เจ้าหัวใจมาเฟีย (ฉบับรีไรต์)

8.7

เขียนโดย ศิริพารา

วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 13.52 น.

  15 ตอน
  2 วิจารณ์
  17.79K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559 13.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) บทนำ 100%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

                การเดินทางจากกรุงเทพมหานครไปยังกรุงมาดริดของนักกายภาพบำบัดสาวอย่างแพรวา ซึ่งเลือกใช้บริการของสายการบินพาณิชย์ชื่อดังแห่งหนึ่ง ความจริงแล้วใช้เวลาบินไม่เกินสิบหกชั่วโมงซึ่งถือเป็นการเดินทางอันยาวนานพอสมควร หากหญิงสาวต้องรอเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินนานาชาติดูไบราวสี่ชั่วโมง

                ในสนามบินซึ่งขึ้นชื่อว่าดีที่สุดติดอันดับหนึ่งในสิบของโลกนั้น มีสินค้าปลอดภาษีมากมายละลานตา สร้างความเพลิดเพลินให้แพรวาได้ไม่น้อย การได้เดินเลือกดูเลือกชมของสวยงาม แม้ว่าจะไม่ได้ควักกระเป๋าสตางค์ซื้อหาสักชิ้น นั่นก็ถือว่าเป็นความสุขทางใจของเธอแล้ว

                เวลาสี่ชั่วโมงจึงผ่านไปอย่างรวดเร็วทั้งยังถือเป็นการผ่อนคลายอิริยาบถได้ดีเยี่ยม เดินทางต่ออีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะถึงที่หมายแล้ว

                แพรวาผ่อนลมหายใจเมื่อทรุดตัวนั่งลงบนเบาะของเครื่องบินลำใหญ่ซึ่งกำลังจะพาเธอลัดฟ้าสู่กรุงมาดริด ที่นั่งชั้นเฟิร์สคลาสของสายการบินนี้มีแถวละสี่ที่นั่ง เธอนั่งอยู่แถวกลางเพราะไม่ค่อยชอบมองภาพรันเวย์ตัดกับแผ่นฟ้าเท่าไรนัก มันชวนให้ใจหาย รู้สึกคิดถึงบ้านยิ่งนัก

                ทว่าความรู้สึกใจหายนั้นกลับเกิดขึ้นได้ไม่นาน เสียงห้าวทั้งยังวางอำนาจกลับดังขึ้นเรียกความสนใจของเธอให้หันไปมองผู้โดยสารซึ่งทิ้งตัวนั่งลงบนเบาะติดหน้าต่างด้านซ้ายมือ

                วินาทีนี้เองที่แพรวาเชื่อว่าบนโลกทรงกลมใบนี้ มีผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาจนทำให้เธอแทบลืมหายใจ!

                แน่นอนว่าดวงตากลมโตที่จ้องมองเขาตาแป๋ว ไม่กะพริบตานี้สร้างความระอาใจให้มาเฟียหนุ่มไม่น้อย หากอยู่ในอารมณ์ที่เป็นปกติมากกว่านี้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะนึกสนุกหิ้วสาวหน้าหวานซึ่งจ้องเขาอยู่ในอาการตกตะลึงนี้ไปผ่อนคลายความหงุดหงิดใจบ้าง บางทีการเปลี่ยนรสนิยมจากผู้หญิงหุ่นสะบึมมาเป็นสาวเอเชียหน้าหวานอาจจะทำให้เขาพบกับความตื่นเต้นบางอย่างก็เป็นได้

                ทว่าการต้องเดินทางด้วยสายการบินพาณิชย์เช่นนี้ สำหรับเขาแล้วไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งนัก พูดให้ถูกก็คือ... อาเชอร์ เฟร์นานโด ไม่เคยต้องเดินทางร่วมกับผู้คนอื่นใดถ้าเครื่องเจ็ตส่วนตัวของเขาไม่ได้เกิดปัญหา จนต้องขอลงจอดฉุกเฉินเมื่อสามชั่วโมงที่ผ่านมา

                “สุดความสามารถที่จะหาได้แล้วใช่ไหม หาดีที่สุดได้เท่านี้เหรอ บิล?” อาเชอร์ถามด้วยน้ำเสียงรำคาญใจเป็นที่สุด ทั้งยังต้องกลอกสายตาเบื่อหน่ายกับหญิงสาวหน้าหวานที่จ้องมองเขาไม่กะพริบตา

                หากเสียงตอบรับของผู้ชายอีกคนที่นั่งลงบนเบาะด้านขวามือ ทำให้แพรวาต้องหันกลับมามอง จึงไม่มีโอกาสได้เห็นสายตานั้นของเขา

                “ครับดอน ผมพยายามติดต่อเครื่องบินเช่าเหมาลำแล้วแต่เร็วที่สุดก็ต้องรอมากกว่าสามชั่วโมงถึงจะเทกออฟได้” บิลรีบตอบ

                “นี่เป็นสายการบินที่จะพาเรากลับมาดริดได้เร็วที่สุดและดีที่สุดแล้วครับ” ไมค์ ซึ่งนั่งติดหน้าต่างด้านซ้ายสุดเอ่ยสำทับ เพียงเท่านั้นเจ้านายของทั้งสองก็แย้งออกมาด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์นัก

                “เร็วที่สุด ดีที่สุดและไม่มีความเป็นส่วนตัวที่สุด” อาเชอร์ตอบและทิ้งศีรษะลงบนพนักพิง หลับตานิ่งราวกับว่ากำลังทำใจให้ยอมรับความไม่เป็นส่วนตัวนี้

                บทสนทนาของผู้ชายร่างสูงใหญ่ทั้งสามคนที่พูดจากันด้วยภาษาสเปนนี้ ทำให้แพรวารู้สึกตัวเองกลายเป็นคนไร้มารยาท เพราะความจริงแล้วเธอน่าจะนั่งติดหน้าต่างและปล่อยให้พวกเขาได้พูดคุยกันอย่างสะดวกใจโดยที่ไม่มีเธอนั่งคั่นกลางอยู่เช่นนี้

               

                โอ้โห!... นี่เธอกำลังเผชิญหน้าอยู่กับคนประเภทไหนกันนะ ถึงได้มีความคิดเห็นว่าการใช้บริการสายการบินที่ดีที่สุดติดอันดับโลกเช่นนี้ ไร้ความเป็นส่วนตัวโดยสิ้นเชิง

                ก็อาจจะรวยประเภทที่มีเจ็ตเซ็ตครบครันกระมัง ถึงได้บอกว่าบรรยากาศรอบกายนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เขาไม่สบอารมณ์จนต้องนั่งหลับตา สีหน้าบอกบุญไม่รับเช่นนี้

                “บิล” เสียงห้าววางอำนาจของคนที่หลับตานิ่งอยู่เช่นเดิมดังขึ้น ระยะห่างของคำพูดนั้นทำให้สายตาของคนสนิททั้งสองจดจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเจ้านาย นั่นหมายรวมถึงสายตาอีกคู่หนึ่งของแพรวาด้วย “ดูซิว่าผู้หญิงที่นั่งข้างๆแก เลิกใช้สายตาลวนลามมองฉันรึยัง”

                “อ่อ... เกรงว่าเธออาจจะไม่รู้ตัวว่ากำลังทำให้ดอนไม่พอใจ” บิลตอบและก้มลงคาดเซฟตี้เบลท์ เมื่อแอร์โฮสเตสราวสามสี่คนเดินตรวจตราความเรียบร้อย ดึงความสนใจของผู้โดยสารทุกคนให้ก้มลงสำรวจตัวเอง ไม่นานนักเครื่องบินจึงเคลื่อนตัวออกไปยังรันเวย์

                คงจะมีเพียงแค่แพรวากระมังที่ไม่อาจละสายตาจากใบหน้าคร้ามคมของผู้ชายที่นั่งอยู่เบาะเดี่ยวด้านซ้ายมือของตน แรกเริ่มเธออาจจะมองเขาด้วยความชื่นชมเพราะไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาทั้งยังมีรูปร่างสูงใหญ่ แต่เชื่อเถอะว่าคำพูดจองหองและดูหมิ่นเธอกลบลบความหล่อเหลานั้นไปจนหมดสิ้น

                เหลือทิ้งไว้เพียงความไม่พอใจที่เกิดขึ้นกับเธอ ซ้ำร้ายยังไม่รู้ว่าจะตอบโต้เขาได้อย่างไร ข้อกล่าวหาที่เขาบอกว่าเธอใช้สายตาลวนลามเขานั้น ร้ายแรง ไร้เหตุผลและหลงตัวเองจนทำให้เธออยู่ในสภาวะนิ่งงันครู่ใหญ่

                ความเร็วของเครื่องบินที่กำลังทะยานขึ้นเหนือพื้นรันเวย์นั้นทำให้อาเชอร์หรี่ตามองผู้หญิงที่จ้องตนไม่กะพริบตา หวังเอาไว้ในใจว่าเธอควรต้องรู้ตัวว่าเสียมารยาทมองเขาอยู่เป็นนาน

                หากดวงตากลมโตยังจดจ้องอยู่เช่นเดิมนี้กลับทำให้เขาผิดหวังไม่น้อย แวบแรกมาเฟียหนุ่มคิดว่าเธอคงจะไม่เข้าใจภาษาที่เขาใช้สื่อสารกับคนสนิท แต่เมื่อสังเกตให้ดีแล้วจึงพบว่าสายตาที่มองด้วยความชื่นชมนั้นแปรเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราด ฝ่ามือบางของเธอยังกำเอาไว้แน่นอย่างคนกำลังระงับอารมณ์โกรธสุดขีด

                ‘เขาควรจะรู้ตัวว่ากำลังเสียมารยาทกับเธอ’ แพรวาคิดในใจ

                ‘ผิดแล้วล่ะคนสวย’ แม้ว่าจะเป็นการตอบโต้ในใจเช่นกันแต่การที่เขาตีคิ้วใส่ดวงตาของเธออย่างท้าทาย ไม่มีแววตาสำนึกว่ากำลังเสียมารยาท ซ้ำร้ายยังซูดปากครางด้วยน้ำเสียงยั่วอารมณ์

                “อา... ความอยากรู้อยากเห็นของคน ไม่ได้สิ้นสุดลงแค่การมองหรอกนะ” อาเชอร์เปรยออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ เลือกใช้ภาษาสเปนเพราะรู้ดีว่าเธอต้องมีปฏิกิริยาโต้ตอบที่ชัดเจนมากกว่านี้

                “แต่มันสิ้นสุดลงได้เพราะคำพูดหลงตัวเอง” แม้สำเนียงจะเนิบช้ากว่าเจ้าของภาษา แต่ทุกถ้อยคำก็ชัดเจนยิ่งนัก

                “จะไม่หลงตัวเองเลย ถ้าคุณพึงระวังสายตาลวนลามผมให้น้อยลงกว่านี้หน่อย”

                “ลวนลาม?” มีทั้งความประหลาดใจและเหลือเชื่ออยู่ในคำถามนั้น

                แน่นอนว่าบิลไม่อาจปล่อยให้ใครสักคนบังอาจมาท้าทายอำนาจของเจ้านายตนเช่นนี้ “คุณผู้หญิงครับ ผมคิดว่า....”

                ไม่ทันได้จบประโยคฝ่ามือแข็งแรงก็ยกขึ้นเชิงห้ามและเธอก็ไม่ได้ยินเสียงห้ามปรามของใครดังขึ้นอีก มีเพียงผู้ชายท่าทางกวนโทสะเท่านั้นที่หลุดคำพูดสำทับว่าความคิดของเขานั้นถูกต้อง

                อาเชอร์ไหวไหล่พร้อมโคลงศีรษะรับกับคำถามนั้น “เป็นคำอธิบายที่ชัดเจน ถูกต้องที่สุดแล้ว”

                “ผู้หญิงทุกคนต้องมองคุณด้วยสายตาลวนลามงั้นสิ?”

                คำถามเชิงประชดประชันนั้นไม่ได้ทำให้อาเชอร์สะท้านสะเทือนแต่เขากลับปลดเซฟตี้เบลท์เมื่อสัญญาณแจ้งเตือนเหนือศีรษะสว่างวาบขึ้น นั่นหมายความว่าเครื่องบินลำใหญ่ได้ลอยละล่องอยู่บนท้องฟ้าอย่างนุ่มนวล แตกต่างกับบรรยากาศอันคุกรุ่นในการปะทะคารมของมาเฟียหนุ่มและสาวหน้าหวาน

                แน่ล่ะว่าคำถามของเธอนั้นแสดงออกมาพร้อมท่าทางที่ไม่มีผู้หญิงคนไหนกล้าปฏิบัติต่อเขา เธออวดดีและพยศเหลือร้าย

                “คุณอาจจะไม่เชื่อ แต่ส่วนมากก็เป็นอย่างนั้น” อาเชอร์ตอบ

                “นั่นก็แปลว่ายังมีผู้หญิงอยู่อีกน้อยนิดที่ไม่คิดจะมองคุณด้วยสายตาลวนลาม และต้องเสียใจเป็นอย่างยิ่งถ้าจะบอกคุณว่า ฉันคือหนึ่งในส่วนน้อยนิดนั้นที่ไม่คิดจะใช้สายตาลวนลามมองผู้ชายที่ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษอย่างคุณ”

                “ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ?” ถึงคราวที่อาเชอร์ต้องทวนคำพูดนั้นกลับไปเป็นคำถามบ้าง และท่าทางที่เธอไหวหัวไหล่เลียนแบบท่าทางของเขาไม่มีผิดเพี้ยน ก็ทำให้ต้องหรี่ตาแคบมองด้วยความประหลาดใจ

                “อย่างน้อยการพูดคุยกันข้ามศีรษะคนอื่นก็ไม่ใช่สิ่งที่สุภาพชนพึงกระทำ ยิ่งกล่าวถึงบุคคลที่สามด้วยเจตนาที่คิดว่าคนคนนั้นไม่เข้าใจในภาษาที่คุณใช้สื่อสาร ยิ่งเห็นได้ชัดว่า... ฉัน-คิด-ถูก-แล้ว”

                เธอลอยหน้าลอยตาเน้นแต่ละคำพูดใส่หน้าเขาอย่างชัดเจน จากนั้นก็หันกลับมานั่งตัวตรง ไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืดกับเขาอีก

                สิ้นเสียงหวานอันแข็งกร้าวนั้นจึงเกิดความเงียบงันขึ้นอยู่ครู่ใหญ่ บิลและไมค์หันหน้าไปสบสายตากันเพราะเป็นครั้งแรกกระมังที่มีคนกล้าหาญตำหนิดอนอาเชอร์ซึ่งๆ หน้า

                อาเชอร์ยังเหล่มองเสี้ยวใบหน้าหวานซึ่งบูดบึ้งมากกว่าเดิม เขาไม่ได้เกิดความประหลาดใจที่เธอกล้าตำหนิเขาตรงๆ แต่กำลังคิดว่าจะตอบโต้เธอกลับด้วยวิธีการเช่นใด

                ถ้าใช้กำลังจัดการเดี๋ยวก็จะหาว่าเขาไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ อีกอย่างมันออกจะดูไร้ศักดิ์ศรีไปหน่อย หากจะลดตัวลงไปเอาชนะคะคานกับผู้หญิงตัวเล็กๆ แบบนี้

                “ถึงมาดริดแล้วฉันต้องทำอะไรบ้าง” อาเชอร์เปล่งเสียงออกมาเมื่อคิดได้ว่าจะตอบโต้เธอเช่นไร แน่นอนว่ามาเฟียหนุ่มได้เห็นเจ้าของดวงตากลมโตตวัดสายตามองมาอย่างตำหนิ แต่เธอทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการกัดริมฝีปากล่างเอาไว้แน่น “ว่ามาให้ละเอียดเลยนะ บิล...”

                น้ำเสียงห้าวนั้นลากยาวฟังดูยั่วอารมณ์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าสีหน้าที่เขาแสดงออกมา แพรวาทำได้เพียงยื่นนิ้วมือไปกดปุ่มให้ไฟเบอร์กลาสรอบที่นั่งของตนเลื่อนขึ้นสร้างความเป็นส่วนตัว ทว่าเขายังตามรังควานเธอไม่เลิกราด้วยการเพิ่มเสียงโต้ตอบกับคนสนิทให้ดังขึ้นอีกระดับหนึ่ง

                สิ่งที่น่าแปลกใจนั่นก็คือผู้โดยสารคนอื่นไม่ได้เกิดความรำคาญใจ อาจเป็นเพราะเป็นช่วงเวลาที่รอให้แอร์โฮสเตสเสิร์ฟอาหารเย็น ความจริงในข้อนี้ทำให้เธอต้องอดทนฟังตารางการทำงานของเขาอยู่ราวสิบนาทีทั้งที่จริงรู้ดีว่า นั่นคือบทสนทนาที่ตั้งใจจะยั่วโมโหเธอเท่านั้น

                “ช่วยอะไรอย่างหนึ่งได้ไหมคะ” แพรวาแทบจะกระซิบ เมื่อแอร์โฮสเตสสาวสวยเสิร์ฟอาหารให้เรียบร้อยแล้ว

                “ยินดีค่ะ” ตอบกลับด้วยความสุภาพ

                “คือผู้ชายสามคนนี้เขาน่าจะเดินทางด้วยกัน แต่เรานั่งสลับที่กันเลยกลายเป็นว่าเวลาพวกเขาคุยกันแล้วมารบกวนความเป็นส่วนตัวของฉัน คุณพอจะมีที่นั่งอื่นในชั้นนี้ว่างไหมคะ”

                แอร์โฮสเตสสาวยิ้มรับด้วยความเข้าอกเข้าใจพร้อมกับคำปฏิเสธ “ต้องขอโทษจริงๆ เที่ยวบินนี้เต็มทุกที่นั่งเลยค่ะ”

                แพรวาถอนหายใจกับความผิดหวังจนหัวไหล่ตกแต่เสียงของแอร์โฮสเตสก็ทำให้เธอมีความหวังขึ้นอีกครั้ง เมื่อเธออาสาจะไปเจรจาขอเปลี่ยนที่นั่งให้เสียเอง

                “รบกวนด้วยนะคะ จะให้ฉันไปนั่งติดหน้าต่างฝั่งไหนก็ได้ พวกเขาสามคนจะได้นั่งใกล้ๆ กัน” แพรวาย้ำอีกครั้งก่อนจะเอ่ยคำขอบคุณแล้วจึงหันมาจัดการกับอาหารตรงหน้า

                อาเชอร์ยอมรามือจากการรังควานใจเธอชั่วคราวแล้วจัดการกับอาหารตรงหน้าเช่นกัน แม้ว่าเธอจะเลื่อนไฟเบอร์กลาสสีเทาขึ้นล้อมรอบตัวเองแล้วก็ตาม แต่ตราบใดที่ยังไม่เลื่อนเบาะนั่งให้เอนนอนลง เขาก็ยังสามารถมองเห็นศีรษะซึ่งมีกลุ่มผมนุ่มสลวยปกคลุมอยู่ได้

                แม้แพรวาจะรู้สึกว่าหายใจหายคอได้สะดวกขึ้นเพราะเสียงห้าวที่ตะโกนตอบโต้กันข้ามศีรษะเธอเงียบลงครู่หนึ่งแล้วแต่สิ่งที่เธอพลาดไปนั่นคือ ไม่มีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มที่ผุดขึ้นตรงมุมปากของมาเฟียหนุ่ม รอยยิ้มที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนักซึ่งมีทั้งความสนุกสนานแฝงชั่วร้ายอยู่ในที!

                หลังอาหารรสเลิศยังมีของหวานเสิร์ฟปิดท้ายมื้อเย็นอย่างสมบูรณ์แบบ ระหว่างนั้นหญิงสาวเหลือบสายตามองแอร์โฮสเตสคนเดียวกันกับที่ขอความช่วยเหลือในการสับเปลี่ยนที่นั่งเดินมาหยุดตรงข้างๆ เบาะของผู้ชายที่หาว่า เธอมองเขาด้วยสายตาลวนลาม

                ไม่สนใจในบทสนทนานั้นเลยเพราะตอนนี้เธอภาวนาให้เขายอมสับเปลี่ยนที่นั่งเพียงอย่างเดียว ไม่นานนักแอร์โฮสเตสคนเดิมก็หมุนตัวกลับมาบอกเธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

                “คุณผู้ชายรับปากว่าจะสับเปลี่ยนที่นั่งให้นะคะ แต่ขอเวลาทำงานสักครู่ ถ้าพร้อมแล้วจะแจ้งให้ดิฉันทราบอีกครั้งหนึ่ง คุณผู้หญิงรอได้ใช่ไหมคะ” แอร์โฮสเตสสาวถาม

                แพรวาพยักหน้ารับแล้วผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ตอนนี้แต่นั่นก็ยังดีกว่าต้องนั่งอยู่ตรงนี้ไปจนถึงมาดริด

                เมื่อทุกอย่างเริ่มลงตัวและเวลาก็ผ่านไปราวสิบห้านาทีแพรวาจึงเอื้อมมือไปเปิดหน้าจอส่วนตัว เลือกภาพยนตร์ดูเพื่อฆ่าเวลาในการรอ ครึ่งเรื่องผ่านไปหญิงสาวยังได้นั่งอยู่ที่เดิมจึงได้แต่ถอนหายใจและกดปุ่มเลื่อนเบาะนั่งให้เอนลงจนมันเลื่อนไปจรดกับเบาะตรงปลายเท้าแล้วกลายเป็นเบาะยาวสำหรับให้ได้พักผ่อนอย่างสบาย

               

                แพรวาไม่อาจรู้ได้ว่าเวลาผ่านไปนานสักแค่ไหน เพราะเธอผล็อยหลับไปตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่องแรกยังไม่จบเสียด้วยซ้ำ จึงไม่รู้ว่ามีการสับเปลี่ยนที่นั่งตามที่เธอร้องขอแล้วเพียงแค่ว่าไม่ตรงตามจุดประสงค์ที่เธอต้องการเท่านั้นเอง

                อาเชอร์ เฟร์นานโด คือผู้โดยสารระดับซูเปอร์วีวีไอพี ซึ่งให้เกียรติเลือกใช้สายการบิน...ในการเดินทางกลับกรุงมาดริด ขั้นตอนในการสำรองที่นั่ง ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองนั้นดูจะพิเศษเช่นคนสำคัญที่เคยเลือกใช้บริการอยู่บ่อยครั้ง ทั้งกัปตันและลูกเรือจึงได้รับการย้ำเตือนจากผู้บริหารระดับสูงของสายการบินให้ดูแลเขาอย่างดีเยี่ยม

                แล้วมีเหตุผลอื่นใดที่แอร์โฮสเตสสาวจะขัดข้องถ้ามาเฟียหนุ่มจะสับเปลี่ยนที่นั่งกับคนสนิท เมื่อเขารับปากด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม น่าฟังว่าจะไม่ทำการใดๆ รบกวนผู้หญิงที่นอนหลับสนิทอยู่ข้างๆ นี้อีก

                อาเชอร์พลิกตัวกระสับกระส่ายอยู่เป็นนานก็ไม่สามารถหลับตาเข้าสู่การพักผ่อนได้ อาจจะเป็นเพราะภาระความรับผิดชอบมากมายที่แบกไว้บนบ่ากระมัง ถึงได้ทำให้เขาไม่เคยจะหลับได้นานเกินวันละสี่ชั่วโมงและคงจะมีเพียงคนที่นอนหลับยากเท่านั้นจะเข้าใจความรู้สึกทรมานที่เกิดขึ้นกับเขา

                ยิ่งอยู่ในที่แคบทั้งยังมีแผ่นไฟเบอร์กลาสตีกรอบรอบกายยิ่งทำให้เขาอึดอัดมากขึ้นไปอีก มาเฟียหนุ่มเลื่อนเบาะให้ตั้งชันขึ้นแล้วลดแผ่นกั้นนั้นลงทุกด้าน รวมถึงด้านที่กั้นระหว่างที่นั่งของเขาและเธอลงด้วย

                พระเจ้าทรงโปรด!

                ผู้หญิงที่นอนตะแคงหลับสนิทอยู่ข้างๆ นี้ ใช่คนเดียวกันกับที่เคยเถียงเขาคอเป็นเอ็นหรือไม่?

                คำถามแรกผุดขึ้นในหัวและไม่ได้ต้องการคำตอบ เพราะดวงตาคู่คมกวาดมองตั้งแต่ปลายเท้าจรดใบหน้างดงาม เธอดูไร้ซึ่งพิษสง น่าทะนุถนอมไม่ต่างจากตุ๊กตากระเบื้องเคลือบราคาแพง

                เพียงแค่นอนนิ่งๆ ยังสามารถสะกดสายตาให้จดจ้องใบหน้างดงาม แพขนตายาวเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบยิ่งทำให้เขาประหลาดใจทั้งยังอยากรู้ว่า หากเธอลืมตาขึ้นมาแล้วจะมองเห็นขนตาตัวเองหรือไม่?

                ไม่... โง่เต็มทีถ้าคิดว่าจะมีใครสักคนสามารถมองเห็นขนตาของตัวเอง แต่เชื่อเถอะว่าคำถามโง่ๆนั้นเกิดขึ้นกับเขา นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้หยุดความคิดแล้วพิจารณาใครสักคนเช่นนี้ อันที่จริงแล้วหากจะพูดให้ถูกก็คือ เขาไม่เคยเกิดความรู้สึกว่าอยากจะมองใครอย่างที่มองเธอเช่นนี้สักครั้ง

                เบาะนั่งถูกปรับให้เอนราบลงอีกครั้ง มาเฟียหนุ่มพลิกตัวนอนตะแคงเข้าหาเธอแล้วหนุนศีรษะกับแขนตัวเอง เมื่อเห็นว่าเธอขยับตัวเล็กน้อย ห่อไหล่รับอากาศเย็นจึงเอื้อมมือขึ้นไปหมุนช่องลมเย็นให้หันเข้าหาตัวเองแล้วดึงผ้าห่มที่พาดอยู่ช่วงสะโพกผายขึ้นคลุมหัวไหล่บางอย่างเบามือ

                แน่นอนว่าการที่เจ้านายยกมือขึ้นเมื่อครู่ เรียกความสนใจของไมค์ ซึ่งนั่งอยู่ด้านซ้ายมือของอาเชอร์ได้เป็นอย่างดี เขาลุกขึ้นและยกมือส่งสัญญาณให้คู่หู ก่อนจะโคลงศีรษะให้บิล ได้เห็นปฏิกิริยาของเจ้านาย

 

                เสียงกดชัตเตอร์ดังเข้ามาในโสตประสาทรบกวนการพักผ่อนของแพรวา ทว่าเสียงที่ปลุกเธอให้ลืมตาขึ้นมานั้นกลับเป็นเสียงของกัปตันที่ประกาศว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ จะนำเครื่องลงสู่สนามบินในกรุงมาดริดแล้ว เสียงของกัปตันยังกล่าวขอบคุณผู้โดยสารที่เลือกใช้บริการของสายการบิน

                แพรวาเอื้อมมือไปกดปุ่มเลื่อนที่นั่งให้ปรับชันขึ้นโดยที่ยังไม่ลืมตานั่นยิ่งสร้างความขบขันไม่น้อยให้มาเฟียหนุ่มซึ่งเหลือบสายตามาเห็นเข้าพอดี

                เขามองเพียงแวบเดียวและหันมาง่วนกับหน้าจอแล็ปท็อปของตัวเองต่อ กระทั่งได้ยินเสียงหวานขู่ฟ่อ มองเขาด้วยสายตาเกรี้ยวกราด

                “เป็นโรคจิตหรือไง แอบถ่ายรูปฉันตอนหลับทำไม ลบออกเดี๋ยวนี้นะ!” แพรวาตกใจแทบสิ้นสติ เมื่อลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าหน้าจอแล็ปท็อปของเขามีรูปที่เธอกำลังนอนหลับ

                ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่สะทกสะท้าน เขาไม่ได้รีบปิดหน้าจอหรือซ่อนเร้นภาพนั้นไว้เหมือนพวกที่มีพฤติกรรมแอบถ่ายภาพ แต่กลับยิ้มหน้าตายมองเธอราวกับว่าเป็นคนเอะอะโวยวายไม่เข้าเรื่อง

                “ไหนรูปคุณ” ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

                หากเป็นช่วงที่ผู้โดยสารทุกคนเริ่มจะส่งเสียงพูดคุยกันเพราะใกล้จะถึงจุดหมายเต็มทีจึงไม่มีใครได้สนใจในบทสนทนาของเขาและเธอ ยกเว้นแค่สองบอดีการ์ดซึ่งจับตามองพฤติกรรมแปลกๆ ของเจ้านายมาหลายชั่วโมงแล้ว

                ปฏิกิริยาตอบโต้ของเธอรวดเร็วใช้ได้ เมื่อจบคำถามนิ้วชี้เรียวก็ชี้ไปยังหน้าจอแล็ปท็อปทันควัน “ลบออกเดี๋ยวนี้นะ”

                “ถ้าคิดว่าจะลบ คงไม่เสียเวลากดชัตเตอร์ตั้งแต่แรก”

                ไม่ทำตามแถมยังท้าทายด้วยการตีคิ้วใส่เธออีก “แต่คุณกำลังละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ลบภาพฉันออกเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้น ฉัน...”

                “อาเชอร์ เฟร์นานโด” บอกชื่อตัวเองให้รู้เสร็จสรรพ “ผมคิดว่าจำเป็นต้องรู้ ถ้าคุณคิดจะแจ้งความ”

                “ฉันทำแน่ถ้าคุณยังไม่ลบ”

                “ไม่ลบ” อาเชอร์บอกพลางชี้ไปยังหน้าจอแล็ปท็อปซึ่งมีภาพของตัวเองและเธอนอนตะแคงหันหน้าเข้าหากัน ถ้าเอาไปตัดต่อนิดๆ หน่อยๆ มันก็ดูเหมือนภาพที่ทั้งคู่นอนร่วมเตียงกันดีๆ นี่เอง

                แพรวาก็รู้ดีถึงความจริงในข้อนี้ เธอไม่อาจปล่อยให้ภาพของตัวเองอยู่ในครอบครองของคนแปลกหน้าเพราะนั่นอาจหมายถึงปัญหายุ่งยากที่จะตามมาในภายหลัง

                “งั้นก็ไปเคลียร์กับตำรวจเอง” ขู่เสียงดุ

                อาเชอร์ยักไหล่อย่างไม่แยแส “ผมถ่ายรูปตัวเองแต่คุณอยู่ไม่ถูกที่ถูกทาง ติดเข้ามาในเฟรมเองแล้วจะมาโวยวายให้มันได้อะไรขึ้นมา ผมชอบภาพนี้ ไม่มีทางลบแน่นอน”

                “แต่ภาพที่คุณชอบมันมีหน้าฉันเข้าไปอยู่ในนั้นด้วย และฉันก็มีสิทธิ์เต็มที่ที่จะสั่งให้คุณลบ” โต้กลับอย่างไม่เกรงกลัว

                ...จะให้กลัวได้อย่างไร เมื่อไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำว่ากำลังเผชิญหน้าอยู่กับผู้ทรงอิทธิพลของประเทศนี้ ใครต่อใครก็มักจะกล่าวถึงว่าเขาเป็น ‘มาเฟีย’ แต่สำหรับแพรวา ผู้ชายตรงหน้าไม่ต่างจากไอ้โรคจิตคนหนึ่งเท่านั้น

                ในขณะที่มาเฟียหนุ่มและสาวหน้าหวานกำลังปะทะคารมกันโดยไม่มีใครลดละ ผู้โดยสารส่วนมากก็ลุกขึ้นหยิบสัมภาระของตนเตรียมเดินออกจากเครื่องบิน

                “ถึงจะมีหน้าคุณติดมาด้วยแล้วคิดว่าผมจะเอาไปทำอะไรได้”

                “ก็ไม่รู้ล่ะ เดี๋ยวนี้มิจฉาชีพชอบรีทัชภาพแล้วเอาไปแบล็กเมล์เยอะแยะไป ฉันยังไม่อยาก...” ยังไม่ทันได้พูดจบประโยค สายตาคู่คมก็กวาดมองช่วงอกเธออย่างจาบจ้วง

                “รีทัชอย่างเดียวคงไม่พอ กลัวว่าต้องจ่ายเงินให้ช่างแต่งอึ๋มอีกน่ะสิ”

                จบคำพูดแล้วยังหัวเราะร่วน ส่ายหน้าบ่งบอกว่าความคิดของเธอนั้นไม่เข้าท่าเอาเสียเลย แพรวาแทบจะกรีดร้องออกมาแต่เธอทำได้แค่เพียงชี้หน้าเขาอย่างเหลืออด

                “อะ...ไอ้!”

                เสียงหวานหลุดออกมาเพียงเท่านั้น คนสนิททั้งสองก็ก้าวเข้ามาประชิดอย่างทันท่วงที อาเชอร์ยกมือห้ามได้แค่ไมค์ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ในขณะที่บิลกลับตักเตือนเธอด้วยน้ำเสียงดุดัน

                “ห้ามเสียมารยาทกับดอนนะครับ” บิลบอกในขณะที่ยกมือขึ้นขวางนิ้วชี้เรียวของเธอไม่ให้เฉียดใกล้เจ้านาย แต่ชั่วอึดใจเดียวก็ต้องลดมือลงแล้วถอยหลังกลับไปยืนที่เดิมเมื่อเห็นเจ้านายสั่งการด้วยสายตา

                หากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนั้นทำให้แพรวาต้องอ้าปากค้าง เพราะความจริงแล้วเธอเป็นฝ่ายที่ถูกคุกคามความเป็นส่วนตัว แต่ตอนนี้ดูเหมือนเรื่องกลับตาลปัตร

                “เชิญครับดอน” ไมค์เอ่ยขึ้นและใช้ตัวเองขวางทางผู้โดยสารที่เดินมาหยุดอยู่ด้านหลังเพื่ออำนวยความสะดวกให้เจ้านาย แต่ยังไม่มีใครรวดเร็วได้เท่าฝ่ามือบางของแพรวาที่ขยุ้มเข้าตรงแขนเสื้อเชิ้ตของเขา

                “สนใจจะกลับด้วยกันอย่างนั้นเรอะ?” ฟังดูแล้วอาจจะเหมือนแค่ชวนเล่นๆ แต่แววตาที่มองเธอนั้นกลับทำให้เจ้าของฝ่ามือบางนิ่งงัน

                วินาทีนี้เองที่แพรวาได้มองเขาอย่างชัดเจน หากไม่เห็นรอยยิ้มที่ผุดขึ้นตรงมุมปากซึ่งมีความเป็นผู้ล่าฉายแววออกมาอย่างชัดเจน เตือนสติให้เธอได้รู้สึกตัวและรีบกะพริบตาถี่ๆ ขับไล่มนตราอันชั่วร้ายที่แผ่ซ่านออกมาจากผู้ชายคนนี้

                “ใครจะสิ้นคิดแบบนั้น” กระแทกเสียงตอบทั้งยังรีบปล่อยมือจากเสื้อเขาราวกับขยะแขยงนักหนา

                ความรื่นรมย์ดับสูญเมื่อได้เห็นท่าทางของเธอ เขาคงเกิดความหงุดหงิดใจน้อยกว่านี้ไม่ได้เมื่อรู้สึกว่าตัวเองไม่ต่างจากขยะพิษชิ้นหนึ่ง

                “เก่งจริงนะ ตัวนิดเดียว” แม้ข่มโทสะเอาไว้จนลึกแล้วแต่น้ำเสียงและแววตายังคุกคามความรู้สึกของคนมอง

                สถานการณ์มันบังคับต่างหาก โต้กลับได้เพียงในใจแต่ต้องทำใจดีสู้เสือโต้กลับสวนทางกับความหวาดหวั่นโดยสิ้นเชิง “เก่งจนอาจต้องทึ่งเชียวล่ะ ถ้ายังคิดจะเก็บรูปของฉันไว้ ลบ-เดี๋ยว-นี้”

                “ดอนไม่เอารูปของคุณผู้หญิงไปทำอะไรในทางเสื่อมเสียแน่ครับ ไว้ใจได้” บิล เริ่มเกลี้ยกล่อมและยื่นนามบัตรใบจิ๋วจากกระเป๋าเสื้อมาให้เธอ

                “ก็ถ้าไม่ได้เอาไปทำอะไรจริงก็ลบออกสิ ลบตรงนี้ให้ฉันเห็นด้วย” แพรวายังยืนกรานเช่นเดิม โดยไม่รู้ว่าความดื้อรั้นของตนนั้นกระแทกหัวใจมาเฟียผู้ทรงอิทธิพลเข้าอย่างจัง

                อาเชอร์ไม่เคยได้รับปฏิกิริยาเช่นนี้จากผู้หญิงคนไหนมาก่อน เพียงแค่พวกเธอได้รู้ชื่อเสียงเรียงนามเป็นต้องอ่อนปวกเปียกราวขี้ผึ้งลนไฟ นามบัตรที่อยู่ตรงหน้าเป็นเสมือนทางผ่านให้เยื้องย่างสู่เพนต์เฮาส์และปีนขึ้นเตียงเขาได้ในคราวเดียวกัน ทว่าคนตัวเล็กกลับไม่แม้จะชายตามอง

                “ถ้ารู้ว่าผมเอารูปนั้นไปทำอะไรแล้ว จะเลิกตอแยใช่ไหม” เลือกใช้คำที่รู้ว่าต้องทำให้เธอเดือดดาล

                อย่างน้อยเขาต้องจบเรื่องนี้โดยเร็ว แค่ยืนขวางอยู่ตรงทางเดินนี้ก็คงไม่เท่าไหร่แต่เขายังมีงานสำคัญรออยู่และเวลาที่เหลือก็กระชั้นชิดเข้ามาทุกที

                หน็อย... ตอแยอย่างนั้นเรอะ?!

                ทั้งโกรธทั้งอายเพราะผู้โดยสารที่เดินผ่านมาได้ยินคำพูดนั้นของเขาและมองเธอด้วยสายตาขบขัน บางคนถึงกับส่ายหน้าอย่างระอาใจ

                “ฉันจะร้องขอความช่วยเหลือจากกัปตัน จะตะโกนให้คนได้รู้กันทั่วว่าคุณขโมยถ่ายรูปตอนฉันหลับ” แพรวายังยืนยันความตั้งใจของตน

                เขาก็เช่นกัน “ไม่เอาน่า... ผมรีบนะ”

                น้ำเสียงประนีประนอมนั้นทำให้แพรวาเข้าใจว่าเขาเริ่มกลัว “ฉันจะขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่สนามบิน จะแจ้ง...”

                “เงียบ”

                เฉียบขาดและดุกร้าวจนเธอต้องเม้มปากโดยไม่รู้ตัว ในขณะที่เขาหยิบโทรศัพท์เครื่องบางออกมาจากกระเป๋ากางเกงและเลื่อนหน้าจอให้เธอได้เห็นว่าใช้ภาพดังกล่าวนั้นเพื่อการใด

                แพรวาขมวดคิ้วมุ่นมองหน้าจอที่อยู่ตรงหน้า ภาพดังกล่าวไม่ได้ทำให้แปลกใจเพราะเคยได้เห็นในแล็ปท็อปของเขาเมื่อครู่แล้ว แต่ที่ทำให้เธอนิ่งงันและไม่รู้ว่าจะจัดการกับเขาต่อไปอย่างไรนั่นคือแคปชั่นที่เขาเขียนไว้เหนือภาพต่างหาก

                #Tonight_Girlfriend  

                “ก็แค่เอามาเขี่ยผู้หญิงอีกคนทิ้ง ถือซะว่าเจ๊ากันกับที่ผมอุตส่าห์ห่มผ้าให้ตอนคุณหลับ” อาเชอร์อาศัยช่วงที่เธอนิ่งงัน หยิบเอานามบัตรจากมือของคนสนิทมาสอดเข้าไปในสาบเสื้อเชิ้ตของเธอ “แต่ถ้าอยาก... อย่างในแคปชั่นนั่นเมื่อไหร่ ก็มาตามที่อยู่นี้นะจ๊ะ”

                แม้จะหลุบสายตามองตามฝ่ามือหนาที่ยื่นเข้ามาเฉียดใกล้ทรวงอก ความรวดเร็วของเขาเหนือกว่ามากจนเธอไม่ทันได้เบี่ยงตัวหนี ร่างสูงใหญ่ก็เดินจากไปในขณะที่เธอได้แต่ยกมือข้างหนึ่งขึ้นทาบอกด้วยความรู้สึกเกินจะบรรยาย

                ก่อนจะก้าวผ่านประตูเครื่องบิน อาเชอร์ยังเหลือบสายตามองใบหน้างดงามที่กลายเป็นสีชมพูจัดด้วยความโกรธระคนอับอาย แต่เธอควรต้องรู้เอาไว้ด้วยว่าการปฏิเสธคนอย่างดอนอาเชอร์ เป็นการกระทำที่ทำให้เขาขุ่นข้องหมองใจที่สุด

                สำหรับเขาแล้วผู้หญิงทุกคนที่พอใจไม่ควรจะกล่าวคำว่า ‘ไม่’

                “เธออาจจะสร้างปัญหาให้ดอนภายหลัง ให้ผมกลับไปเจรจากับเธอไหมครับ” ไมค์ถามในขณะที่เดินตามหลังเจ้านายออกมาจากเครื่องบิน

                ก็ลองดู... ถ้าหากต้องไปพบเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยเธอคือต้นเหตุ อาจจะเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ในชีวิตที่เขาไม่มีวันลืมก็เป็นได้ มาเฟียหนุ่มคิดในใจและเดินไปตามช่องทางพิเศษของขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมือง หากคำตอบที่หลุดออกมาจากปากของเจ้านายก็ทำให้บิลและไมค์ต้องหันมาสบสายตากันอีกครั้ง

                “ฉันอยากจะมีปัญหากับเธอ”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา