บันทึกปริศนา เรื่องลี้ลับของลิซ่า
เขียนโดย Jabberwocky
วันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 19.29 น.
แก้ไขเมื่อ 5 กันยายน พ.ศ. 2559 23.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
9) วิวจากด่านฟ้าตอนกลางคืน(ภาพลางมรณะ)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความวันศุกร์ ที่20 สิงหาคม เวลา22นาฬิกา ณ คอนโดแสนรักร่มสิริ
“แม่หนูกลับมาแล้ว แม่..”
เด็กสาวเรียกหาแม่ของเธอหลังจากที่กลับมาจากเรียนพิเศษที่สยามจนสามทุ่ม เธอเคาะประตูห้องของเธอให้ดังขึ้น แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับ
“แม่! เป็นอะไรรึเปล่า”เธอยืนอยู่หน้าประตูนานพอที่จะสังเกตถึงสิ่งผิดปกติได้แล้ว เด็สาวรีบค้นหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋านักเรียนสีดำนั้นอย่างลนลาง และรีบกดเบอร์แม่ของเธอ
แต่ไม่ใช่อย่างที่หวัง แม่ของเธอไม่รับสายของเธอ เธอเลยเลือกที่จะโทรหาพ่อ
“ว่าไงมิ้น”เพียงอึดใจเดียวพ่อของเธอก็รับโทรศัพท์
“แม่อยู่กับพ่อรึเปล่า”
“เปล่านี่ พ่อก็ยังอยู่ที่บริษัทอยู่เลย”
“แม่ไม่อยู่ในห้องอะ โทรศัพท์ก็ไม่รับ ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น”
“แปลกจังเเฮะ งั้นรออยู่นั่นแหละเดี๋ยวพ่อรีบไป ลูกก็ลองตามหาแม่ในคอนโดละกัน”
เสร็จแล้วเธอก็วิ่งตามหาแม่ของเธอเริ่มจากบริเวณล๊อบบี้ขึ้นมาชั้น1 แต่แล้วก็มีเสียงตะโกนมาจากข้างนอกอาคารและคนมากมายยืนเป็นไทมุงกันแงนมองไปยังฟากฟ้า เธอรีบตรงไปยังทางออกเพื่อดูว่ามีอะไรเกิดขึ้น
“มีใครโทรแจ้งตำรวจรึยังเนี้ย”
“น่าจะใกล้ถึงแล้วนะ”
“คุณ!!อย่ากระโดดลงมาเลยนะ”
จากด่านฟ้าที่สูง10ชั้น มีร่างของหญิงคนหนึ่งยืนอยู่ที่ริมของด่านฟ้า เธอไม่รู้เลยว่าหญิงคนนั้นเป็นใครเพราะระยะห่างที่มากมายนี้ แต่เธอกลับมีความรู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก
“คุณผู้หญิงหยุดอยู่ตรงนั้นนะครับ”ตำรวจมากมายและแสงจากรถสาดส่องมาที่พวกเธอ ตำรวจใช้โทรโข่งพูดกับหญิงผู้คิดสั้นนั้น
“ใจเย็นนะครับคุณ อย่าโดดลงมานะครับคุณ”
มิ้นมองตำรวจสองสามคนวิ่งเข้าไปในอาคารพร้อมๆกับเธอที่ยังยืนเฝ้ามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ หญิงคนนั้นดูเมิ่อลอยและยังกอดรูปภาพบางอย่างเอาไว้ด้้วย
“คุณผู้หญิงครับ ใจเย็นๆนะครับ”
และทันใดนั้นหญิงสาวก็ก้าวเท้าเปล่าและพลัดตกลงมาจากขอบดาดฟ้า
“กรี๊ดดดดดดดดดดด!!”เสียงกรีดร้องของหญิงสาวคนนั้นดังลั่นประสานกับเสียงวีดของผู้คนในไทมุง ร่างของเธอล่วงหล่นและกระทบกับพื้นอย่างแรงจนรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนเบื่องล่างของเท้าของพวกเขา
มิ้นสะอึกยืนนิ่งกับภาพตรงหน้า ก่อนจะค่อยๆก้าวเข้าไปดูศพอย่างกับมีแรงดึงดูดเธอ ทันใดนั้นสีหน้าของเธอก็พลันซีดขาวหลังจากที่มองเห็นหญิงคนนั้น
“แม่!!!!”
…………………………………………………………
“เกิดการกระโดดฆ่าตัวตายโดยไร้สาเหตุอีกแล้วงั้นเหรอ”
“ใช่...นี่เป็นรายที่สี่แล้วที่เกิดเรื่อง และพวกเขาก็มีรูปภาพแบบเดียวกันในสถานที่เกิดเหตุ”
“รูปภาพอะไร”
“คนยืนอยู่ริมเหว”
การสนทนาของคุณลิซ่าที่นั่งจิบนำ้ชาบนโต๊ะหินอ่อนหน้าร้านขายของเก่าแกรนด์มาและสารวัตรเมธีเป็นไปอย่างเคร่งเครียดทีเดียว นี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่เกิดเรื่องประหลาดๆขึ้น และผมก็เริ่มชินกับมันเสียแล้วด้วย
ผมอักษร อภิรเมธีวงศ์ ฉากหน้าผมก็เป็นแค่ลูกจ้างของร้านขายของโบราณธรรมดาๆแห่งแต่เบื่องหลังผมก็คือผู้ช่วยของผู้ที่ได้รับฉายาต่างๆมากมายของการข้องเกี่ยวกับความลี้ลับอยู่ตลอดเวลา คุณลิซ่า..หรือชื่อเต็มของเธอ ลิซ่า เด แสตนฟอร์เดีย ผู้วิเศษด้วยความรักและภารกิจจากพระเจ้า
“มีเรื่องกันอีกแล้วหรือครับ”ผมเดินเข้าไปถามทั้งสองคนหลังจากที่ทำงานหลังร้านเสร็จ
“มีคนกระโดดฆ่าตัวตายจากอาพาทเม้นชั้นหกแถวลาดพร้าวเมื่อสองวันก่อนน่ะ ถามคนใกล้ตัวก็ไม่รู้สาเหตุแน่ชัด เพราะไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้าหรือมีอาการแปลกๆก่อนหน้านั้นเลย”
สารวัตรเมธีก็เขยิบภาพที่เกลื่อนกล่านเต็มโต๊ะให้ผมเห็นถนัดขึ้น มันเป็นภาพถ่ายจากสถานที่เกิดเหตุ ผู้ชายวัยชราประมาณเจ็ดสิบแปดสิบนอนหงายแน่นิ่งบนกองเลือด พร้อมๆกับกอดรูปภาพใส่กรอบอย่างดีอยู่ในอก
“แปลกมากเลยนะว่ามั้ย อักษร”คุณลิซ่าชายตาขึ้นถามผม
“ครับ แปลกมากจริงๆครับ”
“ลองดูภาพที่อยู่ในกรอบสิ”
เธอยื่นรูปถ่ายที่ถ่ายภาพที่ถูกติดกรอบอย่างดีนั้นให้ผม มันเป็นรูปผู้ชายหนุ่มยืนอยู่ริมเหวที่ไม่มีอะไรเลย เหมือนมันจะถูกวาดขึ้นด้วยสีนำ้มันและขนาดแค่a2เท่านั้น ถึงมันจะดูเหมือนภาพธรรมดาแต่ก็กลับสื่อถึงความว่างเปล่าได้อย่างดีเลยทีเดียว
“มันทำให้ฉันคำคมของฮัล โฮลบรูคขึ้นมาเลยล่ะ”
“คำคมหรอครับ”
“ชายคนหนึ่งมองไปยังเหวลึก ที่นั่นไม่มีอะไรจ้องมองมาที่เขาเลย และในตอนนั้นเองเขาก็ค้นพบตัวตนของเขา และจากนั้นเขาก็ออกห่างจากหุบเหวนั้นเสีย”
“ประมาณว่าการกลัวตายหรือครับ”
“อย่างนั้นแหละ แต่จากเรื่องที่เกิดขึ้นมันตรงกันข้ามเลย บางทีเขาอาจคิดว่าการลงไปยังเหวลึกจะเป็นทางเลือกที่น่าดีใจมากกว่า”
“ทำไมเธอถึงคิดแบบนั้นล่ะ”สารวัตรไม่เห็นด้วยกับความคิดของคุณลิซ่า
“ง่ายมาก เพราะความแก่ไง”
“ความแก่?”
“ความแก่เป็นความทุกข์นะ ทั้งการเจ็บป่วย การเป็นภาระ การอยู่กับโลกที่เปลียนไปจนตามไม่ทัน ทางเลือกของพวกเขามีไม่มากนักหรอก หนึ่งทนกับความทุกข์บนโลกหรือตายทางลัด ทางที่ดีกว่ารอให้ถึงเวลาชะตาขาด”
“นั่น..เป็นความรู้สึกของคนอยากฆ่าตัวตายสินะครับ”
“พวกยอมรับธรรมชาติไม่ได้ก็แบบนี้แหละ แต่ว่ากรณีของไอแก่นี่มันคนละเรื่องใช่มั้ย สารวัตร”
“ใช่ ผู้ชายคนนี้เป็นเศรษฐีใจบุญที่ชอบบริจาคเงินให้เด็กยากไร้ เขาน่าจะเป็นคนรักชีวิตคนนึงเลย”
“ปริศนาอีกแล้ว...”ผมพึมพำกับตัวเองพร้อมๆกับถอนหายใจ
“จะเอาไงต่อล่ะ จะให้ฉันไปตรวจดูภาพนั้นด้วยตัวเองมั้ย”
“ก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว..”แล้วจู่ๆโทรศัพท์ของสารวัตรก็ดังขึ้นเป็นเสียงกริ่งธรรมดาๆ “ฮัลโหล สารวัตรเมธีครับ...เกิดเรื่องขึ้นอีกแล้วหรอ ที่ไหน...เฮ้ออออ!!”
ผมกับคุณลิซ่ามองหน้ากันอย่างงุนงงกับการถอนหายใจที่ดูรำคาญอย่างประหลาดนั่น เขาเป็นตำรวจแต่กลับเบื่อการทำคดีแบบนี้ ผมรู้สึกแปลกๆมานานทีเดียว
“เข้าใจแล้วจะไปเดี๋ยวนี้เเหละ”แล้วเขาก็วางมือถือไว้กับโต๊ะ
“เหยื่อคนที่ห้าล่ะสิ”
“ใช่ แล้วจะเล่ารายละเอียดในรถละกัน”
“งั้นรอฉันเปลี่ยนชุดก่อน”
“เราไม่มีเวลารอเธอแต่งตัวหรอกนะแม่คุณ”
“ใครจะไปปล่อยตัวให้โทรมเหมือนหมาข้างถนนแบบนายกันละยะ บุคลิกภาพตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Personality” มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกว่า “Persona” ซึ่งมีความหมายว่า “Mask” แปลว่า “หน้ากาก” สําหรับตัวละครใช้สวมหน้า เวลาออกแสดง เวลาออกโรงเพื่อแสดงบทบาทที่ถูกกําหนดให้ และฉันจะไม่แสดงเป็นขอทานหรือตัวประกอบแบบพวกนายแน่รู้ไว้ซะด้วย”
พูดเสร็จคุณลิซ่าก็เดินเชิดหน้าตรงเข้าไปในร้าน ปล่อยให้ผมและสารวัตรยืนงงอย่างนั้นโดยไม่ปรานี
“ฉันล่ะเหนื่อยใจกับอีนี่จริงๆ”
“แต่นั่นก็สมกับเป็นคุณลิซ่านะครับ”ผมยังคงพยายามมองโลกในแง่ดีและมองมันเป็นแค่เรื่องตลกเท่านั้น
หลังจากที่รอคุณลิว่าแต่งตัวเกื่อบ30นาที เธอก็ออกมากับชุดโลลิต้าสีม่วงดำที่ประดับประดาไปด้วยลูกไม้และจีบทับซ้อนกันอย่างปรานีตแร่นอนเธอก็จะถามคำถามเดิม
“ชุดนี้เป็นไงบ้าง ฉันสั่งตัดเองเลยนะ หิๆ”
“เออ ดีแล้ว รีบไปกันเถอะ”สารวัตรเดินไปที่รถส่วตัวโดยไม่แม้แต่จะเหล่มองมา
“เน้!!เสียมารยาทจริงๆเลย อีตาบ้าเมธี!!”ถึงจะว่าอย่างนั้นแต่คุณลิซ่าก็วิ่งตามไปเหมือนเด็กๆและก็มีผมเดินตามปิดท้ายเหมือนทุกๆครั้ง
“ว่าแต่ทำไมคราวนี้ถึงรีบกลับสถานีจังเลยล่ะครับ”ผมถามสารวัตรที่ทำหน้าเครียดระหว่างขับรถ
“เมีียของหัวหน้าฉันกระโดดฆ่าตัวตายที่คอนโดแกเมื่อคืนนี้น่ะสิ”
“หา!? วิภาน่ะนะ”คุณลิซ่าดูตกใจมาก ผมไม่รุ้จักเธอหรอกแต่ว่าถ้าเป็นเพื่อนกับคุณลิซ่าล่ะก็ เธอน่าจะเป็นคนที่ดีมากคนหนึ่งเลยทีเดียวที่สามารถเป็นเพื่อนกับคุณลิซ่าได้
“ตอนสี่ทุ่มเมื่อคืน มีภาพใส่กรอบอยู่กับเธอเหมือนเหยื่อคนอื่นๆ”
“ภาพเดียวกันหรือครับ”
“เขาไม่ได้บอกแต่เดี๋ยวก็รู้เองนั่นแหละ”
แล้วผ่านไปในความเงียบงันประมาณชั่วโมงเราก็มาถึงที่สถานีที่สารวัตรประจำอยู่ เราออกจากรถและเดินเข้าไปข้างใน แล้วสารวัตรก็นำทางพวกเราเข้าไปยังห้องๆหนึ่ง ข้างหน้าเขียนว่าแผนกสืบสวน
ก็เป็นอย่างที่คิดไว้ ในแผนกมีทั้งชายทั้งหญิงเดินวุ่นเดินเอกสารกันจ้าละหวั่น พร้อมๆกับชายวัยกลางคนร่างท่วมที่กำลังรับโทรศัพท์อย่างลนลานเช่นกัน
“รายงานตัวครับ ท่านรอง”สารวัตรเมธีทำความเคารพหลังจากที่เขาวางหูไปแล้ว
“สารวัตร ผมดีใจจริงๆที่เจอคุณ”ท่านรองคนนั้นโผลเข้ากอดสารวัตรก่อนจะถอนหายใจ “คุณต้องไม่เชื่อผมแน่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
“ครับ ผมได้รับรายงานจากจ่าทีสนิทกันแล้วครับ”
“ออ ดีๆแล้วนั่นคือ...”แลั้วคุณลิซ่าก็ถอนสายบัวพร้อมๆกับยกกระโปรงของเธอ
“ลิซ่าค่ะ ลิซ่า เด แสตนฟอร์เดีย นี่อักษร อภิรเมธีวงศ์ ผู้ช่วยของฉันเอง พวกเรามาจากร้านแกรนด์มา ขายของเก่าค่ะ”
“ร้านแกรนด์มางั้นเหรอ”
“ครับ พวกเขาเป็นคนที่ช่วยเหลือในคดีที่ไขไม่ได้ครับ”
“คะ คุณ...คิดว่าคดีนี้เป็นฝีมือของผีงั้นเหรอ ถึงได้พาหมอผีมาที่นี่น่ะ!”
คำพูดของท่านรองเต็มไปด้วยความคุมเคืองพอๆกับอยยิ้มที่ปรากฎบนใบหน้าของคุณลิซ่าก็หุบลงไป
“ฉันไม่ใช่หมอผี บอกกี่ทีแล้วเนี้ย”เธอถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย “โอเค ก็ได้ ฉันคือหมอผีแต่ไม่ได้เป็นหมอผีชั้นต่ำแบบในละครหรือตามศาลาวัดก็แล้วกัน”
“เธอช่วยเราได้จริงๆนะครับ ท่านรอง”
“อย่าพาเธอมาที่นี่อีกเป็นครั้งที่สอง ผมขอสั่งคุณ”
“ท่านรองครับ!!”
เขาไม่ฟังอะไรอีกต่อไปก่อนจะหันหลังและเดินไปสั่งงานกับตำรวจคนอื่นๆต่อ เขาเดินฉับๆเข้าไปในห้องและปิดประตูเสียงดังอย่างไม่สบอารมณ์
“อะไรเนี้ยไรมารยาทจริงๆ”คุณลิซ่าบ่นก่อนจะเอามือกอดอก
“โทษทีนะ ฉันไม่คิดว่าเขาจะรังเกลียดเธอขนาดนั้น”
“เขาคิดว่าฉันเป็นพวกต้มตุ๋นน่ะสิ”
“คุณลิซ่าครับ ก็สัญญาแล้วไม่ใช่หรอครับ ว่าจะไม่อ่านใจคนอื่นน่ะ”
“ก็ความคิดของเขามันเด่งเข้ามาในหัวเองอะ เหมือนเขาอยากให้ฉันรู้ยังไงอย่างงั้นเลย”
“ไม่ต้องมาแก้ตัวเลยครับ”ผมถอนหายใจ “แล้วเอาไงต่อล่ะครับ สารวัตร”
“ฉันจะเข้าไปคุยกับท่านอีกทีก็แล้วกัน อย่างน้อยฉันก็ไม่อยากให้ท่านคิดว่าคุณวิภาฆ่าตัวตาย...”
นำ้เสียงของสารวัตรแผ่วลงก่อนจะมุ่งหน้าไปที่ห้องของท่านรอง ปล่อยให้เราอยู่ในบริเวณนั้นกันแค่สองคน แล้วคุณลิซ่าก็ดึงเก้าอี้พนักงานที่ว่างนั่งลงอย่างหงุดหงิด
“อย่าไปถือสาเลยครับ คุณลิซ่า เขาแค่ไม่เข้าใจเท่านั้นแหละ”
“ฉันรู้น่า...”เธอพูดด้วยเสียงเบาเชิงเศร้าๆ ปากของเธอเบ่เป็ดเหมือนจะร้องไห้ “ฉันก็แค่...เศร้าล่ะมั้ง...”
ผมนั่งยองก็พื่นข้างๆเธอ แหงนมองใบหน้าขานวลนั่นแล้วยิ้มให้เธอเผื่อเธอจะอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง
“อะ..อะไรเล่า จู่ๆก็ยิ้มแบบนั้นน่ะ โรคจิตรึไง” รอยยิ้มของผมหุบลงทันที
“เวลาคุณลิซ่าจะทำอะไรก็ขึ้นกับอารมณ์ไม่ใช่หรือครับ งั้นก็รีบๆอารมณ์ดีเถอะครับจะได้ทำงานกันต่อ”
“จะทำได้ไงเล่าตอนนี้ ก็เห็นอยู่ว่าเขาไม่อยากให้ฉันทำ”
“ก็ทำให้เขาอยากให้คุณทำสิครับ ด้วยความรู้และประสบการณ์ของคุณ"
“….” เธอนิ่งเงียบไปก่อนจะตบหน้าตัวเองเบาๆด้วยสองมือ “จริงของนาย เอาล่ะ!!!”
เธอลุกขึ้นจากที่นั่งและตรงไปที่ห้องๆนั้นที่แว่วจะเหมือนมีปากเสียงกัน เราเปิดประตูเข้าไปและพบกับท่านรองและสารวัตรที่เริ่มโวยวายกันเอง
“ถ้าอยากรู้ความจริงของคดีนี้ เราต้องมีเธอ เธอจะช่วยเราได้นะครับ!”
“ไอพวกหมอดูหมอเดามันก็แค่พวกต้มตุ๋น ฉันเคยโดนหลอกมาครั้งนึงแล้ว ฉันไม่มีทางโดนหลอกเป็นครั้งที่สองแน่!!”
“งั้นก็แสดงว่าคุณคิดว่าสารวัตรมาหลอกต้มคุณอย่างนั้นหรือคะ”ทันทีที่คุณลิซ่าเอ่ยปากพูดด้วยเสียงแข็งแต่อ่อนโยน ทั้งสองก็หยุด
“ความเชื่อใจกันที่มีมานานคงไม่ได้ทำให้คุณยอมสินะคะ”
แล้วคุณลิซ่าก็เดินไปที่ที่นั่งตรงหน้าโต๊ะทำงานของท่านรอง เธอนั่งลงอย่างสุภาพและชายตามองท่านรองที่นั่งอยู่ตรงข้าม
“คุณจะว่าอะไรมั้ยถ้าฉันจะ...ช่วยอ่านความคิดของคุณซักหน่อย”
“ว่าไงนะ เอาอีกแล้วหรอ พวกคุณนี่มัน...”
“ลูกสาวของคุณมีสองคน มิ้นและมาย มายเป็นคนที่ตาย...เมื่อไรกัน”
“…..”ไม่มีเสียงตอบรับ เขามองคุณลิซ่าอย่างตกตะลึง และแน่นอนเขาคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้
“อย่ามาเล่นทริกนี้กับผม...มันไม่ตลกนะ”
“ค่ะมันไม่ตลกเลยซักนิด คุณยอมรับการตายของลูกสาวคุณไม่ได้เลยเรียกหมอผีมาที่บ้านคุณ โอ้ว...เป็นหมอผีที่ฉลาดมากทีเดียว เขาใช้เทคนิคการสังเกตในการอนุมานเรื่องครอบครัวของคุณ”
“กะ..การสังเกต..การอนุมาน...งั้นเหรอ”
“ใช่แล้วล่ะ การสังเกตและอนุมาน เหมือนการไขคดีของนักสืบในนวนิยายชื่อดัง เขาศึกษาและพยายามคิดแบบเชอร์ล็อคโฮล์มส์ มันก็เรียกได้ว่าเป็นการอนุมานเชิงสถิติล่ะนะ”
เธอสูดลมหายใจก่อนจะระบายความรู้ที่อัดแน่นในลิ้นชักสมองของเธอออกมา แต่สารวัตรก็พูดขัดเธอขึ้นมา
“เอาเป็นว่าพอเถอะ ลิซ่า”
“เข้าใจมั่งมั้ยเนี้ยว่าการขัดจังหวะขบวนการคิดในสมองของคนอื่นมันอันตรายน่ะ” เธอหันไปตะโกนใส่สารวัตรอย่างหงุดหงิด
“สรุป..คุณ...เป็นนักสืบหรอ”
“ไม่ใช่ค่ะ”
“แล้วคุณเป็นอะไรกันแน่”
“ฉันก็คือ...”
“เธอเป็นอัจฉริยะครับ เธอเป็นอัจฉริยะที่สามารถมองเห็นวิญญาณได้ครับ แบบว่าเป็นความสามารถพิเศษเฉยๆ ไม่ได้เอามาใช้ในงานหรอกครับ เธอใช้สมองของเธอเท่านั้น แฮะๆ” ผมรีบชิงตอบก่อนที่เธอจะเปิดเผยตัวเองว่าเป็นแม่มดและเขาจะยิ่งไม่ยอมเราเข้าไปอีก
“อย่างนั้นหรอ...”และได้ผลเขาเริ่มจะใจอ่อนขึ้นมานิดหน่อย
“ท่านรอง ปล่อยหน้าที่นี้ให้เป็นของพวกผมเถอะครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้...ผมจะเชื่อคนแบบคุณ อีกซักครั้ง”
คุณลิซ่าเงียบโดยไม่ได้โต้ตอบอะไร แต่ก็ทำสีหน้าไม่พอออกมาอยู่ดี แล้วเขาก็ยกหูโทรศัพท์ขึ้นมา
“ยกคดีการฆ่าตัวตายของเมียผมและเคสอื่นๆที่คุณได้ทั้งหมดให้สารวัตรเมธี ไม่ต้องถามมากแล้วเอาข้อมูลที่ได้ทั้งหมดมาที่ห้องของผมด้วย”ทันทีที่พูดเสร็จเขาก็วางหูโทรศัพท์ ก่อนจะกลับมาพูดต่อกับพวกเรา
“ผมจะให้เวลาพวกคุณแค่สัปดาห์เดียวเท่านั้น”
“เอ๋ แค่สัปดาห์เดียว?!”ผมเพลอพูดออกมาอย่างตกใจ
“เหลือเฝือค่ะ ท่านรอง”แต่คุณลิซ่ากลับตอบรับอย่างมั่นใจ รวมถึงสารวัตรที่ไม่ได้ทำหน้าลำบากใจอะไร
“ขอบคุณครับ ท่านรอง”
“แค่..สัปดาห์เดียวเท่านั้น ถ้าไม่มีอะไรคืบหน้าผมก็จะไม่ให้โอกาสคุณอีกเป็นครั้งที่สอง”
“ครับ ผมไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวังแน่นอนครับ”สารวัตรพูดเสร็จแล้วทำความเคารพ
พวกเราออกมาจากห้องส่วนตัวของเขา ปล่อยให้เขากุมขมับและอยู่กับตัวเอง การสูญเสียคนที่เรารักมักเป็นเรื่องที่ทำใจยาก แต่อย่างน้องก็การเดินหน้าต่อก็เป็นทางที่ดีกว่าการอยู่กับอดีต
“สารวัตรเมธีครับ”ไม่นานนักตำรวจสองสามคนก็ตรงมาหาพวกเรา “เชิญทางนี้ครับ”
พวกเขานำทางเราลงไปยังชั้นใต้ดินที่เป็นชั้นเก็บหลักฐาน เราเข้าไปในห้องๆหนึ่งที่เป็นห้องปิดไม่มีหน้าต่าง มีแต่กำแพงสีเขียวอ่อนๆกับกองเอกสารและยังมีตู้เหล็กขนาดใหญ่ที่เหมือนตู้เก็บศพอยู่ด้วย
ผมรู้สึกได้เลยถึงความเย็นยะเยือกที่แพร่ซ่านจากในห้องเข้ามาในโสทประสาทของผม
“ผู้ตายคือคุณวิภา..”
“ฉันรู้”คุณลิซ่าพูดขัดและเดินตรงไปที่ศพของคุณวิภา เธอตรวจเช็คสภาพศพตั้งแต่หัวจนถึงปลายเท้า
“กระโหลกยุบแหลกเป็นเสี่ยง ไม่มีองรอยของการบังคับหรือทำร้ายร่างกาย กระดูกซี่โครงหัก ปลายนิ้วทั้งสองข้างแหลก ต้นขาฟกชำ้เล็กน้อย..”เธออธิบายสภาพการตายที่เห็นอย่างระเอียด ”ใช่..นี้เป็นการฆ่าตัวตายไม่ผิดแน่”
“ขอบใจที่เหนื่อยนะ จากนี้พวกฉันจะรับช่วงต่อเอง”สารวัตรพูดเสร็จพวกเขาก็รีบออกไปจากห้องแทบจะทันที
“แต่เธอก็ไม่คิดว่ามันเป็นอย่างนั้นใช่มั้ย”
“ใช่..จู่ๆจะฆ่าตัวตายน่ะเป็นไปไม่ได้หรอก”
“เป็นไปได้มั้ยว่ามีคนผลักเธอตกลงมาน่ะครับ”
“ดูรายงานจากพยานสิ”เธอพูดเสร็จ สารวัตรก็เปิดกล่องหลักฐานที่มีแต่รูปภาพถ่ายและเอกสาร สารวัตรเริ่มอ่าน
“ผมเห็นหญิงคนนึงจากชั้นด่านฟ้าชั้น10 จู่ๆเธอก็กระโดดลงมา ไม่มีใครอยู่ที่นั่นเลย”
“ไม่มีใครเลยงั้นเหรอ”คุณลิซ่าบ่นออกมาหลังจากที่ได้ยินคำให้การ แล้วเธอก็เดินไปดูภาพที่ถูกหุ่มด้วยกระดาษสีนำ้ตาล เธอหยิบมันขึ้นมาและค่อยๆวางมันลงบนร่างไร้วิญญาณของคุณวิภา เพื่อจำลองเหตุการณ์การตายของเธอ
“กอดภาพนี้เอาไว้...แล้วกระโดดงั้นเหรอ”
“แกะภาพนั้นดูกันเลยดีกว่านะ”สารวัตรเสนอและคุณลิซ่าเลยยื่นมันให้ผม
“อะ..อะไรหรือครับ”ผมมองคุณลิซ่าด้วยความงงงวย
“โอ้ย ก็ให้ช่วยแกะไง ก็น่าจะเห็นอยู่ว่าฉันทาเล็บมา ถึงฉันจะใส่ถุงมือไว้แต่มันก็ถลอกได้นะยะ”
“อา..ครับ”เมื่อเข้าใจเหตุผล ผมก็รับรูปที่ถูกคลุมกระดาษมาแกะเทปอย่างระวัง
ภาพที่อยู่ในมือของผมคือภาพแนวโกธิค หญิงสาวที่เหมือนยืนรับลมบนหน้าผาด้วยใบหน้าสดชื่น มันให้ความรู้สึกอันอบอุ่นแต่กลับเต็มไปด้วยความวิตกและสับสน แถมวิธีการวาดยังดูคุ้นๆอีกด้วย
“เป็นไงบ้างอักษร”คุณลิซ่าสังเกตเห็นผมที่ยื่นมองภาพในมืออยู่นาน ผมเลยเดินไปยื่นข้างเธอ
“ผมนึกถึงภาพคนมองดูริมเหวที่ได้เห็นก่อนหน้านี้แล้วก็ภาพโฆษนาที่ถูกพิมพ์แปะอยู่ข้างกำแพงน่ะครับ”
“ภาพโฆษณางั้นเหรอ ที่ไหน”
“ทั่วเลยครับ เหมือนจะเกี่ยวกับงานแสดงอะไรซักอย่างน่ะครับ ผมเองก็ไม่ได้สนใจอะไรเท่าไร”
“แล้วเธอเห็นอะไรในภาพนั้นมั้ยลิซ่า”
“ดูจากรูปแล้วก็เหมือนรูปธรรมดานะ...ฮืม? สารวัตรของแว่นขยายหน่อย”แล้วสารวัตรก็ยื่นแว่นขยายพกพาให้กับเธอ
คุณลิซ่าเหมือนสังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่โพลงหญ้าในภาพ เธอค่อยๆใช้นิ้วของเธอแกะบางอย่างจากภาพ
“เห้ยยย ลิซ่า!! นั่นมันหลักฐานนะ”
“คุณลิซ่าครับ!?”
โดยที่ไม่ได้ฟังอะไรเธอก็ลอกบางอย่างออกมาจากภาพในมือผม ปรากฎเป็นรูปสัญลักษณ์บางอย่าง ถ้ามองดีๆจะเห็นเป็นแกะที่มีธงอยู่ด้านหลัง
“Agnus Dei…”
“อะ..อะไรนะครับ”
“แกะของพระเป็นเจ้า มีความหมายถึงพระเยซูและยังเป็นสัญลักษณ์ของนักบุญจอห์นแบปทิสต์ด้วย”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรน่ะ”
“ใจเย็นๆเป็นมั้ยเนี้ย!!”เธอเงยหน้าตะวาดใส่สารวัตรและเริ่มไล่อ่านบางอย่างที่ตาเปล่ามองไม่เห็น มันน่าจะถูกทำไว้เล็กๆบริเวณนั้น
“Ecce agnus dei qui tollit peccata mundi จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับความผิดบาปของโลกไปเสีย”
“มันเป็นคำจากพระคัมภีร์ใช่มั้ยครับ”
“ใช่ จากยอร์น บทที่1ข้อที่29 วันรุ่งขึ้นยอห์นเห็นพระเยซูกำลังเสด็จมาทางท่าน ท่านจึงกล่าวว่า “จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับความผิดบาปของโลกไปเสีย”
“นักบุญจอห์นแบปทิสต์คือใครหรือครับ”
“พวกคาทอลิคเรียกท่านว่า นักบุญจอห์นแบปทิสต์หรือยอห์นผู้ทำพิธีล้าง แต่พวกเราที่เป็นโปรแตสแตนต์เรียก ท่านยอห์นผู้ให้บัพติศมา”
“อ๋อ ท่านคือคนที่ให้บัพติศมากับพระเยซูใช่มั้ยครับ”แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่าผมจะรู้เรื่องของท่านมากนัก
“เป็นนักเทศน์ชาวยิวในคริสศตวรรษที่ 1 ถือว่าเป็นผู้เผยพระวจนะในสี่ศาสนาคือ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาบาไฮ และ ศาสนามันดาอี ท่านเป็นนักบุญที่มาก่อนพระเยซู”
“งั้นท่านเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ล่ะ” สารวัตรเริ่มขมวดคิ้วอย่างสับสนกับการสนทนากันของคริสเตียนอย่างพวกเรา บางทีผมก็คิดนะครับว่าถ้าเขารับเชื่อก็คงคุยกับเรารู้เรื่องกว่านี้นิดหน่อย
“อาจเป็นไปได้ว่า..นี้อาจเป็นฝีมือของลัทธิหรือกลุ่มคนที่นับถือนักบุญจอห์นแบปทิสต์ แต่ด้วยวิธีอะไรฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“สัมผัสถึงตำสาปหรือเวทย์มนต์อะไรไม่ได้เลยหรอ”
“ไม่เลย..ไม่มีเลย แถมตัวหล่อนเองก็ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วด้วย”
“ถ้างั้นเราจะทำยังไงกันต่อดีล่ะครับ”
แล้วคุณลิซ่าก็เริ่มเดินวนไปวนมาในห้อง เธอดูเหมือนจะคิดหนักอยู่มากทีเดียว เพราะถ้าเธอได้คุยกับคุณวิภา เธอก็จะทำให้งานนี้ก็จะง่ายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปากเลยทีเดียว แต่ปัญหาคือมันไม่ใช่
“สารวัตรขอฉันเอาภาพนี้ก็ไปด้วยนะ”
“หา?!!”เขาอ้าปากค้าง ”นี่เธอ อยากให้ฉันโดนไล่ออกนักใช่มั้ยเนี้ย”
ผมไม่แปลกใจเลยครับที่เขาจะทำท่าทางแบบนั้นเพราะนี่ไม่ใช่แค่ครั้งแรก แต่หลายครั้งแล้วที่พวกเราลอบเอาหลักฐานออกไป และยิ่งเป็นภรรยาของหัวหน้าด้วย ภาพนั้นก็เหมือนเป็นของดูต่างหน้าที่หลงเหลือไว้
“ก็เขาให้นายทำคดีนี้แล้วนี่จะกลัวอะไร ก็แค่บอกว่าเป็นขั้นตอนการทำงานคร้าบบบ ก็แค่นั้นเอง”
“โอ้ยยยย เธอนี่มัน..”สารวัตรถอนหายใจเฮือกใหญ่กับความเอาแต่ใจของเธอ “โอเค ฉันจะทำเป็นเข้าใจละกันว่าการขโมยหลักฐานเนี้ยก็เป็นหนึ่งในขั้นตอนการสืบสวน”เขากัดฟันพูดก่อนจะห่อรูปด้วยกระดาษสีนำ้ตาลแผ่นเดิม
“ไม่เอาน่าเมธี โดนดุนิดๆหน่อยๆเองนะ”
“ถ้าฉันโดนไล่ออก ทั้งหมดก็เพราะเธอนั่นแหละ”แล้วเขาก็เดินนำหน้าไปพร้อมกับรูปภาพในมือ พร้อมๆกับคุณลิซ่าที่ขำในคอและผมที่เหนื่อยใจไม่แพ้กัน
เราขึ้นมาบนสถานีและรีบเดินไปตามทางเดินเพื่อไปยังประตูหน้าของสถานี ซึ่งก็เหมือนชะตาขาดเมื่อเจอกับท่านรอง
“ลูกมาที่นี่ทำไม พ่อยังทำงานอยู่นะ”
“พ่อไปกับหนูเถอะ ไปกันหนู” เหมือนเขาจะกำลังทะเลาะกับลูกจนไม่สังเกตเห็นพวกเรา
“พ่อต้องไปนะคะ นี่น่ะต้องเกียวกับที่แม่ตายแน่ แม่น่ะ...แม่น่ะ..พ่อก็รู้ดีว่าแม่ไม่มีทางฆ่าตัวตายแน่ๆใช่มั้ยล่ะคะ”
“มิ้น...”
“พ่อ..ไม่เชื่อหนูหรอคะ”
“ฉันเชื่อเธอนะ”ไม่ทันที่ผมจะสังเกต คุณลิซ่าก็ไปยื่นอยู่ข้างหน้าเด็กสาวคนนั้นเสียแล้ว
“นี่คุณ..”
“เธอเป็นลูกของท่านรองหรอ”เธอพูดขัดโดยไม่สนใจเขาแม้แต่จะเหล่ตามอง
“ชะ..ใช่ค่ะ แล้วคุณคือ..”
“ลิซ่า เด แสตนฟอร์เดีย ฉันจะช่วยเธอไขคดีลี้ลับนี้เอง”
“คุ..คุณ..ชื่อนี้ หรือว่า..”เธอมองคุณลิซ่าด้วยตาเป็นประกายแต่ไม่ทันที่จะได้ทำอะไร เธอก็ถูกผู้เป็นพ่อดึงให้ออกห่างจากคุณลิซ่า
“อย่ามายุ่งกับลูกสาวผม”
“เดี๋ยวสิพ่อ!!” แล้วพวกเขาก็หายวับไปในสถานีโดยไม่หันมามองพวกเราด้วยซำ้
“สารวัตร เด็กนั่นเหมือนจะเจออะไรบางอย่างเข้าสินะ”
“ฉันก็ว่าอย่างนั่นแหละ แต่ว่าจะเข้าไปคุยตอนนี้เลยคงไม่เหมาะเท่าไร”
“น่าจะมีวิธีที่จะช่วยให้ท่านรองคนนั้นเข้าใจมากขึ้นนะครับ”
“เขาก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะ ทำสิ่งที่เราพอจะทำได้ก่อนเถอะ”
ปิ้บ!! เสียงปลดล็อกรถดังขึ้นเป็นสัญญาณให้พวกผมกระโดดขึ้นรถ แล้วเราก็ตรงไปที่หอศิลป์ที่อยู่กลางสี่แยกปทุมวัน ท่าทางว่าจะมีบางคนที่จะสามารถช่วยเราได้อยู่ที่นั่น
“ไม่ได้มานานเลยนะครับเนี้ย” ผมบ่นกับตัวเองพร้อมๆกับถือภาพเอาไว้กับมือด้วย แล้วผมก็สังเกตเห็นกระดาษโฆษนาที่ถูกติดอยู่รอบๆนั้น “นั่นไงครับ คุณลิซ่า”
ผมรีบวิ่งไปที่กำแพงข้างประตูทางเข้าของหอศิลป์และดึงกระดาษแผ่นหนึ่งกลับมาให้เธอ
“นี่แหละโฆษณาที่ผมพูดถึง”
“นี่น่ะหรอ ร่วมเป็นสักขีพยานในการแสดงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก Sunday without God แล้วก็สัญลักษณ์ Agnus Dei…”
“การแสดงนี้ต้องเกียวกับภาพนี้แน่ใช่มั้ยครับ”
“จะให้ฉันพูดตรงๆเลยมั้ยว่าฉันคิดว่ายังไง”
“ครับ ว่าไงครับ”
“การแสดงฆ่าตัวตายหมู่แน่ๆ”
“เอ๋!!”คำพูดของคุณลิซ่าแทบทำเอาผมสะดุ้งเลยทีเดียว
“ไหนว่าให้บอกสิ่งที่ฉันคิดตรงๆไง แต่ยังไงเราก็ไม่มีทางรู้จนกว่าเรื่องนี้จะสว่างจริงมั้ยล่ะ”
“คะ..ครับ ถูกของคุณ..”
“เฮ้!คุยกันเสร็จรึยังเนี้ย”สารวัตรที่ดูหงุดหงิดกว่าปกติตะโกนและเดินเข้าไปในตึก
แล้วพวกเราก็เข้าไปข้างใน ที่นี่ก็ยังมีภาพงานศิลปะอยู่มากมายเลยตั้งแต่ภาพวาดจนไปถึงหัตถกรรม แต่ในวันปกติแบบนี้กลับมีเพียงไม่กี่คนที่อยู่ที่นี่และแน่นอน ฝ่ายประชาสัมพันธ์
“ลาฟาเอล ฮาลน์ อยู่รึเปล่าคะ”
“ซักครู่นะคะ”พนักงานตอบและยกหูโทรศัพท์และกดเบอร์โทร “ท่านคะมีคนมาขอพบค่ะ...ชื่ออะไรคะ”
“ลิซ่า เด แสตนฟอร์เดีย”
“คุณลิซ่า เด แสตนฟอร์เดียค่ะ..ค่ะ รับทราบค่ะ”แล้วเธอก็วางหูและลุกขึ้นยืน ”ตามฉันมาค่ะ”
พวกเราตามเธอไปยังลิฟถ์แก้วที่เหมือนจะใช้เฉพาะพนักงานขึ้นไปยังชั้น27
“คุณฮาลน์อยู่ห้องด้านขวานะคะ”เธอพูดบอกทันทีเมื่อถึง พวกเราเดินออกไปจากลิฟถ์และเลี้ยวขวาตามที่เธอบอก
ก็อกๆๆๆ
สารวัตรเมธีบริการเคาะประตูให้เพื่อเรียกคนที่อยู่หลังประตูบานนี้ ไม่นานนักประตูก็เปิดออก
“ลิซ่า Wellcome!!!” ชายวัยหกสิบกว่าๆ เขาโผลเข้ากอดทักทายคุณลิซ่าอย่างสนิทสนม “เป็นไงาไงเนี้ยถึงมาหาผมได้”
“ฉันมีเรื่องให้คุณช่วยซักหน่อย หวังว่าคุณจะว่างนะ”
“ถ้าเป็นเรื่องเล็กน้อยล่ะก็ผมจะช่วยเต็มที่ล่ะกัน เข้ามาก่อนสิ”
คุณฮาลน์หลบให้พวกเราเข้าไปและจากนั้นเขาก็ปิดประตู พวกเรานั่งลงที่โซฟารับแขกที่เป็นหนังดูราคาแพงทีเดียว ผมวางภาพที่ขโมยมาจากสถานีตำรวจนั้นลงกับโต๊ะเล็กๆตรงหน้า มันกินพื้นที่ทั้งหมดเลยทีเดียว
“อยากได้ชาหรือกาแฟอะไรมั้ย”เขาพูดถามพร้อมชี้ไปที่ครัวส่วนตัวในห้อง
“ไม่เป็นไร ฉันรบกวนคุณไม่นานนักหรอก”
“ออ ได้”แล้วเขาก็กลับมานั่งที่โซฟาตรงข้ามกับผมและคุณลิซ่า “แล้วเธอคือ...”
“ผม อักษร อภิรเมธีวงศ์ ครับ เป็น...เออ..”
“มือขวาฉันเอง ไม่ต้องห่วง เขารู้เรื่องของฉันทั้งหมดแล้ว” คุณลิซ่าตอบแทนผมที่ไม่รู้จะเรียกตัวเองว่าอะไร
“และคุณก็สารวัตรเมธีใช่มั้ย”
“ใช่ เราเคยเจอกันแล้วในคดีภาพหายดเมื่อสองสามปีที่แล้ว”
“ออ ใช่ๆ ผมจำได้แล้ว อย่าว่าอะไรคนแก่เลยนะ ผมก็หลงๆลืมๆแบบนี้แหละ เฮ้อ...”เขาถอนหายใจ “ถ้างั้นคราวนี้คดีอะไรอีกล่ะ”
“คราวนี้เป็นคดีฆ่าตัวตายที่มีความเกี่ยวข้องถึง Agnus Dei”คุณลิซ่าเริ่มอธิบาย
“Agnus Dei ลูกแกะของพระเจ้างั้นเหรอ”
“ใช่แล้ว ภาพนี้มีสัญลักษณ์ของมัน ฉันอยากรู้ว่ามันหมายความว่ายังไง”
แล้วคุณฮาลน์ก็ค่อยๆแกะห่อกระดาษออกมาและเริ่มสังเกตดูภาพสีนำ้มันตรงหน้า
“นี่เป็นงานนี้ท่าจะได้แรงบันดาลใจมาจากศิลปะกอธิคมากทีเดียว แต่ก็ไม่ใช่ฝีมือของศิลปิน"
“เป็นฝีมือของคนธรรมดาอย่างนั้นหรือครับ”
“ไม่มีความเป็นเอกลักษณ์แถมยังแสดงความรู้สึกได้เพียงมิติเดียว ไม่มีทางเรียกตัวเองว่าศิลปินได้หรอก มันหน้าอดสูเกินไป”
“แล้วนายคิดว่ายังไง พอมีอะไรที่เกี่ยวกับสัญลักษณ์นี้บ้างมั้ย”คุณลิซ่าขบริมฝีปากสายตามองคุณฮาลน์อย่างมีหวัง
“สัญลักษณ์ของ Agnus Dei ทำให้ผมนึกถึงงานศิลปะหลายๆอย่างทีเดียว”
“อย่างเช่นอะไรที่มันจะสามารถเชื่อมโยงกันได้”แล้วเขาก็นิ่งเงียบไปขณะที่เขาจ้องมองสัยลักษณ์นั้น
“ภาพฉากแท่นบูชาเกนต์..”
“ไอบานพับภาพที่อยู่ในมหาวิหารเซนต์บาโว เมืองเกนต์ในประเทศเบลเยียมน่ะเหรอ”
“ใช่..มันทำให้ผมนึกถึงภาพนั้นแต่ก็หาความเกี่ยวข้องไม่ได้ ขอโทษด้วยนะ”คุณฮาลน์ถอนหายใจ
“ไม่เป็นไรหรอก”คุณลิซ่าเองก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ไม่แพ้กัน ท่าทางว่างานนี้จะหนักเอาการเลยทีเดียว แต่แล้วคุณลิซ่าก็เบิกตากว้างเหมืองคิดอะไรบางอย่างออก แต่จากนั้นเธอก็กลับมาน่าตาบูดอีกรอบ
“โอ้ยยยยย ปวดหัวๆๆๆๆๆๆๆๆ”เธอเริ่มหงุดหงิดและขยี่ผมของเธอ เธอเป็นแบบนี้เสมอเลยเมื่อเธอคิดอะไรไม่ออก
“คุณลิซ่าใจเย็นๆเถอะครับ”
“ไม่มีใครช่วยพวกเราได้แล้วเหรอเนี้ย...”สารวัตรบ่นในลำคอ
ผมเองก็จนปัญญาไม่ต่างกัน ผมไม่มีความรู้เรื่องนี้เลยถึงแม้ว่าผมจะเรียนศิลปะโบราณก็เถอะ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ผมจ้องมองไปยังโปสเตอร์โฆษณาที่อยู่ในมือ อ่านรายละเอียดของมันแต่ผมก็ไม่ได้สะดุดถึงอะไรเลย
“ถ้าอย่างนั้นฉันขอฝากภาพนี้กับคุณนะลาฟาเอล ถ้ามีอะไรคืบหน้าล่ะก็โทรมานะ”
“อะ..ครับ”แล้วผมก็ยื่นนามบัตรร้านแกรนด์มาที่มีเบอร์02ของร้านและเบอร์08ของผม “รบกวนด้วยนะครับ”
“เช่นกัน ถ้ามีอะไรล่ะก็..มาได้ตลอดนะ”
แล้วพวกเราก็ออกไปจากห้องทำงานของเขาแบบคอตกกันทุกคน
เราหยุดยืนหน้าหอศิลปะที่เราพึ่งเข้าไปไม่ถึง20นาทีแล้วกลับออกมาด้วยความว่างเปล่า
“อือออออออออออ!!!”คุณลิซ่าวีดร้องออกมาพร้อมกระทืบเท้าด้วยความเจ็บใจแบบไม่อายใคร
“คดีนี้..ยากกว่าที่คิดไว้เยอะเลยแฮะ”สารวัตรพูดพรางสูบบุหรี่ให้หายเครียด ในขณะที่ผมนั่งตรงบันไดทางเข้าของตึกและได้แต่ถอนหายใจ
“ไม่เห็นทางออกของเรื่องนี้เลย..เอายังไงกันต่อดีล่ะครับ”
“อือออออออออออ!!!!! มันต้องมีอะไรสิ มันต้องมีอะไรที่ช่วยได้สิ”
แล้วคุณลิซ่าก็เริ่มเดินไปเดินมาไปมาไปมาและไปมา แล้วในที่สุดเธอก็หยุด
“ไองานSunday without God นี่เริ่มเมื่อไรนะอักษร มันบอกไว้รึเปล่า”
“งานนี้น่ะหรอครับ”ผมก้มลงมองรายละเอียดในกระดาษตรงหน้า “มันไม่ได้เขียนเอาไว้ครับ แต่จากชื่อแล้วก็น่าจะเป็นวันอาทิตย์นั่นแหละครับ”
“วันอาทิตย์งั้นเหรอ...แล้วมันหมายความว่ายังไงกันแน่นะ...จะรู้ได้ยังไง”แต่แล้วดวงตาของคุณลิซ่าก็เบิกกว้างเหมือนนึกอะไรบางอย่างได้ “Beheading of John the Baptist ไงล่ะ”
“การตัดศีรษะจอห์นผู้ให้บัพติศมา..”ผมพูดทวนคำพูดของคุณลิซ่าและแล้วในที่สุดผมก็เข้าใจ “คุณลิซ่าอย่าบอกนะครับว่า..”
“ใช่..วันที่29 สิงหาคม วันระลึกถึงนักบุญจอห์นแบปติสต์ถูกตัดศีรษะ หรือก็คืออาทิตย์หน้านี้ไงล่ะ นี่ต้องเกี่ยวกับพวกบ้าศาสนาอย่างหนักหรือไม่ก็เป็นพวกลัทธิบูชานักบุญจอห์นแบปติสต์”
“ลัทธิเหรอ...เธอรู้จักลัทธิิอะไรบ้างล่ะ”
“ฉันไม่ค่อยสนใจพวกลัทธิเท่าไรนักเพราะส่วนใหญ่พวกเขามักเคร่งจนน่าขยะแขยงเอามากๆ”
“แล้วพวกศิลปินล่ะครับ ศิลปินที่เกี่ยวข้องกับนักบุญจอห์นแบปติสต์น่ะครับ”
“พวกศิลปินไม่ว่าสมัยไหนก็นิยมนำนักบุญจอห์นแบปติสต์มาวาดกันทั้งนั้น แต่ภาพที่อยู่กับศพมันเป็นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องเลยยกเว้นสัญลักษณ์น่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องหาหลักฐานเพิ่มเติมก่อนล่ะ มามัวเดาอยู่แบบนี้คงไม่ได้อะไรขึ้นมา”สารวัตรพ้นควันออกจากปากและค่อยปาลงพื้นและใช้เท้าดับไฟ “บางทีคดีนี้อาจไม่ได้เกี่ยวกับแม่มด วิญญาณ หรืออะไรด้วยซำ้นะ”
“โทษทีนะ สารวัตร”
“ไม่เป็นไร บางทีฉันก็คิดว่าตำรวจอย่างพวกฉันก็ควรจะสืบสวนคดีนี้กันเองบ้าง”
“ดะ..เดี๋ยวสิครับ คุณจะไม่ให้พวกเราช่วยในคดีนี้งั้นเหรอครับ”
“ไม่ใช่ ฉันก็แค่จะทำคดีนี้ให้สุดความสามารถที่มนุษย์ดวรจะทำให้ได้ซะก่อนเท่านั้น ถ้ามีอะไรคืบหน้าหรือจนปัญญาจริงๆเดี๋ยวจะโทรมากวนใหม่ละกันนะ”
สารวัตรเดินกลับไปที่รถส่วนตัวตามด้วยคุณลิซ่าและผม เราแทบไม่ได้คุยอะไรกันเลยตลอดทาง
“ลิซ่า เธอจะกลับไปร้านเธอเลยใช่มั้ย”
“แล้วนายล่ะ”
“ก็คง... ไปบ้านแฟนล่ะมั้ง”
“เหรอ..”
ไม่รู้เพราะความอึดอัดหรือกำลังครุ่นคิดถึงวิธีแก้ไข ผมเองก็ได้แต่คิดว่าในวันนี้จะไม่มีคนจู่ๆก็กระโดดฆ่าตัวตายอีกคน กระโดดฆ่าตัวตายโดยไม่คิดถึงคนที่อยู่ด้านหลัง ไม่ว่าจะพ่อ แม่ เพื่อน หรือลูกของพวกเขา... ลูก..งั้นเหรอ
“จริงด้วย!!”ตัวผมเด้งขึ้นมานั่งหลังตรงกับเบอะ “ทำไมเราไม่ไปคุยกับลูกของท่านรองล่ะครับ ดูเหมือนเธอจะรู้อะไรบางอย่างนะครับ”
“อักษร ฉันรู้สึกว่าวันนี้เธอฉลาดกว่าปกตินะเนี้ย!!”คุณลิซ่าพูดด้วยตาเป็นประกาย “สารวัตร ไปกันเลยเถอะ”
และแทบจะทันทีสารวัตรก็เลี้ยวรถอย่างรวดเร็วจนตัวของผมชนติดกับกระจก
“กรี๊ดดดดดดดด!! เล่นอะไรของนายเนี้ยมันอันตรายนะ”
“ดูตรงนั้นสิ ที่ด่านฟ้าห่างนั้นน่ะ” สารวัตรพูดและเหล่มองพวกผมผ่านกระจกมองหลัง ทำให้เรารีบแหงนมองตรงกระจกฝั่งขวาที่คุณลิซ่านั่งอยู่
“น่ะ..นั่นมัน..”ดวงตาของผมเบิกโตด้วยความตกใจสุดขีด
“เอาจนได้ เหยื่อรายต่อไป ไม่ให้พักเลยสินะ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ