บันทึกปริศนา เรื่องลี้ลับของลิซ่า

7.7

เขียนโดย Jabberwocky

วันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 19.29 น.

  11 ตอน
  1 วิจารณ์
  12.86K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 กันยายน พ.ศ. 2559 23.11 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ของขวัญวันเกิดสีแดงเลือด (บทกล่องของขวัญสีเลือด)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นในคืนวันที่26มิถุนายน ณ บ้านจัดสรรหลังหนึ่ง

“Happybirthdaytoyou, Happybirthday,Happybirthday,Happybirthdaytoyou~”

เสียงปรบมือดังสนั่นในห้องสีเหลื่ยมเล็กๆที่ถูกประดับไปด้วยของสีสันสดใสไปทั่ว เพื่อนสนิทที่สุดของเจ้าของวันเกิดพูดด้วยเสียงอันดัง

“บันนี่ยินดีด้วยน้านี้เป็นของขวัญที่ฉันฝากซื้อมาจากคุณอาที่อังกฤษจ๊ะ”

“เฮ้ย!จริงหรอขอบใจมากนะหญิง”

แทบจะทันทีที่เจ้าของวันเกิดได้รับกล่องของขวัญสีพีชตรงหน้าเธอรีบเปิดกล่องนั้นอย่างไม่รอช้าเธอตะลึงกับความน่ารักของตุ๊กตาหมีสีขาวนวลที่ผูกโบสีแดงลายจุด

“อ้าาา! ฉันอยากได้มานานแล้วแต่คุณพ่อไม่เคยซื้อให้ฉันเลยเธอรู้ใจฉันจริงๆ”

เด็กหญิงวิ่งเข้าหาเพื่อนสนิทคนนี้และกอดอย่างมีความสุข

“นี้ๆบันนี่อย่าลืมของพวกเราด้วยสิเราก็มีของขวัญมาให้เธอเหมือนกัน รับรองเลยว่าเธอต้องชอบมันมากแน่ๆ”

เพื่อนอีกสามคนที่ยืนอยู่ข้างๆ พร้อมกับของขวัญของแต่ละคนที่เตรียมมา กำลังหน้ามุ้ยกับท่าทางของบันนี้

“ฮะๆๆ ขอโทษจ๊ะทุกคนถ้างั้นฉันจะเปิดของเเมรี่ก่อนละกันนะ”

พูดเสร็จเจ้าของวันเกิดก็เปิดกล่องของขวัญของเพื่อนที่สูงกว่าเธอเล็กน้อยแล้วใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นก็เปลี่ยนไปเป็นความหวาดกลัว

“กรี๊ดดดดดดด!!”

เด็กหญิงกรีดร้องเสียงแหลมก่อนจะล้มตึงไปด้านหลังทำให้เพื่อนคนที่เหลือตกใจรวมถึงคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังอยู่บริเวณชั้นล่างของบ้านก็หยุดกิจกรรมของตัวเองและวิ่งขึ้นมาในห้องจัดงานของลูกสาว

“บันนี่เป็นอะไร...คุณพระช่วย!”

แม่ของเธอแทบจะหยุดหายใจเมื่อเห็น”บางสิ่ง”ที่โผล่ออกมาจากกล่องของขวัญสีชมพูแสนน่ารักนั่น

“ต้องเรียกตำรวจ...”

      ………………………………………

 

“เด็กหญิงผู้โชคร้ายได้ของขวัญเป็นคำสาปแช่งนับวันเรื่องแปลกๆยิ่งเกิดมากขึ้นเรื่อยๆแล้วนะเนี้ย”

เสียงบ่นเบาๆของคุณลิซ่าที่กำลังจ้องมองหัวพาดข่าวหนังสือพิมพ์ประจำวันเอ่ยขึ้นทำให้ผมหันมามอง

“ของขวัญที่เป็นคำสาปแช่งงั้นเหรอครับ”

“ก็คือให้อวัยวะของสัตว์ที่ตายแล้วเป็นของขวัญวันเกิดน่ะ”

ทันทีที่ผมได้ยินอย่างนั้น ผมแทบจะทำแจกันหินมูลค่าหลายแสนบาทหล่นเลยทีเดียวเเต่ผมก็ควบคุมสติเอาไว้ได้ ก่อนจะพูดต่ออย่างติดๆขัดๆ

“คะ...เครื่องในสัตว์...กับเด็กเนี้ยนะ!?”พอเธอสังเกตเห็นหน้าถอดสีของผมเธอก็ยิ้มแล้วพูดตอบ

“อักษร...โลกที่เธออยู่น่ะ มีอะไรที่เธอไม่รู้อีกมากเลยนะการสาปเเช่งมีอยู่ทั่วทุกมุมโลกเรียกว่าเป็นเรื่องเลวร้ายที่ธรรมดาของคนรุ่นปู่รุ่นย่าเลยก็ว่าได้”

“ถ้าอย่างนั้นคุณไม่คิดจะทำอะไรหน่อยหรือครับคุณลิซ่า”

หญิงสาวกวาดดวงตาสีแดงสว่างของเธอกลับไปที่หัวข้อข่าวอีกครั้งพร้อมๆกับอ่านรายละเอียดของมัน

 เด็กหญิงบ.(นามสมมุติ) อายุ10ปี ได้ให้การว่าในวันที่31 พฤษภาคม พ.ศ.25XX  เวลา18.30น.ได้มีการจัดงานฉลองวันเกิดขึ้นที่บ้านโดยมีเพื่อนร่วมชั้นของเด็กหญิงบอ รวม 6 คน และได้มีการทำกิจกรรมกันตามปกติ ในเวลาต่อมาเด็กหญิงมอ(นามสมมุติ) หนึ่งในเพื่อนร่วมชั้นได้ให้ชิ้นส่วนอวัยวะของสัตว์ ซึ่งถูกใส่ในกล่องของขวัญ และหลังจากเกิดเหตุเด็กหญิงมอได้หายตัวไปจากสถานที่เกิดเหตุ บัดนี้เจ้าหน้าที่กำลังสืบหาเบาะแสของเด็กหญิงที่หายไปคนนั้น...

ทันทีที่เธออ่านจบเธอก็พับหนังสือพิมพ์และวางมันกับโต๊ะเล็กๆที่ตั้งกานำ้ชาสีขาวลายดอกไม้เธอลุกขึ้นจากโซฟารุ่นเก่าตัวโปรดแล้วบิดขี้เกียจก่อนจะเดินตรงไปที่ประตูไม้พร้อมกับผมที่มองท่าทางของเธอตั้งแต่แรกจนมาถึงตอนนี้ผมเอียงคอถามด้วยความสงสัย

“มีอะไรแปลกเกี่ยวกับข่าวนั้นหรือครับ”

“อีกไม่นานสารวัตรเมธีจะโทรมาช่วยบอกเขาว่าฉันกำลังเปลี่ยนชุดอยู่เธอช่วยจดข้อมูลให้ด้วยนะคราวนี้ขอลายมือสวยๆอ่านง่ายๆหน่อยนะฝากด้วยละ”

“คร้าบบ”ผมตอบเสียงเซ็งกับความเรื่องมากของเจ้านาย

“ก่อนจะบอกแบบนั้นกับคนอื่นทำเองให้ได้ก่อนเถอะแม่คุณ”ผมคิดกับตัวเองแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจรอดพ้นจากความสามารถอ่านความคิดของเธอไปได้ง่ายๆ

“อักษรอย่าเข้าใจผิดนะฉันเขียนเป็นภาษาของตัวเองมีแค่ฉันที่อ่านออก ไม่ใช่เขียนลายมือไก่เขี่ยแล้วก็ระวังความคิดของเธอด้วย”และแล้วเธอก็กลับเข้าห้องของเธออีกครั้ง

เหตุการณ์เมื่อกี้แทบทำให้ผมหัวใจหยุดเต้น แต่เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยผมถอนลมหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอกเพราะหล่อนไม่ใช่คนที่จะยอมรับคำติเตียนของคนอื่นง่ายๆโดยเฉพาะลูกน้องอย่างผมเธอเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองมากจนน่ากลัวคนนึงเชียวล่ะ


ผม อักษร อภิรเมธีวงศ์ ปัจจุบันเป็นนักศึกษาปีสามของมหาวิทยาลัยศิลปะเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯจริงๆผมจะเลือกมหาลัยดีๆก็ได้แต่ว่าผมมีความสนใจเกี่ยวกับพวกศิลปะโบราณและพวกโบราณวัตถุอะไรพวกนี้ผมก็เลยเข้าสายประวัติศาสตร์ศิลป์สาขาตะวันตกที่นั่นและตอนนี้ก็อยู่ในช่วงฝึกงานและผมก็เลยมาทำงานที่นี้ได้ประมาณสองเดือนแล้วด้วย

ผมไล่ความหนาวสันหลังของผมเมื่อนึกถึงนายจ้างขี้หงุดหงิดและหันกลับมาขัดหินปูนที่เกาะตามเครื่องเรือนเครื่องเคลือบที่ได้มาจาก”คนตาย” 

ใช่แล้ว...พวกคุณอ่านไม่ผิดหรอกของแทบทุกอย่างในร้านขายของโบราณแห่งนี่เป็นของ“คนตาย”ที่ถูกช่วยเหลือให้หลุดจากบ่วงต่างๆที่ตรึงให้พวกเขาติดอยู่ในภพมนุษย์ให้เข้าสู่ภพของวิญญาณซึ่งเมื่อสมบัติไม่มีความจำเป็นต่อ”คนตาย”แล้วพวกเขาก็จะส่งมอบให้กับคนที่รู้ถึงตัวตนของพวกเขาหรือก็คือคุณลิซ่าจะได้มรดกทั้งหมดจากวิญญาณที่เธอช่วย

And now you've given me, given me nothing but shattered dreams, shattered…

นี้เป็นเสียงริงโทนเพลงShattereddreamของวงยุคแปดศูนย์อย่างJohnnyhatesjazzทำให้ผมแทบจะทำทุกอย่างพังเพื่อรีบกดรับโทรศัพท์ที่อยู่ริมโต๊ะทำงานในบางทีผมก็รู้สึกอายกับความชอบของผมเหมือนกัน

“ฮัลโหล”

“อักษรนี่ฉันเองนะคะ”เสียงใสๆนี้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาทันทีเลย

“คุณภิรดานี้เองมีอะไรหรือครับถึงโทรเข้าเครื่องผมแบบนี้”

“ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอกค่ะก็แค่อยากจะขอบคุณคุณเรื่องตอนนั้นด้วยตัวเองน่ะค่ะ”

คุณภิรดาเป็นลูกค้าของคุณลิซ่าเธอมาขอความช่วยเหลือให้ช่วยไล่วิญญาณร้ายออกจากบ้านของเธอถึงแม้ว่าคุณลิซ่าจะบอกว่าเธอคิดไปเองก็ตามแต่มันก็ทำให้เธอใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขตั้งแต่นั้นมา 

“ไม่ต้องขอบคุณอะไรมากมายหรอกครับผมไม่ได้ทำอะไรเลย”

“ทำสิคะคุณให้กำลังใจฉันบอกให้ฉันต่อสู้กับความกลัวตอนนี้ฉันไม่กลัวการอยู่คนเดียวแล้วนะคะทุกอย่างเป็นเพราะคุณช่วยฉันนั้นแหละค่ะ”

“ครับ...ถ้างั้นก็ไม่เป็นไรครับ”

“วันอาทิตย์นี้ว่างมั้ยคะฉันอยากจะชวนคุณไปโบสถ์ค่ะอ๋อ! ชวนคุณลิซ่าไปด้วยนะคะไปทำพันธกิจของพระเจ้าร่วมกัน”

ดูท่าทางตอนนี้เธอเชื่อพระเจ้าซะแล้วหลังจากเหตุการณ์นั้นผมเองหลังจากที่มารู้จักกับเธอผมเองก็ได้เจออะไรหลายอย่างและเปลี่ยนใจมาเป็นคริสเตียนได้ไม่นานเหมือนกัน

“ครับผมจะลองถามดูนะครับ”

“ค่ะคุณอักษรฉันหวังว่าพวกคุณสองคนจะมานะคะขอพระเจ้าอวยพระพรค่ะ”

แล้วเธอก็วางหูไปด้วยความเปรมปรีผมเองก็มีความสุขด้วยแต่ไม่นานนักโทรศัพท์ตั้งโต๊ะที่คาดว่าน่าจะถูกผลิตขึ้นในศตวรรษที่19 ก็ส่งเสียงดังขึ้นเรียกว่าลั่นร้านก็ว่าได้ผมจึงรีบลุกไปรับมัน

“สวัสดีครับร้านขายของเก่า แกรนด์มาครับ”

“นี่...สารวัตรเมธีเอง...”

“เธอเดาถูกอีกแล้ว...” ผมพึมพำกับตัวเองเบาๆก่อนจะกลับไปบนบทสนทนา 

“มีอะไรให้ช่วยครับสารวัตร”

“ผมเดาว่าคุณลิซ่าคงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะผมจะโทรมาแน่ๆเลยสินะ”

“ครับ...”ท่าจะเกิดขึ้นบ่อยจนรู้ใจกันสินะ

“งั้นเข้าเรื่องเลยละกันนายคงได้ข่าวที่เด็กผู้หญิงคนนึงได้ของขวัญเป็นเครื่องในแล้วใช่มั้ย”เขาพูดด้วยเสียงเรียบปนแกล้งผมผมไม่ค่อยชอบเขาเท่าไรอยู่แล้วล่ะครับ

“ครับคุณลิซ่าเป็นคนเล่าข่าวให้ผมฟังเอง”

“ดี...เครื่องในนั่นได้รับการชันสูตรว่าเป็นของกระต่ายถูกล้างและแช่ฟอร์มาลีนมาอย่างดีเลยด้วย”

“เครื่องใน...กระต่ายหรือครับ”ผมหากระดาษและปากกาที่ใกล้มือที่สุดจดข้อมูลที่ได้ลงไป

“เหยื่อในคราวนี้ชื่อว่าศศิธรมีชัยอายุ10 ปีเพศหญิงศึกษาอยู่ที่โรงเรียนธิดาวิทยา”

“ครับ...แลัวมีอะไรแปลกๆออกมาจากคำให้การของเธอมั้ยครับ”

“คนที่ให้ของขวัญกล่องนั้นคือเพื่อนของเธอเองแต่เธอจำชื่อและจำหน้าของเด็กคนนั้นไม่ได้รวมถึงคนอื่นๆที่อยู่ที่นั่นด้วย”

“ตอนแรกมีกัน 6 คนแต่แล้วก็มีคนนึงหายตัวไปงั้นหรือครับ”

“ทันทีที่เกิดเหตุเลยล่ะจู่ๆทุกคนสูญเสียความจำเกี่ยวกับเด็กนั้น”

มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นอีกแล้วนี่เรียกว่าหายสาบสูญแบบดื่อๆเลยสูญเสียความทรงจำในขณะนั้นอย่างรวดเร็วอีกต่างหาก

“แล้วเขามีสิทธิ์จะเป็นเพื่อนร่วมชั้นของเธอมั้ยครับถ้าเป็นก็น่าจะเช็คได้นะครับ”

“เรื่องนี้เราก็ยังสรุปไม่ได้แต่เราก็ได้ส่งคนไปโรงเรียนนั้นเพื่อตรวจดูรายชื่อเด็กแล้วล่ะนะ”

“งานหนักเลยนะครับ...แล้วเราจะเจอกันที่ไหนดีครับ”

”ฉันอาจจะเข้าไปหารือที่ร้านก่อนและฉันจะพาพวกเธอไปที่บ้านของเด็กคนนั้นจะได้ให้คุณลิซ่าได้คุยกับเด็กแบบตัวต่อตัวฉันจะโทรนัดพ่อแม่ของเด็กดูเป็นไปได้ก็วันนี้ไม่ก็วันพรุ่งนี้แหละ”

“ครับงั้นได้ครับ”แล้วสารวัตรเมธีก็วางปล่อยให้ผมอยู่กับความเงียบกับกระดาษข้อความที่อยู่ในมือ 

งั้นนั่นก็แสดงว่าถ้าเราไม่ได้ไปที่บ้านเด็กวันนี้พรุ่งนี้เราก็อาจไม่ว่างทั้งวันเฮ้อออท่าทางแผนการที่คุณภิรดาที่อุส่าชวนพวกเราไปที่โบสถ์ก็คงจะล้มไม่เป็นท่าซะแล้วล่ะมั้งถึงวันนี้จะเป็นแค่วันพุธก็เถอะจะโทรบอกเธอเลยดีมั้ยนะหรือจะปรึกษากับคุณลิซ่าก่อนดี

แล้วไม่นานนักประตูไม้ที่คุณลิซ่าเข้าไปก็เปิดออกเธอยืนเท้าเอวในชุดโลลิต้าลูกไม้สีแดงสลับดำตามความชอบของเธอ

“เป็นไงบ้างอักษรชุดนี้ใช้ได้มั้ยฉันสั่งตัดอย่างดีเลยนะเนี่ย”

“ครับ...ก็ดีครับ”ผมตอบโดยที่ไม่ได้มอง

“นี้!เดี๋ยวเถอะ..”ก่อนที่เธอจะบ่นอะไรผมก็ยื่นโน๊ตให้เธอ”สารวัตรโทรมาแล้วครับและเข้าอาจจะเข้ามาที่นี่แต่ที่แน่ๆคือเขาจะพาเราไปเจอกับเด็กครับ”

เธอรับกระดาษโน๊ตจากผมแล้วอ่านตามที่ผมจดข้อมูลจากสารวัติเธอเงยหน้ามองผม

“เขียนดีๆก็เป็นนี่นา”

“นี่มันไม่ใช่เวลานะครับ”เธอมักทำให้ผมหงุดหงิดเวลาเธอแซวผมแบบนี้แล้วเธอก็กลับเข้าเรื่อง

“ศศิธร...เธอเขียนชื่อเด็กคนนี้ถูกใช่มั้ย”

“ครับคิดว่าถูกนะครับน่าจะเป็นศนั่นแหละครับ”

“เพราะมันน่าจะเข้ากว่าสหรือษใช่มั้ยล่ะ”

“ใช่ครับมีอะไรกับชื่อนี้หรือครับ”

“เปล่าหรอกสังเกตชื่อเอาไว้ก็ไม่เสียหายอะไรนี่”

“งั้นหรอครับ...”นั้นก็สมกับเป็นเธอดีนั้นละนะ

จากนั้นเธอก็ก้มหน้าลงอ่านข้อมูลอื่นๆทั้งหมดในโน๊ตที่ผมเขียนแล้วเธอก็หยุดมองผมอีกครั้ง

“หายสาบสูญงั้นหรอเด็กคนนั้น”

“ครับหายไปจากความทรงจำของคนรอบข้างหายไปจากโลกใบนี้”

“ไม่มีใครที่จู่ๆจะหายไปได้หรอกนะอักษร”

“ถ้าในโลกของผมอธิบายเรื่องนี้ไม่ได้โลกของคุณก็น่าจะอธิบายได้นี่ครับ”

ผมพูดจบเธอก็หันหลังไปและเดินไปมารอบเหมือนจะครุ่นคิดอะไรบางอย่างอะไรบางอย่างที่เธอเคยศึกษาเคยได้ยินและเคยประสบมาในรอบสี่ร้อยปีมานี้

ครับเธออยู่มานานถึงสี่ร้อยปีในยุคมืดของศาสนจักรที่มองเห็นคำสอนของมารเป็นคำสอนของพระเจ้าเธอคือหนึ่งในผู้พิเศษที่พระเจ้าได้ประทานพรสวรรค์ให้แต่ก็เกือบตกอยู่ในกองไฟในพิธีสังหารแม่มด

“ถ้าเป็นตำนานไอซิสเกี่ยวกับพวกสลองก็น่าจะได้นะ”

“สลอง? มันคืออะไรหรือครับ”

“ดวงวิญญาณร้ายที่ไม่สามารถไปสู่สุขติได้เป็นวิญญาณของคนบาปหนาซึ่งมากเกินกว่าที่จะชดใช้ได้พวกมันไม่อาจตกนรกหรือขึ้นสวรรค์ได้แต่จะวนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์”

เธอมุ่งหน้าตรงไปยังประตูไม้หลังร้านของเธออีกครั้งผมไม่รู้หรอกว่ามีอะไรรออยู่หลังบานประตูนั่น ผมรู้แค่มันเป็นห้องส่วนตัวของคุณลิซ่าและผมก็ไม่อยากที่จะเข้าไปยุ่งกับมันซักเท่าไร 

ไม่นานเธอก็ออกมาพร้อมกับหนังสือเล่มยักษ์ในมือเธอค่อยๆเปิดหนังสือนั้นที่กระดาษข้างในเหลืองและพร้อมจะขาดอยู่ตลอดเวลาและเธอก็เริ่มอธิบายพร้อมชี้ภาพประกอบให้ผมดู

“สลองจะรวมตัวกันมาเหมือนนกและจะอพยพจากทิศของคนตายพวกมันพยายามจะเอาวิญญาณคนตายไปอยู่ด้วยและยังสามารถลักพาตัวคนบริสุทธ์ไปได้ด้วย”

“ลักพาตัวคนเป็นเลยหรือครับ”

“ฉันไม่เคยเจอกับตัวหรอกเพราะถ้าเจอฉันคงจะหายสาปสูญไปแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้น...พวกเด็กคนอื่นทำไมถึงไม่โดนลักพาตัวล่ะครับ”

คำถามของผมทำให้เธอหยุดไปพักใหญ่และส่งเสียงอืมมมมมมมม 

“ถูกของเธอนะอักษรถ้าอย่างนั้นก็คงไม่ใช่พวกสลองหรอกหรือบางทีเด็กคนนั้นอาจจะ...ตายไปแล้วรึเปล่านะ”

“คุณลิซ่าครับ!”

“ตอนนี้เรายังไม่รู้อะไรเลยเดาสุ่มไปก็คงเสียเวลาเปล่า”

เธอปิดหนังสือเล่มยักษ์ของเธอดัง ปั๊ง! และเดินฉับๆเข้าไปเก็บในห้องของเธอแล้วออกมานั่งเซ็งอยู่หน้าเคาเตอร์ร้าน

“ฉันไม่เคยนึกอะไรไม่ออกแบบนี้มาก่อนเลยนะปกติฉันจะปิ๊งถึงบางอย่างได้ตลอดแต่ว่าครั้งนี้ฉันไม่รู้จริงๆแฮะ”

“เดี๋ยวพอสารวัตรเมธีมาพวกเราก็น่าจะได้อะไรมากขึ้นนั้นแหละครับไม่ต้องห่วงหรอก”

“น่าหงุดหงิดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”

เธอขยี่หัวผมสีดำยาวที่เคยเรียบสวยของเธอจนยุ่งเหยิงผมรู้ว่าเธอเจ็บใจที่เธอคิดอะไรไม่ออกแต่ว่าท่าทางที่เธอหงุดหงิดแต่ละครั้งก็ทำให้ผมกลัวอยู่บ่อยๆเหมือนกัน

“หายสาบสูญและหายไปจากความทรงจำหายสาบสูญและหายไปจากความทรงจำหายสาบสูญและหายไปจากความทรงจำหายสาบสูญและหายไปจากความทรงจำหายสาบสูญและหายไปจากความทรงจำ..”

 เธอบ่นพึมพำแบบนี้ซำ้ไปซำ้มาซำ้ไปและซำ้มาและเธอก็ฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้

“ฝีมือ...ของแม่มด...”

“แม่มดหรือครับแบบคุณน่ะหรอ”

“ไม่ใช่...แม่มดดำ ก็คือพวกที่ขายวิญญาณให้กับซาตานแม่มดพวกนั้นจะทำอะไรก็ได้ทั้งพลังอำนาจและความเยาว์วัยส่วนมากพวกนี้จะเกลียดเด็กมากอาจจะเป็นไปได้ก็ได้ว่าซาตานที่แม่มดตนนั้นทำสัญญาด้วยจะต้องชอบกินเด็กมันทำให้ฉันนึกถึง...ใช่แล้วKindlifresserbrunnen”

“ห๊ะ...หา?!อะไรนะครับ”

“Fountain of the Eater of Little Children รูปสลักของนักกินเด็ก ตั้งอยู่ที่เมืองเก่าของเบรินประเทศสวิสเซอร์แลนตั้งแต่ศตวรรษที่16โดยฮานเจียนมันเป็นการเปรียบถึงพิธีกรรมโบราณในยุคมืดของชาวยิวที่ลักพาตัวเด็ก เพื่อนำไปฆ่าและบูชายัญให้กับพระเจ้าแต่บางทีก็มีการพาดพิงถึงตำนานปีศาจกินเด็กอื่นๆเช่นแคมปัสแต่บางคนก็คิดว่าเป็นแค่รูปปั้นธรรมดาที่ทำให้เด็กๆกลัวเท่านั้น”

“แล้วคิดว่ามันเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้หรอครับ”

“ไม่หรอกฉันก็แค่นึกถึงเฉยๆเอง”

ผมก็เข้าใจนะครับว่าการระบายความรู้ที่เต็มลิ้นชักในสมองบ้างก็น่าจะเป็นเรื่องดีแต่บางทีมันก็ทำให้ผมงงไปด้วยเหมือนกัน

“ข้ามเรื่องนั้นไปก่อนละกันครับ”ผมถอนหายใจ”ถ้าเป็นแม่มดดำแบบนี้ไอ้ของขวัญเครื่องในนั่นก็เป็นการสาปแช่งใช่มั้ยครับ”

“เป็นการสร้างบาปมหันต์สำหรับคนคริสเตียนแต่สำหรับคนที่ไม่เชื่อแล้ว มันก็คือการล้างแค้นหรือการเล่นสนุกดีๆเท่านั้น”

“แต่ว่าคนที่ถูกสาปแช่งก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ครับหรือว่าคนที่ถูกสาปไม่ใช่ศศิธร”

“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ”

“ก็ศศิธรไม่ใช่คนที่หายสาบสูญไปนะครับแต่เป็นเพื่อนของเธอ”

คุณลิซ่ากลับมาครุ่นคิดอีกครั้งรวมถึงผมด้วยพวกเราไม่ใช่นักสืบไม่ใช่ตำรวจพวกเราไม่รู้วิธีที่จะไขปริษณาที่เกิดขึ้นได้ด้วยวิธีแบบนั้นได้

กริ๊งๆ!

ในที่สุดที่กระดิ่งที่ประดับไว้หน้าร้านก็ดังขึ้นทำให้เราสองคนมองไปยังผู้มาเยือนนั่นก็คือสารวัตรเมธีและยังมีครอบครัวนึงเดินตามหลังเขาเข้ามาอีกด้วย

“สารวัติยินดีต้อนรับค่ะ”คุณลิซ่าลุกขึ้นและเดินมายังหน้าเคาเตอร์พร้อมพนมมือไหว้ทำให้ทุกคนไหว้ตอบพร้อมๆกันเป็นการทักทาย

“ทางนี้คือครอบครัวของน้องศศิธร”สารวัตรพูดและหลีกทางให้พวกเราคุยกับพวกเขา

“คุณคือคุณลิซ่า...ที่เขาล่ำลือกันว่าเป็นหมอผีใช่มั้ยคะ”

คำพูดของแม่ของศศิธรทำให้เธอถึงกับหุบยิ้มหวานแทบจะทันทีที่เธอเดินนำไปที่โต๊ะรับแขกที่นั่งได้สี่คนและเคลื่อนเก้าอี้นั้น

“ฉันอยากจะแก้ตัวว่าฉันไม่ใช่หมอผีแต่ว่าเอาเถอะค่ะเชิญนั่ง”

ครอบครัวผู้มาเยือนต่างนั่งที่เรียบร้อยโดยเด็กหญิงนั่งอยู่ตรงข้ามกับคุณลิซ่า

“พี่สาว...เหมือนตุ๊กตามากเลยค่ะ”เด็กหญิงมองเธอด้วยตาที่เป็นประกาย

“งั้นเหรอจ๊ะขอบใจมากนะเธอคงคือศศิธรสินะ”

“เรียกหนูว่าบันนี่ก็ได้ค่ะ”

“ชื่อเล่นเธอหรอบันนี่...”

“บันนี่ที่แปลว่ากระต่ายน่ะค่ะ”

คุณลิซ่ามองเธอและคิดเริ่มพูดบางอย่างออกมา

“หนูรู้รึเปล่าว่าเครื่องในที่หนูได้เป็นของขวัญวันเกิดน่ะเป็นเครื่องในของกระต่าย”

“เอ๋!?”ทุกคนผวาทันทีที่คุณลิซ่าพูดเรื่องแบบนี้กับเด็กได้หน้าตาเฉย

“คะ...คุณลิซ่าครับ”ผมพยายามหยุดเธอแต่ว่าเธอก็ยังพูดต่อ

“ชื่อของหนูแม้แต่ชื่อจริงที่มาจากศศ(สะสะ)ที่แปลว่ากระต่ายหรือชื่อเล่นที่มาจากคำว่าbunny หรือ rabbitก็แปลว่ากระต่ายถ้ายิ่งเธอเกิดปีเถาะด้วยแล้วก็จะยิ่งทำให้ผลของการสาปแช่งสัมฤทธิ์ผลมากกว่าปกติ”

“บันนี่อย่าไปฟังนะคะลูกอย่าไปฟัง...”

“ถ้าเธอไม่ฟังฉันฉันก็ไม่อาจช่วยอะไรเธอได้”

“หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะคุ..”ไม่ทันที่แม่ของเด็กจะต่อว่าอะไรเธอก็ชิงตัดหน้าพูดก่อน

“ฉันกำลังพูดกับเด็กอยู่ค่ะ!”

พูดเสร็จเธอก็หันมายิ้มให้บันนี่ที่ทำหน้างงงวยเธอถามคุณลิซ่าด้วยเสียงแสนบริสุทธิ์ 

“หนูถูกสาปแช่งงั้นหรอคะมันคืออะไรคะ”

“การสาปแช่งก็คือการพิพากษาให้คนอื่นเป็นไปตามที่ตนต้องการเป็นการกระทำของคนใจร้ายและเห็นแก่ตัวหรือไม่ก็เป็นคนที่ต้องการแก้แค้นหนู”

เด็กหญิงก้มหน้าลงเพื่อทำความเข้าใจมันคงยากซักหน่อยสำหรับเด็กวัยสิบขวบอย่างเธอว่าโลกนี้เต็มไปด้วยความน่ากลัวและการล่อลวงที่นับไม่ถ้วน

“ช่วยบอกได้มั้ยว่ามีใครที่เกลียดเธอหรือใครที่เธอเกลียดบ้าง”

“….”เธอเงียบสนิทเหมือนรู้สึกอึดอัดด้วยอะไรบางอย่างเหมือนอาการกลัวบางอย่างและดูเหมือนว่าคุณลิซ่าจะรับรู้ได้ว่าเด็กคนนี้ต้องการอะไร

“ขอเชิญคุณพ่อคุณแม่ออกไปก่อนนะคะ”

“วะ..ว่ายังไงนะ”

“ก็ได้ยินแล้วนี่คะเชิญออกไปข้างนอกค่ะ”

“ถ้าจะไล่พวกเราขนาดนี้งั้นเราจะไปขอให้คนอื่นช่วยดีกว่าค่ะขอตัวค่ะ”

“ดะเดี๋ยวสิคะปะป๊ามะม๊า!”

กลายเป็นเรื่องใหญ่เข้าซะแล้วผมควรจะทำยังไงดีล่ะปล่อยไว้แบบนี้คงไม่ดีแน่แต่ในขณะนั้นเองคุณลิซ่าก็พลิกสถานการณ์ในทันทีด้วยคำพูดแค่ประโยคเดียว

“คุณสกุณาคุณหาว่าฉันเป็นพวกต้มตุ๋นหลอกลวงและรู้สึกว่าสามีของคุณทำไมไม่ช่วยอะไรคุณและลูกเลยเอาแต่นั่งเงียบท่าเดียว”

“เอ๊ะ?”แม่ของเด็กชะงักคุณลิซ่าพูดต่อเอามือสานผมของเธอทัดหู

“คุณภักดิเรกคุณกำลังคิดว่าฉันเป็นพวกโรคจิตแต่ก็รู้สึกว่าฉันสวยและอยากมีอะไรกับฉัน”

“วะว่าอะไรนะ”พ่อของเด็กสะดุ้งเฮือกและหันไปหาแม่”ม่ะ..แม่ไม่ใช่นะ..ไม่จริงเลยซักนิดเดียว”

“คุณคิดว่าฉันพูดความจริงคุณสกุณาเพราะฉัน...”เธอเอานิ้วเคาะหัวของตัวเองเบาๆ  

“อ่านความคิดของพวกคุณทุกคนออกยังไงล่ะรวมถึงเด็กคนนี้ด้วย”

พ่อแม่ทั้งสองต่างหันไปมองลูกของตัวเองและหันกลับมามองคุณลิซ่าด้วยสายตาเกรงกลัว

“ฉันไม่ทำร้ายเด็กหรอกค่ะฉันอยากช่วยทุกคนที่ขอความช่วยเหลือจากฉันแต่ด้วยวิธี...ของฉัน” เธอยิ้มหวานที่แฝงไปด้วยความลึกลับ “บันนี่เธอเชื่อฉันใช่มั้ยมานั่งตรงนี้ต่อสิให้คุณพ่อคุณแม่ได้คุยกัน”

หลังจากที่หยุดยืนหน้าทางออกอยู่นานบันนี้ก็เดินกลับมานั่งที่โดยพ่อแม่ของเธอกลับหลังออกไปด้วยความขมขื่น

“แค่20นาทีเท่านั้นแล้วฉันจะกลับมารับลูกสาวของฉัน!”แล้วแม่ของเธอก็เดินออกไปโดยไม่เหลียวมองกลับเข้ามาอีกโดยมีพ่อของเธอก็เดินตามไป

“ในที่สุดก็อยู่กันแค่สองคนนะบันนี่”คุณลิซ่าก้มตัวเอามือเท้าโต๊ะอย่างเป็นกันเองผิดกับเด็กที่มีท่าทางเกร็งอย่างกล้าๆกลัวๆ

“ไม่ต้องกลัวหรอกฉันจะไม่อ่านความคิดเธออีกแล้วล่ะยกเว้นว่าเธอจะโกหก”

“คุณพ่อกับคุณแม่จะทะเลาะกันอีกมั้ยคะ”

“มันเกินขึ้นบ่อยหรอ...คุณพ่อมีผู้หญิงคนอื่นน่ะ”

เด็กหญิงพยักหน้ารับและคุณลิซ่าก็ถามต่อ

“เพื่อนของเธอที่หายไปล่ะจำเขาได้ซักนิดนึงมั้ย”

“หนูจำเธอไม่ได้ค่ะหนูคิดว่าหนูจำเขาได้แต่หนูก็ลืมเขา...”

“หลังจากเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นสินะหนูใช้โทรศัพท์รึเปล่าเผื่อว่าเธอจะโทรนัดเขาไปงาน”

“คุณแม่ไม่ให้ใช้ค่ะหนูพึ่งจะสิบขวบก็เลยไม่จำเป็น”

“งั้นเธอก็ต้องชวนเพื่อนๆตอนที่อยู่โรงเรียนเท่านั้นใช่มั้ย”

“ในห้องนำ้ตอนพักเที่ยงค่ะหนูว่าเราอยู่กันห้าคนค่ะ”

“เพื่อนๆของหนูจำเรื่องราวก่อนที่จะเกิดขึ้นได้รึเปล่า”

เธอส่ายหน้านั่นยิ่งทำให้ผมสับสนไปอีกว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่มันมีบางอย่างที่เข้าใจยากอยู่เหมือนกับว่าเธอ...

“หนูเคยคิดมั้ยว่าเด็กคนนั้นเป็นวิญญาณ”

“คุณแม่บอกว่าวิญญาณไม่มีจริงผีไม่มีจริงพอคิดแบบนั้นหนูก็จะไม่กลัวความมืดแล้วก็ไม่กลัวที่จะต้องอยู่คนเดียวค่ะ”

“งั้นเหรอเธอเริ่มเชื่อแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไรล่ะหลังเกิดเรื่องนี้รึเปล่า”

“ตั้งแต่เด็กมากๆแล้วค่ะและหนูก็ไม่เคยเห็นด้วย”

“หนูรู้ได้ยังไงว่าไม่ใช่วิญญาณพวกมันอยู่ทุกที่เพียงแค่เขาอยากให้เราเห็นหรือไม่ก็เท่านั้นบางทีพี่ชายที่อยู่ตรงนั้นอาจจะตายแล้วก็ได้นะไม่คิดว่างั้นบ้างหรอ”

คุณลิซ่ามองมาทางผมที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้เคาเตอร์หนูบันนี่หัวเราะออกมาอย่างเป็นเรื่องตลกโปกฮา

“พี่สาวหลอกหนูไม่สำเร็จหรอกค่ะผีต้องไม่มีเงาและลอยตัวจากอากาศด้วยเหมือนในการ์ตูนไงคะ”

“อืม...การ์ตูนก็เป็นหลักแห่งการเปิดเผยความจริงแบบนึงเอาเถอะบอกเรื่องที่ไม่อยากให้คุณพ่อคุณแม่รู้ให้ฉันฟังหน่อยสิเรื่องที่โรงเรียนน่ะ”

เธอทำสีหน้าเกร็งๆเหมือนไม่อยากจะเล่าแต่ที่สุดท้ายก็ยอมเอ่ยปากพูดออกมา

“อย่าเอาไปบอกคุณพ่อกับคุณแม่นะคะ”

“อืม...สัญญาแต่เมื่อพร้อมเธอก็ต้องบอกพวกท่านด้วยตัวเองด้วยนะ”

“ค่ะ”เด็กหญิงขานตอบก่อนจะเริ่มเล่าเรื่อง”หนู...เป็นเจ้าหญิงของห้องค่ะทุกคนชอบหนูไม่มีใครเกลียดหนูเลยหนูก็เลยสามารถสั่งให้ใครทำอะไรก็ได้ แล้วก็มีการตั้งตำแหน่งอื่นๆ เช่นเจ้าชายชาวบ้านพ่อค้าแม่ค้าชาวนาและข้ารับใช้”

“นี้เหมือนเล่นบทบาทสมมุติเลยนะ”ผมเเสดงความเห็นหลังจากที่เงียบมานาน

“พวกเราเล่นกันในห้องค่ะแล้วก็มีสัตว์ด้วยนะคะมีนกมีกวางเหมือนในเทพนิยายเลยค่ะ”เธอพูดอย่างสนุกสนานแต่ก็กลับทำหน้าเศร้า “คนที่โชคดีก็จะได้เป็นพวกคนสูงๆและสามารถสั่งอะไรคนที่เป็นคนรับใช้ก็ได้หนูรู้สึกว่ามันไม่ถูกแต่หนูก็กลัวว่าเพื่อนจะโกรธก็เลยไม่ได้ทำอะไรค่ะ”

“เธอปล่อยให้เพื่อนที่ถูกยัดเยียดให้เป็นคนรับใช้ถูกใช้งานอย่างนั้นเหรอ”

“มะมันโหดร้ายค่ะแต่ว่าหนูก็ไม่อยากเป็นคนรับใช้ค่ะหนู...อยากจะเป็นเจ้าหญิง”

“เพื่อนสี่คนก็เป็นชาวบ้านธรรมดาใช่มั้ยในห้องของเธอ”

“หญิงเป็นโจรสลัดค่ะโมโม่เป็นนักดาบอิ่มเป็นพยาบาลส่วนหมูก็เป็นคนเลี้ยงหมู”

“แสดงว่าอีกคนที่หายไปก็คือคนรับใช้...”

คุณลิซ่าคิดและหันไปมองสารวัตรเมธีที่ยืนดื่มกาแฟกระป๋องพิงตู้อย่างสบายใจ

“วันพรุ่งนี้ฉันจะไปที่โรงเรียนนั่นคุณช่วยไปส่งฉันหน่อยได้มั้ย”

“อย่าบอกนะว่าคุณจะปลอมตัวเป็นเด็กนักเรียนน่ะเด็กป.4เนี้ยนะ”

“ก็ช่วยบอกคุณครูหน่อยละกันนะว่าเป็นการสืบคดีน่ะ”

“คราวที่แล้วยังไม่เข็ดอีกรึไง”

“ถึงจะปลอมตัวเป็นคุณครูก็คงไม่มีทางรู้ต้นตอของสาเหตุหรอกมีแต่ต้องเข้าไปรวมกลุ่มเท่านั้นคิดซะว่าฉันเป็นเด็กซำ้ชั้นก็ได้”

“แบบนั้นจะดีแน่หรือครับคุณลิซ่า”ผมไม่ค่อยจะสนับสนุนกับความคิดเหนือคำบรรยายของเธอซักเท่าไรถึงเหตุผลของเธอก็ค่อนข้างจะจริงก็ตามที

“พี่สาวจะมาเรียนที่เดียวกับหนูหรือคะ”เธอดูตื่นเต้นเอามากๆเลยก็สมที่เป็นเด็กนั้นแหละนะ

 

หลังจากที่พ่อแม่ของเธอมารับและพาบันนี่กลับไปโดยที่ไม่พูดอะไรผมก็นึกได้ถึงคำชวนของคุณภิรดาได้พอดีเลย

“คุณลิซ่าครับคุณภิรดาชวนพวกเราไปโบสถ์วันอาทิตย์นี้ครับ”

“ภิรดา?”

“ลูกค้าคนก่อนที่เป็นโรคกลัวความมืดเข้าเส้นน่ะครับ”

“อ๋อๆๆๆฮะๆโทษทีลืมไปซะสนิทเลยล่ะบอกเธอไปก่อนเลยเถอะว่าไม่น่าจะไปได้”

“เอ๋?ทำไมล่ะครับวันนี้พึ่งวันพุธเองนะครับทำไมถึงคิดว่าจะไปไม่ได้ล่ะครับ”

โดยที่เธอยังไม่ทันตอบผมเธอก็ลุกขึ้นไปคุยกับสารวัตรเมธี

“ได้เอากล่องของขวัญอันนั้นมาด้วยรึเปล่า”

“ไม่มันเป็นหลักฐานของราชการฉันถึงได้รอไปตรวจดูที่สถานีอยู่นี้ไงล่ะ”เขาตอบด้วยหน้าเซ็งพรางซดกาแฟจนหมดแล้ววางเอาไว้บนตู้ที่เขาพึ่งพิงอยู่เมื่อกี้ และเดินนำหน้าไปยังทางออกหน้าร้าน

“เดี๋ยวสิครับเอาไปทิ้งด้วยสิ”

“เป็นเบ้ก็ทำหน้าที่เบ้ไปสิ”เขาตะโกนบอกและเดินออกจากร้านไปพอผมมองไปที่คุณลิซ่าเธอก็เอามือป้องปากขำผมเบาๆ

“คุณลิซ่าครับ...”

“คิๆโทษทีไปกันเถอะ”

ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากหยิบแก้วกระดาษนั้นโยนลงถังขยะที่อยู่ตรงมุมของร้านซึ่งแน่นอนผมโยนมันไม่ลงถังตามเคยและต้องพาร่างที่หนักอึ้งก้มหยิบแก้วนั้นทิ้งดีๆอย่างเหนื่อยหน่าย

ความอ่อนแอของมนุษย์อย่างผมมันหนักอึ้งอยู่ในร่างกายของผมเลยมันทำให้ผมรู้สึกอิจฉาคุณลิซ่ามากจริงๆที่เธอทั้งกล้าหาญรอบรู้และมีพลังพิเศษเหนือคนอื่นๆแบบนี้

ผมเองก็...อยากจะเก่งบ้างเหมือนกัน...

 

ผ่านไปประมาณ30นาทีเราก็มาถึงสถานีตำรวจที่รับคดีของน้องบันนี่มาทำ

“ฉันเกลียดรถตำรวจเหม็นเหงื่อผู้ชายชะมัดคราวหลังเอารถส่วนตัวของคุณมาเถอะนะถือว่าฉันขอร้องเลยก็ได้อะ”มาถึงก็บ่นตามฉบับเลยสมเป็นคุณลิซ่าจริงๆ

“เออๆรู้แล้วตามฉันมา”

พวกเราตามสารวัตรไปห้องเก็บหลักฐานที่ถูกป้องกันอย่างแน่นหนาพวกเราเดินลงบันไดสู่ชั้นใต้ดินตรงหน้าของผมคือชั้นเอกสารและกล่องใส่หลักฐานถูกวางซ้อนกันอยู่มากมายเลยทีเดียวตำรวจนายหนึ่งที่เหมือนจะอยู่ในกลุ่มทำคดีนี้เดินนำหน้าพวกเราไปหยิบกล่องที่อยู่บนสุดลงมาและวางมันไว้บนโต๊ะพับได้สี่เหลียมสีขาว

“ใส่ถุงมือด้วยครับ”ตำรวจอีกนายยื่นกล่องถุงมือให้พวกเราและเราก็หยิบมาใส่กันคนละคู่

เสร็จแล้วสารวัตรก็เริ่มเปิดกล่องหลักฐานออกมาข้างในคือกล่องของขวัญสีชมพูพาทเทลกับโบอันใหญ่สีแดงติดอยู่ตรงกลางเขาค่อยๆเปิดโชว์สิ่งที่อยู่ข้างในกล่อง

“นะนี้มัน...คะ..เครื่องในของกระต่ายทำไมถึงยังเอามาใส่ในนี้อยู่อีกล่ะ”

เครื่องในกระต่ายที่สะอาดและไม่เหม็นถูกเก็บไว้ในถุงพลาสติกอีกทีสารวัตรหยิบถุงนั้นออกมา

“ก็เผื่อว่ามันจะมีความลับอะไรซ้อนอยู่ฉันก็เลยขอมาจากฝ่ายวิจัยมาให้เธอดูน่ะ”เขาพูดเสร็จก็เปิดถุงนั้นและเทมันลงไปในกล่องของขวัญสีชมพูนี้เพื่อจำลองเหตุการณ์ขนาดผมยังรู้สึกแย่ขนาดนี้ผมไม่นึกเลยว่าบันนี่จะทนเห็นมันได้

คุณลิซ่าค่อยๆใช้มือของเธอล้วงดูอวัยวะทีละชิ้นหัวใจปอดไตลำไส้และกระเพาะและยกดูกล่องตั้งแต่ข้างล่างข้างซ้ายขวาและฝาของกล่อง

“ฉันขอดึงโบนี้ออกจะได้มั้ย”

“ตามสบายเลย”

แล้วเธอก็ดึงโบออกมันเป็นโบที่ผูกด้วยริบบิ้นใหญ่อันเดียวและติดกับตัวกล่องเธอคลี่มันออกมาเป็นเส้นและดูเหมือนพอพลิกอีกด้านมันมีข้อความเขียนอยู่

“มันเป็นภาษาอะไรน่ะ”

“อักษรดีเบน...เป็นอักษรของพวกแม่มดในการทำพิธี”

“ภาษา..แม่มด..ถ้างั้นนี้ก็คือการสาปแช่งจริงๆ!”

“และเป็นฝีมือของแม่มดจริงๆด้วย”

“แต่ว่าทำเพื่ออะไรกัน”

“แม่มดน่ะปกติแล้วจะไม่สำแดงอำนาจออกมาพรำ่เพรื่อยกเว้นว่าจะได้รับจ้างจากใครซักคน”

“เป็นไปได้มั้ยครับว่าเป็นเด็กที่เล่นเป็นคนรับใช้”

“ก็อาจเป็นได้”

คุณลิซ่าอ่านข้อความบนริบบิ้นและพับมันเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อของเธออย่างรวดเร็ว 

“คะ..คุณลิซ่าครับ!”

“อะไรจ๊ะ?”เธอเงยหน้ามองผมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“กะ..ก็คุณกำลังขโมยของ...”

“ชู่...”เธอใช้นิ้วของเธอปิดปากผม”ของแบบนี้ปล่อยให้อยู่กับมนุษย์ธรรมดาไม่ได้หรอกนะ”

เสร็จแล้วเธอก็ลุกขึ้นพร้อมถือกล่องเอาไว้ด้วยในมือ

“สารวัตรพวกเราต้องรีบไปหาเด็ก”

“ทำไมเกิดอะไรขึ้น”

“เธอกลายเป็นเหมือนคาถาต้องสาปเธอไปที่ไหนความชิบหายจะมาที่นั้นคนแรกที่โดนน่าจะเป็นเด็กคนนั้นและต่อไปก็อาจเป็นพ่อแม่ของเธอเอง”

“อะไรนะครับ?!”

“ติดต่อพ่อแม่ของเด็กด่วนที่สุดเลย!!”

จากนั้นสารวัตรก็สั่งให้พวกตำรวจลูกน้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้รู้ถึงที่อยู่ของพวกเขาแต่ดูเหมือนทุกอย่างจะสายเกินไปเสียแล้วเมื่อเราขึ้นมายังบนสถานีทุกคนก็วิ่งวุ่นกันไปหมด

“จ่าเกิดอะไรขึ้นน่ะ”สารวัตรเมธีวิ่งไปหาตำรวจที่กำลังเดินผ่านพวกเราไป

“เกิดเหตุรถสปอร์ตชนรถสิบล้อครับที่ถนนพระราม2พึ่งได้รับรายงานเมื่อไม่กี่นาทีนี้เอง”

“รถสปอร์ตทะเบียนอะไร”

“2ฟธ4309ครับ”

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา