บันทึกป่วน วิญญาณนิสัยแย่

8.0

เขียนโดย Broskev

วันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 10.31 น.

  20 ตอน
  0 วิจารณ์
  22.25K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2559 20.11 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

9) เรียกข้าว่า ท่านผู้เยียบย้ำซ้ำเติม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“หรือเจ้าคิดจะนั่งอยู่ตรงนี้ไปตลอด จะขึ้นหรือไม่ ถ้าไม่ ข้าก็ไป”

ว่าแล้วก็ลุกขึ้นจากไปทันที นางมองตามหลังข้ามาด้วยอาการตกตลึงในปราดแรก 

จากนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นร้อนรน

 

“ด เดี๋ยว ยะ อย่าทิ้งข้าไป” เสียงนางยังเบาไป ยังคงเดินหนีต่อไป ทำราวไม่ได้ยิน

 

อึก นางร้องไห้อีกแล้ว

“ได้โปรด ได้โปรดกลับมาเถอะ ข้าขอร้อง” 

ค่อยดังมากขึ้นมาหน่อย น่าจะดังมากเท่าที่นางพอจะกล้าเปล่งออกมาได้

ข้าหยุดแล้วหันกลับไปมองสภาพสาวน้อยที่นั่งกองกับพื้น มองมาที่ข้าน้ำตานองหน้า

 

เมื่อเห็นข้ายังนิ่ง นางจึงพยายามคลานมาข้างหน้าอีกนิด ดวงตาลูกปัดนั้นเต็มไปด้วยแววเว้าวอน

“ขึ้นมาดีๆได้แล้วสินะ” ข้าเดินไปหานาง

 

คราวนี้นางยอมขึ้นมาบนหลังข้าด้วยดี แม้จะเกร็งๆ แต่ก็ทำตัวว่านอนสอนง่ายขึ้นมาก

 

.............................

 

อึบๆ

เชื่อเถอะว่าตอนนี้ข้ากำลังหน้าเขียว

ต้องยอมรับว่าข้านั้นหาเรื่องใส่ตัวโดยแท้ นางตัวหนักมากจริงๆ ทำเอาคนแบกขาสั่นไปในทุกอย่างก้าวเหงื่อกาฬไหลอาบหน้า มือก็ชื้นจะทำคนหล่นไปหลายเที่ยว

 

 ไม่ต้องคิดไปถึงภายในเสื้อผ้าตัวข้าตอนนี้เปียกเหงื่อไปหมด

ก่อนจะเริ่มเรียนกับอาจารย์เช้านี้ คงต้องอาบน้ำอีกรอบ

ได้แต่ถอนหายใจกับตัวเอง ลืมนึกไปได้อย่างไรนะว่าตอนนี้ตัวเองนั้นแปดขวบเท่านั้นทั้งตัวเล็กบอบบางจนดูเหมือนผู้หญิงมากกว่าผู้หญิงที่ข้าแบกอยู่เสียอีกขาของข้าน่ะเรียวเล็กพอๆกับแขนนางได้เลย

 

เป็นข้าไม่ประมาณตนแบกเด็กผู้หญิงอายุ11-12 ที่ใส่เสื้อผ้าหนาหนักไปรักษา

นึกเสียใจทีหลังก็สายเกิน

แต่ในเมื่อแบกมาแล้วก็แบกต่อไปเถอะ ถึงจะเดินไปเซไป 

แม้แต่กระสอบข้าวสารที่สาหัสกว่านี้ข้าก็แบกมาแล้ว ข้าเองก็เคยเกิดเป็นกุลีในหลายชาติเหมือนกัน

 

 

ข้าที่พยายามตั้งสมาธิกับการแบกก็แบกไปเงียบๆ ไปตามทางเด็กสาวเองก็เกาะข้าอย่างดี ไม่ขยับมากเรื่อง ไม่คุยมากความ ไปเงียบๆอย่างรู้งานเช่นกัน

ขอบคุณเทพทุกองค์ที่ไม่ได้บันดาลให้นางเป็นคนพูดมากไม่งั้นข้าคงเลือกที่จะกองนางไว้ใต้ต้นเมเบิ่ลสักต้น และภาวนาให้มีกิ่งใดสักกิ่งที่ใหญ่พอหล่นลงมาใส่ศีรษะนางเสีย

ศาลานกยูงเป็นศาลาเล็กๆทำจากไม้ขัดมันที่ข้าออกแบบเอง ยกพื้นสูง มีสี่เสา หลังคาสูงโปร่ง ลมเข้าเย็นสบายแม้ในหน้าร้อน ทุกด้านมีม่านไม้ไผ่หลายชั้นที่สามารถดึงลงมาปิดเพื่อบังแดด และสายฝนได้ตรงกลางเป็นที่โล่งจัดวางโต๊ะ เก้าอี้สำหรับนั่งพื้นและช่องลับเก็บของเล็กๆน้อยๆที่ถ้าไม่สังเกตก็จะกลืนกับพื้นอย่างแนบเนียน

 

เสียนจื่อมารอข้าอยู่ก่อน ทันทีที่เห็น แม้จะฉายความประหลาดใจในความใจดีของข้า

 หากก็รีบเข้ามารับมอบภาระบนหลังข้าไป ให้ข้าได้นั่งหอบหายใจ

ถึงแม้จะเหนื่อยอย่างสาหัส ข้าก็นั่งหอบมาดคุณชายหละอุปกรณ์ทำแผลได้ถูกเตรียมพร้อมไว้แล้ว เสียนจื่อมองข้าเป็นเชิงถามว่าจะให้ทำอย่างไรต่อไป

ตอนแรกข้าก็อยากทำแผลให้นางเองหรอกนะ นานๆจะมีเหยื่อมาให้ทั้งทีแต่ตอนนี้ข้าเหนื่อยมากจริงๆ

ถือว่าเป็นโชคของนาง

ข้าพยักหน้าให้เสียนจื่อเป็นคนลงมือ

“ถอดสิ” ข้ามองนางที่กอดตัวเองกลมที่ฝั่งตรงข้าม

“อ อะไรนะ” เด็กหญิงหน้าแดงก่ำ

ถอดงั้นหรือ ถอดอะไรล่ะ คงไม่ใช่เสื้อหรอกนะ

 เด็กหญิงมองเด็กชายตรงหน้าที่มองกลับมายังนางด้วยใบหน้าเรียบเฉยตั้งแต่แรกเจอ

 น้ำเสียงไม่มีสูง ไม่มีต่ำ ไม่มีความรู้สึกใดเจอปนทำให้นางไม่ทราบว่าคนตรงหน้านี้คิดอะไรอยู่กันแน่

 

ตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยเห็นเด็กผู้ชายที่งดงามขนาดนี้มาก่อนไม่สิ นางไม่เคยเห็น "คน" ที่งดงามเท่านี้มาก่อนต่างหากแม้บรรยากาศรอบตัวของเด็กผู้นี้จะเต็มไปด้วยการคุกคาม ผลักไส หากก็มีแรงดึงดูดอย่างร้ายกาจในเวลาเดียวกัน

 ทำให้เธอตื่นเต้น ลนลานอย่างผิดประหลาด ไม่กล้าสู้สบประสานสายตาด้วยขณะเดียวกันก็ไม่อาจไม่อยากเข้าใกล้คนๆนี้ให้มากขึ้นอีกหน่อยเมื่อครู่ที่นางขี่หลังเด็กคนนี้มา ตัวเค้าเล็กมาจริงๆเล็กและดูเปราะบางมากกว่านางเสียอีก ทั้งที่แบกนางที่หนักกว่าตัวเองกว่าครึ่งกลับยังคงมุ่งมั่น แน่วแน่ สายตามองไปข้างหน้า ไม่บ่นว่าออกมาแม้ครึ่งคำมีเพียงหยาดเหงื่อเต็มหน้า และลมหายใจที่กระชั้นขึ้นเรื่อยๆ

ที่บ่งบอกออกมาว่าเจ้าตัวกำลังอดทนมากเพียงไรในเด็กชายที่เธอเคยเจอไม่เคยเห็นสายตาที่ดูดีขนาดนี้มาก่อนสีหน้าด้านข้างที่เป็นประกายด้วยหยาดเหงื่อนั้น ทำให้เธอเข้าใจถึงคำว่า  "เท่มาก" ที่เหล่าพี่สาวมักจะใช้บอกลักษณะของแม่ทัพหนุ่มๆที่ไปพบเจอมาแล้วเอามาเล่าให้เธอฟังด้วยใบหน้าเคลิ้มฝันคำว่าเท่นี่หน้าตาอย่างเค้าคนนี้สินะณ ช่วงเวลานั้นแม้จะเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง แต่นางก็รู้สึกดีมากจริงๆที่ได้อยู่ในสภาพนั้นบนหลังที่กำลังสั่นหน่อยๆนั้น ได้ซุกหน้าเข้าไปตรงผมหอมๆนั้นทั้งที่ไม่มั่นคงเลยแท้ๆ แต่กลับให้ความรู้สึกที่ปลอดภัย และอุ่นใจอย่างประหลาดราวกับถูกห่อหุ้มด้วยปราการเหล็กที่แข็งแรงที่สุดในหล้า

นางเองก็ไม่กล้าส่งเสียงหรือขยับตัว กลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายเสียสมาธิ ล้มไปด้วยกันทั้งคู่ 

เหลียวมองคนรับใช้ชายอีกคนข้างกายที่กำลังตั้งท่าจะทำแผลให้กับเธอ คนผู้นี้ไม่ต่างจากเจ้านายของตัวเองสักนิด ลอกสีหน้าเรียบเฉยนั้นมาแทบทั้งหมดถ้าหน้าตาคล้ายกันกว่านี้ คงทำให้คิดไปได้ว่าเป็นพี่น้องที่คลานตามกันมา

แม้บรรยากาศของคนรับใช้นี้จะเป็นมิตรกว่ามากก็ตามแต่ยังไม่สามารถดึงดูดใจได้เท่า...

“ถ้าเจ้ายังไม่ถอดเสื้อ เสียนจื่อจะทำแผลให้ได้อย่างไร”

จบคำนางก็หน้าแดงอีก ข้านึกสงสัยว่านางมีปุ่มเปลี่ยนสีตรงไหนสักแห่งในตัวหรือเปล่าสักพักหลังจากสีหน้าท่าทางใคร่ครวญอย่างเคร่งเครียดนางก็ค่อยๆขยับตัวยอมให้เสียนจื่อปลดชุดตัวนอกออกให้

ยิ่งมองๆ นางก็ยิ่งหน้าแดงและก้มหน้าต่ำ

อืม การมองนางก็เป็นการรังแกได้เหมือนกัน ข้าเลยจงใจจ้องมองต่อไป

หยุดที่การถอดเสื้อนอก ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะสมครานี้เสียนจื่อถอดรองเท้าให้นางเป็นรายการต่อไป

เท้าของผู้หญิงไม่ใช่สิ่งที่จะยอมให้ผู้ชายคนไหนเห็นได้ง่ายๆแม้แต่เด็กเล็กๆก็ได้รับการสั่งสอนมาเช่นนี้ครานี้นอกจากหน้าแดงๆของเด็กหญิงนี้แล้ว หน้าของเสียนจื่อเองก็แดงขึ้นมาเช่นกัน

 

นี่คงเป็นครั้งแรกที่เสียนจื่อเห็นเท้าของผู้หญิงสินะ ถึงจะยังไม่นับว่าสามารถเรียกเด็กมอมแมมคนนี้ว่า ผู้หญิง ได้ก็เถอะ 

 

แม้แต่มือก็ยังสั่นด้วยความประหม่า ตลอดการทำความสะอาดทั้งคู่ไม่เงยหน้าขึ้นมามองกันเลย

มีเพียงเสียงน้ำของธารน้ำในสวน และน้ำจากอ่างล้างทำความสะอาดที่ชุบน้ำ เช็ด และล้าง เท่านั้นที่ทำลายความเงียบ

 

บรรยากาศนี้ดีจริง ข้าจะสามารถส่งเสริมความรักแต่วัยเยาว์ให้คู่นี้ได้หรือไม่นะ

บ้านใกล้เรือนเคียง อายุไล่เลี่ย หน้าตาก็ดีทั้งคู่

คนหนึ่งอ่อนหวาน บอบบาง คนหนึ่งสุขุม เป็นผู้ใหญ่

หญิงสาวในบ้านเศรษฐีที่ร่ำรวย กับข้ารับใช้ต่ำศักดิ์

 

น่าสนุกจริงๆ ถ้าอยากจะข่มเหงละก็ก็ต้องให้ลองลิ้มความหอมหวานของความรักเสียก่อน จากนั้น...

ช่วยไม่ได้ อีกอย่างข้าก็หายเหนื่อยแล้ว นึกไปแล้วก็คงต้องออกกำลังกายอย่างจริงๆจังๆสักที

มองฟ้าที่แสงแดดแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ข้ายังต้องกลับไปอาบน้ำก่อนเจออาจารย์เช้านี้

 

“สายมากแล้ว คุณหนู ต้องข้าขอตัว เสียนจื่อ  ฝากเจ้าส่งนางกลับด้วย” 

 

กล่าวจบ พึ่งได้ลุกขึ้นก็มีเสียงเล็กร้องรั้ง

“ช้าก่อนเจ้าค่ะท่านผู้มีพระคุณ” เด็กสาวร้องเรียกเสียงใส ดังกลัวว่าอยู่ๆข้าจะหายตัวไปเสียอย่างนั้น

 

หืมมมม ท่านผู้มีพระคุณ งั้นหรือ

แม้ข้าจะไม่ได้แสดงอาการอะไรออกไป แต่เห็นได้ชัดเลยว่าเสียนจื่อกำลังพยายามกลั้นหัวเราะจนหน้ากลายเป็นสีม่วง

กล่าวอย่างไม่ถ่อมตัว ถ้าข้าไม่ปล่อยนางล้มลุกคลุกคลานอยู่เป็นนานก่อนหน้านี้ล่ะก็สภาพของนางก็คงดีกว่านี้ และมีแผลน้อยกว่านี้ มากเลยเชียวหละ

ถ้าเรียกข้าว่า ท่านผู้เยียบย้ำซ้ำเติม ล่ะก็ 

 

ข้าคงปลื่มใจกว่ามาก

 

แต่ข้าไม่คิดแก้ไขความเข้าใจผิดนั้นหรอก

“ข้าแซ่ เหมย มีนามว่า หลินฟาง ท่านมีนามอะไร”

“ข้า ฉี ฮัวเหลียน”

“หลินฟาง ขอบพระคุณคุณชายฉี” ว่าแล้วนางก็คำนับขอบคุณเต็มพิธีการเท่าที่สภาพของนางจะทำได้

เป็นเด็กดีมีมารยาทจริงๆ

“คุณหนูเหมย รักษาตัว”

 

 

วันนี้อาเย่เริ่มเรียนกับข้าเป็นวันแรก เด็กคนนี้ยังไม่กล้าแสดงออกอะไรแต่จากที่อาจารย์ทดสอบพื้นฐานความรู้ก็จัดว่าไม่เลวเพียงบทเรียนของข้าล้ำหน้าไปมาก อาจารย์จึงต้องทำงานหนักเป็นสองเท่าข้าเลยสัญญากับอาจารย์จะถามแม่ใหญ่ให้ว่าจะเพิ่มค่าจ้างให้กับความเหน็ดเหนื่อยนี้ได้บ้างหรือไม่

คำพูดนี้ของข้าทำให้เหล่าอาจารย์ดูจะรักข้ามากขึ้นเป็นกองเลยทีเดียว

 

มีเพียงอาเย่ที่ดูจะน้อยอกน้อยใจมากยิ่งขึ้น ทั้งยังกดดันมากขึ้นไปอีก

 เพราะนอกจากจะคิดถึงบ้าน โดนข้ารังแก ยังเรียนไม่ทันอีกด้วย 

 

เด็กนี้เริ่มเครียดจนนั่งถอนผมตัวเองออกมาเต็มไปหมด

 ข้าเพียงบอกสาวใช้ให้ทำความสะอาดห้องเรียนหนังสือให้ดี ข้าไม่อยากเป็นโรคภูมิแพ้แต่เด็ก

แม้ว่าพวกสาวใช้จะไม่เข้าใจว่าอะไรคือโรคภูมิแพ้ แต่ก็รับคำอย่างดีโดยพร้อมเพรียง

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา