Sacred Light ภัยแห่งลัทธิแสงศักดิ์สิทธิ์
-
เขียนโดย สิงหาศัพท์
วันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 12.27 น.
9 ตอน
0 วิจารณ์
11.30K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2559 12.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) ขออาศัยอยู่ด้วยกัน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ “ถ้าอย่างนั้น พวกเราขอตัวก่อนนะครับ ขอบคุณสำหรับการดูแลเป็นอย่างดีครับ”
“แล้วฉันจะกลับมาใหม่ ครั้งหน้าจะพาคนในลัทธิมาถล่มรังของเจ้าให้พินาศไปเลย… ขอตัวก่อนนะคะ” ลูน่าที่เห็นสายตาจ้องเขม็งของเอเดรียนเปลี่ยนวิธีพูด แล้วปิดประตูกระท่อมเบาๆ แม้ว่าความจริงอยากปิดกระแทกให้กระท่อมพังลงมาทั้งหลังก็ตาม
หลังจากนั้น ทั้งสองก็เก็บของเดินกลับจากกระท่อมเก่ากลางป่าลึก
ระหว่างที่เดินกลับไปยังตัวเมือง เอเดรียนก็ย้อนนึกถึงความทรงจำที่ไม่ค่อยดีระหว่างที่ยังอยู่ข้างในนั้น
ตลอดเวลาที่อยู่ในกระท่อมหลังเก่า หญิงชราต้อนรับทั้งสองคนอย่างดี เมื่อเอเดรียนบอกไปว่าพวกเขาเดินเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนในเมืองเป็นระยะทางไกล แล้วยังเดินลุยป่ามาจนถึงกระท่อมหลังนี้ตามลำพัง เจ้าของกระท่อมก็นำน้ำและของกินเล่นเท่าที่มีอยู่มาให้พวกเขา แต่ก่อนที่ของเหล่านั้นจะเข้าปากเอเดรียน ลูน่าก็หยิบแก้วน้ำและจานใส่ขนมขึ้นพิจารณาอย่างละเอียดราวกับตรวจหายาพิษ จนกระทั่งแน่ใจว่าไม่มีส่วนผสมที่อันตรายจึงวางลง รวมถึงสังเกตทุกการขยับตัวของหญิงชราอีกด้วย
เอเดรียนรู้สึกอึดอัดมากขึ้นทุกทีจึงขอตัวกลับก่อน ส่วนลูน่าก็เดินตามมาทีหลัง
คำพูดที่ว่า “เดี๋ยวก็จะมีเด็กรุ่นเดียวกับพวกเธอมาที่นี่ รอเจอกันก่อนไม่ดีกว่าเหรอ” ของหญิงชราถูกคำพูดไร้มารยาทของลูน่ากลบไปจนหมด ทั้งที่เธอเป็นถึงเด็กสาวที่เพิ่งเดินทางมาจากเมืองหลวงได้เพียงหนึ่งวัน และเอเดรียนก็สงสัยอยู่ว่าใครกันที่จะมายังกระท่อมที่ตั้งอยู่ห่างไกลตัวเมืองด้วยทั้งที
เมื่อทั้งคู่กลับไปถึงย่านชุมชน เอเดรียนก็บอกลาลูน่าที่ถือกระเป๋าใบใหญ่โดยไม่เคยบ่นว่าเหนื่อยสักครั้งทันที ด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับรำคาญ โชคดีที่ลูน่าไม่ต้องการรั้งตัวเขาเอาไว้นานกว่านี้ เขาจึงเดินทางกลับบ้านได้อย่างไร้กังวล ในขณะที่ตอนนั้นไม่มีแสงอาทิตย์เหลืออยู่อีกแล้ว จากที่เคยวางแผนว่าจะอาศัยช่วงเปิดภาคเรียนสัปดาห์แรกที่เลิกเรียนช่วงบ่ายเร็วเพื่อกลับไปนอนเล่นอยู่คนเดียวในบ้าน ตอนนี้เจ้าของบ้านน่าจะกลับมากันทั้งสองคนแล้ว แผนการที่วางเอาไว้จึงพังไม่เป็นท่า
“ถ้าเรากลับไปช้าขนาดนี้ คงระเบิดลงแน่ๆ” เอเดรียนบ่นกับตัวเอง ฝีเท้าของเขาเร็วขึ้นทีละนิด “ถ้าคุณเอลด้าอยู่ที่บ้านคนเดียวก็คงจะดี บอกไปว่าวันนี้เลิกเรียนช้าก็เลยกลับถึงบ้านช้า แต่ถ้าคุณเอลรี่อยู่ด้วยจะอ้างว่ายังไงดีล่ะเนี่ย เอาเป็นว่า…”
ความคิดหาข้อแก้ตัวขาดช่วงลง เพราะสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นระหว่างเส้นทาง
นอกจากเสียงฝีเท้าของเขาที่เร่งให้เร็วขึ้นกว่าปกติ ยังมีอีกเสียงหนึ่งที่ดังมาจากข้างหลัง ต่างจากเสียงฝีเท้าของผู้คนที่เดินผ่านไปแล้วค่อยๆ เบาลง เสียงที่ได้ยินกลับดังอยู่เท่าเดิม แล้วเสียงยังเบามากราวกับตั้งใจเดินเพื่อไม่ให้เกิดเสียงดังตั้งแต่แรก อย่างกับว่าเจ้าของเสียงนั้นกำลังเดินตามเขาอยู่
“คิดไปเองมั้ง” เอเดรียนพูดกับตัวเองด้วยเสียงที่มีเพียงเขาที่ได้ยิน แล้วบ่นไปตลอดทาง
จนอีกไม่กี่อึดใจก็จะถึงบ้านของเขา เอเดรียนก็เร่งฝีเท้าขึ้นทันที หวังจะสลัดสิ่งที่คาดว่ากำลังตามมาให้พ้น หรือยืนยันว่าเสียงนั้นเป็นเสียงเท้าของเขาเองที่สะท้อนกับต้นไม้ข้างทาง แต่เสียงฝีเท้ากลับไม่ได้ดังเป็นจังหวะเดียวกับเขา มีช่วงหนึ่งที่ช้าลง ก่อนจะเริ่มเร่งขึ้นตาม แต่ไม่ได้สัมพันธ์กับฝีเท้าของเขาเลย
ถ้าเป็นอย่างนั้นก็แน่ชัดแล้ว
“เอาไงเอากัน คิดจะตามกันไปถึงไหนกันแน่” เอเดรียนกัดฟันแน่น ลำตัวของเขาบิดกลับหลัง ก่อนจะเตะเท้าย้อนกลับไปข้างหลังทั้งที่ยังวิ่งด้วยความเร็วสูง จังหวะนั้นเอง ในหัวของเขาก็มีภาพหนึ่งแล่นเข้ามาตรงหน้า แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องเป็นภาพวาดของคนที่ถูกตรึงกับท่อนไม้แล้วจุดไฟเผาจากด้านล่างภายในโบสถ์แห่งนั้นด้วย ซ้ำตอนนี้ยังรู้สึกได้ถึงความร้อนเหมือนถูกไฟเผาราวกับเคยเกิดขึ้นจริงกับเขามาก่อน ทั้งที่นั่นก็เป็นแค่ภาพวาดเท่านั้น
มันคงเป็นลางสังหรณ์ก่อนเหตุร้ายอย่างหนึ่ง แต่มันก็คงเตือนเขาช้าเกินไป
จังหวะที่หันกลับไปข้างหลัง เอเดรียนเห็นเงาตะคุ่มที่คล้ายกับคนที่เตี้ยกว่ากำลังพุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วสูง แต่ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เงานั้นหยุดความเคลื่อนไหว มีมือข้างหนึ่งเอื้อมมาจับตัวของเขา ใช้มือข้างนั้นเปลี่ยนการเคลื่อนไหวของเขากะทันหันจนเสียหลัก ก่อนจะใช้บางอย่างฟาดเข้าที่ขาจนล้ม แล้วกดทับตัวเขาที่ล้มลงกับพื้นโดยไม่อาจลุกขึ้นได้
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น
“มันอันตรายนะ อยู่ดีๆ ก็ถอยกลับมาอย่างนี้ ถ้าเกิดชนฉันขึ้นมาจะว่ายังไงเล่า”
แล้วเสียงที่ได้ยินเป็นอันดับแรกก็คือ เสียงของผู้หญิงที่หยาบนิดๆ แต่ก็ค่อนข้างสุภาพในเวลาเดียวกัน เขานึกไม่ออกเลยว่าเป็นเสียงของใครกันแน่ แต่สิ่งที่ยืนยันตัวตนของผู้หญิงคนนั้นก็เลื่อนผ่านสายตาลงไปข้างล่าง มันเป็นเส้นเรียวเล็กที่น่าจะมองไม่เห็นเลยในเวลากลางคืนอย่างนี้ แต่มันสะท้อนแสงจันทร์เป็นสีขาวสว่าง แตกต่างจากเส้นผมสีขาวเพราะวัยชรา
“ลูน่าเหรอ ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่” เอเดรียนเอ่ยชื่อคนรู้จักเพียงคนเดียวที่มีลักษณะเด่นนั้นอยู่กับตัว แล้วก็ถูกตัวเสียด้วย
“ฉันเดินตามนายมาตั้งนานแล้วนะ แต่ดูเหมือนว่านายจะไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด ถ้าเกิดว่าคนที่ตามหลังนายอยู่ไม่ใช่ฉัน แต่ว่าเป็นพวกแม่มดหรือโจรลักพาตัว นายเสร็จพวกนั้นไปแล้วนะ” ลูน่าพูดเสร็จก็ปล่อยตัวเอเดรียน เขาลุกขึ้นปัดฝุ่นดินที่ติดอยู่ตามตัว โดยที่ทำสายตาไม่ไว้วางใจกับเธอไปด้วย
“ไม่มีโจรหรืออะไรพวกนั้นในเมืองนี้หรอก แล้วก็เลิกพูดถึงเรื่องแม่มดได้แล้ว” เอเดรียนพูดปัดรำคาญ ก่อนจะก้มลงมองกระเป๋าถือใบใหญ่ของลูน่าที่ “แล้วทำไมเธอถึงไม่กลับบ้านอีกล่ะ หรือว่าบ้านของเธอก็อยู่แถวนี้เหมือนกัน ให้ฉันเดินไปกับก่อนหรือเปล่า แต่ว่าฉันจะไปส่งจนถึงหน้าบ้านของฉันเท่านั้นนะ”
“ทำเป็นปากเก่ง ทั้งที่เมื่อก่อนเป็นเด็กขี้แยแท้ๆ แล้วเด็กผู้หญิงที่ปกป้องนายตอนนั้นยังสบายดีหรือเปล่า” ลูน่าพูดเชิงหยอก “ความจริงนายไม่ต้องเดินไปส่งฉันที่บ้านก็ได้ ฉันก็ไม่มีของอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่ว่าในฐานะเพื่อนเก่า ฉันมีเรื่องอยากจะขอร้องเธอหน่อยได้ไหมล่ะ” พูดจบแล้วเธอก็ส่งยิ้มกลับมาให้เขา
เอเดรียนจับสิ่งผิดปกติในคำพูดของลูน่าได้ เอเดรียนก้มลงพิจารณาทั้งตัวของลูน่าทันที ทั้งกระเป๋าใบใหญ่ที่เอามาจากโบสถ์ ทั้งกระเป๋าที่เธอถือไปโรงเรียนที่หายไปหลังจากที่กลับมาจากโบสถ์ ทั้งถือกระเป๋าใบใหญ่นั้นเดินตามและวิ่งตามเขามาจนถึงขนาดนี้ ถ้าแค่มีเรื่องจะคุยก็แค่เรียกซะตั้งแต่ช่วงแรกๆ หรือถ้าบ้านของลูน่าอยู่ทางเดียวกันก็แค่ขอโทษเขาแล้วเดินจากไปก็จบแล้ว แล้วก็ท่าทางของเธอที่ไม่ได้พูดถึงบ้านตลอดเวลาที่ออกจากโรงเรียน
“ลูน่า หรือว่าเรื่องที่เธอจะขอ ไม่สิ บ้านของเธอ…” เอเดรียนมีคำตอบหนึ่งขึ้นในใจ
มันเป็นคำตอบที่ไม่มีวันได้รับเลยในชีวิตจริงเช่นนี้ แล้วก็โชคร้ายมากที่มันเป็นจริง
“ขอฉันอาศัยอยู่บ้านของนายสักพัก อย่างน้อยก็จนกว่าฉันจะทำธุระที่นี่เสร็จเถอะนะ” ลูน่าตอบด้วยรอยยิ้มที่ปราศจากสิ่งใดเจือปน ราวกับมั่นใจในคำตอบที่จะได้รับอยู่แล้ว
“ไม่ล่ะ ขอปฏิเสธ” คำตอบของเอเดรียนถูกส่งกลับโดยไม่ต้องคิด
ความเงียบเข้าปกคลุมระหว่างเอเดรียนที่ยืนอยู่ไม่ไกล และลูน่าที่ขยับเข้าไปใกล้ทีละนิดพร้อมกับรอยยิ้มที่น่าพิสมัย เธอกำลังเอ่ยคำถามเดิมอีกครั้งโดยไม่ใช้คำพูด เส้นผมสีขาวเงินที่เอเดรียนเห็นมาตลอดช่วงบ่ายกำลังเรืองแสงอย่างน่าประหลาด ลูน่าหยิบกระเป๋าใบใหญ่ขึ้นมาอีกครั้ง ข้างในนั้นน่าจะเต็มไปด้วยของใช้เครื่องแต่งกาย มันไม่น่าจะหนักเกินกว่าสิบกิโลกรัม ถึงอย่างนั้นมันก็หนักเกินไปสำหรับเด็กผู้หญิงที่จะถือเดินไปมาเป็นเวลานานอยู่ดี ต่อให้เป็นเขาก็ไม่น่าจะทำแบบเดียวกันได้
ด้วยความแตกต่างของพละกำลัง เอเดรียนจึงเร่งการตัดสินใจให้เร็วขึ้นหนึ่งจังหวะ แล้วคำตอบใหม่ของเขาก็คือ
“ตรงนี้เป็นห้องว่าง ความจริงคุณเอลด้าจัดเอาไว้รับแขก แต่แขกคนนั้นก็ไม่เคยมาที่บ้านสักที เธอเข้าไปใช้ก่อนนะ”
“ขอบใจมากนะ เพื่อนเก่า” ลูน่าเดินเข้าไปในห้องที่กว้างขนาดสิบผืนเสื่อ แล้วลงมือจัดของด้วยสีหน้าอารมณ์ดี ในระหว่างนั้น ประตูห้องก็เลื่อนปิดลงช้าๆ “จริงด้วยสิ แล้วห้องอาบน้ำของบ้านหลังนี้อยู่ที่ไหนเหรอ ฉันคิดว่าอยากจะอาบน้ำอยู่พอดีเลย นายช่วยนำทางฉันไปให้หน่อยได้ไหม”
“ทางนี้ เดินตามมาได้เลย” เอเดรียนเปิดประตูห้องอีกครั้งจนเห็นใบหน้าที่มีรอยช้ำจางๆ ลูน่าเดินตามออกไปโดยที่กลั้นหัวเราะเอาไว้อยู่ มันเป็นรอยที่เธอเป็นคนชกใส่เขาเอง ทั้งที่เป็นคนจากเมืองหลวงที่ปกติจะวางตัวเป็นผู้ดีสำรวมกิริยาแท้ๆ
ลูน่าใช้เวลาอาบน้ำสั้นมาก เพียงไม่กี่นาทีก็กลับไปจัดห้องอยู่ในห้องของเธอแล้ว
หลังจากนั้นเอเดรียนได้ก็อาบน้ำ แต่เขาต้องระวังไม่ให้น้ำไหลผ่านรอยช้ำบนใบหน้าเด็ดขาด เป็นการอาบน้ำที่ทรมานใจที่สุดในชีวิต
“เจ็บชะมัด ดันชกเข้ามาซะได้ แถมหมัดยังหนักอย่างกับไม่ใช่ผู้หญิงด้วยนะ” เขารำพันกับตัวเองขณะที่หยิบขันตักน้ำราดไปทั้งตัวให้ความร้อนและเหงื่อที่สะสมมาตลอดวันละลายไปกับมัน แต่เมื่อเขากำลังจะล้างหน้า แผลที่ถูกชกก็สัมผัสกับน้ำ ราวกับมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านไปทั้งตัว เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดก็ดังไปทั่วบ้าน ก่อนจะเงียบหายไปในอีกหลายนาทีถัดมา
เอเดรียนที่อาบน้ำเสร็จไปเตรียมอาหารเย็นในครัวตามลำพัง
ในบ้านตอนนี้มีแค่เขา กับลูน่าที่น่าจะยังจัดห้องไม่เสร็จ เอลรี่กับเอลด้ายังไม่กลับมาเลย ทั้งที่เอลรี่น่าจะกลับมาถึงบ้านตั้งแต่หลังเลิกเรียนตามปกติแล้ว มีเพียงกระดาษโน้ตว่าพวกเธอจะกลับมาถึงบ้านช้าวางอยู่ที่โต๊ะอาหาร ขณะที่เจ้าตัวซึ่งเข้าร่วมพิธีปฐมนิเทศด้วยกันกับเขาไม่ได้บอกอะไรเลย ส่วนเอลด้าที่น่าจะนั่งรถม้าจากเมืองหลวงกลับมาถึงเมืองนี้ตั้งแต่ตอนเที่ยงก็ยังไม่กลับมาเลย อย่างกับเป็นหมากที่วางเอาไว้เพื่อให้ลูน่าย้ายเข้ามาอาศัยได้ทันที
ระหว่างที่กำลังคิดถึงเรื่องนั้น อาหารเย็นกก็ถูกเตรียมจนเสร็จ ลูน่าที่น่าจะยังจัดของจำนวนมากนั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะลงมือกินอาหารที่เขาเป็นคนเตรียมอย่างเอร็ดอร่อย
เมื่อได้เห็นสีหน้ามีความสุขของเธอ เอเดรียนก็นึกขึ้นได้อีกเรื่องหนึ่ง
…แม่มด ที่เธอพูดถึงคืออะไร เขายังไม่ได้ถามเลยด้วยซ้ำ
แต่ก่อนหน้านั้น เอเดรียนก็หวังว่าผู้ปกครองของเขาจะกลับมาถึงบ้าน แล้วไล่เด็กสาวคนนี้ออกไปโดยเร็ว
“แล้วฉันจะกลับมาใหม่ ครั้งหน้าจะพาคนในลัทธิมาถล่มรังของเจ้าให้พินาศไปเลย… ขอตัวก่อนนะคะ” ลูน่าที่เห็นสายตาจ้องเขม็งของเอเดรียนเปลี่ยนวิธีพูด แล้วปิดประตูกระท่อมเบาๆ แม้ว่าความจริงอยากปิดกระแทกให้กระท่อมพังลงมาทั้งหลังก็ตาม
หลังจากนั้น ทั้งสองก็เก็บของเดินกลับจากกระท่อมเก่ากลางป่าลึก
ระหว่างที่เดินกลับไปยังตัวเมือง เอเดรียนก็ย้อนนึกถึงความทรงจำที่ไม่ค่อยดีระหว่างที่ยังอยู่ข้างในนั้น
ตลอดเวลาที่อยู่ในกระท่อมหลังเก่า หญิงชราต้อนรับทั้งสองคนอย่างดี เมื่อเอเดรียนบอกไปว่าพวกเขาเดินเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนในเมืองเป็นระยะทางไกล แล้วยังเดินลุยป่ามาจนถึงกระท่อมหลังนี้ตามลำพัง เจ้าของกระท่อมก็นำน้ำและของกินเล่นเท่าที่มีอยู่มาให้พวกเขา แต่ก่อนที่ของเหล่านั้นจะเข้าปากเอเดรียน ลูน่าก็หยิบแก้วน้ำและจานใส่ขนมขึ้นพิจารณาอย่างละเอียดราวกับตรวจหายาพิษ จนกระทั่งแน่ใจว่าไม่มีส่วนผสมที่อันตรายจึงวางลง รวมถึงสังเกตทุกการขยับตัวของหญิงชราอีกด้วย
เอเดรียนรู้สึกอึดอัดมากขึ้นทุกทีจึงขอตัวกลับก่อน ส่วนลูน่าก็เดินตามมาทีหลัง
คำพูดที่ว่า “เดี๋ยวก็จะมีเด็กรุ่นเดียวกับพวกเธอมาที่นี่ รอเจอกันก่อนไม่ดีกว่าเหรอ” ของหญิงชราถูกคำพูดไร้มารยาทของลูน่ากลบไปจนหมด ทั้งที่เธอเป็นถึงเด็กสาวที่เพิ่งเดินทางมาจากเมืองหลวงได้เพียงหนึ่งวัน และเอเดรียนก็สงสัยอยู่ว่าใครกันที่จะมายังกระท่อมที่ตั้งอยู่ห่างไกลตัวเมืองด้วยทั้งที
เมื่อทั้งคู่กลับไปถึงย่านชุมชน เอเดรียนก็บอกลาลูน่าที่ถือกระเป๋าใบใหญ่โดยไม่เคยบ่นว่าเหนื่อยสักครั้งทันที ด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับรำคาญ โชคดีที่ลูน่าไม่ต้องการรั้งตัวเขาเอาไว้นานกว่านี้ เขาจึงเดินทางกลับบ้านได้อย่างไร้กังวล ในขณะที่ตอนนั้นไม่มีแสงอาทิตย์เหลืออยู่อีกแล้ว จากที่เคยวางแผนว่าจะอาศัยช่วงเปิดภาคเรียนสัปดาห์แรกที่เลิกเรียนช่วงบ่ายเร็วเพื่อกลับไปนอนเล่นอยู่คนเดียวในบ้าน ตอนนี้เจ้าของบ้านน่าจะกลับมากันทั้งสองคนแล้ว แผนการที่วางเอาไว้จึงพังไม่เป็นท่า
“ถ้าเรากลับไปช้าขนาดนี้ คงระเบิดลงแน่ๆ” เอเดรียนบ่นกับตัวเอง ฝีเท้าของเขาเร็วขึ้นทีละนิด “ถ้าคุณเอลด้าอยู่ที่บ้านคนเดียวก็คงจะดี บอกไปว่าวันนี้เลิกเรียนช้าก็เลยกลับถึงบ้านช้า แต่ถ้าคุณเอลรี่อยู่ด้วยจะอ้างว่ายังไงดีล่ะเนี่ย เอาเป็นว่า…”
ความคิดหาข้อแก้ตัวขาดช่วงลง เพราะสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นระหว่างเส้นทาง
นอกจากเสียงฝีเท้าของเขาที่เร่งให้เร็วขึ้นกว่าปกติ ยังมีอีกเสียงหนึ่งที่ดังมาจากข้างหลัง ต่างจากเสียงฝีเท้าของผู้คนที่เดินผ่านไปแล้วค่อยๆ เบาลง เสียงที่ได้ยินกลับดังอยู่เท่าเดิม แล้วเสียงยังเบามากราวกับตั้งใจเดินเพื่อไม่ให้เกิดเสียงดังตั้งแต่แรก อย่างกับว่าเจ้าของเสียงนั้นกำลังเดินตามเขาอยู่
“คิดไปเองมั้ง” เอเดรียนพูดกับตัวเองด้วยเสียงที่มีเพียงเขาที่ได้ยิน แล้วบ่นไปตลอดทาง
จนอีกไม่กี่อึดใจก็จะถึงบ้านของเขา เอเดรียนก็เร่งฝีเท้าขึ้นทันที หวังจะสลัดสิ่งที่คาดว่ากำลังตามมาให้พ้น หรือยืนยันว่าเสียงนั้นเป็นเสียงเท้าของเขาเองที่สะท้อนกับต้นไม้ข้างทาง แต่เสียงฝีเท้ากลับไม่ได้ดังเป็นจังหวะเดียวกับเขา มีช่วงหนึ่งที่ช้าลง ก่อนจะเริ่มเร่งขึ้นตาม แต่ไม่ได้สัมพันธ์กับฝีเท้าของเขาเลย
ถ้าเป็นอย่างนั้นก็แน่ชัดแล้ว
“เอาไงเอากัน คิดจะตามกันไปถึงไหนกันแน่” เอเดรียนกัดฟันแน่น ลำตัวของเขาบิดกลับหลัง ก่อนจะเตะเท้าย้อนกลับไปข้างหลังทั้งที่ยังวิ่งด้วยความเร็วสูง จังหวะนั้นเอง ในหัวของเขาก็มีภาพหนึ่งแล่นเข้ามาตรงหน้า แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องเป็นภาพวาดของคนที่ถูกตรึงกับท่อนไม้แล้วจุดไฟเผาจากด้านล่างภายในโบสถ์แห่งนั้นด้วย ซ้ำตอนนี้ยังรู้สึกได้ถึงความร้อนเหมือนถูกไฟเผาราวกับเคยเกิดขึ้นจริงกับเขามาก่อน ทั้งที่นั่นก็เป็นแค่ภาพวาดเท่านั้น
มันคงเป็นลางสังหรณ์ก่อนเหตุร้ายอย่างหนึ่ง แต่มันก็คงเตือนเขาช้าเกินไป
จังหวะที่หันกลับไปข้างหลัง เอเดรียนเห็นเงาตะคุ่มที่คล้ายกับคนที่เตี้ยกว่ากำลังพุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วสูง แต่ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เงานั้นหยุดความเคลื่อนไหว มีมือข้างหนึ่งเอื้อมมาจับตัวของเขา ใช้มือข้างนั้นเปลี่ยนการเคลื่อนไหวของเขากะทันหันจนเสียหลัก ก่อนจะใช้บางอย่างฟาดเข้าที่ขาจนล้ม แล้วกดทับตัวเขาที่ล้มลงกับพื้นโดยไม่อาจลุกขึ้นได้
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น
“มันอันตรายนะ อยู่ดีๆ ก็ถอยกลับมาอย่างนี้ ถ้าเกิดชนฉันขึ้นมาจะว่ายังไงเล่า”
แล้วเสียงที่ได้ยินเป็นอันดับแรกก็คือ เสียงของผู้หญิงที่หยาบนิดๆ แต่ก็ค่อนข้างสุภาพในเวลาเดียวกัน เขานึกไม่ออกเลยว่าเป็นเสียงของใครกันแน่ แต่สิ่งที่ยืนยันตัวตนของผู้หญิงคนนั้นก็เลื่อนผ่านสายตาลงไปข้างล่าง มันเป็นเส้นเรียวเล็กที่น่าจะมองไม่เห็นเลยในเวลากลางคืนอย่างนี้ แต่มันสะท้อนแสงจันทร์เป็นสีขาวสว่าง แตกต่างจากเส้นผมสีขาวเพราะวัยชรา
“ลูน่าเหรอ ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่” เอเดรียนเอ่ยชื่อคนรู้จักเพียงคนเดียวที่มีลักษณะเด่นนั้นอยู่กับตัว แล้วก็ถูกตัวเสียด้วย
“ฉันเดินตามนายมาตั้งนานแล้วนะ แต่ดูเหมือนว่านายจะไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด ถ้าเกิดว่าคนที่ตามหลังนายอยู่ไม่ใช่ฉัน แต่ว่าเป็นพวกแม่มดหรือโจรลักพาตัว นายเสร็จพวกนั้นไปแล้วนะ” ลูน่าพูดเสร็จก็ปล่อยตัวเอเดรียน เขาลุกขึ้นปัดฝุ่นดินที่ติดอยู่ตามตัว โดยที่ทำสายตาไม่ไว้วางใจกับเธอไปด้วย
“ไม่มีโจรหรืออะไรพวกนั้นในเมืองนี้หรอก แล้วก็เลิกพูดถึงเรื่องแม่มดได้แล้ว” เอเดรียนพูดปัดรำคาญ ก่อนจะก้มลงมองกระเป๋าถือใบใหญ่ของลูน่าที่ “แล้วทำไมเธอถึงไม่กลับบ้านอีกล่ะ หรือว่าบ้านของเธอก็อยู่แถวนี้เหมือนกัน ให้ฉันเดินไปกับก่อนหรือเปล่า แต่ว่าฉันจะไปส่งจนถึงหน้าบ้านของฉันเท่านั้นนะ”
“ทำเป็นปากเก่ง ทั้งที่เมื่อก่อนเป็นเด็กขี้แยแท้ๆ แล้วเด็กผู้หญิงที่ปกป้องนายตอนนั้นยังสบายดีหรือเปล่า” ลูน่าพูดเชิงหยอก “ความจริงนายไม่ต้องเดินไปส่งฉันที่บ้านก็ได้ ฉันก็ไม่มีของอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่ว่าในฐานะเพื่อนเก่า ฉันมีเรื่องอยากจะขอร้องเธอหน่อยได้ไหมล่ะ” พูดจบแล้วเธอก็ส่งยิ้มกลับมาให้เขา
เอเดรียนจับสิ่งผิดปกติในคำพูดของลูน่าได้ เอเดรียนก้มลงพิจารณาทั้งตัวของลูน่าทันที ทั้งกระเป๋าใบใหญ่ที่เอามาจากโบสถ์ ทั้งกระเป๋าที่เธอถือไปโรงเรียนที่หายไปหลังจากที่กลับมาจากโบสถ์ ทั้งถือกระเป๋าใบใหญ่นั้นเดินตามและวิ่งตามเขามาจนถึงขนาดนี้ ถ้าแค่มีเรื่องจะคุยก็แค่เรียกซะตั้งแต่ช่วงแรกๆ หรือถ้าบ้านของลูน่าอยู่ทางเดียวกันก็แค่ขอโทษเขาแล้วเดินจากไปก็จบแล้ว แล้วก็ท่าทางของเธอที่ไม่ได้พูดถึงบ้านตลอดเวลาที่ออกจากโรงเรียน
“ลูน่า หรือว่าเรื่องที่เธอจะขอ ไม่สิ บ้านของเธอ…” เอเดรียนมีคำตอบหนึ่งขึ้นในใจ
มันเป็นคำตอบที่ไม่มีวันได้รับเลยในชีวิตจริงเช่นนี้ แล้วก็โชคร้ายมากที่มันเป็นจริง
“ขอฉันอาศัยอยู่บ้านของนายสักพัก อย่างน้อยก็จนกว่าฉันจะทำธุระที่นี่เสร็จเถอะนะ” ลูน่าตอบด้วยรอยยิ้มที่ปราศจากสิ่งใดเจือปน ราวกับมั่นใจในคำตอบที่จะได้รับอยู่แล้ว
“ไม่ล่ะ ขอปฏิเสธ” คำตอบของเอเดรียนถูกส่งกลับโดยไม่ต้องคิด
ความเงียบเข้าปกคลุมระหว่างเอเดรียนที่ยืนอยู่ไม่ไกล และลูน่าที่ขยับเข้าไปใกล้ทีละนิดพร้อมกับรอยยิ้มที่น่าพิสมัย เธอกำลังเอ่ยคำถามเดิมอีกครั้งโดยไม่ใช้คำพูด เส้นผมสีขาวเงินที่เอเดรียนเห็นมาตลอดช่วงบ่ายกำลังเรืองแสงอย่างน่าประหลาด ลูน่าหยิบกระเป๋าใบใหญ่ขึ้นมาอีกครั้ง ข้างในนั้นน่าจะเต็มไปด้วยของใช้เครื่องแต่งกาย มันไม่น่าจะหนักเกินกว่าสิบกิโลกรัม ถึงอย่างนั้นมันก็หนักเกินไปสำหรับเด็กผู้หญิงที่จะถือเดินไปมาเป็นเวลานานอยู่ดี ต่อให้เป็นเขาก็ไม่น่าจะทำแบบเดียวกันได้
ด้วยความแตกต่างของพละกำลัง เอเดรียนจึงเร่งการตัดสินใจให้เร็วขึ้นหนึ่งจังหวะ แล้วคำตอบใหม่ของเขาก็คือ
“ตรงนี้เป็นห้องว่าง ความจริงคุณเอลด้าจัดเอาไว้รับแขก แต่แขกคนนั้นก็ไม่เคยมาที่บ้านสักที เธอเข้าไปใช้ก่อนนะ”
“ขอบใจมากนะ เพื่อนเก่า” ลูน่าเดินเข้าไปในห้องที่กว้างขนาดสิบผืนเสื่อ แล้วลงมือจัดของด้วยสีหน้าอารมณ์ดี ในระหว่างนั้น ประตูห้องก็เลื่อนปิดลงช้าๆ “จริงด้วยสิ แล้วห้องอาบน้ำของบ้านหลังนี้อยู่ที่ไหนเหรอ ฉันคิดว่าอยากจะอาบน้ำอยู่พอดีเลย นายช่วยนำทางฉันไปให้หน่อยได้ไหม”
“ทางนี้ เดินตามมาได้เลย” เอเดรียนเปิดประตูห้องอีกครั้งจนเห็นใบหน้าที่มีรอยช้ำจางๆ ลูน่าเดินตามออกไปโดยที่กลั้นหัวเราะเอาไว้อยู่ มันเป็นรอยที่เธอเป็นคนชกใส่เขาเอง ทั้งที่เป็นคนจากเมืองหลวงที่ปกติจะวางตัวเป็นผู้ดีสำรวมกิริยาแท้ๆ
ลูน่าใช้เวลาอาบน้ำสั้นมาก เพียงไม่กี่นาทีก็กลับไปจัดห้องอยู่ในห้องของเธอแล้ว
หลังจากนั้นเอเดรียนได้ก็อาบน้ำ แต่เขาต้องระวังไม่ให้น้ำไหลผ่านรอยช้ำบนใบหน้าเด็ดขาด เป็นการอาบน้ำที่ทรมานใจที่สุดในชีวิต
“เจ็บชะมัด ดันชกเข้ามาซะได้ แถมหมัดยังหนักอย่างกับไม่ใช่ผู้หญิงด้วยนะ” เขารำพันกับตัวเองขณะที่หยิบขันตักน้ำราดไปทั้งตัวให้ความร้อนและเหงื่อที่สะสมมาตลอดวันละลายไปกับมัน แต่เมื่อเขากำลังจะล้างหน้า แผลที่ถูกชกก็สัมผัสกับน้ำ ราวกับมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านไปทั้งตัว เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดก็ดังไปทั่วบ้าน ก่อนจะเงียบหายไปในอีกหลายนาทีถัดมา
เอเดรียนที่อาบน้ำเสร็จไปเตรียมอาหารเย็นในครัวตามลำพัง
ในบ้านตอนนี้มีแค่เขา กับลูน่าที่น่าจะยังจัดห้องไม่เสร็จ เอลรี่กับเอลด้ายังไม่กลับมาเลย ทั้งที่เอลรี่น่าจะกลับมาถึงบ้านตั้งแต่หลังเลิกเรียนตามปกติแล้ว มีเพียงกระดาษโน้ตว่าพวกเธอจะกลับมาถึงบ้านช้าวางอยู่ที่โต๊ะอาหาร ขณะที่เจ้าตัวซึ่งเข้าร่วมพิธีปฐมนิเทศด้วยกันกับเขาไม่ได้บอกอะไรเลย ส่วนเอลด้าที่น่าจะนั่งรถม้าจากเมืองหลวงกลับมาถึงเมืองนี้ตั้งแต่ตอนเที่ยงก็ยังไม่กลับมาเลย อย่างกับเป็นหมากที่วางเอาไว้เพื่อให้ลูน่าย้ายเข้ามาอาศัยได้ทันที
ระหว่างที่กำลังคิดถึงเรื่องนั้น อาหารเย็นกก็ถูกเตรียมจนเสร็จ ลูน่าที่น่าจะยังจัดของจำนวนมากนั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะลงมือกินอาหารที่เขาเป็นคนเตรียมอย่างเอร็ดอร่อย
เมื่อได้เห็นสีหน้ามีความสุขของเธอ เอเดรียนก็นึกขึ้นได้อีกเรื่องหนึ่ง
…แม่มด ที่เธอพูดถึงคืออะไร เขายังไม่ได้ถามเลยด้วยซ้ำ
แต่ก่อนหน้านั้น เอเดรียนก็หวังว่าผู้ปกครองของเขาจะกลับมาถึงบ้าน แล้วไล่เด็กสาวคนนี้ออกไปโดยเร็ว
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ