กระทืบธรณี เหยียบนรก พลิกสวรรค์
7.7
เขียนโดย ใต้แผ่นฟ้า
วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 11.18 น.
16 ตอน
0 วิจารณ์
19.03K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 กันยายน พ.ศ. 2559 01.03 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) พาหุยุทธ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความวมกัน กลิ่นกำยานหอมตลบอบอวน
“มนุษย์ ที่ แปลอย่างหนึ่งว่า ผู้มีจิตใจสูง คือ มีความรู้สูง ดังจะเห็นได้ว่าคนเรามีพื้นปัญญาสูงกว่าสัตว์ดิรัจฉานมากมาย สามารถรู้จักเปรียบเทียบในควาตอนที่ 4 พาหุยุทธ
ภูเขาเหลาซาน เป็นยอดเขาโดดเดี่ยวสูงตะหง่านทะลุเมฆา พื้นที่โดยรอบเป็นหน้าผาสูงชันสลับเนินเขาสูงต่ำ ป่าไม้รกครึ้มมีถ้ำผุดขึ้นมากมายเป็นที่อาศัยของสัตว์ป่ารวมทั้งเหล่าอสูรกาย กินอาณาบริเวนนับเจ็ดร้อยไร่เศษ เนื่องจากอยู่ห่างไกลตัวเมือง จึงแทบจะไร้ผู้คนเดินทาง และกลางยอดเขาเป็นที่ตั้งของวัดหลันยั่วซื่อ สถานปฎิบัติธรรม
ภายในพระอุโบสถ มีองค์พระประธานก่อด้วยอิฐปูนปั้นอยู่สามองค์เป็นรูป องค์พระสัมมาสัมพุทธะเจ้าในปางต่างๆ ตั้งอยู่ในพระอุโบสถ พระประธานองค์กลางสูงใหญ่ที่แลดูสะดุดตา มีองคาพยพพระพักตร์รูปไข่ พระนาสิก โด่ง พระโอษฐ์ยิ้มแย้ม พระเนตรคล้ายจ้องมองลึกเย้ยหยันต่อทุกสรรพสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า เวลานี้พระทั้งวันต่างมาอยู่รมดี ความชั่ว ความควรทำไม่ควรทำ รู้จักละอาย รู้จักเกรง รู้จักปรับปรุงสร้างสรรค์ ปัญญาเป็นรัตนะ ส่องสว่างนำทางแห่งชีวิต ถึงดังนั้นก็ยังมีความมืดที่มากำบังจิตใจให้เห็นผิดเป็นชอบ ความมืดที่สำคัญนั่นก็คือ กิเลสในจิตใจและกรรมเก่าทั้งหลาย” เสียงของท่านเจ้าอาวาสกำลังให้หลักธรรมคำสั่งสอน พระลูกวัดต่างนั่งขัดสมาสทำสมาธิ หน้าอกขยับเข้าออก ลมหายใจผ่อนคลาย เป็นจุดเริ่มต้นของการฝึกลมปราณสมาธิ
ท่านเจ้าอาวาสท่านทรงสอนหลักธรรม ส่วนไต้ซือเฉิงเจี๋ยท่านสอน วิชา เบญจจัตุบาต การเลียนแบบท่าทางของ เสือ กวาง หมี ค่าง และ ปักษา เป็นวิชาออกกำลังเพื่อสุขภาพต่อมาจึงได้พัฒนาเป็นวิชาหมัดมวย
หมิงลู่สอนการเล่นซอให้จิ้นเหอ เริ่มจากส่วนประกอบของซอมีสองชิ้น ชิ้นแรกเรียกว่ากระโหลกซอ ขึงด้วยหนังวัว ทำหน้าที่อุ้มเสียง มีสายเอกสายทุ้ม รวมเป็นสองสาย อีกชิ้นเรียกคันสี ใช้ขนม้าร้อยกว่าเส้นขึงรวมกัน เวลาสีซอใช้นิ้วก้อยกับนิ้วนางบังคับสลับสาย ชักมือ ออก เข้า ออก เข้า เกิดเสียงโด โด ซอล ซอล
เช้านี้มีชาวบ้านสิบกว่าคนขึ้นเขาเพื่อกราบไหว้องค์พระประธาน เนื่องจากมีสัตว์อสูรบุกเข้าหมู่บ้านบ่อยขึ้น คนในหมู่บ้านที่เข้าป่าหาสมุนไพรหายไปสองคน หัวหน้าหมู่บ้านพาลูกบ้านออกตามหาไม่พบเจอแม้ซากศพ ส่งเรื่องไปตัวเมืองเพื่อขอกำลังทหารมาปราบปรามก็ยังไม่ได้คำตอบ เกิดความวิตกกังวลชาวบ้านล้วนแวดระแวง ไร้ที่พึ่งพิง จึงได้รวมตัวกันเดินทางขึ้นมากราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธ์ ขอพรให้ทรงปกป้องคุ้มครองพวกตน
“เออ..ท่านเจ้าอาวาสขอรับ ท่านไต้ซือท่านอื่นไม่ราบว่าได้พบเจอสัตว์อสูรพวกนั้นบ้างไหมขอรับ ?” เสียงของผู้ใหญ่บ้านเอ่ยถามด้วยความนอบน้อม
ไต้ซือทั้งหลายต่างหันสบตามองหน้ากันรวมทั้งจิ้นเหอด้วยต่างไม่มีใครกล่าวอะไรออกมา
ท่านเจ้าอาวาสตอบกลับไป “แค่กๆ อาตมาจำวัดอยู่สิบเจ็ดพรรษา..แค่ก..แค่ก...บนภูเขาอาตมาไม่เคยพบเจอสัตว์อสูรเลยซักครั้ง” ท่านยกน้ำชาขึ้นจิบแล้วกล่าวต่อ “วันนั้นประสกหานมาบอกเรื่องในหมู่บ้าน อาตมาคิดว่ามันเป็นไปได้ที่อสูรพวกนั้นจะออกมาหาอาหารในหมู่บ้าน แต่ที่อาตมาแปลกใจ บนเขากลับไม่เคยได้ยินแม้เสียง” ท่านเจ้าอาวาสจิบน้ำชาอีกครั้ง
“บนวัดต้องมีสิ่งศักสิทธิ์ปกป้องคุ้มครองอยู่แน่เลย” ชายวัยกลางคนที่เป็นชาวบ้านกล่าวออกมา
“ใช่...ข้าก็คิดว่างั้นต้องมีอิทฤทธิ์บุญบารมี” ผู้เฒ่าคนหนึ่งกล่าวขึ้นมาบ้าง
“หรือจะเป็นองค์พระประธานสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธะเจ้าท่าน” แม่เฒ่ากล่าว
“ใช่...ใช่พวกอสูรเลยไม่กล้าเข้าใกล้” เสียงใครไม่ทันมองพูดออกมา
“หรือจะเป็นญาณอิทฤทธิ์ของท่านเจ้าอาวาสเอง” อาซ้อหวังแสดงความคิดเห็นออกมาบ้าง
ถึงยามนี้ชาวบ้านต่างคิดกันไปตามแต่จิตสำนึกที่พึ่งละลึกของแต่ละบุคล เสียงพร่ำพรรณาอื้ออึง บ้างจะให้ท่านเจ้าอาวาสลงไปปราบอสูร บ้างจะขอของวิเศษ บ้างจะย้ายพระประธานลงไปหมู่บ้าน
บรรดาไต้ซืพอได้ฟังชาวบ้านปรึกษาถึงกับอ้าปากตาค้าง นี่ละหนามนุษย์ จิ้นเหอถึงกับพ่นลมหายใจออกมา
“อามิตตาพุทธ...ประสกทั้งหลายหยุดก่อน” เจ้าอาวาสท่านต้องห้ามศึกระหว่างชาวบ้านที่กำลังถกเถียงกันอยู่
“ตัวอาตมาเพียงศึกษาพระธรรม พึงปฏิบัติ ถือศีล กินเจ แค่นั้น อิทฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ไม่ได้ร่ำเรียนมาประสก”
ชาวบ้านต่างเงียบเสียงหันมองหน้ากัน แต่ยังคงนึกหาสิ่งศักดิ์สิทธ์สิ่งอื่นมาทดแทน จนท่านเจ้าอาวาสท่านกล่าว
“ถ้าจะมีสิ่งศักสิทธิ์ที่ว่าจริงๆ อาตมาคิดว่าน่าจะอยู่บนยอดเขา เมื่อก่อนเคยมีชาวยุทธกลุ่มหนึ่ง เดินทางมาแวะพักที่วัด แคร่ก...แคร่ก..เฉิงเจี๋ยท่านกล่าวต่อเถอะ” ท่านเจ้าอาวาสยกน้ำชาขึ้นดื่ม แล้วหลับตาลง
“อามิตตาพุทธ หลังจากที่พวกเขามาแวะพักที่วัด บอกว่ารู้สึกถึงพลังจิตวิญญาณมาจากบนยอดเขา พวกนั้นถามถึงว่าที่วัดมีปรากฎการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้นบ้างไหม อาตมากับท่านเจ้าอาวาสไม่ได้พบเจอเหตุประหลาดอันใด จึงตอบประสกเหล่านั้นไปตามตรงชาวยุทธเหล่านั้นเดินทางขึ้นเขากันไป” ไต้ซือเฉิงเจี๋ยหยุดกล่าวสูดลมหายใจ
“ตอนขากลับแวะลงมา บอกว่ามีต้นไม้ใหญ่ขนาดสิบยี่สิบคนโอบไม่รอบ พวกเขาข้ามกันไปไม่ได้มันมีหน้าผาคั่นอยู่ระหว่างกลาง หลังจากวันนั้นท่านเจ้าอาวาสให้อาตมาขึ้นไปดู อาตมาเห็นเหมือนที่ประสกเหล่านั้นได้บอกไว้ มันมีคลื่นพลังพลิ้วไหวไหลวนอยู่ในอากาศ อาตมารู้สึกถึงแรงกดดันจึงจากมา อามิตตาพุทธ” ไต้ซือเฉิงเจี๋ยกล่าวจบยกน้ำชาขึ้นดื่มอีกครั้ง
“จอมยุทธ เหล่านั้นแวะมาอีกไหมท่านไต้ซือ?” ผู้ใหญ่บ้านถามขึ้น
“เท่าที่อาตมาเห็นมีกลุ่มอื่นๆ มาด้วยแต่ไม่ได้แวะในวัดประสกถามทำไมหรือ” ไต้ซือเฉิงเจี๋ยตอบ
“ไม่มีอะไร ท่านไต้ซือข้าแค่ถามๆ ดู” ผู้ใหญ่บ้านตอบคำทำท่าทางคล้ายจะถามต่อแต่เงียบไป
หลังจากได้ฟังจนจบหลวงจีนในวัด และชาวบ้านต่างเงียบเสียงลงบรรจงใช้ความคิด บ้างว่าอยากขึ้นไปชมดู บ้างว่าจะไปหาใบไม้ของต้นนั้นเผื่อมันปลิวข้ามฝั่งมาจะได้เอามาไว้กันพวกอสูร ต่างคนต่างคิดกันไป
“ทางขึ้นมันอันตราย เดินเหินยากลำบาก ทั้งยังมีพลังจิตวิญญาณให้กดดันอีก อาตมาไม่อยากให้พวกประสกเป็นอันตราย” ไต้ซือเฉิงเจี๋ยกล่าวดักคอเพราะรู้ถึงความคิดของชาวบ้าน
พวกชาวบ้านยังคงปรึกษากันอยู่ ท่านเจ้าอาวาสเห็นว่าไร้เรื่องราวใดแล้วจึงหมายลุกจากไปเหล่าชาวบ้านจึงกราบลาท่านเจ้าอาวาสและไต้ซือ ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไป
จิ้นเหอ วิ่งแจ้นเพื่อมาหาหมิ่งลู่ บอกเล่าเรื่องต้นไม้บนยอดเขา กระตือลือล้นชวนขึ้นไปด้านบน แต่หมิงลู่ปฏิเสธ อ้างเหตุผลมันขี้เกียจแบกจิ้นเหอลงมา มันแปดขวบเองไว้โตกว่านี้แข็งแรงกว่านี้ก่อนค่อยไป จิ้นเหอเห็นว่าหมิงลู่ไม่พาไปแน่แล้วจึงเปลี่ยนไปตั้งคำถามแทน
“ท่านอา จอมยุทธคืออะไร?” จิ้นเหอบังเกิดความสนใจคำที่ผู้ใหญ่บ้านกล่าวถึงในพระอุโบสถ
หมิงลู่... คิ้วชนกันพยายามรวบรวมเหตุผล หวังจะตอบจิ้นเหอ ผ่านไปพักใหญ่มันกล่าวออกมาข้าไม่รู้!...น่าปวดหัวชะมัด เจ้าถามอะไรข้านี่” เงียบ......ซักพัก..มันท่องบทกวีออกมาแทน
“ชีวิตที่ปราศจากการที่ต้องดิ้นรนไขว่คว้า ขุ่นข้องหมองใจลำบากตรากตรำ ชีวิตเช่นนั้นจะมีความหมายอะไรให้ค้นหา กล้าหาญชาญชัยที่จะจินตนาการ เผชิญหน้ากับความล้มเหลวอย่างองอาจ พ่ายแพ้อย่างสงางาม หรือมิใช่สิ่งเหล่านี้ที่ขัดเกา แต่งแต้มชีวิตให้หมดจดงดงาม เรียนรู้ที่จะอยู่ และยอมรับที่จะตายไม่วันใดก้อวันหนึ่ง ไม่ช้าก็เร็ว มีช่องว่างๆ มีทางให้เดินก็แค่หาวิธีหลุดพ้น ไม่เบียดเบียนตัวเอง ไม่เบียดเบียนผู้คน ผิดถูกดีชั่วก็มีอยู่เท่านี้”
“บทนี้ข้าเคยอ่านเจอในหนังสือ ข้าไม่เข้าใจความหมายของมันทั้งหมด มิอาจแน่ใจจะใช่จอมยุทธที่เจ้าหมายความถึงหรือไม่ ส่วนสำหรับข้ามันยังมิใช่ เจ้าหาคำตอบเอาเองเถอะ”
จิ้นเหอพอฟังจบแล้วใช้สมองครุ่นคิดตามบทกวี แล้วอ้าปากออกมา “แฮ่ๆ ข้าฟังแล้วก็ไม่เห็นเข้าใจ”
“ข้าถึงบอกให้เจ้าไปหาคำตอบเอาเอง แล้วเจ้ามีอะไรอีกไหม?” หมิงลู่ถามเห็นจิ้นเหอยังทำท่าทางครุ่นคิดอยู่อีก
“มีครับท่านอา แล้วชาวยุทธคืออะไร” สีหน้ามีความไคร่รู้ถามต่ออีก
“ชาวยุทธ คือ...ผู้ที่ฝึกศิลปะการต่อสู้ มีกำลังภายนอกภายใน พลังจิตวิญญาณ เหาะเหินเดินอากาศ อย่างข้าก็เป็นชาวยุทธ ฮ่าฮ่า” หมิงลู่ตอบอย่างภูมิใจในความเป็นชาวยุทธของตัวเอง
“ใช่หรือท่านอา ข้าไม่เห็นท่านจะมีสิ่งที่ท่านพูดมาเลยนอกจากสีซอให้ข้าฟัง?” มันกล่าวถากถางหารู้ไม่ว่าคำนี้เข้าตัวเอง
“ฮาฮ่า สีซอให้ควายฟัง” หมองล่ม่หัวร่อออกมา ก่อนออกอาการกะฟัดกระเฟียด
“ชิ!...เจ้าหลวงจีนน้อย หมัดเสือหมัดหมีเจ้าฝึกถึงไหนแล้ว” หมิงลู่กล่าวยักคิ้วจ้องจิ้นเหอ “เจ้าตามมานี่เดี๋ยวข้าจะแสดงอะไรให้เจ้าดู” ว่าแล้วกวักมือเรียกให้จิ้นเหอตามไป
หมิงลู่พามันมาถึงดงต้นกล้วย ถอดเสื้อนอกส่งให้จิ้นเหอถือ ตอนนี้มันเปลือยอก กวาดตาหาเป้าหมายเดินเข้าไปหาต้นกล้วยที่อยู่โดดเดี่ยว “เจ้าดูให้ดี” สองมือยกขึ้นประกบตรงหว่างคิ้วเหมือนไหว้พระแต่กลับไหว้ต้นกล้วย.?? พอไหว้เสร็จมันยกแขนสองข้างตั้งฉากเสมออก มือหนึ่งอยู่ข้างหน้า อีกมือหนึ่งอยู่ถัดมือแรกมาหน่อย สลับเท้ากับมือ ขยับตัวโยกศรีษะเล็กน้อยสืบเท้าตรงไปที่ต้นกล้วยพอถึงก้าวที่สาม
มันกำหมัดกระแทกไปที่ต้นกล้วย ปึก..ปึก.. ซ้าย ขวา หนึ่ง สอง หนึ่ง สอง ฉับพลันมันยกศอกซ้ายขึ้นตั้งฉากในแนวนอนเสมอทรวงอก แล้วฟันฉับไปที่ต้นกล้วย ศอกซ้าย ศอกขวา ศอกซ้าย ศอกขวา โอ้ว..... ตัวกับหัวยังคงโยกส่ายโงนเงน ฉับพลัน...มันเอาสองมือจับต้นกล้วยน้อมลงเข้าหาตัวเหวี่ยงสปิงเข่ากระแทกพุ่งเข้าใส่ เข่าซ้าย...เข่าขวา..ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา โอ้ววว...
ฉับพลันมันปล่อยมือยกสองมือมาบังไว้ที่หน้า มันยกเท้าซ้ายเตะเข้าไปที่ต้นกล้วยเสียงดัง ป๊าบ!...พอเท้าตกพื้นมันสลับเท้าขวาเตะขึ้นแทน ป๊าบ...ป๊าบ...ซ้าย..ขวา...ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา เสียงดังสนั่น
ฉับพลันมันเตะไม่โดนพอเท้าตกพื้นมันหมุนพลิกตัวเหวี่ยงเท้าอีกข้างฟาดใส่ เปรี้ยง!!..ต้นกล้วยฉีกขาดหักงอลงมันจึงหยุดแล้วยกมือขึ้นไหว้ต้นกล้วยอีก.?? หมิ่งลู่เดินมาหยิบเสื้อคืน เช็ดหน้าเช็ดตาเหลียวมองจิ้นเหอ มันยังคงเบิ่งตาโพลงอ้าปากค้างอยู่
“มันเรียกว่า พาหุยุทธ กระบวนท่าต่อเนื่อง” หมิงลู่ยกแขนเช็ดเหงื่อที่ใบหน้าแล้วกล่าวต่อ “เป็นอย่างไรดีกว่าหมัดหมาหมัดแมวของเจ้าไหม”
จิ้นเหอยังตื่นตะลึงจ้องมองต้นกล้วยเบื้องหน้าซักพักกล่าวออกมา “โอ้วว!... นี่มันช่างยอดเยี่ยม ดีกว่าแน่นอนท่าอา” มุมปากมันปรากฎรอยยิ้มขึ้นมา
“ท่านอา...ถ่ายทอดให้ข้านะ...นะ” มันออดอ้อนอีกแล้ว
“ตะกี้ข้าไม่ได้ใส่พลังลมปราณลงไปด้วย หากใช้ร่วมกับพลังลมปราณอานุภาพจะรุนแรงขึ้นอีก” หมิงลู่กล่าวอย่างทะนงตน
“ท่านอา สอนพลังลมปราณข้าด้วยนะ เดี๋ยวศิษย์ถูหลังให้ท่านอาจารย์เอง เราไปแช่น้ำกันเถอะ” มันกล่าวพร้อมกับฉุดลากหมิงลู่ไป
“เจ้าเนี่ย ทีนี้เรียกข้าท่านอาจารย์เลย ฮ่าฮา เจ้าไม่ต้องเรียกข้าอาจารย์” หมิงลู่กล่าวหัวร่อขณะถูกจิ้นเหอฉุดลาก
“ทำไมท่านถึงไม่ให้ข้าเรียกท่านเป็นอาจารย์?” จิ้นเหอกล่าวด้วยความสงสัย
“เพราะ มันดูแก่ ข้ายังไม่อยากเป็นอาจารย์ ข้าอยากสอนข้าก็สอน ไม่อยากข้าก็ไม่สอน ฮ่าฮ่าเพราะฉะนั้นเจ้าไม่ต้องเรียกข้าอาจารย์” หมิงลู่กล่าวทั้งสองกำลังเดินลงเขาไปที่แอ่งน้ำด้านล่าง
“ตามใจท่าน ว่าแต่ท่านอาไหว้ต้นกล้วยทำไม ท่านรู้ว่าท่านจะทำมันหักเลยขอโทษมันหรืออย่างไร?”
“ที่ข้าไหว้น่ะข้าไหว้ครูบาอาจารย์ ที่ท่านสั่งสอนข้ามา”
“ถ้างั้น...ข้าก็ไม่ต้องไหว้หรือ ก็ท่านบอกไม่ให้เรียกเป็นอาจารย์?”
“เจ้านี่เดี๋ยวพ่อเขกกระโหลกให้เลย เจ้าไม่ต้องกราบไหว้ข้าเป็นอาจารย์ แต่เจ้าต้องไหว้ คนที่เค้าประสิทธิ์ประสาทวิชาขึ้นมา ท่านเหนื่อยยากขนาดไหน เจ้าไม่ต้องคิดค้นเจ้าแค่ฝึกปรือตาม คนเมืองสุวรรณภูมิ ทำอะไรล้วนต้องมีครูบาอาจารย์ เราต้องกราบไหว้ให้ความเคารพท่านก่อนจึงร่ำเรียนวิชา”
“ข้ารับทราบแล้วท่านอา” ทั้งสองมาถึงแอ่งน้ำ ลงแช่ยืดตัวกางแขนกางขาควักน้ำเล่น
“แล้วลมปราณ ท่านอาสอนข้าด้วยนะ” มันอ้อนอีกแล้วทำท่าทำทางจะมาถูหลังให้
“วิชาลมปราณของข้าไม่ค่อยดีนัก เกรงว่าจะทำให้เจ้าติดขัด เจ้าสู้หาสำนักใหญ่เข้าเรียนจะดีกว่า” หมิงลู่กล่าวเหลือบมองจิ้นเหอพอเห็นมันทำหน้าผิดหวัง
“แต่ข้ามีอย่างอื่นจะสอนเจ้า”
“สอนเลยๆ ข้าอยากเรียน” จิ้นเหอตอบ มิทันต้องคิด มือรีบทำงานถูหลัง
“เพลงดาบคู่ ใช้คู่กับพาหุยุทธ จะทรงอานุภาพแจ่มจรัส เลอเลิศ ฮ่าๆ” หมิ่นลู่กล่าวอย่างอารมณ์ขัน
“ข้าเรียนๆ ท่านอาแสดงให้ดูหน่อย” สายตาอ้อนวอนมุ่งหวังจะให้หมิงลู่ร่ายวิชาดาบให้ดู
“ตอนนี้ข้าไม่มีดาบเจ้าก็เห็น จะให้แสดงอย่างไร เจ้าต้องฝึกพาหุยุทธให้ช่ำชองก่อนจึงจะเรียนเพลงดาบต่อได้”
“ตกลงท่านอา ข้าจะทำตามท่านบอก” จิ้นเหอขัดถูหลังให้หมิงลู่ ทั้งสองแช่น้ำคุยกันจนเวลาล่วงผ่านไป
“มนุษย์ ที่ แปลอย่างหนึ่งว่า ผู้มีจิตใจสูง คือ มีความรู้สูง ดังจะเห็นได้ว่าคนเรามีพื้นปัญญาสูงกว่าสัตว์ดิรัจฉานมากมาย สามารถรู้จักเปรียบเทียบในควาตอนที่ 4 พาหุยุทธ
ภูเขาเหลาซาน เป็นยอดเขาโดดเดี่ยวสูงตะหง่านทะลุเมฆา พื้นที่โดยรอบเป็นหน้าผาสูงชันสลับเนินเขาสูงต่ำ ป่าไม้รกครึ้มมีถ้ำผุดขึ้นมากมายเป็นที่อาศัยของสัตว์ป่ารวมทั้งเหล่าอสูรกาย กินอาณาบริเวนนับเจ็ดร้อยไร่เศษ เนื่องจากอยู่ห่างไกลตัวเมือง จึงแทบจะไร้ผู้คนเดินทาง และกลางยอดเขาเป็นที่ตั้งของวัดหลันยั่วซื่อ สถานปฎิบัติธรรม
ภายในพระอุโบสถ มีองค์พระประธานก่อด้วยอิฐปูนปั้นอยู่สามองค์เป็นรูป องค์พระสัมมาสัมพุทธะเจ้าในปางต่างๆ ตั้งอยู่ในพระอุโบสถ พระประธานองค์กลางสูงใหญ่ที่แลดูสะดุดตา มีองคาพยพพระพักตร์รูปไข่ พระนาสิก โด่ง พระโอษฐ์ยิ้มแย้ม พระเนตรคล้ายจ้องมองลึกเย้ยหยันต่อทุกสรรพสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า เวลานี้พระทั้งวันต่างมาอยู่รมดี ความชั่ว ความควรทำไม่ควรทำ รู้จักละอาย รู้จักเกรง รู้จักปรับปรุงสร้างสรรค์ ปัญญาเป็นรัตนะ ส่องสว่างนำทางแห่งชีวิต ถึงดังนั้นก็ยังมีความมืดที่มากำบังจิตใจให้เห็นผิดเป็นชอบ ความมืดที่สำคัญนั่นก็คือ กิเลสในจิตใจและกรรมเก่าทั้งหลาย” เสียงของท่านเจ้าอาวาสกำลังให้หลักธรรมคำสั่งสอน พระลูกวัดต่างนั่งขัดสมาสทำสมาธิ หน้าอกขยับเข้าออก ลมหายใจผ่อนคลาย เป็นจุดเริ่มต้นของการฝึกลมปราณสมาธิ
ท่านเจ้าอาวาสท่านทรงสอนหลักธรรม ส่วนไต้ซือเฉิงเจี๋ยท่านสอน วิชา เบญจจัตุบาต การเลียนแบบท่าทางของ เสือ กวาง หมี ค่าง และ ปักษา เป็นวิชาออกกำลังเพื่อสุขภาพต่อมาจึงได้พัฒนาเป็นวิชาหมัดมวย
หมิงลู่สอนการเล่นซอให้จิ้นเหอ เริ่มจากส่วนประกอบของซอมีสองชิ้น ชิ้นแรกเรียกว่ากระโหลกซอ ขึงด้วยหนังวัว ทำหน้าที่อุ้มเสียง มีสายเอกสายทุ้ม รวมเป็นสองสาย อีกชิ้นเรียกคันสี ใช้ขนม้าร้อยกว่าเส้นขึงรวมกัน เวลาสีซอใช้นิ้วก้อยกับนิ้วนางบังคับสลับสาย ชักมือ ออก เข้า ออก เข้า เกิดเสียงโด โด ซอล ซอล
เช้านี้มีชาวบ้านสิบกว่าคนขึ้นเขาเพื่อกราบไหว้องค์พระประธาน เนื่องจากมีสัตว์อสูรบุกเข้าหมู่บ้านบ่อยขึ้น คนในหมู่บ้านที่เข้าป่าหาสมุนไพรหายไปสองคน หัวหน้าหมู่บ้านพาลูกบ้านออกตามหาไม่พบเจอแม้ซากศพ ส่งเรื่องไปตัวเมืองเพื่อขอกำลังทหารมาปราบปรามก็ยังไม่ได้คำตอบ เกิดความวิตกกังวลชาวบ้านล้วนแวดระแวง ไร้ที่พึ่งพิง จึงได้รวมตัวกันเดินทางขึ้นมากราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธ์ ขอพรให้ทรงปกป้องคุ้มครองพวกตน
“เออ..ท่านเจ้าอาวาสขอรับ ท่านไต้ซือท่านอื่นไม่ราบว่าได้พบเจอสัตว์อสูรพวกนั้นบ้างไหมขอรับ ?” เสียงของผู้ใหญ่บ้านเอ่ยถามด้วยความนอบน้อม
ไต้ซือทั้งหลายต่างหันสบตามองหน้ากันรวมทั้งจิ้นเหอด้วยต่างไม่มีใครกล่าวอะไรออกมา
ท่านเจ้าอาวาสตอบกลับไป “แค่กๆ อาตมาจำวัดอยู่สิบเจ็ดพรรษา..แค่ก..แค่ก...บนภูเขาอาตมาไม่เคยพบเจอสัตว์อสูรเลยซักครั้ง” ท่านยกน้ำชาขึ้นจิบแล้วกล่าวต่อ “วันนั้นประสกหานมาบอกเรื่องในหมู่บ้าน อาตมาคิดว่ามันเป็นไปได้ที่อสูรพวกนั้นจะออกมาหาอาหารในหมู่บ้าน แต่ที่อาตมาแปลกใจ บนเขากลับไม่เคยได้ยินแม้เสียง” ท่านเจ้าอาวาสจิบน้ำชาอีกครั้ง
“บนวัดต้องมีสิ่งศักสิทธิ์ปกป้องคุ้มครองอยู่แน่เลย” ชายวัยกลางคนที่เป็นชาวบ้านกล่าวออกมา
“ใช่...ข้าก็คิดว่างั้นต้องมีอิทฤทธิ์บุญบารมี” ผู้เฒ่าคนหนึ่งกล่าวขึ้นมาบ้าง
“หรือจะเป็นองค์พระประธานสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธะเจ้าท่าน” แม่เฒ่ากล่าว
“ใช่...ใช่พวกอสูรเลยไม่กล้าเข้าใกล้” เสียงใครไม่ทันมองพูดออกมา
“หรือจะเป็นญาณอิทฤทธิ์ของท่านเจ้าอาวาสเอง” อาซ้อหวังแสดงความคิดเห็นออกมาบ้าง
ถึงยามนี้ชาวบ้านต่างคิดกันไปตามแต่จิตสำนึกที่พึ่งละลึกของแต่ละบุคล เสียงพร่ำพรรณาอื้ออึง บ้างจะให้ท่านเจ้าอาวาสลงไปปราบอสูร บ้างจะขอของวิเศษ บ้างจะย้ายพระประธานลงไปหมู่บ้าน
บรรดาไต้ซืพอได้ฟังชาวบ้านปรึกษาถึงกับอ้าปากตาค้าง นี่ละหนามนุษย์ จิ้นเหอถึงกับพ่นลมหายใจออกมา
“อามิตตาพุทธ...ประสกทั้งหลายหยุดก่อน” เจ้าอาวาสท่านต้องห้ามศึกระหว่างชาวบ้านที่กำลังถกเถียงกันอยู่
“ตัวอาตมาเพียงศึกษาพระธรรม พึงปฏิบัติ ถือศีล กินเจ แค่นั้น อิทฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ไม่ได้ร่ำเรียนมาประสก”
ชาวบ้านต่างเงียบเสียงหันมองหน้ากัน แต่ยังคงนึกหาสิ่งศักดิ์สิทธ์สิ่งอื่นมาทดแทน จนท่านเจ้าอาวาสท่านกล่าว
“ถ้าจะมีสิ่งศักสิทธิ์ที่ว่าจริงๆ อาตมาคิดว่าน่าจะอยู่บนยอดเขา เมื่อก่อนเคยมีชาวยุทธกลุ่มหนึ่ง เดินทางมาแวะพักที่วัด แคร่ก...แคร่ก..เฉิงเจี๋ยท่านกล่าวต่อเถอะ” ท่านเจ้าอาวาสยกน้ำชาขึ้นดื่ม แล้วหลับตาลง
“อามิตตาพุทธ หลังจากที่พวกเขามาแวะพักที่วัด บอกว่ารู้สึกถึงพลังจิตวิญญาณมาจากบนยอดเขา พวกนั้นถามถึงว่าที่วัดมีปรากฎการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้นบ้างไหม อาตมากับท่านเจ้าอาวาสไม่ได้พบเจอเหตุประหลาดอันใด จึงตอบประสกเหล่านั้นไปตามตรงชาวยุทธเหล่านั้นเดินทางขึ้นเขากันไป” ไต้ซือเฉิงเจี๋ยหยุดกล่าวสูดลมหายใจ
“ตอนขากลับแวะลงมา บอกว่ามีต้นไม้ใหญ่ขนาดสิบยี่สิบคนโอบไม่รอบ พวกเขาข้ามกันไปไม่ได้มันมีหน้าผาคั่นอยู่ระหว่างกลาง หลังจากวันนั้นท่านเจ้าอาวาสให้อาตมาขึ้นไปดู อาตมาเห็นเหมือนที่ประสกเหล่านั้นได้บอกไว้ มันมีคลื่นพลังพลิ้วไหวไหลวนอยู่ในอากาศ อาตมารู้สึกถึงแรงกดดันจึงจากมา อามิตตาพุทธ” ไต้ซือเฉิงเจี๋ยกล่าวจบยกน้ำชาขึ้นดื่มอีกครั้ง
“จอมยุทธ เหล่านั้นแวะมาอีกไหมท่านไต้ซือ?” ผู้ใหญ่บ้านถามขึ้น
“เท่าที่อาตมาเห็นมีกลุ่มอื่นๆ มาด้วยแต่ไม่ได้แวะในวัดประสกถามทำไมหรือ” ไต้ซือเฉิงเจี๋ยตอบ
“ไม่มีอะไร ท่านไต้ซือข้าแค่ถามๆ ดู” ผู้ใหญ่บ้านตอบคำทำท่าทางคล้ายจะถามต่อแต่เงียบไป
หลังจากได้ฟังจนจบหลวงจีนในวัด และชาวบ้านต่างเงียบเสียงลงบรรจงใช้ความคิด บ้างว่าอยากขึ้นไปชมดู บ้างว่าจะไปหาใบไม้ของต้นนั้นเผื่อมันปลิวข้ามฝั่งมาจะได้เอามาไว้กันพวกอสูร ต่างคนต่างคิดกันไป
“ทางขึ้นมันอันตราย เดินเหินยากลำบาก ทั้งยังมีพลังจิตวิญญาณให้กดดันอีก อาตมาไม่อยากให้พวกประสกเป็นอันตราย” ไต้ซือเฉิงเจี๋ยกล่าวดักคอเพราะรู้ถึงความคิดของชาวบ้าน
พวกชาวบ้านยังคงปรึกษากันอยู่ ท่านเจ้าอาวาสเห็นว่าไร้เรื่องราวใดแล้วจึงหมายลุกจากไปเหล่าชาวบ้านจึงกราบลาท่านเจ้าอาวาสและไต้ซือ ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไป
จิ้นเหอ วิ่งแจ้นเพื่อมาหาหมิ่งลู่ บอกเล่าเรื่องต้นไม้บนยอดเขา กระตือลือล้นชวนขึ้นไปด้านบน แต่หมิงลู่ปฏิเสธ อ้างเหตุผลมันขี้เกียจแบกจิ้นเหอลงมา มันแปดขวบเองไว้โตกว่านี้แข็งแรงกว่านี้ก่อนค่อยไป จิ้นเหอเห็นว่าหมิงลู่ไม่พาไปแน่แล้วจึงเปลี่ยนไปตั้งคำถามแทน
“ท่านอา จอมยุทธคืออะไร?” จิ้นเหอบังเกิดความสนใจคำที่ผู้ใหญ่บ้านกล่าวถึงในพระอุโบสถ
หมิงลู่... คิ้วชนกันพยายามรวบรวมเหตุผล หวังจะตอบจิ้นเหอ ผ่านไปพักใหญ่มันกล่าวออกมาข้าไม่รู้!...น่าปวดหัวชะมัด เจ้าถามอะไรข้านี่” เงียบ......ซักพัก..มันท่องบทกวีออกมาแทน
“ชีวิตที่ปราศจากการที่ต้องดิ้นรนไขว่คว้า ขุ่นข้องหมองใจลำบากตรากตรำ ชีวิตเช่นนั้นจะมีความหมายอะไรให้ค้นหา กล้าหาญชาญชัยที่จะจินตนาการ เผชิญหน้ากับความล้มเหลวอย่างองอาจ พ่ายแพ้อย่างสงางาม หรือมิใช่สิ่งเหล่านี้ที่ขัดเกา แต่งแต้มชีวิตให้หมดจดงดงาม เรียนรู้ที่จะอยู่ และยอมรับที่จะตายไม่วันใดก้อวันหนึ่ง ไม่ช้าก็เร็ว มีช่องว่างๆ มีทางให้เดินก็แค่หาวิธีหลุดพ้น ไม่เบียดเบียนตัวเอง ไม่เบียดเบียนผู้คน ผิดถูกดีชั่วก็มีอยู่เท่านี้”
“บทนี้ข้าเคยอ่านเจอในหนังสือ ข้าไม่เข้าใจความหมายของมันทั้งหมด มิอาจแน่ใจจะใช่จอมยุทธที่เจ้าหมายความถึงหรือไม่ ส่วนสำหรับข้ามันยังมิใช่ เจ้าหาคำตอบเอาเองเถอะ”
จิ้นเหอพอฟังจบแล้วใช้สมองครุ่นคิดตามบทกวี แล้วอ้าปากออกมา “แฮ่ๆ ข้าฟังแล้วก็ไม่เห็นเข้าใจ”
“ข้าถึงบอกให้เจ้าไปหาคำตอบเอาเอง แล้วเจ้ามีอะไรอีกไหม?” หมิงลู่ถามเห็นจิ้นเหอยังทำท่าทางครุ่นคิดอยู่อีก
“มีครับท่านอา แล้วชาวยุทธคืออะไร” สีหน้ามีความไคร่รู้ถามต่ออีก
“ชาวยุทธ คือ...ผู้ที่ฝึกศิลปะการต่อสู้ มีกำลังภายนอกภายใน พลังจิตวิญญาณ เหาะเหินเดินอากาศ อย่างข้าก็เป็นชาวยุทธ ฮ่าฮ่า” หมิงลู่ตอบอย่างภูมิใจในความเป็นชาวยุทธของตัวเอง
“ใช่หรือท่านอา ข้าไม่เห็นท่านจะมีสิ่งที่ท่านพูดมาเลยนอกจากสีซอให้ข้าฟัง?” มันกล่าวถากถางหารู้ไม่ว่าคำนี้เข้าตัวเอง
“ฮาฮ่า สีซอให้ควายฟัง” หมองล่ม่หัวร่อออกมา ก่อนออกอาการกะฟัดกระเฟียด
“ชิ!...เจ้าหลวงจีนน้อย หมัดเสือหมัดหมีเจ้าฝึกถึงไหนแล้ว” หมิงลู่กล่าวยักคิ้วจ้องจิ้นเหอ “เจ้าตามมานี่เดี๋ยวข้าจะแสดงอะไรให้เจ้าดู” ว่าแล้วกวักมือเรียกให้จิ้นเหอตามไป
หมิงลู่พามันมาถึงดงต้นกล้วย ถอดเสื้อนอกส่งให้จิ้นเหอถือ ตอนนี้มันเปลือยอก กวาดตาหาเป้าหมายเดินเข้าไปหาต้นกล้วยที่อยู่โดดเดี่ยว “เจ้าดูให้ดี” สองมือยกขึ้นประกบตรงหว่างคิ้วเหมือนไหว้พระแต่กลับไหว้ต้นกล้วย.?? พอไหว้เสร็จมันยกแขนสองข้างตั้งฉากเสมออก มือหนึ่งอยู่ข้างหน้า อีกมือหนึ่งอยู่ถัดมือแรกมาหน่อย สลับเท้ากับมือ ขยับตัวโยกศรีษะเล็กน้อยสืบเท้าตรงไปที่ต้นกล้วยพอถึงก้าวที่สาม
มันกำหมัดกระแทกไปที่ต้นกล้วย ปึก..ปึก.. ซ้าย ขวา หนึ่ง สอง หนึ่ง สอง ฉับพลันมันยกศอกซ้ายขึ้นตั้งฉากในแนวนอนเสมอทรวงอก แล้วฟันฉับไปที่ต้นกล้วย ศอกซ้าย ศอกขวา ศอกซ้าย ศอกขวา โอ้ว..... ตัวกับหัวยังคงโยกส่ายโงนเงน ฉับพลัน...มันเอาสองมือจับต้นกล้วยน้อมลงเข้าหาตัวเหวี่ยงสปิงเข่ากระแทกพุ่งเข้าใส่ เข่าซ้าย...เข่าขวา..ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา โอ้ววว...
ฉับพลันมันปล่อยมือยกสองมือมาบังไว้ที่หน้า มันยกเท้าซ้ายเตะเข้าไปที่ต้นกล้วยเสียงดัง ป๊าบ!...พอเท้าตกพื้นมันสลับเท้าขวาเตะขึ้นแทน ป๊าบ...ป๊าบ...ซ้าย..ขวา...ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา เสียงดังสนั่น
ฉับพลันมันเตะไม่โดนพอเท้าตกพื้นมันหมุนพลิกตัวเหวี่ยงเท้าอีกข้างฟาดใส่ เปรี้ยง!!..ต้นกล้วยฉีกขาดหักงอลงมันจึงหยุดแล้วยกมือขึ้นไหว้ต้นกล้วยอีก.?? หมิ่งลู่เดินมาหยิบเสื้อคืน เช็ดหน้าเช็ดตาเหลียวมองจิ้นเหอ มันยังคงเบิ่งตาโพลงอ้าปากค้างอยู่
“มันเรียกว่า พาหุยุทธ กระบวนท่าต่อเนื่อง” หมิงลู่ยกแขนเช็ดเหงื่อที่ใบหน้าแล้วกล่าวต่อ “เป็นอย่างไรดีกว่าหมัดหมาหมัดแมวของเจ้าไหม”
จิ้นเหอยังตื่นตะลึงจ้องมองต้นกล้วยเบื้องหน้าซักพักกล่าวออกมา “โอ้วว!... นี่มันช่างยอดเยี่ยม ดีกว่าแน่นอนท่าอา” มุมปากมันปรากฎรอยยิ้มขึ้นมา
“ท่านอา...ถ่ายทอดให้ข้านะ...นะ” มันออดอ้อนอีกแล้ว
“ตะกี้ข้าไม่ได้ใส่พลังลมปราณลงไปด้วย หากใช้ร่วมกับพลังลมปราณอานุภาพจะรุนแรงขึ้นอีก” หมิงลู่กล่าวอย่างทะนงตน
“ท่านอา สอนพลังลมปราณข้าด้วยนะ เดี๋ยวศิษย์ถูหลังให้ท่านอาจารย์เอง เราไปแช่น้ำกันเถอะ” มันกล่าวพร้อมกับฉุดลากหมิงลู่ไป
“เจ้าเนี่ย ทีนี้เรียกข้าท่านอาจารย์เลย ฮ่าฮา เจ้าไม่ต้องเรียกข้าอาจารย์” หมิงลู่กล่าวหัวร่อขณะถูกจิ้นเหอฉุดลาก
“ทำไมท่านถึงไม่ให้ข้าเรียกท่านเป็นอาจารย์?” จิ้นเหอกล่าวด้วยความสงสัย
“เพราะ มันดูแก่ ข้ายังไม่อยากเป็นอาจารย์ ข้าอยากสอนข้าก็สอน ไม่อยากข้าก็ไม่สอน ฮ่าฮ่าเพราะฉะนั้นเจ้าไม่ต้องเรียกข้าอาจารย์” หมิงลู่กล่าวทั้งสองกำลังเดินลงเขาไปที่แอ่งน้ำด้านล่าง
“ตามใจท่าน ว่าแต่ท่านอาไหว้ต้นกล้วยทำไม ท่านรู้ว่าท่านจะทำมันหักเลยขอโทษมันหรืออย่างไร?”
“ที่ข้าไหว้น่ะข้าไหว้ครูบาอาจารย์ ที่ท่านสั่งสอนข้ามา”
“ถ้างั้น...ข้าก็ไม่ต้องไหว้หรือ ก็ท่านบอกไม่ให้เรียกเป็นอาจารย์?”
“เจ้านี่เดี๋ยวพ่อเขกกระโหลกให้เลย เจ้าไม่ต้องกราบไหว้ข้าเป็นอาจารย์ แต่เจ้าต้องไหว้ คนที่เค้าประสิทธิ์ประสาทวิชาขึ้นมา ท่านเหนื่อยยากขนาดไหน เจ้าไม่ต้องคิดค้นเจ้าแค่ฝึกปรือตาม คนเมืองสุวรรณภูมิ ทำอะไรล้วนต้องมีครูบาอาจารย์ เราต้องกราบไหว้ให้ความเคารพท่านก่อนจึงร่ำเรียนวิชา”
“ข้ารับทราบแล้วท่านอา” ทั้งสองมาถึงแอ่งน้ำ ลงแช่ยืดตัวกางแขนกางขาควักน้ำเล่น
“แล้วลมปราณ ท่านอาสอนข้าด้วยนะ” มันอ้อนอีกแล้วทำท่าทำทางจะมาถูหลังให้
“วิชาลมปราณของข้าไม่ค่อยดีนัก เกรงว่าจะทำให้เจ้าติดขัด เจ้าสู้หาสำนักใหญ่เข้าเรียนจะดีกว่า” หมิงลู่กล่าวเหลือบมองจิ้นเหอพอเห็นมันทำหน้าผิดหวัง
“แต่ข้ามีอย่างอื่นจะสอนเจ้า”
“สอนเลยๆ ข้าอยากเรียน” จิ้นเหอตอบ มิทันต้องคิด มือรีบทำงานถูหลัง
“เพลงดาบคู่ ใช้คู่กับพาหุยุทธ จะทรงอานุภาพแจ่มจรัส เลอเลิศ ฮ่าๆ” หมิ่นลู่กล่าวอย่างอารมณ์ขัน
“ข้าเรียนๆ ท่านอาแสดงให้ดูหน่อย” สายตาอ้อนวอนมุ่งหวังจะให้หมิงลู่ร่ายวิชาดาบให้ดู
“ตอนนี้ข้าไม่มีดาบเจ้าก็เห็น จะให้แสดงอย่างไร เจ้าต้องฝึกพาหุยุทธให้ช่ำชองก่อนจึงจะเรียนเพลงดาบต่อได้”
“ตกลงท่านอา ข้าจะทำตามท่านบอก” จิ้นเหอขัดถูหลังให้หมิงลู่ ทั้งสองแช่น้ำคุยกันจนเวลาล่วงผ่านไป
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ