บันทึกป่วน วิญญาณนิสัยแย่
8.0
เขียนโดย Broskev
วันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 10.31 น.
20 ตอน
0 วิจารณ์
21.82K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2559 20.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
11) ตัวเราสองยังเล็กนัก ที่นั่งภายในรถจึงกว้างขวางเกิน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหลายสัปดาห์ผ่านไปไวราวจักรพัด
เช้ามืด สายลมดี ผู้คนคึกคัก ข้ามองจำนวนผู้คนอารักขาข้าไปเรียนด้วยอย่างหนักใจ
นี่ข้าเพียงไปเรียนเช้าไป เที่ยงกลับเท่านั้นเอง ทั้งพ่อบ้าน ทั้งแม่ใหญ่ทำอย่างกับข้าจะเดินทางไกลไป 3วัน 7 วัน
กุมขมับ
คร้านจะโต้เถียง
ตอนนี้ข้ายังเด็ก ขี่ม้าไปเองไม่ได้ไม่ใช่ไม่ได้สิ
เรียกว่าถ้าขี่เป็นตอนนี้ทั้งบ้านคงมองเป็นตัวประหลาดและที่สำคัญข้าก็ไม่ได้กระตือรือร้นต้องการอวดเก่งจึงตัวตัวเรียบร้อยนั่งรถม้าที่จัดให้ออกจากบ้านพร้อมกับเย่เย่
ล่ำลาท่านแม่ใหญ่ และ ท่านแม่ ที่มองเส้นผมของข้าด้วยความสนใจ
ด้วยความที่สีผมของข้าเป็นสีสว่างเกินไป โดดเด่นเกินไป เมื่อรวมกับหน้าตาที่งดงามนี้ข้าจึงขอแม่ใหญ่ย้อมผมเป็นสีดำที่คนทั่วไปมี จะได้กลืนไปกับผู้คนได้มากขึ้นหน่อย
แม้ท่านจะไม่ค่อยชอบความคิดของข้านัก นางก็อนุญาตเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้
อย่างที่ท่านเห็นข้าให้เกียรตินางเสมอ แบบที่นางต้องการนั้นแหละ
กลับมาเรื่องย้อมผม ในทุกสังคมที่ผ่านมา ผู้ที่โดดเด่นเป็นพิเศษไม่ว่าด้านใด
จะเหมือนแม่เหล็กดูดปัญหายุ่งยากเข้าตัว
ป้องกันไว้ก่อนย่อมสบายใจกว่า
แม้พวกท่านแม่จะทราบเรื่องย้อมผมของข้าแล้ว แต่พวกนางก็ยังประหลาดใจและสนใจเป็นพิเศษอยู่ดี
ยาย้อมผมที่ข้าปรุงเองนั้นคุณภาพดีกว่าที่ใครในที่นี้จะเคยพบเห็น
เดาว่ากลับบ้านมา คงมีรายการสั่งทำล๊อตใหญ่จากพวกท่านแน่
ในที่สุด ขบวนรถม้าก็เคลื่อนตัวออกจากจวนใหญ่
ในนี้เป็นห้องสี่เหลี่ยมที่มีเพียงเราสอง เพียงข้า และ เย่น้อยเท่านั้นเห็นอาเย่ยังคงมีสีหน้าแววตาอึดอัด ทุกข์ตรม เหมือนจะร้องไห้ออกมาได้ทุกเวลามากกว่ายามที่อยู่กับข้าทุกทีตอนนี้กลับไม่มีอารมณ์กลั่นแกล้ง ข้ากลับรู้สึกรำคาญบอกไม่ถูก
“อาเย่” คนถูกเรียกสะดุ้งเฮือก นั่งตัวเกร็ง หดตัวลีบขึ้นมาทันที
นั่นทำให้ข้ารำคาญมากขึ้นไปอีก
เด็กน้อยเหลือบมองข้าหวาดๆ
“อะ อาฉี”
“เย่เย่ เจ้ามาอยู่ตรงนี้เพื่ออะไร"ข้าเปิดประเด็น สำรวจมองคนตรงหน้าให้จริงจังมากขึ้นแม้จะบอกว่า ถูกส่งให้มาเป็นเพื่อนเล่นและเรียนของข้า แต่อย่างไรจากวิธีการที่ท่านแม่ใหญ่ปฏิบัติต่อมันทั้งมันไม่นบ่าวรับใช้ส่วนตัวมาจากบ้านเดิมมาด้วย
ดูอย่างไรก็ถูกส่งมาเป็นผู้ติดตามของข้า
สถานะของอาเย่ในบ้านตัวเองคงย่ำแย่มาก
ทั้งหลังๆมานี้เหมือนเด็กคนนี้จะคิดอะไรได้ เลิกร้องไห้จะกลับบ้านอีกกลับมาพยายามทำตัวดีๆ ที่หลายครั้งข้าสังเกตออกได้ว่ากำลังพยายามประจบเอาใจข้าให้ข้าชอบ หรือสังเกตเห็น
ตลอดชีวิตที่น่าบัดซบของข้า มีชีวิตอยู่กับการมองสีหน้าของผู้คนไม่น้อย
มีชีวิตเพื่อใครสักคนมาก็มาก ทั้งไม่เต็มใจและยินดีด้วยตัวเอง
ผ่านมาหลายชาติ ไม่นับว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นการกระทำที่ไร้ค่าหรือไม่แต่ที่แน่ๆมันไม่มีความสุขนักหรอก
ถ้าข้าปล่อยให้มีคนไม่มีความสุขกับชีวิตมาอยู่เคียงข้างข้าไม่ติดโรคหดหู่ตายหรอกหรือ
เจียงเย่ทำหน้าคิดหนัก สำหรับเด็กแปดขวบแล้วคำถามนี้อาจจะยากไปก็ได้
"เพื่อเจ้า ฮัวเหลียน ทุกคนบอกว่าเจ้าคือความหวังของตระกูลข้ามีหน้าที่เคียงข้างเจ้า สนับสนุนเจ้า ท่านแม่และแม่นมของข้าก็กำชับให้ข้าดูแลเจ้าให้ดีเจ้าเป็นความหวังของพวกนาง ก็เป็นความหวังของข้าด้วย"
เย่เย่เอ่ยออกมาด้วยเสียงใสๆแบบเด็กน้อย ทั้งที่เนื้อหากลับหนักอึ้งทั้งกับตัวมันเองและกับข้า
ถอนหายใจยาว
ข้าเพียงต้องการเป็นคนผ่านทางที่กินๆนอนๆแล้วจากไปเท่านั้น
ข้าเป็นคนเห็นแก่ตัวที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งข้าเพียงต้องการความสุขเล็กๆ เรียบง่าย ตื่นเต้นบ้างเป็นบางครั้งเท่านั้น
คงเพราะข้ารู้ เห็นและสัมผัสทุกสิ่งมาหมดแล้วจึงคร้านที่จะสนใจอะไรอื่นอีก ทั้งเบื่อการต่อสู้ และเบื่อการแย่งชิง
จิตวิญญาณของข้าเหน็ดเหนื่อยเกินไป ไร้เรี่ยวแรงจะอยากได้ อยากมี อยากเป็นอีก
ข้าจึงพยายามให้ท่านแม่มีเด็กออกมาอีกคนด้วยความมุ่งมั่นโดยไม่สนความรู้สึกของท่านแม้แต่น้อย
ทั้งที่ความจริง โตไป ข้าจะหนีออกไปจากบ้านโดยไม่สนใจอะไรเลยก็ทำได้
ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยเป็นพวกปล่อยปะละเลยเช่นนั้น
ไม่อยากจะอวดโอ้...เหล่านั้นเป็นนิสัยโปรดของข้าเลยหละเพียงแต่ ข้าเบื่อกับการเป็นลูกคนเดียวเท่านั้น ก็เท่านั้นแหละ
อย่าถามหามโนธรรมอะไรที่ข้าไม่มีเลย
รถม้ายังคงเคลื่อนตัวไปช้าๆ เราทั้งคู่ตกอยู่ภายใต้ความคิดของตัวเอง
"แล้วความต้องการของเจ้าล่ะจูเจียงเย่ อะไรคือความสุขของเจ้า"
อาเย่คิดหนักอีกรอบ แม้มันจะแปลกใจที่วันนี้ข้าคุยด้วยเป็นเรื่องเป็นราวดีๆกับมันได้แต่ก็ไม่ได้ออกอาการมากจนละเลยที่จะคิดตามคำถามที่ได้รับ
อึดใจใหญ่
"ทำให้ท่านแม่และท่านแม่นมมีความสุข คือความสุขของข้า"
คงเพราะคิดถึงมารดาและแม่นมของตัวเอง สีหน้าอ่อนเยาว์นั้นจึงผ่อนคลาย เป็นสุขได้เช่นนี้เป็นเด็กที่ได้รับการอบรมมาดีจริงๆ
หากข้าเป็นแม่ของมัน ข้าคงร้องไห้ออกมาด้วยความปลื้มปริ่ม ภาคภูมิใจ
โอะ น้ำตาซึม กระซิกๆ
"ถ้าเช่นนั้น การที่เจ้าอยู่เคียงข้างข้า สนับสนุนข้า คงทำให้มารดาและแม่นมของเจ้ามีความสุขสินะ"
"ใช่แล้ว ดังนั้น ข้าจะไม่มีวันจากเจ้าไป"
โอ เป็นคำพูดที่ดี ข้าได้กอเอี๋ยแผ่นใหญ่แปะติดหลังแล้วสิเพียงแต่กอเอี๋ยแผ่นนี้ดู จะคุณภาพต่ำเกินไป ทำให้ต้องปวดหลังมากขึ้นเสียมากกว่า
ขณะที่กับคนอื่นหากเจอเหตุการณ์เช่นนี้เป็นได้ เปรี้ยงปร้าง ประทุมิตรภาพ
เพื่อนตายตราบชั่วฟ้าสลายไปแล้วกระมัง
"เอาเถิด" ทอดถอนใจต่อชีวิตอีกเฮือกกล่าวเสริมต่อ
"เรื่องบุ๋น เจ้าสู้ข้าไม่ได้" ฉึก!
"เรื่องบู้ข้าก็พนันว่าให้ข้าโตอีกหน่อย เจ้าก็สู้ข้าไม่ได้ " ฉึก!
"เจ้าที่ไร้ความสามารถ และอ่อนแอ ขี้แงเป็นสตรี จะสนับสนุนอะไรข้าได้" ฉึกๆๆ!!
พักสักครู่ให้ถ้อยคำของข้าย่อยเข้าไปในสมองน้อยๆนั้น ทิ่มแทงเข้าไปเหมือนมีมีดที่มองไม่เห็นปักกลางหลังเด็กหน้าเจื่อนนั้นไม่ต่ำกว่า4-5เล่ม
“ข้า ข้าก็กำลังพยายาม ข้าจะทำให้ดีกว่านี้เพื่อให้เหมาะสมกับเจ้านะอาฉี”
คำพูด เพื่อให้เหมาะสมกับเจ้านะ นี่มันแปลกๆยังไงอยู่นะ
“ท่าทางของเจ้า...” ข้ายกมือชี้มันตั้งแต่ศีรษะลงมาอย่าส่งๆกล่าวเสริม
“ทำตัวให้เหมือนผู้ชายมากกว่านี้”
“ข้าก็เป็นผู้ชายอยู่นะ เจ้าก็บอกข้าสิ ข้าต้องทำยังไง เจ้าถึงจะพอใจ”
น้ำตาคลออีกแล้ว หน้าหมาหงอยนั้นอีกแล้วเบือนหน้าไปทางอื่นทำใจให้ระลึกเสมอให้ได้ว่าหมอนี่เป็นเพียงเด็กแปดขวบเท่านั้น
ความอดทนตลอดชีวิตของข้าหมดไปกับการพยายามหายใจไปในแต่ละวัน
ดังนั้นไม่ว่าอะไรก็ทำให้ข้าหงุดหงิดได้ง่ายๆ
และจูเจียงเย่คนนี้ก็กำลังทดสอบความอดกลั้นที่ไม่มีของข้า หายใจเข้า ออก ช้าๆ ลึกๆ
“เอางี้ เจ้าก็หาคนผู้ใหญ่ สักคน ที่พอจะ มีบุคลิก ลักษณะเข้มแข็ง น่าชื่นชม
เป็นคนดีมาเป็นตัวอย่างในการทำตัวของตัวเองละกัน"
แนะนำอย่างนี้น่าจะเข้าใจได้ง่ายสำหรับเด็กล่ะมั้ง
ทั้งยังปัดความรับผิดชอบอีกด้วย นั่นแหละที่ข้าต้องการ
ปัดความรับผิดชอบอะไรก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
...เด็กเจียงเย่นี้
จิตใจอันสะอาดใสของวัยเยาว์เป็นอย่างไรข้าเองก็ลืมเลือนไปนานมากจนไม่แน่ใจว่าตัวเองเคยมีหรือไม่
คนเราเมื่อโตขึ้นมักคิดเข้าใจไปเองว่า
ตัวนั้นเข้าใจเด็กดี เพราะได้ผ่านมาแล้วด้วยตัวเอง ทั้งที่ความจริงทุกวันที่เรามีชีวิตมากขึ้นหนึ่งวัน
ก็ทิ้งตัวตนอันบริสุทธิ์ของตัวไปอีกส่วน...ไยเลยสามารถอวดดีเข้าใจแม้แต่ตนเองในอดีตได้
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นเรื่องของผู้อื่น
ข้ามองอาเย่ที่นั่งลีบแบนกับที่นั่ง หวังอยู่ลึกๆว่าเด็กคนนี้จะสามารถเติบโตขึ้นมาอย่างร่าเริงสดใสได้
ถึงแม้ข้าจะไม่มีความสุข แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอยากให้คนอื่นแย่เป็นเพื่อน
เฮอะ ว่าไปนั่น
ความจริงข้าชอบเห็นความทุกข์ของผู้อื่น พอๆกับที่ชอบข่มแหงคนนั่นแหละถ้าอย่างไรข้าคิดว่าจะลองคัดเลือก รุ่นพี่ หรืออาจารย์หน่วยก้านดีๆน่าสนุกๆสักคนชี้นำเด็กนี่ละกัน
สำนักฝึกยุทธชื่อดังของเมืองนั้นตั้งอยู่ค่อนข้างไกลจากตัวเมือง และออกมาไกลไปอีกทางตะวันตกพื้นที่แถบนี้ส่วนมากเป็นป่าเขา เลยออกไปอีกไม่กี่ลี้จึงจะเป็นทุ่งหญ้ารกร้างแซมด้วยบึง หนองเป็นหย่อม เพื่อให้มีพื้นที่มากพอสำหรับทำกิจกรรมการเรียนต่างๆโดยสะดวก
ฮี้ๆ!!
รถม้าที่เคลื่อนตัวปุเลงๆมาตามถนนดาวอังคาร อยู่ๆก็หยุดและสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
เล่นเอาผู้โดยสารเพียงสองคนในรถเกือบจะร่วงลงไปจากที่นั่ง
คนขับร้องด่าทอหยาบคาย ดังมาให้ได้ยินจากข้างหน้า
สร้างความสงสัยแก่ผู้คนเข้าไปอีกเพราะข้าไม่เคยได้ยินคำด่าของคนชั้นล่างมาก่อนตั้งแต่เกิดใหม่
“ไอ้พวกเวรรรรร ออกไปให้กับเรา!!!”
ออ คำด่ามาตาฐานสากล ข้าคิดว่า ข้าสามารถมีชีวิตอยู่ในภพนี้อย่างวางใจได้แล้ว
เราสองคนเยี่ยมหน้าออกไปด้วยความสนใจ
ที่หน้ารถปรากฏความโกลาหลชั้นดี รอบด้านเต็มไปด้วยผู้คนแทบจะทุกอายุและเพศชุดเสื้อผ้าสกปรกมอมแมม ผมเผ้ายุ่งเหยิงกว่า20คนกำลังขวางทางรถโดยสารของเรา
ครวญครางขอเศษเงินและอาหารกันไม่ได้ศัพท์
เหล่านักบู้กว่า30คนที่ติดตามข้ามาก็ดาหน้าตรงเข้าไปกันคนเหล่านั้นออกไปด้วยแส่และไม้ยาวที่เตรียมพร้อมมาอยู่ก่อน
ข้ามองเลยไปตามถนนตลอดความยาวขึ้นไปข้างทาง ปรากรฎคนนั่งบ้างนอนบ้าง
ทุกคนอยู่ในสภาพทรุดโทรมเยี่ยงขอทานเช่นเดียวกันไปจนตลอดสุดสายตา
“ขออาหารให้เราสักหน่อยเถิด”
“ท่านผู้ใจบุญโปรดเจียดเศษเหรียญให้เราสักเล็กน้อย”
“ข้าหิวเหลือเกิน ขอเพียงข้าวสักคำ เพียงคำเดียวก็พอขอรับ”
และอีกหลายเสียงจากทั้งคนหนุ่มแก่เด็กหญิงสาวแม้แต่ถ้อยคำขายบริการเพียงแลกข้าวสักขัน ก็มีมาให้ได้ยิน
ไม่มียั้งมือ นักบู้ร่างกายกำยำบนหลังม้าทั้งหมด ฟาดแซ่ไม่ไว้หน้าทั้งเด็กแก่ปากตะโกนไล่ให้ผู้คนที่รุมมาต้องถอยกระเจิงออกไปเป็นสี่ทิศแปดทางล้มลุกคลุกคลาน เหยียบย่ำกันเป็นที่น่าเวทนา
เหลือบมองอาเย่ที่หน้าซีดเผือดด้านข้างและนึกเข้าใจท่านแม่ใหญ่ถึงสาเหตุในการจัดขบวนให้ข้าอย่างใหญ่โตเอิกเริกนางคงคาดเดาเรื่องราวเหล่านี้ได้อยู่ก่อน
แต่นี่มันเรื่องใดกัน ทำไมจึงมีคนขอทานมากมายปานนี้ มีคนอดอยากมากมายปานนี้
ข้าที่ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยก้าวออกจากบ้านคาดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องเช่นนี้นอกบ้านอันสงบสุขได้
อย่างน้อยก็ไม่น่าจะมากมายปานนี้
พื้นที่นี่เป็นพื้นที่นอกเมือง ทั้งที่ภายในเมืองนั้นสวยงาม สงบสุขปานนั้น
ภายนอกกลับเต็มไปด้วยผู้คนทุกข์ยากลำบาก อดอยากหิวโหย
คนมากมายในลักษณะนี้ข้าเคยเห็นเพียงตอนเกิดศึกสงครามใหญ่ อุทกภัยลาม น้ำแล้ง ดินถล่ม เทือกๆนี้เท่านั้น
นึกอดีตซ้อนปัจจุบัน ความงดงามในเมือง เทียบกับ ความเสื่อมโทรมตรงหน้าไม่ว่าโลกไหน ภพใด ไม่พ้นผู้มีอำนาจที่สร้างปัญหา สนองความปรารถนาและอำนาจของตนต้องเดินบนความทุกข์ตรมของผู้คนเพียงใด หาสนใจไม่
“อาเย่ ตอนที่เจ้ามาที่จวนของข้า เกิดเหตุการณ์เหล่านี้หรือไม่”
อาเย่พยักหน้าปากซีดตัวสั่น มิน่าเล่าเด็กน้อยนี้ก็รู้ล่วงหน้าตอนข้าเสนอออกไปเรียนข้างนอกถึงได้ทำหน้าหวานอมขมกลืนเพียงนั้น
จะออกไปก็ใช่ที่ ข้าตอนนี้เป็นเพียงเด็กชายบอบบางหากไม่ระวังออกไปแสดงความเมตตาแล้วถูกผู้คนอดอยากจนไร้สตินั้นจับไปเป็นตัวประกันหรือทำร้ายเพื่อแย่งชิงสิ่งของมีค่า
ผลสุดท้ายก็ยากจะคาดเดาปล่อยเรื่องเหล่านี้ไปก่อนนึกถึงแต่ก่อน ตัวเองก็เคยเป็นทรราชเพื่อสนองตัณหาของตัวเองเช่นกัน
เคยสร้างผู้คนที่อดอยากเหล่านี้เช่นกันทั้งยังเคยเป็นคนดีมีคุณธรรม กอบกู้ช่วยเหลือคนเหล่านี้เช่นกันทั้งสองชาติ ข้าเพียงคิดสรรหาวิธีแก้เบื่อให้ตัวเองเท่านั้น
เป็นคนเลวได้ ก็ลองเป็นคนดีบ้าง จิตใจของข้าวิปริตเกินกว่าจะยึดถือดีชั่วอีก
ถูกด่าทอก็ดี ชื่นชมก็ชั่ง เป็นเพียงลมผ่านมา สุดท้ายนั้นผ่านไป
ตายไปก็เท่านั้น หลังจากตายใครทำอะไรต่อนั้นไหนเลยจะไปรับรู้
ข้าเพียงเริ่มต้นใหม่ สรรหาบทบาทใหม่ สรรหาสิ่งอันไม่เคยทำ ไม่เคยเป็น
ไม่ยินดี ยินร้ายอะไร
อีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง
ตอนนี้ได้แต่ยิ้มขืน ท้อแท้ต่อจิตใจของตัวเอง ข้านั้นชืดชาต่อทุกสิ่งเสียแล้ว ตายด้านเสียแล้ว
รถม้าเคลื่อนฝ่าผู้คน ฝ่าความสับสน ฝ่าความเศร้าระทม ทั้งมวลของปวงประชา
ข้ากวักมือเรียกเย่เย่ที่นั่งกอดตัวเองตัวสั่นแน่นที่ฝั่งตรงข้ามให้มานั่งข้างๆซึ่งแม้จะแปลกใจแต่มันก็มาอย่างเชื่องเชื่อ
ตัวเราสองคนยังเล็กนัก ที่นั่งภายในรถก็ใหญ่โตจึงดูกว้างขวางเกินไปขนาดอาเย่ย้ายมานั่งที่ข้างกาย
ฝั่งที่นั่งของเราก็ยังมีที่เหลือพอให้เด็กอีกคนนั่งได้อย่างสบาย
ข้ากดศีรษะเด็กน้อยที่กำลังจ้องหน้าข้าให้ก้มลงมาที่ตัก แม้จะแข็งขืนในคราแรกไม่นานก็ยอมลงมานอนหนุนตักข้าแต่โดยดี
เย่เย่กอดข้าแน่นทีเดียว ตาสีเขียวสวยกลมโตใส จ้องมองกลับมาทั้งตัดพ้อ หวาดหวั่น คาดหวัง และรอคอย
ตัวขดบนเบาะที่นั่ง เด็กคนนี้น่ารักจริงๆ น่ารักมาก
จนข้าต้องยิ้มออกมา ลูบผมสั้นสีดำนุ่มลื่น ดุจลูกแมวน้อยนั้น
ปลอบประโลมไปตลอดทาง
เช้ามืด สายลมดี ผู้คนคึกคัก ข้ามองจำนวนผู้คนอารักขาข้าไปเรียนด้วยอย่างหนักใจ
นี่ข้าเพียงไปเรียนเช้าไป เที่ยงกลับเท่านั้นเอง ทั้งพ่อบ้าน ทั้งแม่ใหญ่ทำอย่างกับข้าจะเดินทางไกลไป 3วัน 7 วัน
กุมขมับ
คร้านจะโต้เถียง
ตอนนี้ข้ายังเด็ก ขี่ม้าไปเองไม่ได้ไม่ใช่ไม่ได้สิ
เรียกว่าถ้าขี่เป็นตอนนี้ทั้งบ้านคงมองเป็นตัวประหลาดและที่สำคัญข้าก็ไม่ได้กระตือรือร้นต้องการอวดเก่งจึงตัวตัวเรียบร้อยนั่งรถม้าที่จัดให้ออกจากบ้านพร้อมกับเย่เย่
ล่ำลาท่านแม่ใหญ่ และ ท่านแม่ ที่มองเส้นผมของข้าด้วยความสนใจ
ด้วยความที่สีผมของข้าเป็นสีสว่างเกินไป โดดเด่นเกินไป เมื่อรวมกับหน้าตาที่งดงามนี้ข้าจึงขอแม่ใหญ่ย้อมผมเป็นสีดำที่คนทั่วไปมี จะได้กลืนไปกับผู้คนได้มากขึ้นหน่อย
แม้ท่านจะไม่ค่อยชอบความคิดของข้านัก นางก็อนุญาตเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้
อย่างที่ท่านเห็นข้าให้เกียรตินางเสมอ แบบที่นางต้องการนั้นแหละ
กลับมาเรื่องย้อมผม ในทุกสังคมที่ผ่านมา ผู้ที่โดดเด่นเป็นพิเศษไม่ว่าด้านใด
จะเหมือนแม่เหล็กดูดปัญหายุ่งยากเข้าตัว
ป้องกันไว้ก่อนย่อมสบายใจกว่า
แม้พวกท่านแม่จะทราบเรื่องย้อมผมของข้าแล้ว แต่พวกนางก็ยังประหลาดใจและสนใจเป็นพิเศษอยู่ดี
ยาย้อมผมที่ข้าปรุงเองนั้นคุณภาพดีกว่าที่ใครในที่นี้จะเคยพบเห็น
เดาว่ากลับบ้านมา คงมีรายการสั่งทำล๊อตใหญ่จากพวกท่านแน่
ในที่สุด ขบวนรถม้าก็เคลื่อนตัวออกจากจวนใหญ่
ในนี้เป็นห้องสี่เหลี่ยมที่มีเพียงเราสอง เพียงข้า และ เย่น้อยเท่านั้นเห็นอาเย่ยังคงมีสีหน้าแววตาอึดอัด ทุกข์ตรม เหมือนจะร้องไห้ออกมาได้ทุกเวลามากกว่ายามที่อยู่กับข้าทุกทีตอนนี้กลับไม่มีอารมณ์กลั่นแกล้ง ข้ากลับรู้สึกรำคาญบอกไม่ถูก
“อาเย่” คนถูกเรียกสะดุ้งเฮือก นั่งตัวเกร็ง หดตัวลีบขึ้นมาทันที
นั่นทำให้ข้ารำคาญมากขึ้นไปอีก
เด็กน้อยเหลือบมองข้าหวาดๆ
“อะ อาฉี”
“เย่เย่ เจ้ามาอยู่ตรงนี้เพื่ออะไร"ข้าเปิดประเด็น สำรวจมองคนตรงหน้าให้จริงจังมากขึ้นแม้จะบอกว่า ถูกส่งให้มาเป็นเพื่อนเล่นและเรียนของข้า แต่อย่างไรจากวิธีการที่ท่านแม่ใหญ่ปฏิบัติต่อมันทั้งมันไม่นบ่าวรับใช้ส่วนตัวมาจากบ้านเดิมมาด้วย
ดูอย่างไรก็ถูกส่งมาเป็นผู้ติดตามของข้า
สถานะของอาเย่ในบ้านตัวเองคงย่ำแย่มาก
ทั้งหลังๆมานี้เหมือนเด็กคนนี้จะคิดอะไรได้ เลิกร้องไห้จะกลับบ้านอีกกลับมาพยายามทำตัวดีๆ ที่หลายครั้งข้าสังเกตออกได้ว่ากำลังพยายามประจบเอาใจข้าให้ข้าชอบ หรือสังเกตเห็น
ตลอดชีวิตที่น่าบัดซบของข้า มีชีวิตอยู่กับการมองสีหน้าของผู้คนไม่น้อย
มีชีวิตเพื่อใครสักคนมาก็มาก ทั้งไม่เต็มใจและยินดีด้วยตัวเอง
ผ่านมาหลายชาติ ไม่นับว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นการกระทำที่ไร้ค่าหรือไม่แต่ที่แน่ๆมันไม่มีความสุขนักหรอก
ถ้าข้าปล่อยให้มีคนไม่มีความสุขกับชีวิตมาอยู่เคียงข้างข้าไม่ติดโรคหดหู่ตายหรอกหรือ
เจียงเย่ทำหน้าคิดหนัก สำหรับเด็กแปดขวบแล้วคำถามนี้อาจจะยากไปก็ได้
"เพื่อเจ้า ฮัวเหลียน ทุกคนบอกว่าเจ้าคือความหวังของตระกูลข้ามีหน้าที่เคียงข้างเจ้า สนับสนุนเจ้า ท่านแม่และแม่นมของข้าก็กำชับให้ข้าดูแลเจ้าให้ดีเจ้าเป็นความหวังของพวกนาง ก็เป็นความหวังของข้าด้วย"
เย่เย่เอ่ยออกมาด้วยเสียงใสๆแบบเด็กน้อย ทั้งที่เนื้อหากลับหนักอึ้งทั้งกับตัวมันเองและกับข้า
ถอนหายใจยาว
ข้าเพียงต้องการเป็นคนผ่านทางที่กินๆนอนๆแล้วจากไปเท่านั้น
ข้าเป็นคนเห็นแก่ตัวที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งข้าเพียงต้องการความสุขเล็กๆ เรียบง่าย ตื่นเต้นบ้างเป็นบางครั้งเท่านั้น
คงเพราะข้ารู้ เห็นและสัมผัสทุกสิ่งมาหมดแล้วจึงคร้านที่จะสนใจอะไรอื่นอีก ทั้งเบื่อการต่อสู้ และเบื่อการแย่งชิง
จิตวิญญาณของข้าเหน็ดเหนื่อยเกินไป ไร้เรี่ยวแรงจะอยากได้ อยากมี อยากเป็นอีก
ข้าจึงพยายามให้ท่านแม่มีเด็กออกมาอีกคนด้วยความมุ่งมั่นโดยไม่สนความรู้สึกของท่านแม้แต่น้อย
ทั้งที่ความจริง โตไป ข้าจะหนีออกไปจากบ้านโดยไม่สนใจอะไรเลยก็ทำได้
ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยเป็นพวกปล่อยปะละเลยเช่นนั้น
ไม่อยากจะอวดโอ้...เหล่านั้นเป็นนิสัยโปรดของข้าเลยหละเพียงแต่ ข้าเบื่อกับการเป็นลูกคนเดียวเท่านั้น ก็เท่านั้นแหละ
อย่าถามหามโนธรรมอะไรที่ข้าไม่มีเลย
รถม้ายังคงเคลื่อนตัวไปช้าๆ เราทั้งคู่ตกอยู่ภายใต้ความคิดของตัวเอง
"แล้วความต้องการของเจ้าล่ะจูเจียงเย่ อะไรคือความสุขของเจ้า"
อาเย่คิดหนักอีกรอบ แม้มันจะแปลกใจที่วันนี้ข้าคุยด้วยเป็นเรื่องเป็นราวดีๆกับมันได้แต่ก็ไม่ได้ออกอาการมากจนละเลยที่จะคิดตามคำถามที่ได้รับ
อึดใจใหญ่
"ทำให้ท่านแม่และท่านแม่นมมีความสุข คือความสุขของข้า"
คงเพราะคิดถึงมารดาและแม่นมของตัวเอง สีหน้าอ่อนเยาว์นั้นจึงผ่อนคลาย เป็นสุขได้เช่นนี้เป็นเด็กที่ได้รับการอบรมมาดีจริงๆ
หากข้าเป็นแม่ของมัน ข้าคงร้องไห้ออกมาด้วยความปลื้มปริ่ม ภาคภูมิใจ
โอะ น้ำตาซึม กระซิกๆ
"ถ้าเช่นนั้น การที่เจ้าอยู่เคียงข้างข้า สนับสนุนข้า คงทำให้มารดาและแม่นมของเจ้ามีความสุขสินะ"
"ใช่แล้ว ดังนั้น ข้าจะไม่มีวันจากเจ้าไป"
โอ เป็นคำพูดที่ดี ข้าได้กอเอี๋ยแผ่นใหญ่แปะติดหลังแล้วสิเพียงแต่กอเอี๋ยแผ่นนี้ดู จะคุณภาพต่ำเกินไป ทำให้ต้องปวดหลังมากขึ้นเสียมากกว่า
ขณะที่กับคนอื่นหากเจอเหตุการณ์เช่นนี้เป็นได้ เปรี้ยงปร้าง ประทุมิตรภาพ
เพื่อนตายตราบชั่วฟ้าสลายไปแล้วกระมัง
"เอาเถิด" ทอดถอนใจต่อชีวิตอีกเฮือกกล่าวเสริมต่อ
"เรื่องบุ๋น เจ้าสู้ข้าไม่ได้" ฉึก!
"เรื่องบู้ข้าก็พนันว่าให้ข้าโตอีกหน่อย เจ้าก็สู้ข้าไม่ได้ " ฉึก!
"เจ้าที่ไร้ความสามารถ และอ่อนแอ ขี้แงเป็นสตรี จะสนับสนุนอะไรข้าได้" ฉึกๆๆ!!
พักสักครู่ให้ถ้อยคำของข้าย่อยเข้าไปในสมองน้อยๆนั้น ทิ่มแทงเข้าไปเหมือนมีมีดที่มองไม่เห็นปักกลางหลังเด็กหน้าเจื่อนนั้นไม่ต่ำกว่า4-5เล่ม
“ข้า ข้าก็กำลังพยายาม ข้าจะทำให้ดีกว่านี้เพื่อให้เหมาะสมกับเจ้านะอาฉี”
คำพูด เพื่อให้เหมาะสมกับเจ้านะ นี่มันแปลกๆยังไงอยู่นะ
“ท่าทางของเจ้า...” ข้ายกมือชี้มันตั้งแต่ศีรษะลงมาอย่าส่งๆกล่าวเสริม
“ทำตัวให้เหมือนผู้ชายมากกว่านี้”
“ข้าก็เป็นผู้ชายอยู่นะ เจ้าก็บอกข้าสิ ข้าต้องทำยังไง เจ้าถึงจะพอใจ”
น้ำตาคลออีกแล้ว หน้าหมาหงอยนั้นอีกแล้วเบือนหน้าไปทางอื่นทำใจให้ระลึกเสมอให้ได้ว่าหมอนี่เป็นเพียงเด็กแปดขวบเท่านั้น
ความอดทนตลอดชีวิตของข้าหมดไปกับการพยายามหายใจไปในแต่ละวัน
ดังนั้นไม่ว่าอะไรก็ทำให้ข้าหงุดหงิดได้ง่ายๆ
และจูเจียงเย่คนนี้ก็กำลังทดสอบความอดกลั้นที่ไม่มีของข้า หายใจเข้า ออก ช้าๆ ลึกๆ
“เอางี้ เจ้าก็หาคนผู้ใหญ่ สักคน ที่พอจะ มีบุคลิก ลักษณะเข้มแข็ง น่าชื่นชม
เป็นคนดีมาเป็นตัวอย่างในการทำตัวของตัวเองละกัน"
แนะนำอย่างนี้น่าจะเข้าใจได้ง่ายสำหรับเด็กล่ะมั้ง
ทั้งยังปัดความรับผิดชอบอีกด้วย นั่นแหละที่ข้าต้องการ
ปัดความรับผิดชอบอะไรก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
...เด็กเจียงเย่นี้
จิตใจอันสะอาดใสของวัยเยาว์เป็นอย่างไรข้าเองก็ลืมเลือนไปนานมากจนไม่แน่ใจว่าตัวเองเคยมีหรือไม่
คนเราเมื่อโตขึ้นมักคิดเข้าใจไปเองว่า
ตัวนั้นเข้าใจเด็กดี เพราะได้ผ่านมาแล้วด้วยตัวเอง ทั้งที่ความจริงทุกวันที่เรามีชีวิตมากขึ้นหนึ่งวัน
ก็ทิ้งตัวตนอันบริสุทธิ์ของตัวไปอีกส่วน...ไยเลยสามารถอวดดีเข้าใจแม้แต่ตนเองในอดีตได้
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นเรื่องของผู้อื่น
ข้ามองอาเย่ที่นั่งลีบแบนกับที่นั่ง หวังอยู่ลึกๆว่าเด็กคนนี้จะสามารถเติบโตขึ้นมาอย่างร่าเริงสดใสได้
ถึงแม้ข้าจะไม่มีความสุข แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอยากให้คนอื่นแย่เป็นเพื่อน
เฮอะ ว่าไปนั่น
ความจริงข้าชอบเห็นความทุกข์ของผู้อื่น พอๆกับที่ชอบข่มแหงคนนั่นแหละถ้าอย่างไรข้าคิดว่าจะลองคัดเลือก รุ่นพี่ หรืออาจารย์หน่วยก้านดีๆน่าสนุกๆสักคนชี้นำเด็กนี่ละกัน
สำนักฝึกยุทธชื่อดังของเมืองนั้นตั้งอยู่ค่อนข้างไกลจากตัวเมือง และออกมาไกลไปอีกทางตะวันตกพื้นที่แถบนี้ส่วนมากเป็นป่าเขา เลยออกไปอีกไม่กี่ลี้จึงจะเป็นทุ่งหญ้ารกร้างแซมด้วยบึง หนองเป็นหย่อม เพื่อให้มีพื้นที่มากพอสำหรับทำกิจกรรมการเรียนต่างๆโดยสะดวก
ฮี้ๆ!!
รถม้าที่เคลื่อนตัวปุเลงๆมาตามถนนดาวอังคาร อยู่ๆก็หยุดและสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
เล่นเอาผู้โดยสารเพียงสองคนในรถเกือบจะร่วงลงไปจากที่นั่ง
คนขับร้องด่าทอหยาบคาย ดังมาให้ได้ยินจากข้างหน้า
สร้างความสงสัยแก่ผู้คนเข้าไปอีกเพราะข้าไม่เคยได้ยินคำด่าของคนชั้นล่างมาก่อนตั้งแต่เกิดใหม่
“ไอ้พวกเวรรรรร ออกไปให้กับเรา!!!”
ออ คำด่ามาตาฐานสากล ข้าคิดว่า ข้าสามารถมีชีวิตอยู่ในภพนี้อย่างวางใจได้แล้ว
เราสองคนเยี่ยมหน้าออกไปด้วยความสนใจ
ที่หน้ารถปรากฏความโกลาหลชั้นดี รอบด้านเต็มไปด้วยผู้คนแทบจะทุกอายุและเพศชุดเสื้อผ้าสกปรกมอมแมม ผมเผ้ายุ่งเหยิงกว่า20คนกำลังขวางทางรถโดยสารของเรา
ครวญครางขอเศษเงินและอาหารกันไม่ได้ศัพท์
เหล่านักบู้กว่า30คนที่ติดตามข้ามาก็ดาหน้าตรงเข้าไปกันคนเหล่านั้นออกไปด้วยแส่และไม้ยาวที่เตรียมพร้อมมาอยู่ก่อน
ข้ามองเลยไปตามถนนตลอดความยาวขึ้นไปข้างทาง ปรากรฎคนนั่งบ้างนอนบ้าง
ทุกคนอยู่ในสภาพทรุดโทรมเยี่ยงขอทานเช่นเดียวกันไปจนตลอดสุดสายตา
“ขออาหารให้เราสักหน่อยเถิด”
“ท่านผู้ใจบุญโปรดเจียดเศษเหรียญให้เราสักเล็กน้อย”
“ข้าหิวเหลือเกิน ขอเพียงข้าวสักคำ เพียงคำเดียวก็พอขอรับ”
และอีกหลายเสียงจากทั้งคนหนุ่มแก่เด็กหญิงสาวแม้แต่ถ้อยคำขายบริการเพียงแลกข้าวสักขัน ก็มีมาให้ได้ยิน
ไม่มียั้งมือ นักบู้ร่างกายกำยำบนหลังม้าทั้งหมด ฟาดแซ่ไม่ไว้หน้าทั้งเด็กแก่ปากตะโกนไล่ให้ผู้คนที่รุมมาต้องถอยกระเจิงออกไปเป็นสี่ทิศแปดทางล้มลุกคลุกคลาน เหยียบย่ำกันเป็นที่น่าเวทนา
เหลือบมองอาเย่ที่หน้าซีดเผือดด้านข้างและนึกเข้าใจท่านแม่ใหญ่ถึงสาเหตุในการจัดขบวนให้ข้าอย่างใหญ่โตเอิกเริกนางคงคาดเดาเรื่องราวเหล่านี้ได้อยู่ก่อน
แต่นี่มันเรื่องใดกัน ทำไมจึงมีคนขอทานมากมายปานนี้ มีคนอดอยากมากมายปานนี้
ข้าที่ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยก้าวออกจากบ้านคาดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องเช่นนี้นอกบ้านอันสงบสุขได้
อย่างน้อยก็ไม่น่าจะมากมายปานนี้
พื้นที่นี่เป็นพื้นที่นอกเมือง ทั้งที่ภายในเมืองนั้นสวยงาม สงบสุขปานนั้น
ภายนอกกลับเต็มไปด้วยผู้คนทุกข์ยากลำบาก อดอยากหิวโหย
คนมากมายในลักษณะนี้ข้าเคยเห็นเพียงตอนเกิดศึกสงครามใหญ่ อุทกภัยลาม น้ำแล้ง ดินถล่ม เทือกๆนี้เท่านั้น
นึกอดีตซ้อนปัจจุบัน ความงดงามในเมือง เทียบกับ ความเสื่อมโทรมตรงหน้าไม่ว่าโลกไหน ภพใด ไม่พ้นผู้มีอำนาจที่สร้างปัญหา สนองความปรารถนาและอำนาจของตนต้องเดินบนความทุกข์ตรมของผู้คนเพียงใด หาสนใจไม่
“อาเย่ ตอนที่เจ้ามาที่จวนของข้า เกิดเหตุการณ์เหล่านี้หรือไม่”
อาเย่พยักหน้าปากซีดตัวสั่น มิน่าเล่าเด็กน้อยนี้ก็รู้ล่วงหน้าตอนข้าเสนอออกไปเรียนข้างนอกถึงได้ทำหน้าหวานอมขมกลืนเพียงนั้น
จะออกไปก็ใช่ที่ ข้าตอนนี้เป็นเพียงเด็กชายบอบบางหากไม่ระวังออกไปแสดงความเมตตาแล้วถูกผู้คนอดอยากจนไร้สตินั้นจับไปเป็นตัวประกันหรือทำร้ายเพื่อแย่งชิงสิ่งของมีค่า
ผลสุดท้ายก็ยากจะคาดเดาปล่อยเรื่องเหล่านี้ไปก่อนนึกถึงแต่ก่อน ตัวเองก็เคยเป็นทรราชเพื่อสนองตัณหาของตัวเองเช่นกัน
เคยสร้างผู้คนที่อดอยากเหล่านี้เช่นกันทั้งยังเคยเป็นคนดีมีคุณธรรม กอบกู้ช่วยเหลือคนเหล่านี้เช่นกันทั้งสองชาติ ข้าเพียงคิดสรรหาวิธีแก้เบื่อให้ตัวเองเท่านั้น
เป็นคนเลวได้ ก็ลองเป็นคนดีบ้าง จิตใจของข้าวิปริตเกินกว่าจะยึดถือดีชั่วอีก
ถูกด่าทอก็ดี ชื่นชมก็ชั่ง เป็นเพียงลมผ่านมา สุดท้ายนั้นผ่านไป
ตายไปก็เท่านั้น หลังจากตายใครทำอะไรต่อนั้นไหนเลยจะไปรับรู้
ข้าเพียงเริ่มต้นใหม่ สรรหาบทบาทใหม่ สรรหาสิ่งอันไม่เคยทำ ไม่เคยเป็น
ไม่ยินดี ยินร้ายอะไร
อีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง
ตอนนี้ได้แต่ยิ้มขืน ท้อแท้ต่อจิตใจของตัวเอง ข้านั้นชืดชาต่อทุกสิ่งเสียแล้ว ตายด้านเสียแล้ว
รถม้าเคลื่อนฝ่าผู้คน ฝ่าความสับสน ฝ่าความเศร้าระทม ทั้งมวลของปวงประชา
ข้ากวักมือเรียกเย่เย่ที่นั่งกอดตัวเองตัวสั่นแน่นที่ฝั่งตรงข้ามให้มานั่งข้างๆซึ่งแม้จะแปลกใจแต่มันก็มาอย่างเชื่องเชื่อ
ตัวเราสองคนยังเล็กนัก ที่นั่งภายในรถก็ใหญ่โตจึงดูกว้างขวางเกินไปขนาดอาเย่ย้ายมานั่งที่ข้างกาย
ฝั่งที่นั่งของเราก็ยังมีที่เหลือพอให้เด็กอีกคนนั่งได้อย่างสบาย
ข้ากดศีรษะเด็กน้อยที่กำลังจ้องหน้าข้าให้ก้มลงมาที่ตัก แม้จะแข็งขืนในคราแรกไม่นานก็ยอมลงมานอนหนุนตักข้าแต่โดยดี
เย่เย่กอดข้าแน่นทีเดียว ตาสีเขียวสวยกลมโตใส จ้องมองกลับมาทั้งตัดพ้อ หวาดหวั่น คาดหวัง และรอคอย
ตัวขดบนเบาะที่นั่ง เด็กคนนี้น่ารักจริงๆ น่ารักมาก
จนข้าต้องยิ้มออกมา ลูบผมสั้นสีดำนุ่มลื่น ดุจลูกแมวน้อยนั้น
ปลอบประโลมไปตลอดทาง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ