ข้าเป็นผู้ใช้อาวุธวิเศษก็จริงแต่ความสิ่งที่ใช้บ่อยคือเวทมนตร์ จึงต้องการผู้ช่วยคอยป้องกันในระยะประชิด จากที่ข้าประเมินเจ้าเหมาะกับงานนี้ที่สุด ช่วงอายุใกล้กับข้า แล้วก็มีทัศนคติที่ใช้ได้”
“แล้วข้าต้องทำอะไรบ้างหรือ ท่านผู้กล้า”
“เดินทางไปทั่วทวีปใหญ่กับข้าเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับกองทัพปิศาจและต่อสู้กับอำนาจฝ่ายมืดที่คุกคาม ไม่มีค่าตอบแทนเป็นทางการแต่สมบัติที่ข้าหาได้เจ้าจะได้รับด้วยสองในห้าส่วน และจะได้รับชื่อเสียงในฐานะพวกพ้องของผู้กล้าด้วย ตกลงไหม”
ดาริอุสประเมินอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว จากภายนอกดูภูมิฐานน่าเชื่อถือ ดวงตาสีมรกตจริงจังจนน่าเกรงขาม อายุน่าจะใกล้เคียงกับเขาจริงๆ ทางการก็ให้คำยืนยันแล้วว่าชายคนนี้คือผู้กล้าที่ผ่านการรับรองมาเรียบร้อยทุกประการ
“สวัสดิการอื่นล่ะ”
“ตามสมควร หากเจ้าอดข้าก็ต้องอดด้วย ที่พักกับการพยาบาลก็แล้วแต่ทางเมืองจัดหาให้ ข้าได้แบบไหนเจ้าก็ได้แบบนั้น พันธะสัญญาผูกพันจนกว่าจอมอสูรจะถูกโค่นได้โดยวิธีใดๆ”
“อย่างนั้นก็ตกลง ท่านจะให้ข้าเริ่มเมื่อไร”
“ข้าให้เวลาเตรียมตัวครึ่งวันพอไหม”
“สัมภาระของข้าอยู่ตรงโน้น” ดาริอุสชี้ไปที่โคนต้นไม้ใหญ่ประดับสถานที่
กระเป๋าสะพายโทรมๆใบหนึ่งวางพิงโคนไม้อย่างลวกๆ ข้างในเลือกเก็บเฉพาะสิ่งจำเป็นสำหรับการเดินทางไกล อย่างเช่นแผนที่ เข็มทิศ เครื่องจุดไฟ ยา มีดสั้น หินลับมีด ชุดเย็บผ้า เสื้อผ้าเปลี่ยน และอาหารแห้งที่ผ่านกรรมวิธีให้อยู่ได้นานกว่าปกติ ดาบคู่มือที่แย่งชิงมาได้จากคลังของโรงฝึกใส่ปลอกโลหะวางไว้บนกระเป๋าเป็นสัญลักษณ์บางอย่าง
“อ่านนี่แล้วลงชื่อเสีย สัญญาของเราจะได้เป็นผลทันที”
ผู้กล้ายื่นกระดาษแผ่นยาวพร้อมปากกาและถุงหมึกให้ ดาริอุสจึงตั้งหน้าอ่านตั้งแต่บรรทัดแรกเรื่อยมา
“ตรงนี้ ไม่ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงใดก็จะทำหน้าที่คุ้มกันผู้กล้าแสงตะวันอย่างสุดความสามารถ เขียนอย่างกับรู้เลยนะว่าจะเกิดอะไรขึ้น” ดาริอุสตั้งข้อสงสัย อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆพอเป็นพิธี “ตรงนี้ด้วย สัญญานี้จะสิ้นสุดลงเมื่อจอมอสูรถูกปราบได้ หรือผู้กล้าแสงตะวันสิ้นชีวิตโดยสมบูรณ์เท่านั้น เหมือนจะไม่มีอะไรแต่ฟังดูแปลกๆนะ”
สุดท้ายดาริอุสก็ลงลายมือชื่อที่ด้านล่างด้วยความโล่งใจ เขาจะได้งานพร้อมกับได้ออกท่องเที่ยวแล้ว แถมยังได้ทำงานร่วมกับผู้กล้าเหมือนในนิยายเสียด้วย
“ข้าไบรอัน แบล็คสโตน ยินที่ที่รู้จัก” ผู้กล้าแนะนำตัว...
เป็นครั้งแรกที่ดาริอุสเดินทางด้วยมนตร์เคลื่อนย้าย แสงสีทองล้อมรอบเหมือนกรงขัง แรงกดอากาศภายในเพิ่มขึ้นราวตั้งใจบีบให้ตัวเล็กลง ครั้นแสงหายไปแล้วแทนที่อากาศโล่งสบายจากภายนอกจะเข้ามากลับเป็นความเย็นยะเยือกราวน้ำแข็ง ความหนาวเย็นบาดผิวกายจนแทบปริขาด
ดาริอุสเหลียวซ้ายแลขวาก็พบว่ากำลังยืนอยู่กลางประตูเมืองหรือที่ไหนสักแห่ง กำแพงสีขาวด้านทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ประตูเหล็กสองข้างดูแข็งแกร่งจนไม่อยากคิดว่าทำได้ยากเพียงไร กลิ่นสดใหม่ของอากาศทางเหนือฟุ้งรอบทิศทาง ดวงตะวันที่น่าจะเป็นยามสายกลับอยู่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มันเบี่ยงออกด้านข้างเล็กน้อยอย่างผิดธรรมดา บางทีเขาอาจถูกเคลื่อนย้ายไปทางเหนือมากๆที่เวลาเดินเร็วกว่า
ไม่ไกลจากประตูนักมีบ้านเรือนเรียงรายกันอย่างเป็นแบบแผน ตัวบ้านเป็นหินเทาหลังคาแหลมสูง ตกแต่งโดยมีหินสลักลวดลายวกวนเหมือนสายน้ำบนขอบหน้าต่างและประตู เขาเคยอ่านจากที่ไหนสักแห่งว่ามันเป็นศิลปะตกแต่งของจักรวรรดิทางเหนือ สิ่งที่เบนความสนใจของเขาอยู่ไกลจนเห็นแค่เงาลางๆ ดูจากยอดและรูปแบบแล้วน่าจะเรียกว่าปราสาทได้ ยอดแหลมลดหลั่นเรียงรายไปทั้งซ้ายและขวาอย่างเป็นระเบียบ ยิ่งใหญ่ตระการตาอย่างที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน เหมือนมีใครนึกพิเรนทร์เอาภูเขายอดแหลมทั้งลูกมาตั้งกลางเมือง เรียกว่าสร้างเมืองล้อมภูเขาจะถูกกว่า
ทางผู้กล้าแสงตะวันเห็นพรรคพวกกำลังตื่นที่ก็ยิ้ม จนมั่นใจว่าอีกฝ่ายยืนมองมหาปราสาทอย่างตื่นตะลึงก็ทักขึ้น
“นั่นคือมหาปราสาทของซีเนีย ข้าต้องมารายงานกับองค์จักรพรรดิว่าเตรียมการพร้อมแล้ว จากนี้ข้าจะได้ทำงานในฐานะผู้กล้าแสงตะวันจริงๆเสียที” ไบรอันดึงร่างดาริอุสที่จ้องมองตาค้างให้หลบรถม้าด้านหลังแล้วเอาเหรียญทองจำนวนหนึ่งยัดใส่มือ “แล้วไปเจอกันที่โรงแรมวานเดอรี่โพนี่ เข้าใจไหม พูดสิ”
ต้องใช้เวลาหลายนาทีกว่าดาริอุสจะได้สติกลับคืนมา เมื่อกี้ผู้กล้าไบรอันพูดอะไรสักอย่างที่เกี่ยวกับลูกม้านะ
“ตอนนี้เราอยู่ที่เมืองหลวงของซีเนีย ไปรอข้าที่โรงแรมวานเดอรี่โพนี่ที่ประตูทางทิศตะวันออก บอกชื่อข้าไปเจ้าจะได้ห้องพักทันที...ตอนนี้จะไปไหนก็ไป นั่นข้าให้ยืม”
แล้วผู้กล้าแสงตะวันก็ขอตัวเดินไปมหาปราสาทเพียงลำพัง ทิ้งดาริอุสให้อยู่กับอิสรภาพชั่วคราวพร้อมเงินให้ใช้เสร็จสรรพ แต่เจ้านั่นบอกว่าที่นี่คือเมืองหลวงของซีเนียหรือ อย่างนั้นของที่ใหญ่ๆนั่นก็เป็นมหาปราสาทสินะ
เมื่อจ้องมองจนพอใจดาริอุสก็ไปหาที่นั่งใกล้ๆแล้วค้นหาสิ่งที่อยู่ลึกสุดของกระเป๋าสัมภาระออกมา เอกสารแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองหลวงของจักรวรรดิ เขารีบพลิกหน้าหาว่าควรไปดูที่ใดก่อนดีหลังจากเอาของไปเก็บในโรงแรมที่ว่าแล้ว...
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ