เจ้าหัวใจมาเฟีย (ฉบับรีไรต์)
เขียนโดย ศิริพารา
วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 13.52 น.
แก้ไขเมื่อ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559 13.54 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) เจ้าหัวใจมาเฟีย (ฉบับรีไรต์) ตอนที่ 2 100%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความในช่วงก่อนงานเลี้ยงเริ่มสองสาวจึงมีเวลาคุยกันอยู่พักหนึ่ง แม้เอมิเลียนั้นจะอายุน้อยกว่าแพรวาอยู่หลายปีแต่เข้าทำงานในสโมสรฯ ตั้งแต่ศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยปีสองจนกระทั่งจบการศึกษาได้เข้าทำงานเป็นนักกายภาพบำบัดประจำสโมสรฯ
แม้เพิ่งเรียนจบแต่ด้วยประสบการณ์ที่มีมากกว่า เอมิเลียจึงเป็นคนคอยช่วยเหลือและให้คำแนะนำกับแพรวาในช่วงแรกที่เข้าทำงานในสโมสรฯ อีกทั้งได้รู้ว่าเอมิเลียมีแม่เป็นคนไทยยิ่งทำให้ทั้งคู่คุยกันถูกคอและกลายเป็นเพื่อนร่วมงานต่างวัยที่สนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว
‘พี่แพร’ คือคำเรียกขานที่เอมิเลียใช้เสมอแม้ว่าหลังจากนั้นจะตามด้วยภาษาสเปน หลายคนที่ได้ยินได้ฟังนั้นคิดว่าแพรวาชื่อ ‘พี่แพร’ จึงเรียกเช่นนั้นตามเอมิเลีย สุดท้ายต้องมาอธิบายกันว่านั่นคือสรรพนามที่ใช้เรียกคนที่มีอายุมากกว่า หากตอนที่คุยกันเพียงสองคนนั้น เอมิเลียจะขอให้แพรวาพูดคุยกับเธอด้วยภาษาไทยซึ่งไม่ได้ใช้มานานหลายปี
แพรวายินดีเป็นอย่างยิ่งเพราะคิดไปว่าเอมิเลียอยากจะใช้ภาษาไทยในการสื่อสารให้คล่องแคล่วขึ้น แต่แท้จริงแล้วการได้สื่อสารด้วยภาษาไทยนั้นทำให้เอมิเลียคลายความคิดถึงผู้เป็นแม่ ซึ่งจากเธอไปได้หลายปีแล้ว
สองนักกายภาพบำบัดสาวคุยกันอย่างออกรสตามประสาผู้หญิง เอมิเลียเป็นคนชี้ชวนให้ดูบุคคลต่างๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสปอนเซอร์ของสโมสรฯ ทั้งนั้น หากไม่กี่นาทีต่อมาทั้งคู่ต้องลดเสียงพูดคุยกันให้เบาลงจนกระทั่งเงียบกริบตามผู้คนรอบกาย เมื่อแสงสปอร์ตไลท์ส่องไปที่ประตูทางเข้าห้องจัดเลี้ยง
หล่อเหลาอย่างร้ายกาจ ภาพลักษณ์ของเขายังดูเป็นผู้ทรงอิทธิพลมากกว่าครั้งแรกที่ได้เจอกัน ทุกอย่างที่ประกอบขึ้นเป็นเขาดูเหมาะเจาะลงตัวแต่กลับอันตรายเหลือร้ายในความรู้สึกของแพรวา
ร่างสูงใหญ่ในสูทแบล็กไท เดินควงคู่เข้ามาพร้อมกับสาวหุ่นสะบึม ตามด้วยประธานของสโมสรฯซึ่งยิ้มแย้ม ดูมีความสุข พอใจที่ได้เห็นลูกสาวเดินคล้องแขนดอนอาเชอร์เข้าไปในงานเลี้ยง
“โอ้โห... ดูสีหน้าท่านประธานของเรา ชื่นมื่นยังกับลูกสาวได้แต่งงานกับดอนอาเชอร์ยังไงยังงั้น” แม้จะเป็นเจ้านายที่เคารพแต่เมื่อได้เห็นท่าทางของลูกสาวเจ้านายที่มีโอกาสได้ควงคู่ดอนอาเชอร์แล้ว เอมิเลียก็อดที่จะประชดประชันไม่ได้
แม้สายตาทุกคู่ของคนที่มาร่วมงานเลี้ยงจะจดจ้องอยู่ที่ทั้งสามด้วยความรู้สึกอันหลากหลายแตกต่างกันออกไปนั้น แต่แพรวากลับนิ่งงัน ชาวาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเพราะไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นผู้ชายที่เคยดูหมิ่นศักดิ์ศรีของเธออีกครั้งหนึ่ง
“ขะ...เขา” ความตกใจอย่างสุดขีดทำให้แพรวากระอึกกระอักจนพูดติดขัด
เอมิเลียหัวเราะร่วนเพราะเป็นเรื่องปกติของสาวๆ กระมังที่ได้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของดอนอาเชอร์ในครั้งแรกแล้วจะเกิดอาการเช่นนี้ นั่นหมายรวมถึงตัวเธอด้วย
“ผู้ชายคนนั้นที่ท่านประธานดูเกรงใจนั่นใช่ไหมคะ” ถามอย่างไม่ต้องการคำตอบและอธิบายต่อเสร็จสรรพ “ดอนอาเชอร์ค่ะ เป็นสปอนเซอร์รายใหญ่ ‘แมคคาร์ทนีย์’ ที่เห็นอยู่บนเสื้อของสโมสร...ก็ดอนอาเชอร์คนนี้ล่ะค่ะเป็นเจ้าของบริษัทในเครือทั้งหมด ทั้งโรงแรมและก็อู่ต่อเรือ”
คุณพระช่วย!... โรงแรมที่เธออยู่นี่คืออาณาบริเวณของเขาอย่างนั้นหรือ
อีกข้อมูลหนึ่งที่เธอเพิ่งจะได้รับรู้ หลังจากสั่งตัวเองไม่ให้คิด ไม่ให้สนใจหรือรับรู้ข่าวสารของมาเฟียไร้มารยาท แต่ดูเหมือนว่าเธอจะหลงอยู่ในอาณาบริเวณของเขาโดยไม่รู้ตัว ขนาดว่าสโมสรฯ ที่ทำงานยังมีเขาเป็นสปอนเซอร์รายใหญ่
“ส่วนผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ นั่น เป็นลูกสาวคนเดียวของท่านประธานค่ะ” เอมิเลียบอกสั้นๆ มองไปยังด้านหน้าเวทีซึ่งพิธีกรกำลังกล่าวเปิดงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการ
หลังจากที่ประธานสโมสรขึ้นไปกล่าวขอบคุณสปอนเซอร์น้อย-ใหญ่ทุกราย จากนั้นจึงมอบโบนัสก้อนโตให้กับนักเตะและทีมสตาฟโค้ช ตลอดจนถึงพนักงานที่ได้รับเสียงโหวตในแต่ละแผนกของสโมสรฯ เอมิเลียยังบรรยายข้อมูลของมาเฟียหนุ่มไปเรื่อยๆ
“ไม่ต้องสงสัยนะคะว่าทำไมลูกสาวท่านประธานถึงได้เชิดหน้าจนคอแทบเคล็ดขนาดนั้น ไม่บ่อยครั้งหรอกค่ะที่จะมีโอกาสได้ควงดอนอาเชอร์ออกงานแบบนี้ พอสบโอกาสเลยต้องคว้าเอาไว้ก่อน พรุ่งนี้จะได้เป็นข่าวดังไปทั่วมาดริด”
“พะ..พี่นึกว่าเป็นคู่รักกันซะอีก” แพรวาถาม ทั้งยังแปลกใจตัวเองว่าเพราะเหตุใดจึงมีทั้งความอยากรู้และหวาดหวั่นเกิดขึ้นในจิตใจ
“ไม่หรอกค่ะ ดอนอาเชอร์นี่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนุ่มโสดที่หวงแหนชีวิตโสดจะตายไป เพราะงั้นเลิกคิดไปเลยว่าเขาจะยกเอาผู้หญิงคนไหนขึ้นมาเป็นคู่ควง แต่ก็แปลกว่ามีผู้หญิงมากมายตามตื๊อเป็นพรวน อย่างว่าล่ะน้า... หล่อ รวยแถมอันตรายครบสูตรเร้าใจ”
จังหวะเดียวกันกับเสียงปรบมือที่ดังกึกก้องขึ้นเมื่อพิธีการบนเวทีจบลง ประธานสโมสรฯ เปิดฟลอร์เต้นรำพร้อมๆ กับบริกรเริ่มเสิร์ฟอาหาร
เอมิเลียจึงเอนตัวมากระซิบกระซาบบางอย่าง “โสดแต่ไม่สดนะคะ”
แม้เวลาผ่านไปแพรวาจะสั่งให้ตัวเองสนใจอยู่กับอาหารเลิศรสและเพื่อนร่วมงานอีกหลายคนบนโต๊ะอาหาร แต่การที่หลายคนยังพูดถึงแต่คู่เต้นรำกลางฟลอร์นั้น เธอจึงอดไม่ได้ที่จะแอบมองอยู่บ่อยครั้ง
หากเสียงห้าวที่ดังขึ้นเบื้องหลังก็ทำให้แพรวาต้องแหงนหน้าขึ้นมองนักเตะหนุ่ม “ให้เกียรติเต้นรำกับผมสักเพลงนะครับ”
“เอ่อ... ฉันเต้นรำไม่ค่อยได้เรื่องนะคะ กลัวจะเผลอเหยียบเท้าคุณเข้า” แพรวาปฏิเสธด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล ระหว่างนั้นเอมิเลียและหนึ่งในคนที่ร่วมโต๊ะอาหารก็ออกไปเต้นรำเช่นกัน
“โธ่... เรื่องเล็กน้อยอย่างนั้นไม่ต้องกังวลหรอกครับ” นักเตะศูนย์หน้าของสโมสรฯ ยังยื่นมือออกไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละความพยายาม “นะครับ ถือว่าให้เกียรติผมสักเพลง”
เมื่อปฏิเสธไม่ได้แพรวาจึงยอมวางมือลงบนฝ่ามือแข็งแรงให้นักเตะหนุ่มเดินนำออกไปยังฟลอร์เต้นรำ หลายต่อหลายครั้งที่เคลื่อนตัวเข้าไปเฉียดใกล้ แต่ดวงตาคู่คมของมาเฟียหนุ่มยังมองเธอราวกับเป็นธาตุอากาศ
อย่ากลัวไปนักเลยว่าเขาจะจำหน้าได้ ก็ใครต่อใครพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาเปลี่ยนคู่ควงไม่ต่างจากเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วจะจดจำความร้ายกาจที่ทำกับเธอไว้เมื่อเกือบสองเดือนที่ผ่านมาได้อย่างไร
“คืนนี้ให้ผมไปส่งคุณนะครับ” เสียงทุ้มของนักเตะหนุ่มที่พาเธอเคลื่อนไหวไปตามเสียงเพลงเสนอ
“ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ พอดีฉันนัดให้เพื่อนมารับก่อนแล้ว” ปฏิเสธแล้วต้องแทบจะหยุดหายใจเมื่อมาเฟียหนุ่มพาคู่เต้นรำเคลื่อนไหวเข้ามาใกล้คู่ของเธอ
ทว่าสิ่งที่ทำให้ใบหน้าของแพรวาต้องกลายเป็นสีชมพูเข้มนั้นกลับเป็นปลายนิ้วของอาเชอร์ที่ลูบไล้แผ่นหลังนวลเนียนของคู่เต้นรำ ดวงตาคู่คมยังจ้องมองใบหน้าของแพรวาไม่กะพริบตา เขาทำให้เธอรู้สึกไม่ต่างจากกำลังไล้ปลายนิ้วอยู่บนแผ่นหลังของเธอ
ความร้อนลามเลียขึ้นมาทั่วสรรพางค์กาย มันเป็นความรู้สึกที่ไม่อาจจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด ไม่กล้าแม้จะสู้สายตาคู่คมของเขาจึงได้แต่เอ่ยปากขอโทษนักเตะหนุ่มด้วยเหตุผลโป้ปดมดเท็จทั้งเพ
“ฉันรู้สึกเวียนหัวน่ะค่ะ”
แม้การเต้นรำเป็นเพลงที่สองจะยังไม่จบลงแต่นักเตะหนุ่มก็ไม่อาจดึงดันต่อไปได้อีกจึงละฝ่ามือออกจากบั้นเอวคอดและพาเธอเดินกลับมาส่งยังที่นั่งเช่นเดิม
“ขอโทษด้วยนะคะ ทำให้คุณหมดสนุกไปเลย” แพรวาบอกด้วยความเกรงใจ
“ไม่เป็นไรครับ สีหน้าคุณดูไม่ดีจริงๆ นะ ให้ผมไปส่งไม่ดีกว่าเหรอ” นักเตะหนุ่มอาสาตัวอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรจริงๆ นั่งพักสักครู่ก็คงดีขึ้น”
นักเตะหนุ่มจึงได้แต่พยักหน้ารับและเดินกลับไปยังที่นั่งของตนเอง ในขณะที่เอมิเลียได้แต่อมยิ้มอย่างรู้ทันความคิดของเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่
“เขาน่ารำคาญมากเหรอคะ” เอมิเลียถามไม่ดังนักให้พอได้ยินกันสองคน
แพรวาส่ายหน้า “เปล่า... แต่พี่ไม่ชอบความสัมพันธ์ฉาบฉวย เราก็รู้กันดีว่าหนุ่มๆ แต่ละคนเนื้อหอม เสน่ห์แรงแค่ไหน พลาดจากอีกคนก็หาใหม่ได้ไม่ยากหรอก”
เอมิเลียมองไปตามสายตาของเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ที่พยักพเยิดไปยังนักเตะหนุ่มคนดังกล่าว ซึ่งตอนนี้ควงคู่พาสาวสวยคนหนึ่งออกไปกลางฟลอร์เต้นรำแล้ว
ทันทีที่อาเชอร์เห็นเธอเดินออกไปจากฟลอร์เต้นรำ เขาก็ละฝ่ามือออกจากทรวดทรงอวบอัดของคู่เต้นรำในทันที แม้เธอจะไม่พอใจอย่างมากแต่ก็ไม่อาจทำอะไรไปได้มากกว่าเดินเคียงข้างกลับมานั่งยังโต๊ะกลาง
ความจริงแล้วทิฟฟานี่อยากรู้เหลือเกินว่าหลังจากที่มาเฟียหนุ่มทรุดตัวนั่งลงแล้วนั้นได้สั่งการอะไรกับคนสนิท แต่เขาเป็นผู้ชายที่ได้ขึ้นชื่อว่าหวงแหนเรื่องส่วนตัวเป็นที่สุด เธอจึงออกมาชวนคุยเรื่องอื่นเสียดีกว่า
“วันหยุดนี้เราไปพักผ่อนที่โมนาโกกันไหมคะ รู้สึกว่าจะมีงานประมูลของเก่า ของล้ำค่าหายาก ไฮไลต์ของงานคือเพชรสีชมพูที่กำลังโด่งดัง” ทิฟฟานี่ถามทั้งยังแสดงท่าทีออดอ้อนเอาใจอย่างสุดฤทธิ์
“ไม่รู้สิ ถ้าความว่างมาพร้อมความเบื่อ อาจจะเห็นผมที่นั่น” อันที่จริงแล้วเขาน่าจะปฏิเสธออกไปในทันทีแต่เมื่อได้ยินว่า ‘เพชรสีชมพู’ ที่ทำให้เขานึกถึงผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะถูกนำออกมาประมูล คำตอบแบ่งรับแบ่งสู้นั้นจึงหลุดออกมาให้ได้ยิน
หากอยากเป็นผู้หญิงของดอนอาเชอร์ ควรต้องทำตัวให้เคยชินกับคำพูดอวดดี ไม่แยแสคนอื่น
“แหม... ทำไมฉันคิดไม่ออกเลยล่ะคะว่าความเบื่อของคุณจะเกิดขึ้นได้ยังไง” ทิฟฟานี่คิดเช่นนั้นจริงๆ เพราะความร่ำรวยจนสามารถเกือบบันดาลทุกอย่างได้นั้น ย่อมไม่มีสิ่งใดทำให้เกิดความรู้สึกแย่ๆ
มาเฟียหนุ่มอมยิ้มที่มุมปากพลางวางแก้วไวน์ลงบนโต๊ะ หากไม่มีใครได้ล่วงรู้หรอกว่ารอยยิ้มของเขานั้นเกิดขึ้นเพราะเหลือบสายตาไปเห็นคนสนิทเดินใกล้เข้ามา ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการสนทนากับทิฟฟานี่เลย “ไม่ต่างจากเวลาที่ผู้หญิงบอกว่าไม่มีชุดใส่ทั้งที่ความจริงแล้วสั่งซื้อตู้เสื้อผ้าใหม่ทุกเดือน”
แม้ทุกคนบนโต๊ะอาหารจะหัวเราะร่วนกับอารมณ์ขันอันร้ายกาจ แต่เจ้าตัวกลับสนใจอยู่แค่เพียงคำพูดของคนสนิทที่เข้ามากระซิบกระซาบบางอย่าง ชั่วอึดใจต่อมาอาเชอร์ก็ขอตัวออกจากงานเลี้ยงก่อนเวลาโดยไม่มีใครกล้าเอ่ยถามถึงเหตุผล ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่แพรวาและเอมิเลียบอกลาเพื่อนร่วมโต๊ะอาหารแล้วเดินออกไปจากห้องจัดเลี้ยง
เมื่อสองนักกายภาพบำบัดสาวเดินออกจากห้องจัดเลี้ยงแล้ว แพรวาจึงขอตัวเข้าห้องน้ำและถือโอกาสแยกตัวกับสาวน้อยเอมิเลีย
“พี่แพรกลับเองได้นะคะ” เอมิเลียย้ำถามอีกครั้ง เพราะลำพังตัวเองนั้นเดินทางไปไหนมาไหนคนเดียวอยู่เป็นประจำ ถึงแม้ว่าจะดึกดื่นแล้วแต่นี่ก็ถือเป็นบ้านเกิดเมืองนอนอันคุ้นเคย
“กลับเถอะจ้ะ พี่ดูแลตัวเองได้ พรุ่งนี้เจอกันที่สโมสรฯ นะ” แพรวาบอกพลางโบกมือลา จากนั้นทั้งคู่จึงแยกกันตรงหน้าห้องจัดเลี้ยง เอมิเลียเดินออกไปด้านหน้าของโรงแรม ในขณะที่แพรวาเดินลึกเข้าไปตามป้ายไฟแสดงทางไปห้องน้ำ
ราวสิบนาทีต่อมาหลังจากทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว แพรวาจึงเดินออกมาจากห้องน้ำซึ่งต้องเดินผ่านลิฟต์หลายตัวก่อนจะออกไปสู่ล็อบบีของโรงแรม หากแรงที่เข้าจู่โจมจากด้านหลังแล้วยกเธอขึ้นจนปลายเท้าทั้งสองข้างลอยเหนือพื้น ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัว เสียงหวีดร้องด้วยความตกใจของแพรวาจึงกรีดดังขึ้นพร้อมๆ กับจังหวะที่ประตูลิฟต์ปิดลงแล้ว
ทว่าเสียงกรีดร้องของแพรวากลับเงียบสนิท เมื่อเป็นอิสระจนได้หมุนตัวกลับมาหาเจ้าของเรี่ยวแรงที่ลากเธอให้เข้ามาอยู่ภายในลิฟต์
“โอลา...(สวัสดี)” อาเชอร์ทักทายพร้อมฉีกยิ้มกว้าง แต่เมื่อจบคำเขากลับหุบยิ้ม หน้าตึงขึ้นมาในทันที เธอไม่รู้หรอกว่าการปล่อยให้ผู้ชายคนอื่นได้โอบกอดในตอนเต้นรำนั้นทำให้เขาขุ่นข้องหมองใจสักเพียงใด
ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ปฏิเสธเขาและใช้สายตามองไม่ต่างจากเขาเป็นขยะพิษและในวินาทีนี้เธอมองอย่างตำหนิอีกด้วย
แม้จะเดาอารมณ์เขาไม่ถูกตกใจกับการกระทำเช่นนี้จนจังหวะการเต้นของหัวใจไม่เป็นปกติ แต่แพรวาก็ข่มความกลัวเอาไว้จนลึกแล้วรีบเอื้อมมือตั้งใจจะไปกดลิฟต์แต่ยังช้ากว่าคนสนิทของเขาซึ่งก้าวเอาตัวขวางปุ่มนั้นเอาไว้ในทันที
“สั่งให้คนของคุณถอยไปเดี๋ยวนี้นะ มีสิทธิ์อะไรมาทำกับฉันแบบนี้” ตวาดเสียงดุ ยิ่งคิดยิ่งโมโหเพราะเพียงแค่สองครั้งที่เจอหน้า เขาปฏิบัติกับเธออย่างคนไร้อารยธรรมมากขึ้นทุกที
อาเชอร์ไม่ตอบโต้แต่อย่างใด ดวงตาคู่คมยังจดจ้องอยู่กับใบหน้างดงาม ตอนที่เห็นเธอตกอยู่ในอ้อมแขนของผู้ชายคนอื่น ความอดทน ความรู้สึกทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อคิดถึงใบหน้างดงามมาเกือบสองเดือนได้ขาดผึงลง
การที่เขาใช้ความเงียบตอบโต้ นั่นยิ่งเพิ่มความหวาดกลัวให้กับแพรวามากขึ้น เธอเริ่มมองใบหน้าคร้ามคมสลับกับตัวเลขของลิฟต์ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สัญชาตญาณในตัวบอกว่าเธอกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่น่าไว้วางใจยิ่งนัก อันตรายจากมาเฟียคือความน่ากลัวจนเกินจะคาดเดา
เสียงลิฟต์ดังขึ้นพร้อมๆ กับประตูที่ค่อยๆ เปิดออก แพรวาตั้งท่าวิ่งออกมาจากลิฟต์ได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ต้องหวีดร้องออกมาอย่างสุดเสียง
“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ไอ้มาเฟียชั่ว ฉันจะแจ้งความ มีสิทธิ์อะไรมาทำกับฉันแบบนี้ ปล่อย...”
“ถ้ายังไม่หยุดแหกปากจะชั่วให้ดูจริงๆ” อาเชอร์เค้นเสียงลอดไรฟัน ในขณะที่ออกแรงรัดเอวคอดกิ่ว ยกร่างอรชรเดินผ่านเข้าไปในเพนต์เฮาส์บนชั้นสูงสุดของโรงแรม โดยมีสองคนสนิทเดินนำหน้าไปเปิดประตูอำนวยความสะดวกให้เจ้านาย
“คุณสองคนน่ะ ช่วยฉันด้วยไม่อย่างนั้นต้องถูกจับข้อหาสมรู้ร่วมคิดนะ ปล่อย...” แพรวาตะโกนร้องไม่หยุดปาก หากสิ่งที่ทำให้เธอดิ้นรนจนสุดชีวิตนั้น ไม่ใช่อาการเฉยชาของผู้ชายร่างสูงใหญ่ทั้งสองคน แต่ความแข็งกร้าวซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาเฟียผู้ชั่วร้ายกำลังผงาดปัดป่ายอยู่แนบบั้นท้ายของเธอ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ