บันทึกป่วน วิญญาณนิสัยแย่
เขียนโดย Broskev
วันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 10.31 น.
แก้ไขเมื่อ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2559 20.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
8) ว่าวน้อยในสวนสวย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเพราะเมื่อคืนนอนดึกไปหน่อย เช้าวันนี้ข้าเลยนั่งทานข้าวด้วยความงัวเงีย เลื่อนลอย
แม้ว่าคนรับใช้จะพยายามช่วยจัดเสื้อผ้าที่หล่นมาที่ไหลให้เป็นระยะข้าก็ไม่สนใจ
วันนี้เพื่อนร่วมโต๊ะของข้า คือ เพื่อนใหม่ จูเจียงเย่คนนั้น
หมอนี้ยังคงหน้าตาแดงก่ำจากการร้องไห้เมื่อคืนและดูไม่ค่อยอยากอาหารนัก
ตลอดการรับประทานก็คีบกับข้าวอย่างเกร็งๆและหลบสายตาข้าตลอดเวลา
พึ่งตระหนักอย่างจริงจังก็ตอนนี้เองว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไป
หมอนี้คือคนที่ถูกกำหนดจากทางบ้านให้มาเป็นเพื่อนเรียนและเล่นของข้า
เรียนนั้นไม่รู้ แต่เล่นนี่ ได้ลองแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย ยาก็ทำเสร็จแล้ว ขาดก็แต่หนูทดลองยา
ท่านพ่ออายุก็มาก ทดลองกับคนสอง สาม คนก่อนหน้าจะดีกว่า
คนรับใช้รอบกายข้าก็มีแต่พวกที่อายุยังน้อยเกินกว่าจะเรียกว่าผู้ชายได้ด้วยซ้ำ
หลุบตามองตะเกียบไม้ไผ่ในมือ
หัวหน้าคนสวนของข้าจะทำแปลงผักตามที่สั่งเมื่อวานไปถึงไหนแล้วนะ
ยังไงไปเยี่ยมชมหน่อยก็ไม่เสียหาย
ข้าลุกจากโต๊ะอาหารออกมาโดยกะทันหันทำให้เย่เย่สะดุ้งเล็กน้อย
ข้า เหลือบตามองอาการขวัญหนีนั้น
การลุกจากโต๊ะอาหารมาโดยไม่พูดอะไรเลยก็ออกจะไร้มารยาทสินะ
“คำพูดที่ข้าให้ไว้เมื่อคืน ข้ากำลังรอคำตอบจากเจ้านะ เย่เย่”
เคร้งงงง
ตะเกียบในมือร่วงไปสองทาง เด็กนั่นตัวแข็งทื่อ หน้าซีดไป
ยกยิ้มชั่วร้าย ก้าวออกจากห้อง
..................................
หลายปีที่ผ่านมาสวนตะวันตกจากที่เคยประดับตกแต่งเหมือนพื้นที่ที่รวมเอาไว้ด้วยต้นไม้และดอกไม้หายากราคาแพงอย่างที่เศรษฐีรวยๆรสนิยมแย่ๆที่เพียงยัดๆของให้รู้ว่าข้านั้นรวยก็ค่อยๆถูกข้าตัด แต่ง เปลี่ยนแปลง รื้อถอน ให้ออกมาเรียบรื่นสบายตา
เป็นพุ่ม เป็นกิ่งเป็นช่อ ทั้งยังสร้างรังนก รังกระรอก ธารน้ำตก สะพานข้ามไม้ที่จงใจออกแบบอย่างมีรสนิยม
และรวมถึงทางเดินหินแบบต่างๆ
ข้ายังจงใจจัดตำแหน่งต้นไม้ในแต่ฤดูกาลอย่างเหมาะเจาะที่จะทำให้ในหนึ่งปี
สวนนี้จะงดงามแปลกตาได้ถึงหกแบบ อีกด้วย
ความสามารถเหล่านี้เกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ชีวิตอันน่าเวทนาของข้าเป็นเวลานานทุกผู้คนที่เห็นสวนนี้ก็คงคิดว่ามันงดงามและวิเศษมาก สินะแต่สำหรับข้าทุกสิ่งของต้นไม้ พันธ์ไม้ ดอกไม้ หินและน้ำ ล้วนเต็มไปด้วยความทรงจำของข้าที่เกี่ยวกับมันในหลายชาติ
อย่างต้นเมเบิลนั้น
ข้าเคยตายใต้ไม้พันธ์นี้มาแล้วไม่ต่ำกว่าสามรอบ จำไม่ได้แล้วว่าเกิดเป็นสัตว์พันธ์อะไรในตอนนั้นเพียงจำได้แม่นว่า ครั้งหนึ่งในนั้นตายเพราะกิ่งไอ้ต้นนี้นี่แหละตกใส่หัวข้าไม่แน่ว่า ข้าอาจจะเคยเชิดเงินเทพแห่งต้นไม้พันธ์นี้ก็เป็นได้ แต่ตอนนี้ ข้าจำเรื่องนั้นไม่ได้ และข้าก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า
ท่านเทพเจ้าจะเห็นแก่ความจำอันเสื่อมถอยของข้าแล้วยกหนี้ให้อย่างที่เทพเจ้าที่ดีและมีเมตตาควรจะเป็น
ข้ารู้ ว่าไม่ใช่เพราะการเป็นเทพจะหมายความว่าจะยอมให้ใครเชิดเงินได้
แต่ว่านะ
ข้าไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย ทั้งจำก็ไม่ได้เสียอย่าง
อย่างไรการเป็นเทพหลายร้อยหลายพันปีก็น่าจะสอนให้ฉลาดรู้จักปล่อยวางบ้าง ใช่หรือไม่
ไม่ใช่สักแต่จะเอาไม้ฟาดหวดผู้อื่นโดยไม่บอกกล่าว อย่างไรสู้ออกมาตบตีกันซึ่งๆหน้า จึงยังชอบด้วยเหตุผล
การคงอยู่ของมันในสวนนี้จึงเพื่อเตือนข้าว่าถ้าไม่อยากตาย ก็อย่ามาที่ใต้ต้นไม้นี้อะ จริงสิ การที่ข้าเอาต้นนี่มาปลูกนั้น
ใช่ถูกต้องหรือไม่.. คงไม่ใช่ว่าชาตินี่เทพขี้ตืดองค์นั้นก็ยังคงไม่ละเว้นข้าหรอกนะ...เหลือบมองต้นไม้สูงฟิ้ววว ชั่งเถอะ
ยังมีก่อไผ่เขียว ที่ทำให้นึกถึง ณ ท่ามกลางป่าไผ่เขียวแห่งหนึ่งเมื่อแสนนานมาแล้วข้าเคยเกิดเป็นหญิงสาวที่พบกับความรักลึกล้ำกับชายผู้หนึ่ง
ที่หน้าตาธรรมดาๆ และไม่มีอะไรโดดเด่น
ข้ายังจำได้ถึงแววตาสุดท้ายของคนผู้นั้น ถ่อยคำที่สาบานรักว่าจะตามข้าไปทุกภพทุกชาติ
แต่เมื่อข้าตามไปดูวิญญาณของคนผู้นั้นตัวบัดซบนั่นก็ลืมข้าไปทันทีหลังจากดื่มน้ำแกงยายเมิ่งหนังเหี่ยวนั้น และกลับเกิดเป็นเกย์ในชาติต่อมา
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหลังจากมีความรักที่สวยงาม ลึกซึ้งตรึงใจ กับสาวงามอย่างข้าในชาติหนึ่งแล้วมันจะกลับใจไปได้ขนาดนี้
คิดแล้วก็ให้หงุดหงิดนัก
อย่างน้อยทำไมไม่ได้กับผู้หญิงสวยๆสักคนเพื่อปลอบประโลมใจข้าก็ยังดีนี่ทำให้ข้าเสียความมั่นใจในตัวเองไปหลายชาติเลยเชียวทั้งไม่นับเสียงหัวเราะกวนประสาทอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นจากปากเหี่ยวๆของยายเมิ่ง
คอยเหยียบย่ำซ้ำเติมข้าอีกคน
ข้าอยากจับยายแก่นั้นกรอกน้ำแกงชวนอ้วกนั้นกับมือสักหลายไหจริงๆหรือถ้าทำไม่ได้ ขอแทงสักมีดสองมีดก็ยังนับว่าประเสริฐ
นี่เป็นความปรารถนาอันลึกล้ำที่สุดในทุกชาติภพของข้า
เสียดายที่สุดท้ายก็ถูกนางเล่นทีเผลอเตะลงหลุมมาเกิดใหม่ซะก่อนทุกที
ชิ
แก่แล้วยังคึกกระโดดถีบคนได้ ไม่สิ วิญญาณได้ ยายนั้นรับประทานม้าเป็นอาหารหรือไง
ส่วนชายคนรักอันประเสริฐของข้าน่ะหรือ
เฮ้อออ
แต่อดีตมาคำว่า 'ความรัก' ก็ทำให้คนเราสามารถอภัยให้ได้ทุกอย่าง
ข้าเองก็ได้แต่ มองส่งนกยวนยางคู่นั้นครองรักกันตราบจนชั่วชีวิตอย่างมีความสุขด้วยจิตที่บังคับให้ผ่องใสและอวยพร
อืมมมมซาบซึ้งกับความรักอันยิ่งใหญ่ของตัวเอง จนอดต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าซับที่หางตาไม่ได้เจ้าเองก็คิดอย่างนั้นสินะ
ข้านี่มันเป็นคนดีจริงๆ
กระซิกๆ
=_=
ที่ไหนกันล่ะ!!!
แทบจะในทันที ข้าก็ประคองส่งชายเถื่อนกลุ่มใหญ่ไปรุมอัดถั่วดำมันทั้งคู่ผัวตัวเมีย
ดับอนาถไปอย่างเลอะเลือนงมงายเป็นผีเฝ้าป่าไป
เฮอะ อย่าให้ข้าเจอมันอีกแล้วกัน มองกอไผ่เขียวอย่างหมายมาด
ลมไร้ที่มาพัดพายอดไม้ไหวเอนราวคนสั่นกลัว
ข้าชื่นชมผลงานของตัวเองไปตลอดทาง ไม่สิ ระลึกความหลังเสียมากกว่า
ความหลังเฮง ซวย คิดแล้วให้ปวดตับ
“ช่วงนี้ท่านพ่อเป็นอย่างไรบ้าง”
คนรับใช้ชายที่ตามมาด้วยเหลือบมองข้าเล็กน้อยก่อนก้มหน้าตอบคำเสียงราบเรียบ สงบนิ่งผิดกับวัย
“นายท่านทำงานหนักทุกคืนจนดึกดื่น และนอนหลับในห้องหนังสือขอรับ”
คนรับใช้คนนี้เป็นคนที่อยู่กับข้ามาตั้งแต่เด็ก เหลือบมองหน้านึ่งๆ
ราวกับถอดสีหน้าของข้าไปของมันอย่างตะขิดตะขวงใจคนรับใช้ประจำตัวของข้าผู้นี้อายุมากกว่าข้าห้าปี เรียกว่า เสียนจื่อ
นับเป็นเด็กฉลาดคนหนึ่ง ผมดำตาดำ หน้าตาน่ารัก ผ่องใส
โครงหน้าชัดเจน รูปร่างท่าทางก็ออกค่อนไปทางดีมาก ทั้งดูสะอาดตา
ที่สำคัญรู้จักวิธีรับมือกับข้าจนน่าโมโห
คนๆนี้รู้ว่าข้าชอบรังแกคนมาตั้งแต่เกิด และรื่นรมย์กับสีหน้าคนที่ถูกรังแก หรือปฏิกิริยาตอบสนองมากที่สุด
เด็กนี่จึงเรียนรู้ อดทนที่จะไม่แสดงอาการอะไรที่จะทำให้ข้าพอใจซึ่งทำให้ข้าเบื่อและหันไปหาคนอื่นที่ดีกว่า
นอกจากนี้เสียนจื่อยังฉลาดมากพอที่จะไม่บอกเคล็ดลับนี้กับใครอีกด้วย
ข้าเคยได้ยินเหล่าบ่าวรับใช้พูดคุยกันว่า
ในบรรดาบ่าวทั้งหมดที่โตมากับข้า นับเสียนจื่อคนนี้เหมือนข้ามากที่สุด
ข้าไม่แน่ใจเรื่องนั้นเท่าไหร่ แต่ยอมรับว่าคนๆนี้เป็นคนที่รู้ใจข้ามากคนหนึ่ง
ทั้งยังทำหน้าที่ของตัวได้ดียิ่ง เรื่องที่ควรรู้คนๆนี้ก็มักจะรู้ เรื่องที่ไม่ควรรู้ คนๆนี้ก็จะทำไม่รู้ไม่เห็น
ข้าชอบมันนะ ถึงจะไม่มีประโยชน์ด้านให้ความสำราญก็เถอะ
ทันใดนั้น เงาของบางสิ่งบางอย่างก็ลอยเลื่อนผ่านศีรษะข้าไปติดกับพุ่มไม้เตี้ยๆไม่ไกลนัก
เป็นว่าวสีชมพูสวยตัวหนึ่ง ดูก็รู้ว่าต้องเป็นของเล่นของเด็กผู้หญิงอย่างแน่นอน
เด็กผู้หญิงที่ไหนมาเล่นว่าวแต่เช้ากัน
ทั้งนายบ่าวมองว่าวสีหวานแล้วเหลียวมองกำแพงรั้วที่กำลังมีมือเล็กมือหนึ่งโผล่พ้นออกมาท่าทางกำลังพยายามปีนกำแพงอย่างสุดความสามารถ
เสียนจื่อเดินไปเก็บว่าวนั้นประคองส่งให้ข้า อย่างรู้งาน
“แต่งตัวให้ข้าหน่อย เป็นเด็กผู้ชาย”
“อูยยย ทำไมกำแพงบ้านนี้ถึงได้สูงอย่างนี้นะ” เสียงเล็กๆบ่นพึมพำออกมาเป็นระยะ
ในที่สุดภาพเด็กหญิงตัวน้อยหน้าตาน่ารักสดใส ปากนิด จมูกหน่อยอายุประมาณ 11-12ปี
ก็ตะกายขึ้นมาบนกำแพง ยังไม่ทันที่นางจะถอนใจโล่งอก
ก็สะดุดกระเบื้องลื่นตกลงมาในพุ่มไม้ริมรั้วดัง
พลัก!!
แซกๆ
กิ่งไม้เสียดสี ขยับไหว ปนกับเสียงโอดครวญด้วยความเจ็บปวด
ไม่นานร่างเล็กก็คลานออกมาด้วยผมเผ้ายุ่งเหยิง แขนขาทั้งสี่โดนกิ่งไม้เกี่ยวและถลอกบางจุดมีบ้างที่เลือดซึมออกมา
เด็กสาวคลานออกมาได้ไม่นานก็เจ็บแปล๊บที่ข้อเท้า
สุดท้ายก็ได้แต่เอามือกุมไว้ นั่งน้ำตาคลอกับพื้น ไปพักใหญ่
ทุกสิ่งอย่างล้วนอยู่ในสายตาของสองนายบ่าวหลังจากทำใจกลั้นความเจ็บปวด ตากลมเป็นประกายก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอีกครั้งตะเกียดตะกายลุกขึ้น อึบๆ กระดึบๆทั้งคู่ยื่นนิ่งปล่อยให้เด็กสาวกระเสือกกระสนด้วยตัวเองอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานานโดยไม่พูดหรือทำอะไร
แดดเช้าค่อยๆแรงขึ้นดวงหน้าเล็กผุดเหงื่อซึม จากตาแน่วแน่ กลายเป็นอ่อนล้า กลายเป็นสิ้นแรง และหมดหวัง
ปล่อยให้นางพยายามลุก แล้วก็ล้ม แล้วก็ลุกใหม่อีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง
เสื้อผ้าเปื้อนดิน หน้าน้อยเปื้อนฝุ่น ใบไม้ทั้งเขียว แห้ง ติดเต็มศีรษะ
รอจนกระทั้งสาวน้อยทนไม่ไหวน้ำตาไหลรินออกมาเป็นสาย สะอึกสะอื่น ตัวสั่นราวลูกนกแรกเกิด
“ไปเอายารักษาบาดแผล เจอกันที่ศาลานกยูง” เสียนจื่อคำนับจากไปอย่างเงียบเชียบ
ข้าเดินเข้าไปยื่นว่าวสีชมพูน่ารักนั้นให้กับสาวน้อย
“ของเจ้าสินะ”
เด็กหญิงเงยหน้าน้อยๆขึ้นมองข้าด้วยความตกใจ จากนั้นเปลี่ยนเป็นหน้าแดง รับว่าวในมือข้าไป
เสียงขอบคุณของนางเบาราวกับจะพูดให้ตัวเองฟังเท่านั้น
ข้าเอียงคอมองข้อเท้าของนาง
“เจ้าบาดเจ็บหรอ เดินไหวหรือไม่”
นางมองหน้าข้านิ่งอย่างเหม่อลอย พอได้สติก็ส่ายหน้า จากนั้นก็ก้มหน้าไป คราวนี้กลับพยักหน้า
เด็กน้อยก็ยังคงเป็นเด็กน้อยอยู่วันยังค่ำ
ท่าทางจะเป็นเด็กแก่นแก้วที่ไม่คุ้นชินกับเด็กผู้ชาย
ออ ข้าเองก็หวังอย่างยิ่งว่าตัวเองจะเหมือนผู้ชายเหมือนกัน
เสื้อผ้ายาวหลายชั้นของนางทำจากผ้าไหมเนื้อดี แม้อุ่น
แต่ก็น่าจะหนักมาก เป็นคุณหนูจากบ้านไหนกันนะ
เอาเถอะ ข้าไม่มีมโนธรรมมากพอจะละเว้นเด็กสาวไร้เดียงสาคนหนึ่งหรอก แต่คิดอีกที
อืมมม
“มาสิ ข้าจะแบกเจ้าเอง” ข้าหันหลังให้กับเด็กหญิง อยู่ในท่าพร้อมแบกของหนัก
เงียบไปพัก
“ตะ แต่ว่า”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ