[Fic Hetalia UKUS] ราตรีนิมิตกลางสายฝน
8.3
เขียนโดย snowred
วันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 12.50 น.
5 ตอน
0 วิจารณ์
8,538 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2559 13.07 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) ยามที่ 4 : มิติที่พร่ามัว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความยามที่ 4
มิติที่พร่ามัว
หิมะโปรยปรายท่ามกลางทิวทัศน์ที่ขาวโพลน กุหลาบเหมันต์ร่วงโรยอย่างเงียบงัน อเมริกาตัวน้อยซึ่งสวมชุดกันหนาวนั้นวิ่งอย่างร่าเริงไปพลางกระโดดโลดเต้น …ต่อให้เห็นหิมะกี่ครั้งมันก็ยังคงน่าตื่นเต้นสำหรับเขาเสมอ อังกฤษที่ใส่ชุดหนากว่าเดิมไม่แพ้กันเดินมาพร้อมกับรอยยิ้มเอ็นดู ดวงตาสีเขียวเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและเปี่ยมสุข
‘อาเต้อ ก้มหน้าลงหน่อยสิ’
อเมริกาวิ่งกลับมาหาอังกฤษแล้วเกาะขาเขา ดวงตาสีฟ้าดั่งนภายามฤดูร้อนที่ช้อนขึ้นมองทำให้หัวใจอังกฤษพองโต เขาหรี่ตามองอย่างสงสัยแล้วก้มตัวลง
‘มีอะไรเหรอ?’ อังกฤษเอ่ยถามเป็นช่วงจังหวะเดียวกับที่อเมริกายื่นมือเล็ก ๆ มาจับแก้มเขาแล้วหอมแก้ม ริมฝีปากอุ่นร้อนที่นุ่มนิ่มนั้นให้ความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก หัวใจของอังกฤษเต้นแรงพอ ๆ กับที่ใบหน้าขาวของเขาขึ้นสีแดงระเรื่อ
‘อเมริกา?’
‘มีความสุขจังเลย วันนี้จะเป็นวันที่ผมจะได้อยู่กับอาเต้อ’ เด็กน้อยยิ้มอย่างไร้เดียงสาด้วยความรู้สึกที่เอ่อล้น อังกฤษรู้สึกว่าอากาศโดยรอบอุ่นขึ้นเมื่อเห็นภาพนั้นและย่อตัวลงเพื่ออุ้มน้องชายตนเอง ก่อนจะหอมแก้มเบา ๆ
‘อเมริกา ฉันขอโทษจริง ๆ นะที่ทำให้ต้องทนเหงา’ อังกฤษเอ่ยเสียงแผ่วเบา ดวงตาเรียวฉายความรู้สึกผิดจากใจ อเมริกาเงยหน้ามองก่อนจะซบอกเขา
‘อาเต้อ… ผมเหงานะ แต่อาเต้อพยายามเพื่อผม ผมทนได้’ เสียงของอเมริกาเบาลง อังกฤษมองร่างเล็กในอ้อมกอดของตนแล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน ทว่าน้ำเสียงกลับเจือความเศร้าสร้อย
‘อัลเฟรด ฉันสัญญาว่าจะใช้ช่วงเวลาของชีวิตที่เหลือจากหน้าที่มาอยู่กับนาย …ตลอดไป’
.
.
.
.
.
.
ติ๋ง…
ชายหนุ่มผมสีบลอนด์ตาสีฟ้าลืมตาปรือขึ้น เสียงน้ำหยดจากที่ไหนสักแห่งดังกังวานก้อง อเมริการู้สึกเมื่อยตัวเพราะดูเหมือนว่าจะนอนเกินไป สมองยังเบลอ ๆ เขาจึงนั่งนิ่ง ๆ พร้อมกับมองไปรอบข้าง …ถ้ำ อเมริกาอยู่ในถ้ำที่ไหนสักแห่งซึ่งมีหินแหลม ๆ กระจัดกระจายไปทั่ว ใหญ่บ้างเล็กบ้างและเพดานถ้ำก็มีเหมือนกัน ในถ้ำยังมีหนองน้ำเป็นย่อม ๆ ห่างกันพอสมควร เขาใช้นิ้วคลึงหน้าผากแล้วพยายามนึกว่าก่อนหน้านี้ตนเองทำอะไรและมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง
ปัง!
‘เรากลับไปเริ่มต้นใหม่กันเถอะ’
“เฮือก!!”
อเมริกาสะดุ้งเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ เขาหน้าซีดเพราะความรู้สึกกลัวที่เกาะกุมจิตใจ …อังกฤษ ทำไมอีกฝ่ายถึงทำแบบนั้นกับเขาล่ะ อเมริกาไม่ใช่คนประเภทกลัวเสียงหรืออาวุธปืน แต่ดวงตาของอังกฤษต่างหากทำให้เขากลัว
แล้วทำไมเรามาอยู่ที่นี่ล่ะ?
อเมริกาค่อย ๆ ลุกขึ้นแล้วก้าวเท้าออกพร้อมกับความรู้สึกกลัวที่ค่อย ๆ หายไป เขาก้มมองท้องตนเองว่ามีบาดแผลหรือเปล่า ก่อนจะพบว่าเสื้อผ้าบริเวณที่ถูกยิงนั้นไม่มีรอยบาดแผลแม้แต่น้อย อเมริกาแปลกใจแล้วละความสนใจจากมันและมองไปรอบ ๆ เพื่อดูว่าที่นี่ตนเองรู้จักหรือเปล่า ทว่าพอมองนานเข้าเขาก็นึกไม่ออก ชายหนุ่มเริ่มใจเสียเพราะคิดว่าตนเองคงจะต้องติดอยู่ที่นี่ไปตลอด ก่อนที่จู่ ๆ จะเกิดเสียงตะโกนโหวกเหวก ของมีคมปะทะกัน และปืนที่ลั่นไกดังขึ้น
ปัง!
“ดูเหมือนว่าที่นี่จะใช่จริงด้วยสินะ กล้าดีนี่สเปน หลอกว่าสมบัติอยู่ที่อื่นแต่จริง ๆ แล้วอยู่ที่นี่”
อเมริการีบเข้าไปซ่อนตัวอยู่หลังหินแหลมบนพื้นที่ใหญ่พอจะบังร่างเขา เสียงทุ้มของชายคนหนึ่งดังเด่นชัดกว่าเสียงอื่น ๆ ที่โห่ร้องทั้งดีใจและข่มขู่ ชายหนุ่มชาวอเมริกันเบิกตากว้างเพราะความคาดไม่ถึง
เสียงนั้น… อังกฤษเหรอ?
แต่เดี๋ยวสิ ตอนนี้เกิดอะไรขึ้นน่ะ??
เป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ อเมริกาคิดว่าตนเองควรหาทางอื่นเพื่อออกจากที่นี่ ไม่อย่างนั้นเขาตายแน่
“อยากโดนหลอกอีกไหมล่ะ ไม่แน่ว่าฉันอาจจะไม่ได้ซ่อนมันไว้ที่นี่”
เคร้ง!
อเมริกาจำได้ว่าเสียงนั้นคือสเปน แต่ก่อนที่จะไปเขาหยิบปืนประเภทเซมิออโตออกมาจากช่องที่เก็บในเสื้อตัวนอก ปลดแม็กกาซีนแล้วตรวจดูว่าสภาพปืนและลูกกระสุนพร้อมใช้งานไหม เกิดมันขัดข้องตอนกำลังใช้ได้ถูกฉวยโอกาสฆ่าแน่ ระหว่างที่ตรวจสภาพเขาอดด่าตัวเองไม่ได้ว่าถ้าตอนนั้นสติยังอยู่กับเนื้อกับตัวคงไม่ถูกอังกฤษยิงหรอก
แต่… สัมผัสบนริมฝีปากพลันกลับมาเมื่อเขานึกถึงตอนที่ตนเองจูบกับอังกฤษ อเมริกาหน้าแดงเพราะความเขินอาย เขาส่ายหน้าเพื่อไล่ความคิดฟุ้งซ่านแล้วเก็บแม็กกาซีนเข้าที่เดิม
เสียงเหล่านั้นดังขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับที่เงาของคนหลายคนและอาวุธเข้ามา อเมริกาหันไปมองแวบหนึ่งแล้วค่อย ๆ เดินหลบตามหินที่ขึ้นเบียดซ้อนกันจนอดนึกดีใจไม่ได้ว่าที่ตนเองได้อยู่ที่นี่ เพราะถ้าเกิดไปอยู่ในที่ที่รกร้างหรือโล่งกว้างเขาคงหาที่ซ่อนยาก …ทว่ายังไปได้ไม่ถึงอเมริกาก็หยุดเดินเพราะเกิดความอยากรู้ขึ้นมา อดีตพี่ชายของเขาตอนเป็นโจรสลัดทำอะไรบ้างนะ
อเมริกายังไม่รู้หรอกว่านี่เป็นยุคไหน แต่เพราะด้วยความที่ดูภาพยนตร์เกี่ยวกับโจรสลัดก่อนหน้านี้ บวกกับคำพูดของอังกฤษที่ว่าสมบัติอยู่ที่นี่ มันก็ต้องมีอยู่เรื่องเดียวนั่นแหละ
เคร้ง!
เสียงของมีคมปะทะกันดังอย่างต่อเนื่อง อเมริกาตัดสินใจหาที่หลบซ่อนเหมาะ ๆ เพื่อคอยดูสถานการณ์
“เฮอะ! คิดว่าจะให้นายหลอกซ้ำสองรึไง”
เริ่มเข้ามาใกล้แล้วแต่เงาของคนอื่น ๆ ยังคงอยู่บริเวณเดิม ตอนนี้มีเพียงร่างของชายหนุ่มในชุดโจรสลัดสองคนที่เข้ามาใกล้พร้อมกับที่พวกเขาปะทะอาวุธของตนห้ำหั่นกัน อังกฤษฟันดาบใส่สเปนในขณะที่อีกฝ่ายใช้ขวานด้ามยาวรับจนเกิดเสียงดังอีกครั้ง ทั้งสองยังคงไม่ละอาวุธออกจากกันอยู่พักหนึ่งจนเกิดสะเก็ดไฟ
คี๊ด---!
อเมริกาเบ้หน้าเมื่อเสียงพวกมันแหลมบาดหู อังกฤษออกแรงตวัดดาบแล้วถอยตัวออกมา ฝ่ายสเปนเซเล็กน้อยเพราะแรงฮึดเมื่อครู่แต่ก็กลับมายืนได้มั่นคงอย่างรวดเร็ว เขาพุ่งเขาไปแล้วฟันขวานหมายจะให้โดนท้องอีกฝ่าย ชายหนุ่มดวงตาสีเขียวถีบตัวลอยสูงขึ้นแล้วเงื้อดาบจะฟันลงมา คู่ต่อสู้ไหวตัวทันรีบเหวี่ยงขวานขึ้นเพื่อรับคมดาบที่กำลังเข้ามา
เคร้ง!!
อเมริการู้สึกว่าหัวใจตนเองเต้นถี่กระชั้นเมื่อเห็นการต่อสู้ใกล้ ๆ แบบนี้ หลังจากที่โลกผ่านยุคสงครามมาเขาและจิตวิญญาณประเทศอื่น ๆ แทบจะไม่เคยสู้กันอีกเลย ฉะนั้นการได้มาเห็นการต่อสู้ใกล้ ๆ แบบนี้และยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาไม่ได้ใช้อาวุธระยะไกล ก็ยิ่งทำให้อเมริกาตื่นเต้นมากขึ้น ดวงตาสีฟ้าวาวโรจน์เพราะความรู้สึกสนุก
ร่างของอังกฤษหล่นมายืนอยู่บนพื้นพร้อม ๆ กับดาบที่ยังไม่ละจากขวาน ดวงตาสีเขียวสองคู่จ้องกันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อและวาวแสงอย่างน่าหวาดหวั่น อเมริกาดูการต่อสู้ตาแทบไม่กะพริบ
“ฉันว่าทางที่ดีนายควรบอกฉันมาได้แล้วนะว่าสมบัตินั่นอยู่ที่ไหน ลูกน้องนายถูกพวกฉันจับไปจนแทบไม่เหลือแล้ว ยังจะคิดว่ามีหนทางเอาชนะฉันอีกเรอะ” อังกฤษแสยะยิ้มด้วยสีหน้าของผู้ชนะ สเปนเลียริมฝีปากอย่างกระหายแล้วเอ่ยตอบ
“ไม่มีทาง! ต่อให้ร่างไร้วิญญาณของฉันถูกนายขยี้จนเป็นหนึ่งเดียวกับทะเลฉันก็ไม่มีทางบอกหรอก!”
“งั้นเตรียมตัวบอกลาโรมาโน่ได้เลย!”
สเปนเบิกตากว้างเพราะความรู้สึกบางอย่างที่แล่นพล่านในใจ
…โรมาโน่
ถึงจะเป็นเพียงแวบเดียวแต่ก็ช้าไปเมื่อสเปนถูกตวัดดาบใส่อย่างแรง ก่อนที่ฝ่ายคู่ต่อสู้จะฟันดาบเข้ามา สติที่หายไปเพราะภาพใบหน้าของเด็กน้อยในชุดคนรับใช้ผู้หญิงผุดขึ้นมาในห้วงความคิด สเปนใช้ชั่ววินาทีนั้นยกด้ามขวานรับ
ปัง!
แกร๊ง!
ทุกสิ่งเงียบลงเมื่อเสียงปืนนัดหนึ่งดังขึ้น โจรสลัดทั้งสองนิ่งอึ้งไปพักหนึ่งเมื่อดาบของอังกฤษถูกแรงบางอย่างพุ่งปะทะจนมันกระเด็นไปทางอื่น ใบดาบหมุนคว้างในอากาศก่อนจะตกลงมาปักบนพื้นดิน ทั้งสองคนหันไปมองต้นเหตุ
“นาย?” สเปนเอ่ยอย่างฉงนและแปลกใจที่มีบุคคลที่สามอยู่ในนี้ อังกฤษเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน เขามองคนคนนั้นอย่างหงุดหงิดแล้วตะคอก “ทำบ้าอะไรของนาย! เมื่อกี้ฉันเกือบชนะเจ้าสเปนได้แล้วนะ!”
ชายหนุ่มผมบลอนด์ตาสีฟ้ายืนนิ่ง ๆ พร้อมกับปืนในมือที่เล็งไปยังอังกฤษ เขาเบิกตากว้างเพราะตกใจตอนที่สเปนจะถูกฟัน
“ฉัน…” อเมริกาลดปืนลงแล้วเก็บเข้าที่เดิม สีหน้ากลับมาเป็นปรกติ “ฉันตกใจน่ะ”
“หา?”
อังกฤษมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ สปนได้ฟังดังนั้นก็ถามต่อ
“แต่งตัวแปลกจัง นายมาจากที่ไหนเหรอ?”
“เอ่อ…” อเมริกาเริ่มกังวลเมื่อเขาคิดไม่ออกว่าจะตอบยังไงดี จะให้บอกว่าเป็นอเมริกาก็ไม่ได้เพราะยุคนี้ตัวเขายังเป็นเด็กอยู่เลย “ฉะ ฉันเป็นคนอังกฤษน่ะ”
“คนอังกฤษ?” อังกฤษทวนคำอย่างสงสัย อเมริกาพยายามยิ้มให้ดูเป็นมิตรแล้วกล่าวต่อ “ใช่! ตอนนี้ฉันกำลังออกเดินทางไปทั่วโลก ชุดนี่ฉันก็ได้มาจากที่อื่น”
“เดินทาง? ใครเป็นคนสนับสนุนนาย??”
“อะไรนะ?”
“เป็นไปไม่ได้หรอกที่นายจะออกเดินทางตัวคนเดียว และถ้าทำเพื่อการค้นหาของบาองย่างด้วยแล้วก็น่าจะมีคนให้การสนับสนุน ยิ่งทางทะเลยิ่งแล้วใหญ่ ช่วงนี้มีแต่โจรที่ปล้นทางทะเลกับเรือค้าขายทั้งนั้น เพราะฉะนั้นแล้วฉันไม่เชื่อหรอกว่านายกำลังออกเดินทาง”
“ก็นี่ไง เรือของฉันถูกลมพายุพัดจนล่ม และเผอิญว่าฉันโชคดีที่มีชีวิตรอดแล้วมาเจอที่นี่เลยเข้ามาอาศัยอยู่ก่อน”
“พายุ? จะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อลูกน้องฉันบอกว่าสองสามวันมานี้ลมพายุไม่มี และถ้านายอยู่มาเป็นเดือนแล้วมันก็ไม่น่าเชื่ออยู่ดี ก็ในเมื่อที่นี่มันมีอะไรให้กินเสียทีไหน แถมฉันไม่เห็นร่องรอยของการพักอาศัยที่นี่เลย
“ฉัน…”
“นายรู้จักสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธมั้ย?”
อเมริการู้สึกว่าตนเองถูกไล่ต้อนจนมุมทุกที ดวงตาสีเขียวฉายแววคมกริบราวกับจะเชือดเฉือนคู่สนทนา ชายหนุ่มอเมริกันเริ่มหน้าถอดสิเพราะคิดว่าตัวเองคงไม่รอดแน่
“อะ เอ่อ รู้จักสิ เป็นราชินีแห่งประเทศอังกฤษใช่ไหม?” อเมริกาสังหรณ์ใจว่าตนเองต้องถูกถามเรื่องเกี่ยวกับประเทศอังกฤษแน่ ระหว่างที่อังกฤษกำลังคิดคำถามต่อไปเขาก็พยายามรื้อฟื้นความรู้อันน้อยนิด (เรื่องประเทศอังกฤษ) ขึ้นมา อเมริการู้สึกว่าเสียงของคนอื่นที่เหลือเบาลงเรื่อย ๆ ดูท่าว่าคงจะไปหาสมบัติ
“ใช่ไหม? ชักน่าสงสัยทุกทีนะนาย ชาวอังกฤษย่อมรู้จักพระองค์อยู่แล้วสิ พูดดูไม่มั่นใจเลยนะ” ชายหนุ่มผมสีทองยกมือที่สวมถุงมือสีดำลูบคางเรียวของตนเอง พร้อมกับมองชายหนุ่มชาวอเมริกันอย่างพินิจ อเมริกาหน้าถอดสีเมื่อถูกดวงตาสีเขียวสองคู่มองมายังตนอย่างไม่ไว้ใจ
“อังกฤษ กำลังเล่นละครตบตาฉันใช่มั้ย?” สเปนละสายตาจากอเมริกามามองคู่อริของตนเอง อีกฝ่ายเองก็ถามกลับอย่างสงสัย “มันนายไม่ใช่รึไง?”
---ปัง!
ในขณะที่อเมริกาหาจังหวะหลบหนีเนื่องจากสองคนนั้นกำลังเถียงกันอยู่ อังกฤษก็ละความสนใจจากสเปนมาหยิบปืนยิงเล็งให้เกือบเฉียดอเมริกา อีกฝ่ายยืนนิ่งอึ้งเพราะกระทำที่เกิดกะทันหันนั้น
“จะไปไหน?” อเมริกามองอย่างอังกฤษอย่างหวาด ๆ อยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อย ๆ หยิบปืนจากช่องเก็บในเสื้อตัวนอกของเขา “ใจเย็นก่อน ฉันไม่ได้วางแผนอะไรเลยนะ พวกนายมีพวกตั้งเยอะแต่ฉันมีตัวเองคนเดียว สู้พวกนายไม่ได้หรอก”
“ฉันเองก็ไม่อยากระแวงนายนะ แต่ก็ไม่แน่นี่ว่านายจะเล่นตุกติกอะไร” สเปนกล่าวในขณะที่เขาจับด้ามขวานตั้งกับพื้น ชายหนุ่มดวงตาสีฟ้าแสร้งทำมือเป็นไขว้หลังอย่างไม่มั่นใจ เพราะตอนนี้อังกฤษชำเลืองมองมือเขาที่ขยับผิดปรกติ
“จะทำอะไร? อย่าบอกนะว่าจะหยิบของที่ขัดขวางฉันเมื่อกี้?”
“!”
อเมริกาชะงักไปครู่หนึ่ง เขาจ้องอังกฤษอย่างตึงเครียดเมื่ออีกฝ่ายจับได้ว่าเขาจะทำอะไร
“ทิ้งมันลงบนพื้นซะ”
ชายหนุ่มชาวอเมริกันชั่งใจก่อนจะหยิบมันออกมาแล้ววางบนพื้น อย่างไรเสียเขาก็ยังมีอาวุธอื่นอีก อังกฤษมองอย่างพอใจแล้วเล็งปืนไปยังอเมริกาพร้อมกับกล่าวต่อ
“ถอดเสื้อนอกออกด้วย”
“เสื้อนอกด้วยเหรอ?” อเมริกาถามพร้อมกับใบหน้าที่เริ่มซีด เขาสังหรณ์ใจอีกครั้งว่าต่อไปอังกฤษคงต้องค้นหาอาวุธที่มีอยู่ในตัวเขา และถ้าเป็นอย่างนั้นอเมริกาก็จะไม่มีอาวุธออันไหนให้ใช้เลย
“ใช่”
บ้าเอ๊ย! รู้อย่างนี้น่าจะยิงเข้าที่ตัวอังกฤษก็ดีหรอก สเปนก็อีกคน ทั้ง ๆ ที่ฉันช่วยไว้แต่ทำไมระแวงฉันล่ะ?!
อเมริกาไม่รู้ว่าอังกฤษมีปืน ต่อให้เมื่อครู่ปืนอยู่กับตัวเขาก็ชักออกมาไม่ทันอยู่ดี ชายหนุ่มสวมแว่นกัดฟันอย่างเจ็บใจและยอมถอดเสื้อตัวนอกออก
“ต่อไปก็เสื้อ ใส่กี่ชั้นถอดออกมาให้หมด”
F*ck!
อเมริกาด่าในใจพร้อมกับปลดกระดุมเสื้อซึ่งเป็นชุดเครื่องแบบทหารออก ผิวขาวนวลและกล้ามเนื้อค่อย ๆ เผยให้คนทั้งสองเห็น อังกฤษมองด้วยแววตาที่ยากจะอ่านออกจนอเมริกาไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย ชายหนุ่มดวงตาสีฟ้าเริ่มหน้าแดงเพราะพอเหลือบมองดี ๆ แล้วแววตานั่นเหมือนจะโลมเลียเสียมากกว่า อเมริกาพยายามทำเป็นไม่สนใจแล้วถอดจนเหลือเสื้อเชิ้ตตัวบาง ๆ ที่ปลดกระดุมหมดแล้วไว้
สเปนย่างก้าวเข้ามาแล้วหยิบของทั้งหมดที่อเมริกาทิ้งไว้บนพื้น เขาหยิบอาวุธที่มีทั้งหมดในเสื้อตัวนอกออกมาแล้วโยนเสื้อทิ้ง
“มีด ปืน เข็ม แล้วก็… ลูกอะไรเนี่ย?” ชายหนุ่มเชื้อสายละตินมองลูกระเบิดอย่างสงสัย อเมริกาเกือบหลุดขำเพราะนึกได้ว่าระเบิด MK2 ที่เขาพกมานั้นยังไม่มีในสมัยนี้
“ทางที่ดีนายอย่าไปแตะมันจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นนายตายแน่” อเมริกายิ้มมุมปาก อังกฤษมองระเบิดในมือสเปนแล้วถาม “ให้ฉันเดา ลูกกลม ๆ ออกวงรีนั่นคือระเบิดใช่ไหม?” อเมริกาหุบยิ้มเมื่ออังกฤษเดาได้ เขาเกือบจะหลุดปากโกหกไปแล้วเชียวว่านั่นคืออาหาร (และแน่นอนว่าอีกฝ่ายต้องสงสัยอีก) แต่ถึงพูดออกไปอังกฤษก็จับสีหน้าเขาได้อยู่ดี
อังกฤษก้าวมาหาอเมริกาอย่างใจเย็น แล้วหยุดยืนในระยะที่เกือบจะหายใจรดต้นคอกัน ชายหนุ่มชาวอเมริกันจ้องตาอีกฝ่ายอย่างเกร็ง ๆ เพราะกลัวว่าจะถูกทำอะไร ทว่าสิ่งที่คิดกลับไม่ใช่ เมื่ออังกฤษโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้พร้อมกับยิ้มมุมปาก เขายื่นมือที่สวมถุงมือสีดำไล้แผ่นอกเปลือยของอเมริกาเบา ๆ สเปนรู้นิสัยอังกฤษดีจึงหันไปอีกทางอย่างรู้งาน
เจ้าของร่างรู้สึกว่าใบหน้าของตนเองร้อนผ่าวเพราะสัมผัสของอีกฝ่ายนั้นมันกระตุ้นอารมณ์ เขายืนนิ่งอย่างเกร็ง ๆ และพยายามไม่แสดงสีหน้าอะไรอออกไป ชายหนุ่มผมสีทองไล้นิ้วมือบริเวณยอดอก อเมริกาสะดุ้งด้วยความที่เขาไม่เคยถูกใครสัมผัสร่างกายเขาแบบนี้ อังกฤษเลียริมฝีปากอย่างกระหาย ดวงตาสีเขียววาวโรจน์ราวกับตาของสัตว์ป่าที่จะขย้ำเหยื่อ
อังกฤษละฝ่ามือออกพร้อมกับยิ้มเลศนัย อเมริกาโล่งอกเมื่ออีกฝ่ายไม่ทำอะไรมากกว่านั้นแต่รอยยิ้มนั่นไม่ได้ทำให้เขาวางใจเลย
“นาย… ดู ๆ ไปก็สวยดีนี่ โดยเฉพาะดวงตาสีฟ้าของนาย” อเมริกาหน้าแดงอีกครั้งเพราะคำชมตรง ๆ นั่น “สวย? นายคิดจะล้อเลียนฉันเหรอ”
“หยาบคาย ฉันชมนายจากใจนะ …ชักถูกใจแล้วสิ ---สเปน ฉันพูดด้วยคำสัตย์จริงว่าผู้ชายคนนี้ฉันไม่รู้จัก และฉันจะพาเขาไปอยู่กับฉัน” อเมริกาหันขวับไปมองอังกฤษที่เอามือข้างหนึ่งที่ไม่ได้ถือปืนมาโอบไหล่เขา ตอนนี้อเมริกาชักโมโหที่ถูกทำเหมือนเป็นผู้หญิง
“อังกฤษ! ตกลงนายมาค้นตัวฉันหรือจะมาทำอะไรกันแน่ เห็นฉันเป็นของเล่นรึไง!”
“หืม? แน่นอน ฉันเห็นนายเป็นของเล่น” อเมริกาถลึงตามองอีกฝ่าย คู่สนทนาไม่สะทกสะท้านกับสายตาคู่นั้นแถมยังยิ้มเจ้าเล่ห์ให้อีก ระหว่างนั้นสเปนก็หันกลับมาแล้วเอ่ย
“ตามสบาย แต่ของพวกนี้ฉันเอาไปล่ะ” สเปนเหลือบมองอเมริกาอย่างเห็นใจ ชายหนุ่มผมสีบลอนด์มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เมื่อรู้ตัวแล้วว่าตนเองกำลังจะถูกโจรสลัดอังกฤษทำอะไร พูดตามตรง เขาอยากโดนทำร้ายร่างกายมากกว่าถูกทำเรื่องอย่างว่าอีก
“ดี ว่าแต่สเปน ฉันยังไม่ลืมเรื่องสมบัตินะ” อังกฤษเก็บปืนลงแล้วหันปลายดาบไปยังอีกฝ่าย เขาอยากชนะสเปนด้วยวิธีที่ยุติธรรมกับทั้งสองฝ่าย นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่ใช้ปืน
“นายนี่มันโลภจริง ๆ ฉันได้ยินจากคนอื่นมาหลายคนแล้วที่ว่านายปล้นเรือขนส่งสินค้า หรือพวกโจรที่ปล้นทางทะเลมาได้มากมาย คงไม่ใช่ว่าเจ้าของนายของนายยังไม่พอใจหรอกนะ?” สเปนถามอย่างไม่พอใจเมื่ออีกฝ่ายยังคงไม่ลดละความพยายามที่จะเอาสมบัติ อังกฤษส่ายหน้าก่อนจะตอบ
“ฉันต้องการให้ทุกคนเกรงกลัวฉัน แต่เอาเถอะ วันนี้ฉันจะกลับไปก่อน ของเล่นชิ้นใหม่น่าสนใจกว่าสมบัติตั้งเยอะ”
อเมริกาพยายามหาโอกาสหลุดจากสถานการณ์นี้ แต่อังกฤษมักจะชำเลืองมองลอบสังเกตการกระทำของเขา จริง ๆ แล้วเขาสามารถหยิบแอบมีดเล่มขนาดกลางออกจากใต้แขนเสื้อ ซึ่งยึดด้วยแถบคาดที่รัดแขนได้ทันก่อนที่อังกฤษจะชักปืนหรือฟันดาบเพื่อปัดมีดทิ้ง แต่ตอนนี้อังกฤษกับสเปนยืนขนาบข้างเขาจนหาช่องว่างจู่โจมได้ยาก แล้วยิ่งสเปนมีอาวุธระยะกลางอีก ถ้าตอนนี้ปืนอยู่เขาก็หนีออกสถานการณ์นี้ได้นานแล้ว
ชายหนุ่มชาวอเมริกันตึงเครียด ตอนนี้เขาคาใจกับปัญหาต่าง ๆ ที่เข้ามาไม่หยุด ไหนจะเรื่องก่อนหน้านี้อีก
ฉันจะทำไงดี?
เธอขีดไม้ขีดอีกก้านกับกำแพง มันลุกจ้า จุดที่แสงกระทบกับกำแพงกลายเป็นบริเวณโปร่งใสเหมือนผ้าคลุมหน้าบาง ๆ เธอมองเข้าไปเห็นด้านในห้อง มีโต๊ะปูผ้าขาวเหมือนหิมะ มีเครื่องกระเบื้องอย่างดีแสนงดงาม ห่านอบย่างยัดไส้แอปเปิ้ลและลูกพลัมแห้งวางเสิร์ฟควันขึ้นฉุย
“ที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่านั้นคือ ห่านตัวนั้นกระโดดลงจากจาน เดินยักย้ายไปบนพื้นห้องทั้ง ๆ ที่ยังมีมีดกับส้อมปักอยู่บนหน้าอก พอมันเดินมาถึงหนูน้อย---”
“อังกฤษ นายกำลังเพ้อว่าตัวเองเป็นหนูน้อยขายไม้ขีดไฟอยู่เรอะ? ฉันทนฟังนายเล่ามาตั้งแต่บรรทัดแรกของเรื่องแล้วนะ”
สกอตแลนด์ถามอังกฤษอย่างเบื่อหน่าย เมื่อเขาและแคนาดานั่งอยู่เงียบ ๆ ในกระท่อมหลังหนึ่งซึ่งในขณะนี้กำลังมีหิมะตก ช่องว่างระหว่างไม้ที่แตกหักและผุพังนั้นมีลมลอดเข้ามาจนอากาศหนาวกว่าที่ควรจะเป็น ยังดีที่ที่นี่มีผ้าเก่า ๆ พอให้คลุมหายหนาวได้หน่อย พวกเขานั่งอยู่ที่นี่มาได้หนึ่งชั่วโมงแล้ว ดูเหมือนว่าเวทมนตร์จะไม่ได้มีความแม่นยำมากนัก จึงไม่สามารถส่งพวกเขาให้พบกับอเมริกาได้ทันที
และแน่นอนว่าในระหว่างนี้มันเป็นอะไรที่น่าเบื่อมาก เพราะฉะนั้นอังกฤษจึงเล่านิทานของเอนเดอร์เสนโดยที่ไม่มีใครขอ (และไม่มีใครอยากฟัง)
“ฟังเงียบ ๆ เถอะน่า นายนี่ไม่เข้าใจความงดงามของเทพนิยายเลย ว่าไหมแคนาดา? นิทานพวกนี้ถ้าลองฟังดี ๆ จะรู้เลยว่ามันมีความมหัศจรรย์แค่ไหน” อังกฤษหันมาถามแคนาดาที่ทำหน้าลำบากใจ คนถูกถามยิ้มแห้ง ๆ แล้วคิดหาคำตอบที่จะไม่ทำร้ายจิตใจอีกฝ่าย ทว่าสกอตแลนด์ขัดขึ้นก่อน
“ฉันว่านายดูสีหน้าแคนาดาก่อนถามเถอะ ฉันกับเขาไม่มีใครอยากฟังหรอก แคนาดานายหัดพูดตรง ๆ บ้างสิ ถูกหมอนี่เลี้ยงจนกลัวไปแล้วเหรอ?”
“ผม… ก็ไม่ใช่ว่าไม่อยากฟังนะครับ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เราจะอยู่แบบนี้ เราอยู่ในกระท่อมมาประมาณชั่วโมงนึงแล้ว ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะทำอะไรต่อดี ที่นี่เป็นที่ไหนเราก็ไม่รู้ แถมหิมะยังตกอีก ถนนด้านนอกก็เป็นเส้นเล็กดูแล้วไม่ค่อยมีใครผ่านมา อย่างน้อยเราคงอยู่ที่นี่สักหนึ่งคืนแต่ก่อนหน้านั้นต้องหาอาหารก่อน”
“ฉันเองก็กำลังคิดแบบที่นายคิดอยู่นั่นแหละ แต่เจ้าหมอนี่---” สกอตแลนด์หยุดพูด เขาปรายตามองน้องชายตนเองแล้วถอนหายใจ
“มองแบบนั้นมันหมายความว่าไง! จะบอกว่าฉันรบกวนสมาธิพวกนายเหรอ?!”
“ใช่/ก็ไม่ขนาดนั้นนะครับ”
อังกฤษชะงักค้างไปพักหนึ่ง ถึงแคนาดาจะบอกว่าไม่ขนาดนั้นก็เถอะ แต่เพราะไม่ขนาดนั้นนั่นแหละที่บอกอ้อม ๆ ว่าเขาทำลายสมาธิ อังกฤษตัดสินใจหุบปากแล้วอยู่เงียบ ๆ ถ้าเปรียบแบบการ์ตูนคงจะเห็นเขาอยู่ตรงมุมห้องพร้อมกับบรรยากาศสลด
ให้ตายเถอะ ทำไมพวกนายดูเข้ากันได้ดีจัง ฉันเป็นคนเลี้ยงแคนาดามานะ!
“…”
“…”
“…”
ความเงียบปกคลุมห้องเมื่อมีไม่ใครเอ่ยอะไรอีก สกอตแลนด์ถอนหายใจก่อนจะลุกขึ้นยืน
“ตอนแรกที่เรามาของที่มีคมหรือใช้เป็นอาวุธได้ ก็มีพลั่วเหล็กและมีดเล่มใหญ่สองเล่ม ฉันคิดว่าวันนี้ยังไงเราก็คงต้องอยู่กระท่อมก่อนแน่ ๆ เพราะฉะนั้นแล้วต้องหาอาหารสำหรับคืนนี้ก่อน แต่ของที่ฉันพูดมามันใช้ล่าสัตว์ไม่ได้ ระหว่างที่เราเดินหาที่พักก็ไม่เห็นบ้านหรือกระท่อมหลังไหนเลย ดูท่าว่าวันนี้เราลำบากแน่”
“ยังมีเวลาเหลือเฟือที่เราจะเดินหาบ้านที่มีคนอยู่ ว่าแต่ฉันก็มีปืนนะ ใช้ไม่ได้เหรอ?” อังกฤษถามออย่างไม่เข้าใจ สกอตแลนด์ส่ายหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อนึกถึงเรื่องหนึ่งได้
“อังกฤษ เอาปืนมาให้ฉันดู”
“?” อังกฤษมองอีกฝ่ายอย่างฉงน แต่ก็หยิบปืนจากซองที่เหน็บกับเข็มขัดให้ สกอตแลนด์รับมันมาแล้วจ้องราวกับจะกลืนมัน จนอังกฤษกับแคนาดาสงสัยเข้าไปใหญ่ ว่าปืนนั่นมันมีอะไรผิดปรกติ
“สกอตแลนด์… ปืนนั่นมันมีอะไรเหรอ?” อังกฤษเปิดปากถามหลังจากรออยู่พักใหญ่ สกอตแลนด์ดูมีสีหน้าวิตกเมื่อแน่ใจกับการตรวจสอบของตนเอง เขาคืนปืนให้อังกฤษ
“ไม่ผิดแน่ อังกฤษ ปืนของนายมีคำสาปอยู่”
“คำสาป?” อังกฤษกับแคนาดาทวนคำ สกอตแลนด์กอดอกแล้วมองปืนในมือของน้องชายตนเอง “ใช่แน่ ๆ ถึงจะเพียงแวบเดียวแต่ฉันรู้สึกได้ มีไอวิญญาณชั่วร้ายอยู่ แต่ฉันจับไม่ได้ว่ามันมาจากไหน”
“ได้ไงกัน ถ้ามันมีฉันก็ต้องรู้สึกสิ”
“ไม่เสมอไปหรอก บางพวกมันก็เป็นวิญญาณประเภทที่ชั่วร้ายสุด ๆ มันสามารถสิงนายโดยที่นายไม่สามารถรู้สึกตัวได้ ฉันถึงไม่ให้นายใช้มันในการล่าสัตว์”
“แล้วนายจะให้ฉันทิ้งปืนเหรอ?” อังกฤษมองปืนในมือตัวเองอย่างเสียดาย จนสกอตแลนด์ต้องตัดความหวัง
“ถ้าไม่อยากตาย ทางที่ดีนายควรทิ้งมันไป ---ไม่สิ เอามันมาให้ฉัน เผื่อจะมีเบาะแสอะไร”
“เบาะแส?” สกอตแลนด์หยิบปืนจากในมืออังกฤษโดยที่เจ้าของยังไม่เข้าใจ เขาร่ายเวทสั้น ๆ ก่อนที่ปืนจะหายไปพร้อมกับไอวิญญาณ อังกฤษกับแคนาดามองอย่างตกตะลึงเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะใช้วิธีนี้
“เผอิญขี้เกียจพกปืนเลยเรียนมาน่ะ” สกอตแลนด์กล่าวตอบคำถามในใจของทั้งสองคน “เอาล่ะ ฉันจะไปดูข้างนอกหน่อย ห้ามออกไปไหนเด็ดขาดระหว่างที่ฉันไม่อยู่ เมื่อกี้ฉันเห็นต้นไม้นอกหน้าต่างมัว ๆ ดูท่าว่าเราคงจะอยู่ในมิติที่บิดเบี้ยว อังกฤษนายอย่าเผลอสติหลุดเด็ดขาด ถ้าทำอะไรไม่ยั้งคิดนายตายแน่”
ไม่ทันรอให้ใครคนใดคนหนึ่งตอบรับ สกอตแลนด์เดินไปหยิบมีดเล่มใหญ่บนโต๊ะเล็ก ๆ ก่อนจะเดินไปเปิดประตูไม้แล้วก้าวออกไป
“สกอตแลนด์”
อังกฤษมองร่างพี่ชายตนเองจนลับสายตาด้วยความรู้สึกกังวล
สกอตแลนด์เดินผ่านต้นไม้ที่ใบร่วงตั้งแต่เข้าหน้าหนาวของที่นี่ เขาคิดไม่ผิดจริงด้วย ทิวทัศน์ต่าง ๆ บิดเบี้ยวดูไม่มั่นคง สกอตแลนด์พยายามตั้งสติแล้วเดินต่อ ระหว่างนั้นเองเขาก็รู้สึกว่ามีใครอยู่ข้างหลัง จิตมุ่งร้ายทำให้เขากระชับมีดในมือแน่นแล้วหันกลับพร้อมกับตวัดมัน ทว่าต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคือใคร
“---ฟินแลนด์?”
มิติที่พร่ามัว
หิมะโปรยปรายท่ามกลางทิวทัศน์ที่ขาวโพลน กุหลาบเหมันต์ร่วงโรยอย่างเงียบงัน อเมริกาตัวน้อยซึ่งสวมชุดกันหนาวนั้นวิ่งอย่างร่าเริงไปพลางกระโดดโลดเต้น …ต่อให้เห็นหิมะกี่ครั้งมันก็ยังคงน่าตื่นเต้นสำหรับเขาเสมอ อังกฤษที่ใส่ชุดหนากว่าเดิมไม่แพ้กันเดินมาพร้อมกับรอยยิ้มเอ็นดู ดวงตาสีเขียวเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและเปี่ยมสุข
‘อาเต้อ ก้มหน้าลงหน่อยสิ’
อเมริกาวิ่งกลับมาหาอังกฤษแล้วเกาะขาเขา ดวงตาสีฟ้าดั่งนภายามฤดูร้อนที่ช้อนขึ้นมองทำให้หัวใจอังกฤษพองโต เขาหรี่ตามองอย่างสงสัยแล้วก้มตัวลง
‘มีอะไรเหรอ?’ อังกฤษเอ่ยถามเป็นช่วงจังหวะเดียวกับที่อเมริกายื่นมือเล็ก ๆ มาจับแก้มเขาแล้วหอมแก้ม ริมฝีปากอุ่นร้อนที่นุ่มนิ่มนั้นให้ความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก หัวใจของอังกฤษเต้นแรงพอ ๆ กับที่ใบหน้าขาวของเขาขึ้นสีแดงระเรื่อ
‘อเมริกา?’
‘มีความสุขจังเลย วันนี้จะเป็นวันที่ผมจะได้อยู่กับอาเต้อ’ เด็กน้อยยิ้มอย่างไร้เดียงสาด้วยความรู้สึกที่เอ่อล้น อังกฤษรู้สึกว่าอากาศโดยรอบอุ่นขึ้นเมื่อเห็นภาพนั้นและย่อตัวลงเพื่ออุ้มน้องชายตนเอง ก่อนจะหอมแก้มเบา ๆ
‘อเมริกา ฉันขอโทษจริง ๆ นะที่ทำให้ต้องทนเหงา’ อังกฤษเอ่ยเสียงแผ่วเบา ดวงตาเรียวฉายความรู้สึกผิดจากใจ อเมริกาเงยหน้ามองก่อนจะซบอกเขา
‘อาเต้อ… ผมเหงานะ แต่อาเต้อพยายามเพื่อผม ผมทนได้’ เสียงของอเมริกาเบาลง อังกฤษมองร่างเล็กในอ้อมกอดของตนแล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน ทว่าน้ำเสียงกลับเจือความเศร้าสร้อย
‘อัลเฟรด ฉันสัญญาว่าจะใช้ช่วงเวลาของชีวิตที่เหลือจากหน้าที่มาอยู่กับนาย …ตลอดไป’
.
.
.
.
.
.
ติ๋ง…
ชายหนุ่มผมสีบลอนด์ตาสีฟ้าลืมตาปรือขึ้น เสียงน้ำหยดจากที่ไหนสักแห่งดังกังวานก้อง อเมริการู้สึกเมื่อยตัวเพราะดูเหมือนว่าจะนอนเกินไป สมองยังเบลอ ๆ เขาจึงนั่งนิ่ง ๆ พร้อมกับมองไปรอบข้าง …ถ้ำ อเมริกาอยู่ในถ้ำที่ไหนสักแห่งซึ่งมีหินแหลม ๆ กระจัดกระจายไปทั่ว ใหญ่บ้างเล็กบ้างและเพดานถ้ำก็มีเหมือนกัน ในถ้ำยังมีหนองน้ำเป็นย่อม ๆ ห่างกันพอสมควร เขาใช้นิ้วคลึงหน้าผากแล้วพยายามนึกว่าก่อนหน้านี้ตนเองทำอะไรและมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง
ปัง!
‘เรากลับไปเริ่มต้นใหม่กันเถอะ’
“เฮือก!!”
อเมริกาสะดุ้งเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ เขาหน้าซีดเพราะความรู้สึกกลัวที่เกาะกุมจิตใจ …อังกฤษ ทำไมอีกฝ่ายถึงทำแบบนั้นกับเขาล่ะ อเมริกาไม่ใช่คนประเภทกลัวเสียงหรืออาวุธปืน แต่ดวงตาของอังกฤษต่างหากทำให้เขากลัว
แล้วทำไมเรามาอยู่ที่นี่ล่ะ?
อเมริกาค่อย ๆ ลุกขึ้นแล้วก้าวเท้าออกพร้อมกับความรู้สึกกลัวที่ค่อย ๆ หายไป เขาก้มมองท้องตนเองว่ามีบาดแผลหรือเปล่า ก่อนจะพบว่าเสื้อผ้าบริเวณที่ถูกยิงนั้นไม่มีรอยบาดแผลแม้แต่น้อย อเมริกาแปลกใจแล้วละความสนใจจากมันและมองไปรอบ ๆ เพื่อดูว่าที่นี่ตนเองรู้จักหรือเปล่า ทว่าพอมองนานเข้าเขาก็นึกไม่ออก ชายหนุ่มเริ่มใจเสียเพราะคิดว่าตนเองคงจะต้องติดอยู่ที่นี่ไปตลอด ก่อนที่จู่ ๆ จะเกิดเสียงตะโกนโหวกเหวก ของมีคมปะทะกัน และปืนที่ลั่นไกดังขึ้น
ปัง!
“ดูเหมือนว่าที่นี่จะใช่จริงด้วยสินะ กล้าดีนี่สเปน หลอกว่าสมบัติอยู่ที่อื่นแต่จริง ๆ แล้วอยู่ที่นี่”
อเมริการีบเข้าไปซ่อนตัวอยู่หลังหินแหลมบนพื้นที่ใหญ่พอจะบังร่างเขา เสียงทุ้มของชายคนหนึ่งดังเด่นชัดกว่าเสียงอื่น ๆ ที่โห่ร้องทั้งดีใจและข่มขู่ ชายหนุ่มชาวอเมริกันเบิกตากว้างเพราะความคาดไม่ถึง
เสียงนั้น… อังกฤษเหรอ?
แต่เดี๋ยวสิ ตอนนี้เกิดอะไรขึ้นน่ะ??
เป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ อเมริกาคิดว่าตนเองควรหาทางอื่นเพื่อออกจากที่นี่ ไม่อย่างนั้นเขาตายแน่
“อยากโดนหลอกอีกไหมล่ะ ไม่แน่ว่าฉันอาจจะไม่ได้ซ่อนมันไว้ที่นี่”
เคร้ง!
อเมริกาจำได้ว่าเสียงนั้นคือสเปน แต่ก่อนที่จะไปเขาหยิบปืนประเภทเซมิออโตออกมาจากช่องที่เก็บในเสื้อตัวนอก ปลดแม็กกาซีนแล้วตรวจดูว่าสภาพปืนและลูกกระสุนพร้อมใช้งานไหม เกิดมันขัดข้องตอนกำลังใช้ได้ถูกฉวยโอกาสฆ่าแน่ ระหว่างที่ตรวจสภาพเขาอดด่าตัวเองไม่ได้ว่าถ้าตอนนั้นสติยังอยู่กับเนื้อกับตัวคงไม่ถูกอังกฤษยิงหรอก
แต่… สัมผัสบนริมฝีปากพลันกลับมาเมื่อเขานึกถึงตอนที่ตนเองจูบกับอังกฤษ อเมริกาหน้าแดงเพราะความเขินอาย เขาส่ายหน้าเพื่อไล่ความคิดฟุ้งซ่านแล้วเก็บแม็กกาซีนเข้าที่เดิม
เสียงเหล่านั้นดังขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับที่เงาของคนหลายคนและอาวุธเข้ามา อเมริกาหันไปมองแวบหนึ่งแล้วค่อย ๆ เดินหลบตามหินที่ขึ้นเบียดซ้อนกันจนอดนึกดีใจไม่ได้ว่าที่ตนเองได้อยู่ที่นี่ เพราะถ้าเกิดไปอยู่ในที่ที่รกร้างหรือโล่งกว้างเขาคงหาที่ซ่อนยาก …ทว่ายังไปได้ไม่ถึงอเมริกาก็หยุดเดินเพราะเกิดความอยากรู้ขึ้นมา อดีตพี่ชายของเขาตอนเป็นโจรสลัดทำอะไรบ้างนะ
อเมริกายังไม่รู้หรอกว่านี่เป็นยุคไหน แต่เพราะด้วยความที่ดูภาพยนตร์เกี่ยวกับโจรสลัดก่อนหน้านี้ บวกกับคำพูดของอังกฤษที่ว่าสมบัติอยู่ที่นี่ มันก็ต้องมีอยู่เรื่องเดียวนั่นแหละ
เคร้ง!
เสียงของมีคมปะทะกันดังอย่างต่อเนื่อง อเมริกาตัดสินใจหาที่หลบซ่อนเหมาะ ๆ เพื่อคอยดูสถานการณ์
“เฮอะ! คิดว่าจะให้นายหลอกซ้ำสองรึไง”
เริ่มเข้ามาใกล้แล้วแต่เงาของคนอื่น ๆ ยังคงอยู่บริเวณเดิม ตอนนี้มีเพียงร่างของชายหนุ่มในชุดโจรสลัดสองคนที่เข้ามาใกล้พร้อมกับที่พวกเขาปะทะอาวุธของตนห้ำหั่นกัน อังกฤษฟันดาบใส่สเปนในขณะที่อีกฝ่ายใช้ขวานด้ามยาวรับจนเกิดเสียงดังอีกครั้ง ทั้งสองยังคงไม่ละอาวุธออกจากกันอยู่พักหนึ่งจนเกิดสะเก็ดไฟ
คี๊ด---!
อเมริกาเบ้หน้าเมื่อเสียงพวกมันแหลมบาดหู อังกฤษออกแรงตวัดดาบแล้วถอยตัวออกมา ฝ่ายสเปนเซเล็กน้อยเพราะแรงฮึดเมื่อครู่แต่ก็กลับมายืนได้มั่นคงอย่างรวดเร็ว เขาพุ่งเขาไปแล้วฟันขวานหมายจะให้โดนท้องอีกฝ่าย ชายหนุ่มดวงตาสีเขียวถีบตัวลอยสูงขึ้นแล้วเงื้อดาบจะฟันลงมา คู่ต่อสู้ไหวตัวทันรีบเหวี่ยงขวานขึ้นเพื่อรับคมดาบที่กำลังเข้ามา
เคร้ง!!
อเมริการู้สึกว่าหัวใจตนเองเต้นถี่กระชั้นเมื่อเห็นการต่อสู้ใกล้ ๆ แบบนี้ หลังจากที่โลกผ่านยุคสงครามมาเขาและจิตวิญญาณประเทศอื่น ๆ แทบจะไม่เคยสู้กันอีกเลย ฉะนั้นการได้มาเห็นการต่อสู้ใกล้ ๆ แบบนี้และยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาไม่ได้ใช้อาวุธระยะไกล ก็ยิ่งทำให้อเมริกาตื่นเต้นมากขึ้น ดวงตาสีฟ้าวาวโรจน์เพราะความรู้สึกสนุก
ร่างของอังกฤษหล่นมายืนอยู่บนพื้นพร้อม ๆ กับดาบที่ยังไม่ละจากขวาน ดวงตาสีเขียวสองคู่จ้องกันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อและวาวแสงอย่างน่าหวาดหวั่น อเมริกาดูการต่อสู้ตาแทบไม่กะพริบ
“ฉันว่าทางที่ดีนายควรบอกฉันมาได้แล้วนะว่าสมบัตินั่นอยู่ที่ไหน ลูกน้องนายถูกพวกฉันจับไปจนแทบไม่เหลือแล้ว ยังจะคิดว่ามีหนทางเอาชนะฉันอีกเรอะ” อังกฤษแสยะยิ้มด้วยสีหน้าของผู้ชนะ สเปนเลียริมฝีปากอย่างกระหายแล้วเอ่ยตอบ
“ไม่มีทาง! ต่อให้ร่างไร้วิญญาณของฉันถูกนายขยี้จนเป็นหนึ่งเดียวกับทะเลฉันก็ไม่มีทางบอกหรอก!”
“งั้นเตรียมตัวบอกลาโรมาโน่ได้เลย!”
สเปนเบิกตากว้างเพราะความรู้สึกบางอย่างที่แล่นพล่านในใจ
…โรมาโน่
ถึงจะเป็นเพียงแวบเดียวแต่ก็ช้าไปเมื่อสเปนถูกตวัดดาบใส่อย่างแรง ก่อนที่ฝ่ายคู่ต่อสู้จะฟันดาบเข้ามา สติที่หายไปเพราะภาพใบหน้าของเด็กน้อยในชุดคนรับใช้ผู้หญิงผุดขึ้นมาในห้วงความคิด สเปนใช้ชั่ววินาทีนั้นยกด้ามขวานรับ
ปัง!
แกร๊ง!
ทุกสิ่งเงียบลงเมื่อเสียงปืนนัดหนึ่งดังขึ้น โจรสลัดทั้งสองนิ่งอึ้งไปพักหนึ่งเมื่อดาบของอังกฤษถูกแรงบางอย่างพุ่งปะทะจนมันกระเด็นไปทางอื่น ใบดาบหมุนคว้างในอากาศก่อนจะตกลงมาปักบนพื้นดิน ทั้งสองคนหันไปมองต้นเหตุ
“นาย?” สเปนเอ่ยอย่างฉงนและแปลกใจที่มีบุคคลที่สามอยู่ในนี้ อังกฤษเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน เขามองคนคนนั้นอย่างหงุดหงิดแล้วตะคอก “ทำบ้าอะไรของนาย! เมื่อกี้ฉันเกือบชนะเจ้าสเปนได้แล้วนะ!”
ชายหนุ่มผมบลอนด์ตาสีฟ้ายืนนิ่ง ๆ พร้อมกับปืนในมือที่เล็งไปยังอังกฤษ เขาเบิกตากว้างเพราะตกใจตอนที่สเปนจะถูกฟัน
“ฉัน…” อเมริกาลดปืนลงแล้วเก็บเข้าที่เดิม สีหน้ากลับมาเป็นปรกติ “ฉันตกใจน่ะ”
“หา?”
อังกฤษมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ สปนได้ฟังดังนั้นก็ถามต่อ
“แต่งตัวแปลกจัง นายมาจากที่ไหนเหรอ?”
“เอ่อ…” อเมริกาเริ่มกังวลเมื่อเขาคิดไม่ออกว่าจะตอบยังไงดี จะให้บอกว่าเป็นอเมริกาก็ไม่ได้เพราะยุคนี้ตัวเขายังเป็นเด็กอยู่เลย “ฉะ ฉันเป็นคนอังกฤษน่ะ”
“คนอังกฤษ?” อังกฤษทวนคำอย่างสงสัย อเมริกาพยายามยิ้มให้ดูเป็นมิตรแล้วกล่าวต่อ “ใช่! ตอนนี้ฉันกำลังออกเดินทางไปทั่วโลก ชุดนี่ฉันก็ได้มาจากที่อื่น”
“เดินทาง? ใครเป็นคนสนับสนุนนาย??”
“อะไรนะ?”
“เป็นไปไม่ได้หรอกที่นายจะออกเดินทางตัวคนเดียว และถ้าทำเพื่อการค้นหาของบาองย่างด้วยแล้วก็น่าจะมีคนให้การสนับสนุน ยิ่งทางทะเลยิ่งแล้วใหญ่ ช่วงนี้มีแต่โจรที่ปล้นทางทะเลกับเรือค้าขายทั้งนั้น เพราะฉะนั้นแล้วฉันไม่เชื่อหรอกว่านายกำลังออกเดินทาง”
“ก็นี่ไง เรือของฉันถูกลมพายุพัดจนล่ม และเผอิญว่าฉันโชคดีที่มีชีวิตรอดแล้วมาเจอที่นี่เลยเข้ามาอาศัยอยู่ก่อน”
“พายุ? จะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อลูกน้องฉันบอกว่าสองสามวันมานี้ลมพายุไม่มี และถ้านายอยู่มาเป็นเดือนแล้วมันก็ไม่น่าเชื่ออยู่ดี ก็ในเมื่อที่นี่มันมีอะไรให้กินเสียทีไหน แถมฉันไม่เห็นร่องรอยของการพักอาศัยที่นี่เลย
“ฉัน…”
“นายรู้จักสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธมั้ย?”
อเมริการู้สึกว่าตนเองถูกไล่ต้อนจนมุมทุกที ดวงตาสีเขียวฉายแววคมกริบราวกับจะเชือดเฉือนคู่สนทนา ชายหนุ่มอเมริกันเริ่มหน้าถอดสิเพราะคิดว่าตัวเองคงไม่รอดแน่
“อะ เอ่อ รู้จักสิ เป็นราชินีแห่งประเทศอังกฤษใช่ไหม?” อเมริกาสังหรณ์ใจว่าตนเองต้องถูกถามเรื่องเกี่ยวกับประเทศอังกฤษแน่ ระหว่างที่อังกฤษกำลังคิดคำถามต่อไปเขาก็พยายามรื้อฟื้นความรู้อันน้อยนิด (เรื่องประเทศอังกฤษ) ขึ้นมา อเมริการู้สึกว่าเสียงของคนอื่นที่เหลือเบาลงเรื่อย ๆ ดูท่าว่าคงจะไปหาสมบัติ
“ใช่ไหม? ชักน่าสงสัยทุกทีนะนาย ชาวอังกฤษย่อมรู้จักพระองค์อยู่แล้วสิ พูดดูไม่มั่นใจเลยนะ” ชายหนุ่มผมสีทองยกมือที่สวมถุงมือสีดำลูบคางเรียวของตนเอง พร้อมกับมองชายหนุ่มชาวอเมริกันอย่างพินิจ อเมริกาหน้าถอดสีเมื่อถูกดวงตาสีเขียวสองคู่มองมายังตนอย่างไม่ไว้ใจ
“อังกฤษ กำลังเล่นละครตบตาฉันใช่มั้ย?” สเปนละสายตาจากอเมริกามามองคู่อริของตนเอง อีกฝ่ายเองก็ถามกลับอย่างสงสัย “มันนายไม่ใช่รึไง?”
---ปัง!
ในขณะที่อเมริกาหาจังหวะหลบหนีเนื่องจากสองคนนั้นกำลังเถียงกันอยู่ อังกฤษก็ละความสนใจจากสเปนมาหยิบปืนยิงเล็งให้เกือบเฉียดอเมริกา อีกฝ่ายยืนนิ่งอึ้งเพราะกระทำที่เกิดกะทันหันนั้น
“จะไปไหน?” อเมริกามองอย่างอังกฤษอย่างหวาด ๆ อยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อย ๆ หยิบปืนจากช่องเก็บในเสื้อตัวนอกของเขา “ใจเย็นก่อน ฉันไม่ได้วางแผนอะไรเลยนะ พวกนายมีพวกตั้งเยอะแต่ฉันมีตัวเองคนเดียว สู้พวกนายไม่ได้หรอก”
“ฉันเองก็ไม่อยากระแวงนายนะ แต่ก็ไม่แน่นี่ว่านายจะเล่นตุกติกอะไร” สเปนกล่าวในขณะที่เขาจับด้ามขวานตั้งกับพื้น ชายหนุ่มดวงตาสีฟ้าแสร้งทำมือเป็นไขว้หลังอย่างไม่มั่นใจ เพราะตอนนี้อังกฤษชำเลืองมองมือเขาที่ขยับผิดปรกติ
“จะทำอะไร? อย่าบอกนะว่าจะหยิบของที่ขัดขวางฉันเมื่อกี้?”
“!”
อเมริกาชะงักไปครู่หนึ่ง เขาจ้องอังกฤษอย่างตึงเครียดเมื่ออีกฝ่ายจับได้ว่าเขาจะทำอะไร
“ทิ้งมันลงบนพื้นซะ”
ชายหนุ่มชาวอเมริกันชั่งใจก่อนจะหยิบมันออกมาแล้ววางบนพื้น อย่างไรเสียเขาก็ยังมีอาวุธอื่นอีก อังกฤษมองอย่างพอใจแล้วเล็งปืนไปยังอเมริกาพร้อมกับกล่าวต่อ
“ถอดเสื้อนอกออกด้วย”
“เสื้อนอกด้วยเหรอ?” อเมริกาถามพร้อมกับใบหน้าที่เริ่มซีด เขาสังหรณ์ใจอีกครั้งว่าต่อไปอังกฤษคงต้องค้นหาอาวุธที่มีอยู่ในตัวเขา และถ้าเป็นอย่างนั้นอเมริกาก็จะไม่มีอาวุธออันไหนให้ใช้เลย
“ใช่”
บ้าเอ๊ย! รู้อย่างนี้น่าจะยิงเข้าที่ตัวอังกฤษก็ดีหรอก สเปนก็อีกคน ทั้ง ๆ ที่ฉันช่วยไว้แต่ทำไมระแวงฉันล่ะ?!
อเมริกาไม่รู้ว่าอังกฤษมีปืน ต่อให้เมื่อครู่ปืนอยู่กับตัวเขาก็ชักออกมาไม่ทันอยู่ดี ชายหนุ่มสวมแว่นกัดฟันอย่างเจ็บใจและยอมถอดเสื้อตัวนอกออก
“ต่อไปก็เสื้อ ใส่กี่ชั้นถอดออกมาให้หมด”
F*ck!
อเมริกาด่าในใจพร้อมกับปลดกระดุมเสื้อซึ่งเป็นชุดเครื่องแบบทหารออก ผิวขาวนวลและกล้ามเนื้อค่อย ๆ เผยให้คนทั้งสองเห็น อังกฤษมองด้วยแววตาที่ยากจะอ่านออกจนอเมริกาไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย ชายหนุ่มดวงตาสีฟ้าเริ่มหน้าแดงเพราะพอเหลือบมองดี ๆ แล้วแววตานั่นเหมือนจะโลมเลียเสียมากกว่า อเมริกาพยายามทำเป็นไม่สนใจแล้วถอดจนเหลือเสื้อเชิ้ตตัวบาง ๆ ที่ปลดกระดุมหมดแล้วไว้
สเปนย่างก้าวเข้ามาแล้วหยิบของทั้งหมดที่อเมริกาทิ้งไว้บนพื้น เขาหยิบอาวุธที่มีทั้งหมดในเสื้อตัวนอกออกมาแล้วโยนเสื้อทิ้ง
“มีด ปืน เข็ม แล้วก็… ลูกอะไรเนี่ย?” ชายหนุ่มเชื้อสายละตินมองลูกระเบิดอย่างสงสัย อเมริกาเกือบหลุดขำเพราะนึกได้ว่าระเบิด MK2 ที่เขาพกมานั้นยังไม่มีในสมัยนี้
“ทางที่ดีนายอย่าไปแตะมันจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นนายตายแน่” อเมริกายิ้มมุมปาก อังกฤษมองระเบิดในมือสเปนแล้วถาม “ให้ฉันเดา ลูกกลม ๆ ออกวงรีนั่นคือระเบิดใช่ไหม?” อเมริกาหุบยิ้มเมื่ออังกฤษเดาได้ เขาเกือบจะหลุดปากโกหกไปแล้วเชียวว่านั่นคืออาหาร (และแน่นอนว่าอีกฝ่ายต้องสงสัยอีก) แต่ถึงพูดออกไปอังกฤษก็จับสีหน้าเขาได้อยู่ดี
อังกฤษก้าวมาหาอเมริกาอย่างใจเย็น แล้วหยุดยืนในระยะที่เกือบจะหายใจรดต้นคอกัน ชายหนุ่มชาวอเมริกันจ้องตาอีกฝ่ายอย่างเกร็ง ๆ เพราะกลัวว่าจะถูกทำอะไร ทว่าสิ่งที่คิดกลับไม่ใช่ เมื่ออังกฤษโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้พร้อมกับยิ้มมุมปาก เขายื่นมือที่สวมถุงมือสีดำไล้แผ่นอกเปลือยของอเมริกาเบา ๆ สเปนรู้นิสัยอังกฤษดีจึงหันไปอีกทางอย่างรู้งาน
เจ้าของร่างรู้สึกว่าใบหน้าของตนเองร้อนผ่าวเพราะสัมผัสของอีกฝ่ายนั้นมันกระตุ้นอารมณ์ เขายืนนิ่งอย่างเกร็ง ๆ และพยายามไม่แสดงสีหน้าอะไรอออกไป ชายหนุ่มผมสีทองไล้นิ้วมือบริเวณยอดอก อเมริกาสะดุ้งด้วยความที่เขาไม่เคยถูกใครสัมผัสร่างกายเขาแบบนี้ อังกฤษเลียริมฝีปากอย่างกระหาย ดวงตาสีเขียววาวโรจน์ราวกับตาของสัตว์ป่าที่จะขย้ำเหยื่อ
อังกฤษละฝ่ามือออกพร้อมกับยิ้มเลศนัย อเมริกาโล่งอกเมื่ออีกฝ่ายไม่ทำอะไรมากกว่านั้นแต่รอยยิ้มนั่นไม่ได้ทำให้เขาวางใจเลย
“นาย… ดู ๆ ไปก็สวยดีนี่ โดยเฉพาะดวงตาสีฟ้าของนาย” อเมริกาหน้าแดงอีกครั้งเพราะคำชมตรง ๆ นั่น “สวย? นายคิดจะล้อเลียนฉันเหรอ”
“หยาบคาย ฉันชมนายจากใจนะ …ชักถูกใจแล้วสิ ---สเปน ฉันพูดด้วยคำสัตย์จริงว่าผู้ชายคนนี้ฉันไม่รู้จัก และฉันจะพาเขาไปอยู่กับฉัน” อเมริกาหันขวับไปมองอังกฤษที่เอามือข้างหนึ่งที่ไม่ได้ถือปืนมาโอบไหล่เขา ตอนนี้อเมริกาชักโมโหที่ถูกทำเหมือนเป็นผู้หญิง
“อังกฤษ! ตกลงนายมาค้นตัวฉันหรือจะมาทำอะไรกันแน่ เห็นฉันเป็นของเล่นรึไง!”
“หืม? แน่นอน ฉันเห็นนายเป็นของเล่น” อเมริกาถลึงตามองอีกฝ่าย คู่สนทนาไม่สะทกสะท้านกับสายตาคู่นั้นแถมยังยิ้มเจ้าเล่ห์ให้อีก ระหว่างนั้นสเปนก็หันกลับมาแล้วเอ่ย
“ตามสบาย แต่ของพวกนี้ฉันเอาไปล่ะ” สเปนเหลือบมองอเมริกาอย่างเห็นใจ ชายหนุ่มผมสีบลอนด์มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เมื่อรู้ตัวแล้วว่าตนเองกำลังจะถูกโจรสลัดอังกฤษทำอะไร พูดตามตรง เขาอยากโดนทำร้ายร่างกายมากกว่าถูกทำเรื่องอย่างว่าอีก
“ดี ว่าแต่สเปน ฉันยังไม่ลืมเรื่องสมบัตินะ” อังกฤษเก็บปืนลงแล้วหันปลายดาบไปยังอีกฝ่าย เขาอยากชนะสเปนด้วยวิธีที่ยุติธรรมกับทั้งสองฝ่าย นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่ใช้ปืน
“นายนี่มันโลภจริง ๆ ฉันได้ยินจากคนอื่นมาหลายคนแล้วที่ว่านายปล้นเรือขนส่งสินค้า หรือพวกโจรที่ปล้นทางทะเลมาได้มากมาย คงไม่ใช่ว่าเจ้าของนายของนายยังไม่พอใจหรอกนะ?” สเปนถามอย่างไม่พอใจเมื่ออีกฝ่ายยังคงไม่ลดละความพยายามที่จะเอาสมบัติ อังกฤษส่ายหน้าก่อนจะตอบ
“ฉันต้องการให้ทุกคนเกรงกลัวฉัน แต่เอาเถอะ วันนี้ฉันจะกลับไปก่อน ของเล่นชิ้นใหม่น่าสนใจกว่าสมบัติตั้งเยอะ”
อเมริกาพยายามหาโอกาสหลุดจากสถานการณ์นี้ แต่อังกฤษมักจะชำเลืองมองลอบสังเกตการกระทำของเขา จริง ๆ แล้วเขาสามารถหยิบแอบมีดเล่มขนาดกลางออกจากใต้แขนเสื้อ ซึ่งยึดด้วยแถบคาดที่รัดแขนได้ทันก่อนที่อังกฤษจะชักปืนหรือฟันดาบเพื่อปัดมีดทิ้ง แต่ตอนนี้อังกฤษกับสเปนยืนขนาบข้างเขาจนหาช่องว่างจู่โจมได้ยาก แล้วยิ่งสเปนมีอาวุธระยะกลางอีก ถ้าตอนนี้ปืนอยู่เขาก็หนีออกสถานการณ์นี้ได้นานแล้ว
ชายหนุ่มชาวอเมริกันตึงเครียด ตอนนี้เขาคาใจกับปัญหาต่าง ๆ ที่เข้ามาไม่หยุด ไหนจะเรื่องก่อนหน้านี้อีก
ฉันจะทำไงดี?
เธอขีดไม้ขีดอีกก้านกับกำแพง มันลุกจ้า จุดที่แสงกระทบกับกำแพงกลายเป็นบริเวณโปร่งใสเหมือนผ้าคลุมหน้าบาง ๆ เธอมองเข้าไปเห็นด้านในห้อง มีโต๊ะปูผ้าขาวเหมือนหิมะ มีเครื่องกระเบื้องอย่างดีแสนงดงาม ห่านอบย่างยัดไส้แอปเปิ้ลและลูกพลัมแห้งวางเสิร์ฟควันขึ้นฉุย
“ที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่านั้นคือ ห่านตัวนั้นกระโดดลงจากจาน เดินยักย้ายไปบนพื้นห้องทั้ง ๆ ที่ยังมีมีดกับส้อมปักอยู่บนหน้าอก พอมันเดินมาถึงหนูน้อย---”
“อังกฤษ นายกำลังเพ้อว่าตัวเองเป็นหนูน้อยขายไม้ขีดไฟอยู่เรอะ? ฉันทนฟังนายเล่ามาตั้งแต่บรรทัดแรกของเรื่องแล้วนะ”
สกอตแลนด์ถามอังกฤษอย่างเบื่อหน่าย เมื่อเขาและแคนาดานั่งอยู่เงียบ ๆ ในกระท่อมหลังหนึ่งซึ่งในขณะนี้กำลังมีหิมะตก ช่องว่างระหว่างไม้ที่แตกหักและผุพังนั้นมีลมลอดเข้ามาจนอากาศหนาวกว่าที่ควรจะเป็น ยังดีที่ที่นี่มีผ้าเก่า ๆ พอให้คลุมหายหนาวได้หน่อย พวกเขานั่งอยู่ที่นี่มาได้หนึ่งชั่วโมงแล้ว ดูเหมือนว่าเวทมนตร์จะไม่ได้มีความแม่นยำมากนัก จึงไม่สามารถส่งพวกเขาให้พบกับอเมริกาได้ทันที
และแน่นอนว่าในระหว่างนี้มันเป็นอะไรที่น่าเบื่อมาก เพราะฉะนั้นอังกฤษจึงเล่านิทานของเอนเดอร์เสนโดยที่ไม่มีใครขอ (และไม่มีใครอยากฟัง)
“ฟังเงียบ ๆ เถอะน่า นายนี่ไม่เข้าใจความงดงามของเทพนิยายเลย ว่าไหมแคนาดา? นิทานพวกนี้ถ้าลองฟังดี ๆ จะรู้เลยว่ามันมีความมหัศจรรย์แค่ไหน” อังกฤษหันมาถามแคนาดาที่ทำหน้าลำบากใจ คนถูกถามยิ้มแห้ง ๆ แล้วคิดหาคำตอบที่จะไม่ทำร้ายจิตใจอีกฝ่าย ทว่าสกอตแลนด์ขัดขึ้นก่อน
“ฉันว่านายดูสีหน้าแคนาดาก่อนถามเถอะ ฉันกับเขาไม่มีใครอยากฟังหรอก แคนาดานายหัดพูดตรง ๆ บ้างสิ ถูกหมอนี่เลี้ยงจนกลัวไปแล้วเหรอ?”
“ผม… ก็ไม่ใช่ว่าไม่อยากฟังนะครับ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เราจะอยู่แบบนี้ เราอยู่ในกระท่อมมาประมาณชั่วโมงนึงแล้ว ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะทำอะไรต่อดี ที่นี่เป็นที่ไหนเราก็ไม่รู้ แถมหิมะยังตกอีก ถนนด้านนอกก็เป็นเส้นเล็กดูแล้วไม่ค่อยมีใครผ่านมา อย่างน้อยเราคงอยู่ที่นี่สักหนึ่งคืนแต่ก่อนหน้านั้นต้องหาอาหารก่อน”
“ฉันเองก็กำลังคิดแบบที่นายคิดอยู่นั่นแหละ แต่เจ้าหมอนี่---” สกอตแลนด์หยุดพูด เขาปรายตามองน้องชายตนเองแล้วถอนหายใจ
“มองแบบนั้นมันหมายความว่าไง! จะบอกว่าฉันรบกวนสมาธิพวกนายเหรอ?!”
“ใช่/ก็ไม่ขนาดนั้นนะครับ”
อังกฤษชะงักค้างไปพักหนึ่ง ถึงแคนาดาจะบอกว่าไม่ขนาดนั้นก็เถอะ แต่เพราะไม่ขนาดนั้นนั่นแหละที่บอกอ้อม ๆ ว่าเขาทำลายสมาธิ อังกฤษตัดสินใจหุบปากแล้วอยู่เงียบ ๆ ถ้าเปรียบแบบการ์ตูนคงจะเห็นเขาอยู่ตรงมุมห้องพร้อมกับบรรยากาศสลด
ให้ตายเถอะ ทำไมพวกนายดูเข้ากันได้ดีจัง ฉันเป็นคนเลี้ยงแคนาดามานะ!
“…”
“…”
“…”
ความเงียบปกคลุมห้องเมื่อมีไม่ใครเอ่ยอะไรอีก สกอตแลนด์ถอนหายใจก่อนจะลุกขึ้นยืน
“ตอนแรกที่เรามาของที่มีคมหรือใช้เป็นอาวุธได้ ก็มีพลั่วเหล็กและมีดเล่มใหญ่สองเล่ม ฉันคิดว่าวันนี้ยังไงเราก็คงต้องอยู่กระท่อมก่อนแน่ ๆ เพราะฉะนั้นแล้วต้องหาอาหารสำหรับคืนนี้ก่อน แต่ของที่ฉันพูดมามันใช้ล่าสัตว์ไม่ได้ ระหว่างที่เราเดินหาที่พักก็ไม่เห็นบ้านหรือกระท่อมหลังไหนเลย ดูท่าว่าวันนี้เราลำบากแน่”
“ยังมีเวลาเหลือเฟือที่เราจะเดินหาบ้านที่มีคนอยู่ ว่าแต่ฉันก็มีปืนนะ ใช้ไม่ได้เหรอ?” อังกฤษถามออย่างไม่เข้าใจ สกอตแลนด์ส่ายหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อนึกถึงเรื่องหนึ่งได้
“อังกฤษ เอาปืนมาให้ฉันดู”
“?” อังกฤษมองอีกฝ่ายอย่างฉงน แต่ก็หยิบปืนจากซองที่เหน็บกับเข็มขัดให้ สกอตแลนด์รับมันมาแล้วจ้องราวกับจะกลืนมัน จนอังกฤษกับแคนาดาสงสัยเข้าไปใหญ่ ว่าปืนนั่นมันมีอะไรผิดปรกติ
“สกอตแลนด์… ปืนนั่นมันมีอะไรเหรอ?” อังกฤษเปิดปากถามหลังจากรออยู่พักใหญ่ สกอตแลนด์ดูมีสีหน้าวิตกเมื่อแน่ใจกับการตรวจสอบของตนเอง เขาคืนปืนให้อังกฤษ
“ไม่ผิดแน่ อังกฤษ ปืนของนายมีคำสาปอยู่”
“คำสาป?” อังกฤษกับแคนาดาทวนคำ สกอตแลนด์กอดอกแล้วมองปืนในมือของน้องชายตนเอง “ใช่แน่ ๆ ถึงจะเพียงแวบเดียวแต่ฉันรู้สึกได้ มีไอวิญญาณชั่วร้ายอยู่ แต่ฉันจับไม่ได้ว่ามันมาจากไหน”
“ได้ไงกัน ถ้ามันมีฉันก็ต้องรู้สึกสิ”
“ไม่เสมอไปหรอก บางพวกมันก็เป็นวิญญาณประเภทที่ชั่วร้ายสุด ๆ มันสามารถสิงนายโดยที่นายไม่สามารถรู้สึกตัวได้ ฉันถึงไม่ให้นายใช้มันในการล่าสัตว์”
“แล้วนายจะให้ฉันทิ้งปืนเหรอ?” อังกฤษมองปืนในมือตัวเองอย่างเสียดาย จนสกอตแลนด์ต้องตัดความหวัง
“ถ้าไม่อยากตาย ทางที่ดีนายควรทิ้งมันไป ---ไม่สิ เอามันมาให้ฉัน เผื่อจะมีเบาะแสอะไร”
“เบาะแส?” สกอตแลนด์หยิบปืนจากในมืออังกฤษโดยที่เจ้าของยังไม่เข้าใจ เขาร่ายเวทสั้น ๆ ก่อนที่ปืนจะหายไปพร้อมกับไอวิญญาณ อังกฤษกับแคนาดามองอย่างตกตะลึงเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะใช้วิธีนี้
“เผอิญขี้เกียจพกปืนเลยเรียนมาน่ะ” สกอตแลนด์กล่าวตอบคำถามในใจของทั้งสองคน “เอาล่ะ ฉันจะไปดูข้างนอกหน่อย ห้ามออกไปไหนเด็ดขาดระหว่างที่ฉันไม่อยู่ เมื่อกี้ฉันเห็นต้นไม้นอกหน้าต่างมัว ๆ ดูท่าว่าเราคงจะอยู่ในมิติที่บิดเบี้ยว อังกฤษนายอย่าเผลอสติหลุดเด็ดขาด ถ้าทำอะไรไม่ยั้งคิดนายตายแน่”
ไม่ทันรอให้ใครคนใดคนหนึ่งตอบรับ สกอตแลนด์เดินไปหยิบมีดเล่มใหญ่บนโต๊ะเล็ก ๆ ก่อนจะเดินไปเปิดประตูไม้แล้วก้าวออกไป
“สกอตแลนด์”
อังกฤษมองร่างพี่ชายตนเองจนลับสายตาด้วยความรู้สึกกังวล
สกอตแลนด์เดินผ่านต้นไม้ที่ใบร่วงตั้งแต่เข้าหน้าหนาวของที่นี่ เขาคิดไม่ผิดจริงด้วย ทิวทัศน์ต่าง ๆ บิดเบี้ยวดูไม่มั่นคง สกอตแลนด์พยายามตั้งสติแล้วเดินต่อ ระหว่างนั้นเองเขาก็รู้สึกว่ามีใครอยู่ข้างหลัง จิตมุ่งร้ายทำให้เขากระชับมีดในมือแน่นแล้วหันกลับพร้อมกับตวัดมัน ทว่าต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคือใคร
“---ฟินแลนด์?”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ