กระทืบธรณี เหยียบนรก พลิกสวรรค์
7.7
เขียนโดย ใต้แผ่นฟ้า
วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 11.18 น.
16 ตอน
0 วิจารณ์
19.03K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 กันยายน พ.ศ. 2559 01.03 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) ดาบอาทามาต
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 5 ดาบอาทามาต
วันถัดมา หลังจากจิ้นเหอเสร็จทำภาระกิจภายในวัดเสร็จสิ้นทั้งหมดแล้ว ได้ตรงมาหาหมิงลู่ เนื่องจากนัดแนะกันจะเริ่มเรียน “ พาหุยุทธ” หมิงลู่เมื่อเห็นจิ้งเหอมาแล้ว จึงเอาผ้ามาพันรอบฝ่ามือให้มัน สอนให้รู้จัก มือ เท้า เข่า ศอก สำหรับไว้ใช้โจมตี เทคนิคการป้องกัน ป้อง ปัด ปิด เปิด นอกจากมือเท้าเข่าศอกแล้วยังมีวิชาการ ทุ่ม ทับ จับ หัก ซึ่งมีความร้ายกาจเสริมเข้ามา
แล้วยังมีเทคนิคอย่าง ล่อ หลอก หลบ หลีก หลอกล่อ ล้อเล่น หรือ กอด รัด ฟัด เหวี่ยง ซึ่งเป็นวิชาการกอดปล้ำแบบหนึ่ง หรือแม้กระทั่ง ล้ม ลุก คลุก คลาน ซึ่งเป็นการฝึกม้วนตัว ล้มตัว มิติการต่อสู้จึงไม่จำกัดเฉพาะการยืนต่อสู้เท่านั้น การต่อสู้เมื่อจำเป็นตอนล้มลงก็สามารถสู้ได้
แล้วยังมีแม่ไม้รวมกับลูกไม้มวยอีกสามสิบท่า แต่มันจำได้ไม่ครบทั้งสามสิบท่า จึงสอนเท่าที่มันทำได้เพราะวิชานี้สามารถพลิกแพลงได้เพิ่มขึ้นอีกร้อยแปดพันท่า แล้วแต่ความเข้าใจของแต่ละบุคคล
สอนการก้าวเท้าย่างสามขุมการวางมือ ก้าวเท้าไปข้างหน้า ก้าวถอยหลัง การใช้สเต็ปเท้า การเอี้ยวตัวโยกหลบหลีกโดยการฝึกควงไม้กระบอง การฝึกกับลูกหนิงเหมิง(มะนาว)โดยการผูกติดกับเส้นไหม ปล่อยห้อยลงมาจากกิ่งไม้ให้อยู่แนวหน้าอกปล่อยหมัดชกโยกหลบ ป้อง ปัด ปิด เปิด การใช้ศอกฟัน
การฝึกเตะต้นกล้วย เตะจริงโดยใช้หน้าแข้งเตะไปที่ต้นกล้วยตรงๆ การเตะหลอก เตะประคองต้นกล้วยยกเท้าเหวี่ยงแข้ง ใส่ต้นกล้วยทั้งวงนอกวงใน สลับเท้าทำไปเรื่อยๆ จนมาถึงการ ทุ่ม ทับ จับ หัก และอื่นๆ อีกหลายอย่าง หลังจากบอกกล่าวอย่างคร่าวๆ แล้วจึงเริ่มลงมือสอน
จิ้นเหอมันก็ไม่บ่ายเบี่ยงทำกิจวัตรประจำวันตามปกติทุกวัน การร่ายรำมวยบญจจัตุบาตเสร็จก็ถือเป็นการวอร์มร่างกาย ก่อนมาเรียนกับหมิงลู่ พอตกดึกเรียนสีซอ เนื่องจากมันต้องใช้กำลังเยอะในแต่ละวัน มันเลยมาถือศิลห้าแทน ท่านเจ้าอาวาสท่านเป็นคนอนุญาติเอง พระลูกวัดเลยไม่มีปัญหา แต่ที่ท่านไม่รู้คือมันแอบกินเนื้อสัตว์ ต้องโทษอาจารย์หมิงลู่ของมัน กินล่อมันตลอดจนมันตบะแตก
จนเวลาล่วงไปหลายเดือน ตอนนี้เป็นเวลายามบ่าย หมิงลู่เห็นว่าจิ้นเหอกลับเรือนมาแล้ว มันกำลังจะออกไปฝึกมวยต่อ หมิงลู่เรียกมันไว้เนื่องจากเห็นว่าทางมวยมันน่าจะไประดับต่อไปได้แล้ว จึงคิดสอนขั้นต่อไปมันจะได้มีความเชี่ยวชาญพร้อมๆ กันทั้งสองด้านในทีเดียว “ดาบอาทมาต” จึงกล่าวเคล็ดวิชาให้มันฟัง
“จิ้นเหอ เจ้ามาฟังนี่ข้าจะอธิบายเพลงดาบให้ฟังก่อน” จิ้นเหอเดินมานั่งลงข้างมัน
“จุดเด่นอยู่ที่ความรวดเร็ว รุนแรง และเด็ดขาด สามารถสู้ได้เพียงคนเดียวต่อคู่ต่อสู้หลายคน มีท่ารุกเป็นท่าเดียวกับท่ารับ เมื่อคู่ต่อสู้ฟันมาจะรับและฟันกลับทันที ไม่มีอะไรตายตัว มีแม่ไม้ 3 ท่า คือคลุมไตรภพ ตลบสิงขร และย้อมฟองสมุทร และมีท่าไม้รำ 12 ท่า ได้แก่”
เสือลากหางพระรามแผลงศรเชิญเทียนตัดเทียนฟันเงื้อสีดามอญส่องกล้องช้างประสานงา และ กาล้วงไส้ท่ายักษ์หงส์ปีกหักสอดสร้อยมาลาฟันเรียงหมอนลับหอกลับดาบพญาครุฑยุดนาค
ลักษณะของดาบแบบอาทมาต จะเป็นดาบสองมือ (ดาบคู่) ที่สั้นและมีน้ำหนักเบา มีความคล่องแคล่ว มีด้ามที่ยาวกว่าดาบปกติ เพื่อป้องกันข้อแขนและเส้นเอ็นของผู้ใช้ อีกทั้งสามารถใช้ผลักหรือดันคู่ต่อสู้ให้เสียหลักได้ รวมถึงใช้กระแทกกระทุ้งด้วย และด้านคมที่ต่อจากด้ามจะเป็นสันที่หนาและยาวใช้สำหรับรับ โดยไม่ใช้ส่วนคมดาบเพราะจะทำให้ดาบบิ่นชำรุดได้ง่าย ซึ่งหัวใจของดาบแบบอาทมาต มีเป็นคำที่คล้องจองกัน คือ
“เขาฟันเราไม่รับ เขารับเราไม่ฟัน จะฟันต่อเมื่อเขาไม่รับ จะรับต่อเมื่อหลบหลีกไม่ทัน”
นอกจากนั้น ดาบอาทมาต ยังมีวิชาขั้นสูง ถือเป็นวิชาลับ จะไม่สอนให้ใครง่ายๆ นอกจากศิษย์เอกที่ไว้ใจได้จริงๆเพราะเป็นวิชาที่อันตราย คือวิชาตัดข้อตัดเอ็น 27 ท่า กับวิชาหนุมานเชิญธง 48 ท่า วิชานี้จะใช้ในเวลาถูกรุม คือต้องต่อสู้กับคนจำนวนมาก ตั้งแต่ 3 คน 5 คน กระทั่ง 10 หรือ 20 คนก็สู้ได้
หลังจากหมิงลู่ได้ท่องรายละเอียดและเคร็ดวิชาจบ เห็นจิ้นเหอมันตั้งอกตั้งใจฟังดีจึงกล่าวขึ้นต่อ
“เพลงมวยพาหุยุทธ และเพลงดาบอามาทมาต ข้าจะสอนเท่าที่ข้ารู้นะจิ้นเหอ ถ้าเจ้าฝึกซ้อมและใช้งานได้คล่องแคล่ว เจ้าจะรู้จังหวะและการใช้งานที่ดีมากน้อยแค่ไหน มันล้วนแล้วแต่สติปัญญาของเจ้าเอง เจ้าไม่ต้องใจร้อน ค่อยๆ ฝึกปรือไป”
“ครับท่านอา ข้าไม่ได้รีบ..ข้าแค่อยากเหาะได้” จิ้นเหอตอบทำหน้าซุกซน
“อืม.. เจ้าเรียนวิชาข้าให้ชำนาญก่อน แล้วเราค่อยลงเขากัน ข้าจะพาเจ้าไปสำนักศักสิทธ์ ที่นั่นเน้นพลังลมปราณจากตำราของจักพรรดิ์หวงตี้ เจ้าน่าจะเรียนรู้ได้ดีกว่าที่อื่นๆ แต่การที่จะเข้าเรียนก็ยากอยู่ เจ้าถึงต้องฝึกเยอะๆ” หมิงลู่กล่าว
“ท่านอา แล้วข้าต้องเรียนลมปราณถึงขั้นไหนหรือถึงจะเหาะได้?” เจิ้นเหอถามสิ่งที่อยากรู้
“เจ้าต้องเรียนถึงขั้นลมปราณปฐพีเจ้าจะใช้คาถาอัญเชิญได้ และถ้าหากเจ้าสำเร็จลมปราณปราชญ์ เจ้าจะกล่าวโองการอัญเชิญเรียกจิตวิญญาณปฐมกาลสัตว์พิทักแห่งเจ้าออกมาได้ แต่หากจะเหาะเหินด้วยตัวเองเจ้าต้องถึงขั้นปราณจักพรรดิ ซึ่งมันยากมาก จักรวรรดิ์หนึ่งมีแค่ไม่กี่คน” หมิงลู่ตอบตามเท่าที่มันรู้
“คาถาอัญเชิญคืออะไร?” จิ้งเหอยังคงถามเพิ่ม
“คาถาอัญเชิญ คือการเรียกจิตวิญญาณของสัตว์มีอยู่สามสายพันธ์ เทพ มาร อสูร และยันต์เวทเรียกธาตุต่างๆ ในโลกอย่างเช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ ให้มาสิงอยู่ในตัวเจ้า ทำให้เราใช้พลังของสัตว์ แลธาตุเหล่านั้นได้ ระยะเวลาใช้ขึ้นอยู่กับระดับพลังลมปราณของตัวผู้อัญเชิญ
ส่วนที่เจ้าอยากเหอะเหินได้เจ้าต้องมีพลังของ ธาตุลม ตามธรรมชาติ ถ้าเจ้าอัญเชิญธาตุน้ำมาสถิตเจ้าจะอยู่ได้แต่ในน้ำ บินไม่ได้การที่เจ้าจะมีพลังธาตุ หรือสัตว์พิทักษ์ต้องทำพันธะสัญญาก่อน เนื่องจากธาตุศักสิทธ์ต่างมีจิตวิญญาณของมันเอง แต่ยังมีวิธีรวบลัดอยู่โดยเรียนวิชาของสายเทพหรือสายมารโดย ใช้แผ่น ยันต์อัญเชิญสามารถเรียกธาตุสถิตได้ห้าธาตุ ดิน ไม้ น้ำ ไฟ ทอง ส่วนข้อจำกัดของวิชานี้ ข้าไม่รู้แน่ชัด”
“แล้วพลังลมปราณมีกี่ขั้นท่านอา?”
“ที่เจ้านั่งสมาธิทุกวันนั่นก็ถือว่าเป็นการฝึกพลังลมปราณ เป็นการเริ่มต้นหลวมรวมจิตใจ เมื่อเจ้าเดินจักระได้ครบเจ็ดจุด เริ่มตั้งแต่จักระที่หนึ่งจุดก้นกบ จนถึงจักระที่เจ็ดจุดกลางกะหม่อม จะเป็นขั้นสำนึกแห่งจิต ขั้นต่อไปเปิดเส้นลมปราณสิบสี่เส้นคือเส้นจิงกับเส้นลั่ว ขั้นนี้เรียกว่าลมปราณปฐม ตัวข้าเองบรรลุแค่ขั้นนี้ ขั้นต่อไปเปิดเส้นฉีจิงอีกแปดเส้น แล้วมาอีกสองเส้นเยิ่นกับตู แล้วมาจุดตันเตียนอีกสามจุด และสุดท้ายเปิดเส้นชีพจรทั้งสามร้อยสี่สิบเก้าจุด” หมิงลู่หันหน้ามองจิ้นเหอแล้วกล่าวต่อ “นี่ข้าบอกเจ้าแค่คร่าวๆ เพราะข้าไม่รุ้วิธีทะลวงจุดลมปราณ จึงคิดให้เจ้าไปเรียนที่สำนักศักสิทธ์ ส่วนระดับขั้นพลังลมปราณจะมีได้ดังนี้ ทว่าข้ารู้จักขั้นสูงสุดแค่เพียงลมปราณจักรพรรดิ”
สำนึกแห่งจิต ลมปราณปฐม ลมปราณจิต ลมปราณปฐพี ลมปราณฟ้า ลมปราณจอมปราชญ์ ลมปราณจักพรรดิ์ “แล้วตอนนี้ใครมีพลังลมปราณสูงสุดหรือครับ?”
“ที่ข้ารู้องค์จักพรรดิหวงตี้ แห่งอาณาจักรเซี่ยที่เจ้าอยู่นี่ พระองค์อยู่ขั้นปราณจักพรรดิ และ พระองค์ทรงมีมังกรทองเป็นสัตว์เทพพิทักษ์ ท่านไม่ต้องใช้การสถิตร่างท่านสามารถอัญเชิญมาเป็นทาสรับใช้ได้เลย ส่วนจักรพรรดินีของอาณาจักรข้าๆ ไม่แน่ใจว่าท่านอยู่ขั้นจอมปราชญ์หรือจักพรรดิ รู้แต่ท่านมีอสูรพิทักษ์เป็นพญานคราชเจ็ดเศียร ส่วนท่านอื่นๆ ข้าไม่รู้”
หลังจากหมิงลู่กล่าวจบจิ้นเหอคิดทบทวนเพราะมันไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน
“ท่านอา ok เลยวันนี้...มึนไปหมดละไว้ข้าย้อนไปอ่านอีกเที่ยวก่อนนะ ท่านอาข้าขอตัวซักครู่ ปวดหัวมันเยอะเกินไปนะ” จิ้นเหอกล่าวจบล้มตัวลงนอนมือก่ายหน้าผาก
“......???” หมิงลู่ มึนตามเลยล้มตัวลงนอนด้วย จวบจนเวลาผ่านไปพักใหญ่ “ข้าต้องเหาะเหินให้ได้ ข้าอยากบินเหมือนนก อยากรู้มันมองเห็นะไรบ้างจากข้างบนนั้น” จิ้นเหอกล่าวออกมาด้วยความมุ่งมั่นขณะนอนเล่นอยู่
“ดีมาก เจ้าต้องมีความมุ่งมั่น ไปให้ถึงเป้าหมาย ข้ากลับนึกว่าเจ้าอยากเป็นท่านจอมยุทธซะอีก” หมิงลู่กล่าวภูมิใจในตัวจิ้นเหอ
“บินแบบนกดีกว่า เหินลมไปตามเวหา จอมยุทธไรนั่นข้าไม่เป็นหรอก ข้าไม่เข้าใจมันเลยซักนิด” จินเหอกล่าวแต่ยังนอนอยู่
“ไปฝึกวิชาต่อได้แล้ว คุยเยอะแล้วเจ้าหลวงจีน เดี๋ยวข้าไปหาไก่ป่าก่อนคืนนี้อร่อยแน่” หมิ่งลู่ทำท่าเลียริมฝีปาก แล้วก้าวเท้าจากไป
ส่วนเจิ้นเหอก็ออกไปชกลมเตะต้นกล้วย ฝึกตามวิธีที่หมิ่งลู่บอกเอาไว้ ถึงเหงื่อจะออกรดตัวมากมาย มันหาได้สนใจไม่ยังคงฝึกปรือแบบนี้มาตลอด
ยามดึกของคืนนั้น..เอง
สายลมโชนอ่อนพลิ้วไหวแผ่วเบา เมฆหมอกเคลียคลอ ล่องลอยโอบล้อมดวงเดือนดารา รัตติกาลคล้ายคืนวันอันหม่นหมอง ยังมีแสงส่องภายใต้กองไฟ ไก่ย่างหมุนวน อบอวนชวนหอมโหย ร่ำสุราบรรเลงเพลง ซอกรีดเสียงสูงสั่นหวั่นทุ้มต่ำ ปล่อยจิตปล่อยใจเคลิบเคลิ้มเพลิดเพลิน หมิ่งลู่กับจิ้นเหอนั่งเล่นสีซอกินไก่ย่างอยู่รอบกองไฟ จวบจนเลิกลากลับที่พักนอนหลับพักผ่อน
วันถัดมา หลังจากจิ้นเหอเสร็จทำภาระกิจภายในวัดเสร็จสิ้นทั้งหมดแล้ว ได้ตรงมาหาหมิงลู่ เนื่องจากนัดแนะกันจะเริ่มเรียน “ พาหุยุทธ” หมิงลู่เมื่อเห็นจิ้งเหอมาแล้ว จึงเอาผ้ามาพันรอบฝ่ามือให้มัน สอนให้รู้จัก มือ เท้า เข่า ศอก สำหรับไว้ใช้โจมตี เทคนิคการป้องกัน ป้อง ปัด ปิด เปิด นอกจากมือเท้าเข่าศอกแล้วยังมีวิชาการ ทุ่ม ทับ จับ หัก ซึ่งมีความร้ายกาจเสริมเข้ามา
แล้วยังมีเทคนิคอย่าง ล่อ หลอก หลบ หลีก หลอกล่อ ล้อเล่น หรือ กอด รัด ฟัด เหวี่ยง ซึ่งเป็นวิชาการกอดปล้ำแบบหนึ่ง หรือแม้กระทั่ง ล้ม ลุก คลุก คลาน ซึ่งเป็นการฝึกม้วนตัว ล้มตัว มิติการต่อสู้จึงไม่จำกัดเฉพาะการยืนต่อสู้เท่านั้น การต่อสู้เมื่อจำเป็นตอนล้มลงก็สามารถสู้ได้
แล้วยังมีแม่ไม้รวมกับลูกไม้มวยอีกสามสิบท่า แต่มันจำได้ไม่ครบทั้งสามสิบท่า จึงสอนเท่าที่มันทำได้เพราะวิชานี้สามารถพลิกแพลงได้เพิ่มขึ้นอีกร้อยแปดพันท่า แล้วแต่ความเข้าใจของแต่ละบุคคล
สอนการก้าวเท้าย่างสามขุมการวางมือ ก้าวเท้าไปข้างหน้า ก้าวถอยหลัง การใช้สเต็ปเท้า การเอี้ยวตัวโยกหลบหลีกโดยการฝึกควงไม้กระบอง การฝึกกับลูกหนิงเหมิง(มะนาว)โดยการผูกติดกับเส้นไหม ปล่อยห้อยลงมาจากกิ่งไม้ให้อยู่แนวหน้าอกปล่อยหมัดชกโยกหลบ ป้อง ปัด ปิด เปิด การใช้ศอกฟัน
การฝึกเตะต้นกล้วย เตะจริงโดยใช้หน้าแข้งเตะไปที่ต้นกล้วยตรงๆ การเตะหลอก เตะประคองต้นกล้วยยกเท้าเหวี่ยงแข้ง ใส่ต้นกล้วยทั้งวงนอกวงใน สลับเท้าทำไปเรื่อยๆ จนมาถึงการ ทุ่ม ทับ จับ หัก และอื่นๆ อีกหลายอย่าง หลังจากบอกกล่าวอย่างคร่าวๆ แล้วจึงเริ่มลงมือสอน
จิ้นเหอมันก็ไม่บ่ายเบี่ยงทำกิจวัตรประจำวันตามปกติทุกวัน การร่ายรำมวยบญจจัตุบาตเสร็จก็ถือเป็นการวอร์มร่างกาย ก่อนมาเรียนกับหมิงลู่ พอตกดึกเรียนสีซอ เนื่องจากมันต้องใช้กำลังเยอะในแต่ละวัน มันเลยมาถือศิลห้าแทน ท่านเจ้าอาวาสท่านเป็นคนอนุญาติเอง พระลูกวัดเลยไม่มีปัญหา แต่ที่ท่านไม่รู้คือมันแอบกินเนื้อสัตว์ ต้องโทษอาจารย์หมิงลู่ของมัน กินล่อมันตลอดจนมันตบะแตก
จนเวลาล่วงไปหลายเดือน ตอนนี้เป็นเวลายามบ่าย หมิงลู่เห็นว่าจิ้นเหอกลับเรือนมาแล้ว มันกำลังจะออกไปฝึกมวยต่อ หมิงลู่เรียกมันไว้เนื่องจากเห็นว่าทางมวยมันน่าจะไประดับต่อไปได้แล้ว จึงคิดสอนขั้นต่อไปมันจะได้มีความเชี่ยวชาญพร้อมๆ กันทั้งสองด้านในทีเดียว “ดาบอาทมาต” จึงกล่าวเคล็ดวิชาให้มันฟัง
“จิ้นเหอ เจ้ามาฟังนี่ข้าจะอธิบายเพลงดาบให้ฟังก่อน” จิ้นเหอเดินมานั่งลงข้างมัน
“จุดเด่นอยู่ที่ความรวดเร็ว รุนแรง และเด็ดขาด สามารถสู้ได้เพียงคนเดียวต่อคู่ต่อสู้หลายคน มีท่ารุกเป็นท่าเดียวกับท่ารับ เมื่อคู่ต่อสู้ฟันมาจะรับและฟันกลับทันที ไม่มีอะไรตายตัว มีแม่ไม้ 3 ท่า คือคลุมไตรภพ ตลบสิงขร และย้อมฟองสมุทร และมีท่าไม้รำ 12 ท่า ได้แก่”
เสือลากหางพระรามแผลงศรเชิญเทียนตัดเทียนฟันเงื้อสีดามอญส่องกล้องช้างประสานงา และ กาล้วงไส้ท่ายักษ์หงส์ปีกหักสอดสร้อยมาลาฟันเรียงหมอนลับหอกลับดาบพญาครุฑยุดนาค
ลักษณะของดาบแบบอาทมาต จะเป็นดาบสองมือ (ดาบคู่) ที่สั้นและมีน้ำหนักเบา มีความคล่องแคล่ว มีด้ามที่ยาวกว่าดาบปกติ เพื่อป้องกันข้อแขนและเส้นเอ็นของผู้ใช้ อีกทั้งสามารถใช้ผลักหรือดันคู่ต่อสู้ให้เสียหลักได้ รวมถึงใช้กระแทกกระทุ้งด้วย และด้านคมที่ต่อจากด้ามจะเป็นสันที่หนาและยาวใช้สำหรับรับ โดยไม่ใช้ส่วนคมดาบเพราะจะทำให้ดาบบิ่นชำรุดได้ง่าย ซึ่งหัวใจของดาบแบบอาทมาต มีเป็นคำที่คล้องจองกัน คือ
“เขาฟันเราไม่รับ เขารับเราไม่ฟัน จะฟันต่อเมื่อเขาไม่รับ จะรับต่อเมื่อหลบหลีกไม่ทัน”
นอกจากนั้น ดาบอาทมาต ยังมีวิชาขั้นสูง ถือเป็นวิชาลับ จะไม่สอนให้ใครง่ายๆ นอกจากศิษย์เอกที่ไว้ใจได้จริงๆเพราะเป็นวิชาที่อันตราย คือวิชาตัดข้อตัดเอ็น 27 ท่า กับวิชาหนุมานเชิญธง 48 ท่า วิชานี้จะใช้ในเวลาถูกรุม คือต้องต่อสู้กับคนจำนวนมาก ตั้งแต่ 3 คน 5 คน กระทั่ง 10 หรือ 20 คนก็สู้ได้
หลังจากหมิงลู่ได้ท่องรายละเอียดและเคร็ดวิชาจบ เห็นจิ้นเหอมันตั้งอกตั้งใจฟังดีจึงกล่าวขึ้นต่อ
“เพลงมวยพาหุยุทธ และเพลงดาบอามาทมาต ข้าจะสอนเท่าที่ข้ารู้นะจิ้นเหอ ถ้าเจ้าฝึกซ้อมและใช้งานได้คล่องแคล่ว เจ้าจะรู้จังหวะและการใช้งานที่ดีมากน้อยแค่ไหน มันล้วนแล้วแต่สติปัญญาของเจ้าเอง เจ้าไม่ต้องใจร้อน ค่อยๆ ฝึกปรือไป”
“ครับท่านอา ข้าไม่ได้รีบ..ข้าแค่อยากเหาะได้” จิ้นเหอตอบทำหน้าซุกซน
“อืม.. เจ้าเรียนวิชาข้าให้ชำนาญก่อน แล้วเราค่อยลงเขากัน ข้าจะพาเจ้าไปสำนักศักสิทธ์ ที่นั่นเน้นพลังลมปราณจากตำราของจักพรรดิ์หวงตี้ เจ้าน่าจะเรียนรู้ได้ดีกว่าที่อื่นๆ แต่การที่จะเข้าเรียนก็ยากอยู่ เจ้าถึงต้องฝึกเยอะๆ” หมิงลู่กล่าว
“ท่านอา แล้วข้าต้องเรียนลมปราณถึงขั้นไหนหรือถึงจะเหาะได้?” เจิ้นเหอถามสิ่งที่อยากรู้
“เจ้าต้องเรียนถึงขั้นลมปราณปฐพีเจ้าจะใช้คาถาอัญเชิญได้ และถ้าหากเจ้าสำเร็จลมปราณปราชญ์ เจ้าจะกล่าวโองการอัญเชิญเรียกจิตวิญญาณปฐมกาลสัตว์พิทักแห่งเจ้าออกมาได้ แต่หากจะเหาะเหินด้วยตัวเองเจ้าต้องถึงขั้นปราณจักพรรดิ ซึ่งมันยากมาก จักรวรรดิ์หนึ่งมีแค่ไม่กี่คน” หมิงลู่ตอบตามเท่าที่มันรู้
“คาถาอัญเชิญคืออะไร?” จิ้งเหอยังคงถามเพิ่ม
“คาถาอัญเชิญ คือการเรียกจิตวิญญาณของสัตว์มีอยู่สามสายพันธ์ เทพ มาร อสูร และยันต์เวทเรียกธาตุต่างๆ ในโลกอย่างเช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ ให้มาสิงอยู่ในตัวเจ้า ทำให้เราใช้พลังของสัตว์ แลธาตุเหล่านั้นได้ ระยะเวลาใช้ขึ้นอยู่กับระดับพลังลมปราณของตัวผู้อัญเชิญ
ส่วนที่เจ้าอยากเหอะเหินได้เจ้าต้องมีพลังของ ธาตุลม ตามธรรมชาติ ถ้าเจ้าอัญเชิญธาตุน้ำมาสถิตเจ้าจะอยู่ได้แต่ในน้ำ บินไม่ได้การที่เจ้าจะมีพลังธาตุ หรือสัตว์พิทักษ์ต้องทำพันธะสัญญาก่อน เนื่องจากธาตุศักสิทธ์ต่างมีจิตวิญญาณของมันเอง แต่ยังมีวิธีรวบลัดอยู่โดยเรียนวิชาของสายเทพหรือสายมารโดย ใช้แผ่น ยันต์อัญเชิญสามารถเรียกธาตุสถิตได้ห้าธาตุ ดิน ไม้ น้ำ ไฟ ทอง ส่วนข้อจำกัดของวิชานี้ ข้าไม่รู้แน่ชัด”
“แล้วพลังลมปราณมีกี่ขั้นท่านอา?”
“ที่เจ้านั่งสมาธิทุกวันนั่นก็ถือว่าเป็นการฝึกพลังลมปราณ เป็นการเริ่มต้นหลวมรวมจิตใจ เมื่อเจ้าเดินจักระได้ครบเจ็ดจุด เริ่มตั้งแต่จักระที่หนึ่งจุดก้นกบ จนถึงจักระที่เจ็ดจุดกลางกะหม่อม จะเป็นขั้นสำนึกแห่งจิต ขั้นต่อไปเปิดเส้นลมปราณสิบสี่เส้นคือเส้นจิงกับเส้นลั่ว ขั้นนี้เรียกว่าลมปราณปฐม ตัวข้าเองบรรลุแค่ขั้นนี้ ขั้นต่อไปเปิดเส้นฉีจิงอีกแปดเส้น แล้วมาอีกสองเส้นเยิ่นกับตู แล้วมาจุดตันเตียนอีกสามจุด และสุดท้ายเปิดเส้นชีพจรทั้งสามร้อยสี่สิบเก้าจุด” หมิงลู่หันหน้ามองจิ้นเหอแล้วกล่าวต่อ “นี่ข้าบอกเจ้าแค่คร่าวๆ เพราะข้าไม่รุ้วิธีทะลวงจุดลมปราณ จึงคิดให้เจ้าไปเรียนที่สำนักศักสิทธ์ ส่วนระดับขั้นพลังลมปราณจะมีได้ดังนี้ ทว่าข้ารู้จักขั้นสูงสุดแค่เพียงลมปราณจักรพรรดิ”
สำนึกแห่งจิต ลมปราณปฐม ลมปราณจิต ลมปราณปฐพี ลมปราณฟ้า ลมปราณจอมปราชญ์ ลมปราณจักพรรดิ์ “แล้วตอนนี้ใครมีพลังลมปราณสูงสุดหรือครับ?”
“ที่ข้ารู้องค์จักพรรดิหวงตี้ แห่งอาณาจักรเซี่ยที่เจ้าอยู่นี่ พระองค์อยู่ขั้นปราณจักพรรดิ และ พระองค์ทรงมีมังกรทองเป็นสัตว์เทพพิทักษ์ ท่านไม่ต้องใช้การสถิตร่างท่านสามารถอัญเชิญมาเป็นทาสรับใช้ได้เลย ส่วนจักรพรรดินีของอาณาจักรข้าๆ ไม่แน่ใจว่าท่านอยู่ขั้นจอมปราชญ์หรือจักพรรดิ รู้แต่ท่านมีอสูรพิทักษ์เป็นพญานคราชเจ็ดเศียร ส่วนท่านอื่นๆ ข้าไม่รู้”
หลังจากหมิงลู่กล่าวจบจิ้นเหอคิดทบทวนเพราะมันไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน
“ท่านอา ok เลยวันนี้...มึนไปหมดละไว้ข้าย้อนไปอ่านอีกเที่ยวก่อนนะ ท่านอาข้าขอตัวซักครู่ ปวดหัวมันเยอะเกินไปนะ” จิ้นเหอกล่าวจบล้มตัวลงนอนมือก่ายหน้าผาก
“......???” หมิงลู่ มึนตามเลยล้มตัวลงนอนด้วย จวบจนเวลาผ่านไปพักใหญ่ “ข้าต้องเหาะเหินให้ได้ ข้าอยากบินเหมือนนก อยากรู้มันมองเห็นะไรบ้างจากข้างบนนั้น” จิ้นเหอกล่าวออกมาด้วยความมุ่งมั่นขณะนอนเล่นอยู่
“ดีมาก เจ้าต้องมีความมุ่งมั่น ไปให้ถึงเป้าหมาย ข้ากลับนึกว่าเจ้าอยากเป็นท่านจอมยุทธซะอีก” หมิงลู่กล่าวภูมิใจในตัวจิ้นเหอ
“บินแบบนกดีกว่า เหินลมไปตามเวหา จอมยุทธไรนั่นข้าไม่เป็นหรอก ข้าไม่เข้าใจมันเลยซักนิด” จินเหอกล่าวแต่ยังนอนอยู่
“ไปฝึกวิชาต่อได้แล้ว คุยเยอะแล้วเจ้าหลวงจีน เดี๋ยวข้าไปหาไก่ป่าก่อนคืนนี้อร่อยแน่” หมิ่งลู่ทำท่าเลียริมฝีปาก แล้วก้าวเท้าจากไป
ส่วนเจิ้นเหอก็ออกไปชกลมเตะต้นกล้วย ฝึกตามวิธีที่หมิ่งลู่บอกเอาไว้ ถึงเหงื่อจะออกรดตัวมากมาย มันหาได้สนใจไม่ยังคงฝึกปรือแบบนี้มาตลอด
ยามดึกของคืนนั้น..เอง
สายลมโชนอ่อนพลิ้วไหวแผ่วเบา เมฆหมอกเคลียคลอ ล่องลอยโอบล้อมดวงเดือนดารา รัตติกาลคล้ายคืนวันอันหม่นหมอง ยังมีแสงส่องภายใต้กองไฟ ไก่ย่างหมุนวน อบอวนชวนหอมโหย ร่ำสุราบรรเลงเพลง ซอกรีดเสียงสูงสั่นหวั่นทุ้มต่ำ ปล่อยจิตปล่อยใจเคลิบเคลิ้มเพลิดเพลิน หมิ่งลู่กับจิ้นเหอนั่งเล่นสีซอกินไก่ย่างอยู่รอบกองไฟ จวบจนเลิกลากลับที่พักนอนหลับพักผ่อน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ