[Fic Hetalia UKUS] ราตรีนิมิตกลางสายฝน

8.3

เขียนโดย snowred

วันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 12.50 น.

  5 ตอน
  0 วิจารณ์
  8,537 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2559 13.07 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) ยามที่ 5 : รอยร้าวกระจก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ยามที่ 5

 รอยร้าวกระจกระหว่างฟากความเป็นจริงและภาพลวง

 

               ชายหนุ่มร่างเล็กผมสีทองดวงตาสีม่วงอมฟ้า สวมชุดเครื่องแบบทหารสีฟ้าคลุมด้วยเสื้อกันหนาวสีขาว บนศีรษะสวมหมวกสีขาวคล้ายหมวกแฟลท ในมือที่สวมถุงมือสีเดียวกันมีปืนไรเฟิลซึ่งหันปลายกระบอกปืนมาทางเขา ดวงตาสีฟ้าอมม่วงเบิกกว้างเพราะความคาดไม่ถึง สกอตแลนด์เองก็ไม่ต่างกัน ทั้งสองฝ่ายต่างลดอาวุธลงก่อนที่ฟินแลนด์จะเปิดปากถาม

               “คุณสกอตแลนด์? มาทำธุระอะไรที่นี่เหรอครับ ผมเกือบยิงคุณซะแล้ว”

               “เอ่อ…” สกอตแลนด์เหมือนคนติดอ่างไปพักหนึ่ง เขาไม่รู้ว่าจะโกหกหรือพูดไปตามความจริงดี ทว่าไม่ทันได้ตอบอะไรฟินแลนด์ก็พูดต่อ “ผมสีแดงของคุณมันทำให้ผมไม่ไว้ใจ ประเทศเราไม่ค่อยมีคนผมสีนี้เท่าไหร่” ฟินแลนด์ลอบมองผมสกอตแลนด์แวบหนึ่งเพราะกลัวเสียมารยาท

               “ขอโทษนะ ฉันเองก็นึกว่าใครจะลอบฆ่า”

               “ผมต่างหากล่ะครับที่ต้องขอโทษ ว่าแต่ตอนนี้คุณสกอตแลนด์พักอยู่ที่ไหนเหรอครับ? แถวนี้ไม่มีบ้านใครนี่”

               “เดินกลับไปทางนั้นสักพักก็จะเจอกระท่อม ฉันพักอยู่ที่นั่น” สกอตแลนด์ชี้นิ้วโป้งไปทางข้างหลัง ฟินแลนด์มีสีหน้ากังวล “ที่นั่นไม่หนาวเหรอครับ ถ้ายังไงมาอยู่บ้านผมก่อนไหม?”

               “จะรบกวนนายมากหรือเปล่า ฉันมากับอังกฤษแล้วก็แคนาดาด้วยนะ”

               “สบายมากครับ อีกอย่างผมปล่อยให้พวกคุณอยู่แบบนั้นไม่ได้หรอก กระท่อมที่คุณพักผมก็เคยเข้าไปดู ถ้าไม่มีใครล่าสัตว์ก็จะไม่มีอะไรกิน ผมถึงไม่อยากให้พวกคุณอยู่ที่นั่น”

               “เข้าใจแล้ว ว่าแต่บ้านนายอยู่ห่างจากที่นี่ไหม?” สกอตแลนด์คิดว่าไปอยู่บ้านฟินแลนด์ท่าจะดีกว่า แม้ในใจจะยังอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมอีกฝ่ายยังดูปรกติ ทั้ง ๆ ที่ระหว่างทางเดินภาพทิวทัศน์บิดเบี้ยว แต่ตอนนี้การหาที่พักเพื่อดูแลตนเองและเพื่อนร่วมทางสำคัญกว่า เขาจึงวางเรื่องนี้ก่อน

               “เดินไปทางนั้นชั่วโมงนึงก็ถึงแล้วครับ” ฟินแลนด์หันไปด้านหลังพร้อมกับใช้มือข้างหนึ่งที่ละจากปืนไรเฟิลชี้ สกอตแลนด์มองตามแล้วถามต่อ “ว่าแต่ทำไมนายถึงเอาปืนมาด้วยล่ะ จะล่าสัตว์เหรอ?”

               “คือ… ไม่ได้ล่าสัตว์หรอกครับ ผมอยู่กับคุณสวีเดน วันนี้เขาบอกว่าข้างนอกมีอะไรแปลก ๆ ”  สีหน้าฟินแลนด์ดูกังวล สกอตแลนด์เห็นดังนั้นก็อดสงสัยไม่ได้

               “ที่แปลก ๆ มันคืออะไรน่ะ?”

               “ผมเองก็ไม่ทราบครับ ตอนเช้าเขาบอกว่าเวลาออกไปข้างนอกให้ระวังตัวด้วย แล้วเขาก็ออกจากบ้านไปโดยที่ไม่ได้บอกเหตุผลและไม่ได้บอกด้วยว่าจะไปไหน ปรกติเขาไปไหนมาไหนก็มักจะบอกเสมอ ผมเองก็ไม่อยากเซ้าซี้เลยคิดว่าคุณสวีเดนคงมีเหตุผลของเขา ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ แต่หลายชั่วโมงแล้วที่เขายังไม่กลับมา ผมเลยออกมาตามหาเพราะว่าเป็นห่วง”

                พูดมาถึงตรงนี้ฟินแลนด์ยิ่งมีสีหน้าวิตกกังวลมากขึ้น ความตึงเครียดและความว้าวุ่นเข้าเกาะกุมจิตใจ สกอตแลนด์ได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกได้ถึงจุดแปลก ๆ

               หรือว่าสวีเดนจะเห็นแบบเรา?

               ทั้งสองเงียบไปพักหนึ่งจนกระทั่งสกอตแลนด์เอ่ยขึ้น “ระหว่างทางที่ผ่านมานายเห็นอะไรผิดปรกติบ้างไหม?”

               “ยังไงเหรอครับ?” ฟินแลนด์ถามอย่างไม่เข้าใจ สกอตแลนด์มองขึ้นข้างบนพยายามนึกหาคำอธิบาย “จะว่าไงดีล่ะ เอาเป็นว่าอะไรที่อยู่รอบตัวนายเปลี่ยนไปบ้างไหม?”

               “อืม… ทิวทัศน์… ไม่รู้ว่าผมสายตาเริ่มไม่ดีหรือเปล่า แต่บางครั้งภาพที่เห็นตรงหน้ามันมัว ๆ เบลอ ๆ บอกไม่ถูก ช่วงนี้ผมคงจะอ่านหนังสือมากไปหน่อยสายตาเลยไม่ค่อยดี ว่าแต่มีอะไรหรือเปล่าครับ? หรือว่าคุณรู้อะไรเกี่ยวกับคุณสวีเดน?”

               สกอตแลนด์เริ่มสับสน เพราะท่าทางฟินแลนด์ดูเป็นธรรมชาติมาก แถมเขายังบอกถึงความผิดปรกติแบบที่เขาเห็นอีก

               “ขอโทษนะ ฉันว่าเรื่องนี้คงอีกยาวไว้คุยที่บ้านนายดีกว่า”

ฟินแลนด์มองสกอตแลนด์อย่างฉงนแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ชายหนุ่มผมสีแดงขอตัวกลับไปหาอีกสองคนที่อยู่ในกระท่อมก่อน …ไม่รู้ว่าฟินแลนด์หูแว่วหรืออย่างไร ถึงได้รู้สึกว่าเสียงหวีดหวิวของสายลมเหมือนมีใครบางคนกระซิบข้างหูเขา

 

               หลังจากที่สกอตแลนด์เดินกลับไปที่กระท่อม แล้วพาอังกฤษกับแคนาดามาพบกับฟินแลนด์แล้ว ชายหนุ่มดวงตาสีม่วงอมฟ้าก็เดินนำพวกเขาไปที่บ้านของตนเอง ระหว่างทางแคนาดารู้สึกเหมือนมีใครแอบมองอยู่เป็นระยะ ๆ เขาหยุดเดินปล่อยให้อีกสามคนเดินไปก่อน เพราะเมื่อครู่ได้ยินเสียงเหมือนมีใครเหยียบกิ่งไม้ดังใกล้ ๆ ทว่าพอเงี่ยหูฟังแล้วกลับไม่ได้ยินเสียงอะไร มีเพียงความเงียบเชียบท่ามกลางหิมะที่ขาวโพลน ชายหนุ่มชาวแคนาเดียนยืนมองรอบ ๆ อยู่พักหนึ่งจนอังกฤษที่สังเกตว่าเพื่อนร่วมทางอีกคนหายหันกลับมาเรียก แคนาดาวิ่งเหยาะ ๆ ตามไปและหันไปมองด้านหลังเป็นระยะแต่ก็ไม่พบกับความผิดปรกติอะไรอีก หลังจากนั้นก็เกิดอุบัติเหตุเล็ก ๆ ที่แคนาดาลื่นหิมะเวลาขึ้นเนิน ฟินแลนด์ที่สังเกตเห็นไวกว่าอีกสองคนรีบยื่นมือไปช่วยจับ ชายหนุ่มสวมแว่นนิ่งไปพักหนึ่ง เขายิ้มแห้ง ๆ แล้วกล่าวขอบคุณก่อนที่พวกเขาจะเดินต่อ

 

               ถึงเวลาพลบค่ำแล้ว ใช้เวลานานทีเดียวกว่าจะมาถึงบ้านของฟินแลนด์ ซึ่งทำจากไม้ชั้นเดียวและมีปล่องไฟ ฟินแลนด์ให้ทั้งสามคนนั่งอยู่ที่ห้องรับแขก มีโต๊ะนั่งตัวยาวขนาบโต๊ะตัวกลางสองข้าง เบื้องหน้าตรงกลางระหว่างโต๊ะห่างออกไป มีโทรทัศน์ตั้งอยู่บนโต๊ะที่เป็นตู้ในตัว แล้วบอกว่าตนเองจะไปชงนมอุ่น ๆ ให้ หลังจากที่ฟินแลนด์เดินเข้าไปในห้องครัวสกอตแลนด์ก็เปิดปากพูด แต่พยายามลดเสียงให้เบาพอได้ยินกันสามคน

               “ตอนนี้มาดูจุดแปลก ๆ ที่เจอวันนี้ก่อน จุดแรกคือปืนของอังกฤษ จุดที่สองอย่างที่ฉันพูดไปก่อนออกนอกบ้าน คือภาพทิวทัศน์ข้างนอกมันมัว ๆ ระหว่างทางที่ฉันออกไปสำรวจภาพทิวทัศน์มันบิดเบี้ยว แต่ฟินแลนด์ที่เผอิญเจอกันกลับไม่มีความผิดปรกติ จุดที่สามคือเรื่องที่ฟินแลนด์เล่าให้ฉันฟังว่าสวีเดนบอกให้เขาระวังเวลาออกไปข้างนอก แถมเจ้าตัวไม่ได้บอกด้วยว่าทำไม จะออกไปไหน แล้วเป็นเพราะอะไร และจนกระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่กลับมา”

               อีกสองคนนั่งนิ่ง ๆ แล้วพิจารณาจุดที่สกอตแลนด์เล่า อังกฤษพึมพำอะไรบางอย่างก่อนจะกล่าวขึ้น

               “เวทมนตร์เคลื่อนย้ายมันเกิดขัดข้องเหรอ? ที่นี่ถึงได้ดูแปลก ๆ ”

               “ไม่หรอก ฉันมั่นใจว่าเวทมนตร์ที่พาเรามามันสมบูรณ์แบบ แต่ตอนนี้ฉันคาดเดาอย่างหนึ่งว่าไอวิญญาณที่อยู่ในปืนมันต้องเกี่ยวข้องกับความผิดปรกตินี้แน่”

               “ที่สกอตแลนด์พูดมามันทำให้ผมเริ่มไม่ไว้ใจ” แคนาดาเอ่ยขึ้นแล้วพยายามลดเสียง “ฟินแลนด์ดูแปลก ๆ ”

               “แปลกยังไงน่ะ?”

               สกอตแลนด์กับอังกฤษถามพร้อมกัน แคนาดาอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบ

               “ตอนที่ผมลื่นหิมะ ถึงจะเพียงแวบเดียวแต่ผมมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด ฟินแลนด์แสยะยิ้มแล้วดวงตาเขาเป็นสีแดงเหมือนเลือด หน้าของเขาคล้ายกับมีเงามืดบางอย่างทาบลงมา ชั่ววินาทีที่ผมกะพริบตาเขาก็กลับมาเป็นปรกติ เขาดูแปลกจริง ๆ นะครับ”

สองพี่น้องบริเตนเงียบไป พวกเขาเพิ่งเอะใจว่าทำไมตอนนั้นแคนาดาถึงนิ่งไปหลังจากที่ฟินแลนด์ช่วยเขา

               “คงไม่ใช่ว่าฟินแลนด์อยู่เบื้องหลังนะ เรื่องที่สวีเดนยังไม่กลับมาไม่ใช่ว่าเขาทำอะไรกับเพื่อนตัวเองเหรอ? แล้วจะทำแบบนั้นไปทำไมในเมื่อทั้งสองคนสนิทสนมกันจะตาย เท่าที่ฉันรู้จักมาสวีเดนก็ดูแลฟินแลนด์ดีนะ”

               สกอตแลนด์ยิ่งสงสัยเมื่อความเป็นไปได้และเหตุผลรองรับมันไม่เชื่อมเข้าด้วยกัน ตอนนี้เขาอยากย้อนกลับไปยังอดีตในช่วงที่มีสงคราม วางแผนรบง่ายกว่ามาคิดเรื่องนี้อีก

               “ขอโทษที่ให้รอครับ”

               ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียด ฟินแลนด์เดินเข้ามาพร้อมกับถาดใส่แก้วกระเบื้องที่มีนม ทั้งสามคนหยุดพูดเมื่อได้ยินเสียงนั้น อังกฤษกับแคนาดาหน้าซีดเพราะคิดว่าเจ้าของบ้านได้ยิน ทว่าสกอตแลนด์กลับมีสีหน้าที่เรียบเฉย

               “แล้วนายจะไปหาสวีเดนต่อมั้ย?” สกอตแลนด์ถามก่อนจะยกแก้วขึ้นดื่ม ฟินแลนด์ถอนหายใจก่อนจะตอบ

               “ว่าจะอยู่บ้านพักนึงแล้วตามหาต่อครับ” ฟินแลนด์นั่งลงที่โต๊ะนั่งอีกฝั่ง อังกฤษที่ดื่มไปได้หน่อยเพิ่งนึกได้ว่าตนเองกับเพื่อนร่วมทางไม่ได้เตรียมของอะไรมา จึงเขยิบเข้าไปใกล้สกอตแลนด์แล้วกระซิบ

               “สกอตแลนด์ นายบอกฟินแลนด์ไปหรือเปล่าว่าเรามาทำอะไรที่นี่” สกอตแลนด์ดูเหมือนฉุกคิดได้ จึงพูดติด ๆ ขัด ๆ “ฉัน… ยังไม่ได้บอก”

               ไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านหูดีหรือยังไง ถึงได้ถามเรื่องนี้พอพวกเขาคุยจบ “คุณสกอตแลนด์ยังไม่ได้บอกผมเลยนะครับว่ามีธุระอะไรที่นี่ ในเมืองหลวงฟินแลนด์หรือที่อื่น ๆ ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวหลายที่ ทำไมมาแถวนี้ล่ะครับ?”

               พวกเขาสามคนต่างคนต่างมองกันไปมาอย่างทำตัวไม่ถูก จนแคนาดาเป็นฝ่ายเอ่ยตอบ

               “ก่อนหน้านี้พวกผมเพิ่งไปเที่ยวกันมา เลยเปลี่ยนบรรยากาศมาเดินเล่นแถวนี้น่ะครับ แถมอังกฤษยังบอกว่าจะมาหาของไปปรุงอะไรสักอย่างแถว ๆ นี้ ส่วนผมก็ว่าจะมาหาฟินแลนด์เพราะอยากถามว่า คริสต์มาสนี่ต้องจัดยังไงถึงจะสนุก เลยบอกอังกฤษกับสกอตแลนด์ว่าบ้านเธออยู่แถว ๆ นี้ แต่ก็หลงทางจนได้ หลังจากนั้นก็พักที่กระท่อมแถวนั้นนั่นแหละครับ”

               แคนาดากล่าวพร้อมกับพยายามยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติสุด ๆ อังกฤษหันขวับไปมองอดีตน้องชายตนเองอย่างงุนงงว่า ตนเองบอกตอนไหนว่าจะมาหาของ เล่นเอาสกอตแลนด์ต้องตีหน้านิ่งไม่ให้หลุดขำออกมา

               แคนาดา นายกลายเป็นคนอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?

               ฟินแลนด์รู้สึกว่าอังกฤษมีท่าทีแปลก ๆ เจ้าตัวเลยหันมายิ้มแห้ง ๆ ให้

               “ให้ตายสิ ฉันบอกแล้วแท้ ๆ เชียวว่าห้ามบอกใคร ก็อย่างที่แคนาดาพูดนั่นแหละ พวกเราพักในโรงแรมที่อยู่ห่างจากที่นี่ แถมไม่ได้ใช้รถเพราะฉันจะหาของ สกอตแลนด์ก็บอกอีกด้วยว่าเช่ารถมามันเปลืองเงิน”

               คราวนี้เป็นสกอตแลนด์ที่เกือบจะหันขวับมามองอังกฤษ แต่เพื่อให้การแสดงละครเป็นไปอย่างแนบเนียนเลยอยู่นิ่ง ๆ

               “คุณแคนาดาน่าจะขอเบอร์ใครสักคนโทรฯ มาหาผมนะครับ แบบนี้ก็ลำบากแย่สิ”  ฟินแลนด์กล่าวด้วยความเป็นห่วง แคนาดายิ้มบาง ๆ แล้วตอบ “ไม่เป็นไรครับ เดินแบบนี้ก็เพลินดี ถึงผมจะเคยไปที่ประเทศอื่นที่มีหิมะตก แต่ผมอยากมาสัมผัสในบรรยากาศของฟินแลนด์มากกว่า

               สองพี่น้องบริเตนชำเลืองตามองกัน ก่อนที่สกอตแลนด์จะกระซิบ

                “อังกฤษ นายสอนน้องนายได้ดีนี่ เนียนชะมัด”

               “ฉันสอนที่ไหนล่ะ หมอนั่นก็แค่แก้สถานการณ์เก่ง”

               แคนาดาไม่รู้ว่าสองพี่น้องคุยอะไรกัน แต่ที่แน่ ๆ ต้องเป็นเรื่องเขา ชายหนุ่มผมออกหยักศกยิ้มแห้ง ๆ พร้อมกับกล่าวขอโทษในใจ

               “ดูท่าจะเดินมาไกล ตอนนี้ก็ค่ำแล้วอากาศเย็นลงแล้วด้วยครับ กลับไปตอนนี้จะเป็นป่วยหนักเอา ถึงพวกคุณจะทนหนาวโดยที่ไม่สวมอะไรทับ แต่พอเรื่อย ๆ จะแย่เอา เพราะฉะนั้นคืนนี้อยู่บ้านผมก่อน  ของใช้ที่จำเป็นผมจะหามาให้ครับ” ฟินแลนด์มองหน้าต่างกรอบไม้ที่กรุด้วยกระจก ซึ่งขึ้นฝ้าและมีหิมะเกาะอยู่ขอบข้างนอก ทิวทัศน์จากตอนแรกที่มีแต่สีขาวมาตอนนี้มีเพียงความมืดมิด หากไม่ใช่เพราะหลอดไฟเล็ก ๆ แสงสีเหลืองส้มที่ติดไว้นอกบ้าน ก็คงมองอะไรไม่เห็นแม้แต่เงาราง ๆ

               หลังจากที่ฟินแลนด์เดินลับสายตาไป สกอตแลนด์ก็เอ่ยขึ้นแต่พูดเสียงเบา ๆ

               “คืนนี้ฉันจะแอบออกไปข้างนอก”

               “ฮะ?” อังกฤษร้องอย่างไม่เข้าใจ แคนาดาเองก็มองด้วยแววตาแบบเดียวกัน

               “ฟังไม่ผิดหรอก ฉันว่าคืนนี้ตอนห้าทุ่มฉันจะแอบออกไปข้างนอก ส่วนอังกฤษกับแคนาดาคอยสังเกตการณ์อยู่ในบ้าน ต้องมีคนคอยมองสองทางถึงจะเชื่อมโยงข้อมูลได้ ตอนนี้เรามีหลักฐานไม่พอถึงต้องสืบต่อ แล้วต้องรีบด้วยไม่งั้นอะไร ๆ จะบานปลายไปกันใหญ่”

               “เดี๋ยวสิ ข้างนอกมันมืดแล้วหนาวมากเลยนะ นายจะเห็นทางเหรอ แล้วเสื้อกันหนาวล่ะ?” อังกฤษถามในขณะที่แคนาดาทำท่าเหมือนจะพูดอะไร

               “ฉันจะขโมยไฟฉายในบ้านนี้ ส่วนเสื้อกันหนาวฉันจะขอฟินแลนด์ เขาน่าจะเข้าใจว่าตอนนอนถึงจะห่มผ้าแต่อากาศก็หนาวอยู่ดี”

               ได้ฟังดังนั้นทั้งสองคนก็ทำหน้าสงสัยและเหมือนจะคัดค้านว่าทำแบบนั้นมันไม่ดี แต่พอมาคิด ๆ ดูสถานการณ์ตอนนี้ต้องเอาตัวเองให้รอดก่อน แล้วอังกฤษกับแคนาดาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมไม่ขอไฟฉายตรง ๆ เพราถ้าเกิดอีกฝ่ายมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องผิดปรกตินี้ เขาต้องสงสัยแน่ว่าจะเอาไฟฉายไปทำไม ในเมื่อข้างนอกมันหนาวแล้วก็มืดขนาดนั้นจะมีเหตุจำเป็นอะไรที่ต้องออกไปให้ได้

               หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรอีกจนกระทั่งฟินแลนด์เข้ามาพร้อมกับชุดของเครื่องใช้จำเป็น ก่อนที่เขาจะบอกว่าตัวเองเตรียมน้ำอุ่นและจัดห้องนอนไว้แล้ว รวมทั้งอธิบายด้วยว่าห้องไหนเป็นห้องไหน แล้วถ้าเกิดง่วงให้อาบน้ำนอนก่อนได้เลย อาหารก็จัดเตรียมไว้แล้วเป็นขนมปังกับแยมให้ทานไปก่อน เขาวางชุดเครื่องใช้ลงบนโต๊ะตรงหน้าก่อนจะบอกว่าตนเองจะออกไปตามหาสวีเดนต่อ เขาเดินไปในตัวบ้านอีกครั้งแล้วเดินออกมาพร้อมกับปืนไรเฟิล รวมทั้งสวมชุดกันหนาวสีขาวตัวเดิมและใส่รองเท้าบูทก่อนออกจากบ้าน

               พอเสียงประตูปิดเงียบลงก็ไม่มีใครพูดอะไรอีก ทั้งสามคนนั่งพักพร้อมกับครุ่นคิด ระหว่างนั้นแคนาดาก็ฉุกคิด

               จะว่าไปฮานะทามาโกะหายไปไหนน่ะ หรือว่าหลับแล้ว?

 

               การอยู่ในสถานที่ที่ตนเองไม่คุ้นนับว่าไม่ค่อยดี แต่มันเลวร้ายตรงที่สถานที่นั้นมีแต่อันตรายรอบตัวและไม่มีสหายอยู่ข้าง ๆ เลยแม้แต่คนเดียว ตอนนี้อเมริกากำลังยืนพิงกำแพงข้างประตูทางเข้าห้องกัปตันบนเรือโจรสลัด โดยที่อังกฤษไปคุยงานกับลูกเรือคนหนึ่งซึ่งในขณะนั้นลูกเรือคนอื่น ๆ บางคนก็ยืนคุยเล่น นั่งพักบ้าง และทำงานของตนเอง ก่อนหน้าที่จะมาเขาสวมเสื้อตัวเองกลับเข้าที่เรียบร้อยแล้ว แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคืออาวุธในเสื้อหายไป อเมริกาอดขอบคุณพระเจ้าไม่ได้ว่าดีที่อังกฤษกับสเปนไม่ค้นกางเกงเขาต่อ เพราะใต้เนื้อผ้านั้นก็มีอาวุธเช่นกัน

               ปรกติอเมริกาเป็นคนร่าเริงและไม่ค่อยคิดมากกับสถานการณ์ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็ตาม แต่ในโลกที่หลงยุคผิดปรกตินั้นทำให้เขาไม่มีกะจิตกะใจจะสนใจสิ่งต่าง ๆ สักเท่าไหร่ (แต่การต่อสู้ก่อนหน้านี้เป็นข้อยกเว้น) สถานการณ์ก่อนหน้าที่เขาจะมาในยุคอดีตมันทำให้อดคิดถึงอันตรายที่จะมาไม่ได้ ระหว่างที่กำลังกลุ้มใจอยู่อังกฤษก็เดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจ ชายหนุ่มชาวอเมริกันเคยคิดอยู่เหมือนกันนะว่าในโลกนี้ไม่มีใครยิ้มน่ากลัวเท่าอังกฤษ เขามองอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจแต่ก็ไม่ได้เดินหนี เรืออยู่ในทะเลจะให้กระโดดลงไปเขาก็ตายสิ

               “นายชื่ออะไร?” จู่ ๆ อังกฤษก็ถามขึ้นเมื่อเดินมาหยุดตรงหน้าเขา “อัลเฟรด” อเมริกาเลือกที่จะตอบชื่อจริง ๆ ของเขาเพราะขืนบอกว่าเป็นอเมริกาอีกฝ่ายจะสงสัยเอา

               อังกฤษหรี่ตาลงเหมือนพินิจอะไรบางอย่าง อเมริกาเห็นดวงตาสีเขียวฉายแววสับสนแวบหนึ่ง

               “แปลก หน้านายคล้ายคนอังกฤษ แต่ดูดี ๆ แล้วก็ไม่เหมือนคนอังกฤษ” อังกฤษกล่าวต่อพลางจ้องใบหน้าของอีกฝ่ายจนเจ้าตัวชักสีหน้า “นายแยกยังไงถึงรู้ว่าหน้าแบบไหนเป็นคนอังกฤษ ฉันก็ต้องเป็นคนอังกฤษอยู่แล้วสิ”

               “พูดยาก แต่ฉันรู้สึกว่านายไม่ใช่”

               ก็แค่รู้สึกไม่ใช่รึไง

               อเมริกาคิดอย่างหงุดหงิด เขากอดอกแล้วมองคู่สนทนาอย่างไม่พอใจ “แล้วนายไม่ไปทำงานต่อรึไง”

               “คุยเสร็จแล้ว ที่เหลือให้ลูกเรือจัดการต่อ ส่วนนายฉันมีทางเลือกจะเสนอ” อังกฤษยังคงเอ่ยต่อไป แต่คราวนี้รอยยิ้มดูชั่วร้ายจนอเมริกาขนลุกซู่ เขาถามอย่างหวาด ๆ “ท่ะ ทางเลือกอะไร? ทำไมฉันต้องฟัง?”

               อังกฤษเลียริมฝีปากพร้อมกับรอยยิ้มที่ยังไม่หายไป ดวงตาสีเขียวน่าดึงดูดมองดวงตาสีฟ้าของอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้ง เขายื่นหน้าเข้าไปใกล้แล้วกระซิบข้างหูอเมริกา

               “นายจะเลือกระหว่างเป็นขนมหวานให้ฉันกินเล่น หรือเป็นเจ้าสาวที่ฉันจะดูแลอย่างทะนุถนอม?”

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา