เจ้าหัวใจมาเฟีย (ฉบับรีไรต์)
8.7
เขียนโดย ศิริพารา
วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 13.52 น.
15 ตอน
2 วิจารณ์
17.47K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559 13.54 น. โดย เจ้าของนิยาย
15) เจ้าหัวใจมาเฟีย (ฉบับรีไรต์) ตอนที่ 7 100%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ...จุมพิตละลายความคิดและอาการต่อต้านทั้งมวลนั้นถูกถอนออกไปอย่างขัดใจ เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำในสิ่งที่น่าอับอายด้วยการผงกศีรษะตามริมฝีปากที่ถอยออกมาเล็กน้อย เสียงหัวเราะร่วนอย่างพออกพอใจนั้นต่างหากที่ทำให้รู้สึกตัวและเขินอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี
“ทีนี้เลิกเถียง หยุดต่อต้านได้แล้วนะสวีตตี้” กระซิบชิดริมฝีปากอิ่มซึ่งเจ้าตัวสะเทิ้นอายจนไม่กล้าสบสายตา หากอากัปกิริยาเหล่านั้นกลับทำให้มาเฟียหนุ่มดวงตาพร่าเลือน ไม่คิดว่าการเขินอายของผู้หญิงสักคนจะน่ารักน่าชังถึงเพียงนี้ สุดท้ายเขาก้มลงสูดเอาความหอมจากแก้มนุ่มนั้นเข้าไว้เต็มปอด “หมั่นไส้นัก”
“อื้อ...”
“แปลว่าเราเข้าใจตรงกันแล้วนะแพร คุณเป็นคนรักของผม” สรุปและตีขลุมเข้าข้างตัวเองจนอีกคนต้องเบิกตากว้างมองอย่างไม่อยากเชื่อ
“ได้ที่ไหนล่ะ!” ส่ายหน้าดิกแล้วอธิบายเร็วๆ “เราต้องลองคบกันก่อน เรียนรู้นิสัยใจคอกันไปแล้วค่อยพัฒนามาเป็นคนรัก ถ้าจะให้เป็นคนรักคุณปุบปับแบบนี้ ฉันรับไม่ทันหรอกค่ะ มันดูเร็วไป”
อาเชอร์หรี่ตามองผู้หญิงใต้ร่างที่เริ่มมีข้อต่อรองกับเขามากจนเกินความจำเป็น อีกไม่กี่นาทีข้างหน้าเธอต้องเรียกร้องของขวัญในวันพิเศษที่ไม่รู้ว่าเขาจะจำได้รึเปล่าว่ามันพิเศษยังไง หรือไม่ก็คงจะเป็นการคุกเข่าบอกรัก ซึ่ง... มันดูมากไปหน่อยถ้าต้องลงทุนหมดหน้าตักเช่นนั้น
อันที่จริงแล้วสิ่งเหล่านั้นมันไม่ได้มากมายเกินความสามารถของเขา แต่เธอต้องรู้และเข้าใจอย่างลึกซึ้งในทุกความหมายของคำว่าคนรัก
แพรวาเริ่มหน้าบึ้งเมื่อเห็นเขาเงียบไปครู่หนึ่ง ทั้งยังมองราวกับว่านั่นคือความคิดเลื่อนเปื้อนเพียงฝ่ายเดียวของเธอ “ถอย หายใจไม่ออก”
สั่งด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ปั้นหน้างอทั้งยังผลักแผงอกเขาเป็นพัลวัน “แค่ผมถอนจูบไม่กี่นาทีคุณก็ร่ำๆว่าให้ช่วยผายปอดแล้วหรือไง จอมเรียกร้อง”
ประณามเธออย่างหยอกล้อทั้งยังทำท่าว่าจะก้มลงไปหาอีกครั้ง แต่ยังช้ากว่าฝ่ามือบางที่ยกขึ้นปิดปากเขาอย่างรวดเร็ว “อย่านะ ห้ามเด็ดขาดเลย”
“อ้าว! คนรักกันก็ต้องแสดงความรักต่อกัน กอดนิดจูบหน่อยถือเป็นเรื่องธรรมดา”
“ฉันหมายถึงเราต้องลองคบหากันก่อน ศึกษานิสัยใจคอกันดูแล้วค่อย...” พูดไม่ทันจบประโยคเขาก็ขัดคอขึ้นมาทันที
“เรื่องมากจริง มีอย่างที่ไหนจะให้เริ่มจีบเมียตัวเองใหม่ ไม่เอาล่ะ ยังไงคุณก็เป็นเมียผมแล้ว ย้ายมาอยู่ด้วยกันเดี๋ยวก็รู้เองว่านิสัยใจคอเป็นยังไง”
“ไม่ได้...” แพรวาลากเสียงปฏิเสธ “เราเติบโตมาในวัฒนธรรมสังคมที่ต่างกัน คุณต้องยอมรับในสิ่งที่ฉันเป็น ให้เกียรติและเคารพการตัดสินใจของฉัน ห้ามก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว อีกอย่างฉันมาที่นี่เพื่อเรียนหนังสือ ยังมีลุงกับป้ารออยู่ที่เมืองไทย ถ้าทำตัวเหลวไหลแบบนี้จะมีหน้ากลับไปมองท่านได้ยังไง”
ร่ายยาวจนคนฟังต้องชักสีหน้าครุ่นคิดเพราะไม่รู้ว่านี่คือความคิดของผู้หญิงที่อยู่ในยุคนี้จริงๆ หรือ “ผมก็... พอจะเข้าใจแต่ไม่เข้าใจว่าการมีคนรักถือเป็นเรื่องเหลวไหล”
“จะเป็นเรื่องปกติ ถ้าคบกันโดยไม่มีเรื่องความสัมพันธ์ทางกายเข้ามาเกี่ยวข้อง”
“ม่าย...”
“งั้นก็ล้มเลิกทุกอย่างไปได้เลยเพราะฉันจะไม่ยอมขึ้นเตียงกับผู้ชายที่เพิ่งคบหาดูใจกันแน่ๆ”
อาเชอร์ขมวดคิ้วจรดกันแทบจะเป็นเส้นตรงเพราะยังไม่ค่อยเข้าใจในจุดประสงค์ของเธอนัก “คงไม่ได้หมายความว่า ในระหว่างที่เราคบหาดูใจกันในแบบของคุณเนี่ย อนุญาตให้ผมไปหาเซ็กซ์เอากับผู้หญิงคนอื่นหรอกนะ”
“ถ้าคิดจะทำอย่างนั้นก็อย่ามาคบฉันให้เสียเวลาเลยดีกว่า อยากได้สักกี่คนก็ไปซื้อเอาตามสบายเถอะ คนมักง่าย!” อีกครั้งที่แพรวาผงกศีรษะขึ้นมาตวาดใส่หน้าเขาแล้วทิ้งตัวกลับลงไปอย่างคนเจ้าอารมณ์
“เออ! ก็ถ้าทำให้ทุกอย่างมันยากไปหมดแล้วจะคุยกันรู้เรื่องสักทีไหม” โต้กลับบ้างทั้งยังไม่รู้ว่าจะอดทนใจเย็นเจรจาเรื่องยิบย่อยนี้ไปได้อีกสักกี่น้ำ “วัยรุ่นสิบสี่สิบห้าคบกันยังมีอะไรกัน แล้วผมผู้ชายเต็มตัวนะทูนหัว ไม่ให้เอาจากคุณแล้วจะไปเรียกร้องเอาจากใคร”
ถึงคราวที่เธอต้องพูดไม่ออกจนต่อแต้มในทุกทาง เธอไม่ได้ไร้เดียงสาจนกระทั่งไม่เข้าใจในความต้องการของมนุษย์ ในขณะที่เธอก็ไม่อาจปล่อยให้เรื่องเกินเลยเช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำสอง
อาเชอร์ส่ายหน้าให้กับคนหัวรั้นที่ไม่มีคำตอบกลับมาให้ ไม่ได้อยากคะยั้นคะยอเอาคำตอบจากเธอแต่เขาอยากได้น้ำเย็นจัดราดศีรษะสักหน่อย เผื่อกลับออกมาจากห้องน้ำอีกครั้งแล้วจะได้ใจแข็ง ต่อรองกับเธอโดยที่ไม่ทำให้ตัวเองต้องลำบากใจทรมานกายในภายหลัง
“ถ้ายังหาทางออกให้ผมไม่ได้ ก็ต้องเป็นคนรักตามแบบที่ผมต้องการ” บอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่นก่อนจะผละออกจากร่างอรชรที่ยังนอนนิ่งตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง
ทำไมแพรวาจะไม่เข้าใจความสัมพันธ์ของหญิงชายในปัจจุบัน เหมือนเป็นการทดลองใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันก่อนจดทะเบียนสมรสหรือมีพิธีการอันศักดิ์สิทธิ์ แต่เธอเติบโตและถูกอบรมสั่งสอนมาอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งมองปราดเดียวก็รู้ว่าคนอย่างเขาไม่มีทางยอมรับ
...แล้วในทางตรงกันข้ามถ้าเธอคว้าเอาฐานะ ‘คนรัก’ ที่เขาหยิบยื่นให้ไม่แน่ว่าอาจต้องกลายเป็นนางบำเรอขึ้นมาจริงๆ ทุกครั้งที่พบหน้ากันเขาก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเอาแต่ใจตัวเองสักแค่ไหน เมื่อคิดมาถึงจุดนี้เสียงในหัวใจยังประท้วงว่าทุกอย่างนั้นเป็นเพราะหัวใจเธอไม่กล้าปฏิเสธว่าคิดถึงอ้อมกอดอันอบอุ่นของเขาต่างหาก
แพรวาได้แต่ทอดถอนหายใจเพราะไม่คิดมาก่อนเลยว่าการเผชิญหน้ากับเขาเป็นครั้งที่สามนั้น หัวใจไม่รักดีของเธอเริ่มเอนเอียงไปภักดีต่อเขาแล้ว
ความจริงในข้อนั้นทำให้แพรวาตกใจไม่น้อย เพราะรู้ดีว่าหากควบคุมหัวใจตัวเองไม่ได้แล้วการอยู่ใกล้ชิดกันเช่นนี้ ยิ่งล่อแหลมและมีความเสี่ยงที่จะเกิดเรื่องเช่นในคืนนั้นซ้ำสองอีก
“ต้องคิดหนักขนาดคิ้วผูกกันเป็นโบเชียวรึ” มีทั้งความขบขันและระอาใจเจืออยู่ในน้ำเสียงนั้น
แพรวากะพริบตาถี่ๆ มองตามร่างสูงใหญ่ที่อยู่ในเสื้อคอโปโลกับกางเกงขาสั้น เสยผมลวกๆ ซึ่งเป็นรูปลักษณ์ที่เธอเพิ่งได้เห็นเป็นครั้งแรก จากมาเฟียมาดเฉียบขาด ดุดัน ตอนนี้เขาหล่อเหลาเจ้าเสน่ห์ ดูเป็นมิตรมากกว่าผูกเนกไทสวมสูทอยู่หลายเท่า
แม้ไม่ได้คำตอบว่าอย่างไรแต่สายตาที่มองมาอย่างเป็นประกายก็ทำให้อาเชอร์พึงใจไม่น้อย อาจจะไม่ได้มองแล้วส่งสายตาวิบวับให้เขาเหมือนเช่นสาวๆ ส่วนมาก แต่เชื่อเถอะว่าเขาพอใจในสายตาอยากรู้อยากเห็นของเธอ “ถ้าเป็นคู่รักตามคำจำกัดความของผม คุณจะมีสิทธิ์กอด จูบลูบคลำผมได้ตามใจชอบ”
ไม่พูดเปล่าแต่ยังทรุดตัวนั่งลงเบียดร่างอรชรซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาก่อนแล้ว กลิ่นสะอาดของเปปเปอร์มิ้นต์ในน้ำหอมของผู้ชายล่อลวงให้แพรวานั่งนิ่งไม่ไหวติง มารู้สึกตัวอีกทีว่าตกอยู่ในอ้อมกอดแข็งแรงก็เมื่อรอยยิ้มพรายที่อยู่บนใบหน้าหล่อเหลานั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้
“บ้า! ฉันไม่ได้ลามกอย่างคุณนี่ ถึงจะได้คิดแต่เรื่องอย่างว่า”
“แล้วหาทางออกให้คนลามกคิดแต่เรื่องอย่างว่าทุกวินาทีได้รึยัง” ไม่เพียงไม่ตอบแต่แม่คนหัวรั้นกลับทำไม่รู้ไม่ชี้ สายตาจดจ้องอยู่ที่ซีรีส์สืบสวนสอบสวนที่เธอชื่นชอบนักหนา “แพรวา”
น้ำเสียงคาดโทษนั้นทำให้แพรวาหันขวับกลับมาจ้องมองหน้าเขาราวกับเพิ่งนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “ทำไมคุณรู้ว่าฉันชอบดูซีรีส์พวกนี้ รู้ได้ยังไงว่าวันนี้ฉันไม่มีเรียน แล้วรู้ได้ยังไงว่า...”
“ผมรู้ทุกอย่างรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับเมียตัวเอง เพราะฉะนั้นระหว่างเราข้ามผ่านจุดที่คุณพูดถึงหรือกำลังอยากให้ไปมาไกลมากแล้ว เชื่อผมสิว่าทุกอย่างมันจะไปได้ดี”
“คุณให้คนสะกดรอยตามฉันมาตลอด” แพรวาถามด้วยใบหน้าบูดบึ้งและมากกว่าเดิมเมื่อเขายังเงียบ “ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ผมมีสิทธิ์ที่จะรู้ว่าเมียตัวเองทำอะไร อยู่ที่ไหน ปลอดภัยหรือกำลังตกอยู่ในอันตราย” อาเชอร์เริ่มตอบด้วยน้ำเสียงติดรำคาญใจ ความจริงแล้วเขาไม่พอใจที่เธอใช้คำถามราวกับเขาเข้าไปวุ่นวายในชีวิต ทั้งที่ความจริงแล้วเขามีสิทธิ์เต็มที่ต่างหาก
“คุณเรียกผู้หญิงทุกคนที่นอนด้วยว่าเมียหรือไง ถ้าไม่ใช่... ก็อย่ามาอ้างสิทธิ์นั้นดีกว่า อีกอย่างฉันยังไม่ได้แต่งงานกับใคร เพราะฉะนั้นฉันก็ยังไม่ได้เป็นเมียใครเหมือนกัน”
“แปลว่าเรากำลังจะแต่งงานกัน...” ข้อเรียกร้องสูงจริงนะแม่คุณ
แพรวาชะงักไปเสี้ยววินาทีเพราะไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดนั้นหลุดจากปากเขา แต่น้ำเสียงประชดประชันนั้นทำให้เธอต้องกระแทกเสียงตอบกลับไปเช่นกัน “แปลว่า... ฉันจะแต่งงานกับผู้ชายที่รักฉันและฉันก็ต้องรู้สึกแบบเดียวกันด้วย ไม่มีความหมายอื่นนอกเหนือจากนี้”
“เช่นว่าอะไรล่ะ อธิบายมาให้ละเอียดกว่านี้ ผมขี้เกียจต้องมานั่งเดาใจคุณ”
“ก็...ไม่รู้สิคะ เราเริ่มต้นกันแบบที่มันไม่ถูกต้อง จะให้อธิบายก็ไม่รู้ว่าควรต้องเริ่มตรงไหนดี อย่างน้อยถ้าเราคิดว่าจะเริ่มต้นคบหาดูใจมันคงต้องเริ่มจากความพึงพอใจกัน คุยกันถูกคอแล้วถึงจะตกลงเป็นคนรัก ซึ่งฉันคิดว่ามันก็ไม่น่าจะยาก ถ้า...” แพรวาลากเสียงยาว ไม่แน่ใจว่าจะพูดออกไปดีหรือไม่เพราะเท่าที่เห็นเขากำลังหน้าบึ้งจัด
ก็ต้องหน้าบึ้งกันหน่อยล่ะ เธอร่ายยาวขนาดนี้มีหรือที่เขาจะไม่รู้ว่ามันจะไปจบลงตรงให้เขาเริ่มจีบเมียตัวเอง!
เธอต้องการเดต ดอกไม้ บทสนทนาทางโทรศัพท์หลายชั่วโมงซึ่งทั้งหมดนั้นมันเสียเวลาและไม่ได้ทำให้เธอเข้าใจในความปรารถนาที่เขามี ได้ดีเท่ากับภาษากายที่เขาจะแสดงให้เห็นหรอก แต่... ถ้าพูดออกไปตรงๆ อย่างนั้น เชื่อแน่ว่าเมียผู้มีข้อเรียกร้องสูงต้องหาทางหลีกหนีและถอยหลังไกลออกไปจากจุดที่เป็นอยู่นี้อย่างแน่นอน
ถ้าต้องเล่นตามบทที่เธอต้องการสักหน่อย มันก็ไม่เสียหายมากมายนักอย่างน้อยก็ดีกว่าปล่อยให้เธอไปตะลอนๆ ไปกับผู้ชายคนอื่น หรืออีกอย่างถ้าเธอจะไปไหนมาไหนนั่นก็หมายความว่าต้องมีเขาอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา
“โอเค จีบก็จีบ...” อาเชอร์สรุปออกมาเสียเอง
ทุกอย่างง่ายดาย ลงตัวราวกับเขามานั่งอยู่กลางใจนั่นก็เพียงพอแล้วให้แพรวากระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ เริ่มจีบแปลว่ายังรักษาตัวรอดพ้นจากความสัมพันธ์ในสถานะคนรัก แต่สิ่งที่เธอแสดงออกมากลับมีเพียงการมองหน้าเขาอย่างระแวดระวังแล้วกดเสียงต่ำย้ำถามถึงความสมัครใจ “คุณพูดเองนะอาเชอร์”
“ช่าย... ลูกผู้ชายคำไหนคำนั้นด้วย” อีกอย่างถ้าหากเธอรับปากเป็นคนรักในแบบที่เขาต้องการอย่างง่ายดายก็จะได้รู้ว่าเขาสามารถซ่อนอารมณ์ทุกอย่างไว้ภายใต้สีหน้าอันราบเรียบ ตอนนี้ก็เช่นกัน “ต้องให้สาบานรึเปล่า”
“อย่าเลยค่ะ”
ทุกอย่างดูผ่อนคลายเมื่อแพรวาให้เครดิตกับผู้ชายที่ยอมนั่งดูซีรีส์กับเธอราวสามชั่วโมง มือไม้ไม่ได้วุ่นวายกับเนื้อตัวเธอแต่กลับพูดคุยราวกับแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเรียนรู้กันไปในคราวเดียวกัน แม้ก่อนเวลาอาหารกลางวันจะเริ่มถกเถียงกันในการทำงาน ซึ่งแพรวาออกปากตำหนิเขาในเรื่องงานที่สโมสร...
แต่จนแล้วจนรอดเธอกลับเงียบและรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้มีความเป็นผู้นำอยู่เต็มเปี่ยม ภาพพจน์ที่อันตรายดูบางเบาลงไปมากเพราะคำพูดที่ว่า
‘ผมจะไม่เถียงกับคุณหรอกนะ เพราะรู้ว่าคุณเข้าใจความหมายที่ผมไม่อยากให้ไปทำงาน แต่ที่ยังต่อล้อต่อเถียงไม่เลิกนี่เพราะโกรธที่ผมตัดสินใจโดยพลการ’ อาเชอร์แบ่งรับแบ่งสู้เพราะเอาเข้าจริงแล้วผู้หญิงที่นั่งข้างๆ กลับหาเหตุผลมาถกเถียงเขาได้ไม่จบสิ้น ‘ผมเป็นผู้ชายอะไรที่หนักหนาสาหัส มันควรเป็นเรื่องของผม ส่วนคุณก็ควรทำใจให้สบาย ดูแลจัดการเรื่องส่วนตัวของผมและเรื่องในบ้าน อย่าคิดว่าที่คุณรับผิดชอบคือเรื่องเล็กน้อยเพราะถ้าในบ้านไม่มีความสุข ผมจะออกไปนอกบ้านทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่และประสบความสำเร็จไม่ได้เลย’
ไม่น่าเชื่ออีกเช่นกันว่ามื้อเที่ยงของทั้งคู่จะเกิดขึ้นบนโซฟาตัวใหญ่หลังจากนั้นเขาก็อาศัยตักนุ่มๆของเธอแทนหมอนและพบว่าตัวเองหลับกลางวันเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี
สำหรับแพรวาทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นรวดเร็วแต่ก็ยังช้ากว่าความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อเขา แม้ว่าผู้ชายคนนี้จะเอาแต่ใจตัวเอง บางครั้งยังสัมผัสได้ถึงความอ้างว้างพยายามเสาะหาความมั่นคงบางอย่างซึ่งสักวันหนึ่งเธอต้องหาคำตอบให้ได้ แต่ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ...
เธอต้องหิ้วเขาออกไปทานมื้อค่ำกับเพื่อนๆ ซึ่งนัดเอาไว้เมื่อสองวันที่ผ่านมาเพื่อแลกกับการก้าวขาออกจากเพนต์เฮาส์สุดหรู!
“ทีนี้เลิกเถียง หยุดต่อต้านได้แล้วนะสวีตตี้” กระซิบชิดริมฝีปากอิ่มซึ่งเจ้าตัวสะเทิ้นอายจนไม่กล้าสบสายตา หากอากัปกิริยาเหล่านั้นกลับทำให้มาเฟียหนุ่มดวงตาพร่าเลือน ไม่คิดว่าการเขินอายของผู้หญิงสักคนจะน่ารักน่าชังถึงเพียงนี้ สุดท้ายเขาก้มลงสูดเอาความหอมจากแก้มนุ่มนั้นเข้าไว้เต็มปอด “หมั่นไส้นัก”
“อื้อ...”
“แปลว่าเราเข้าใจตรงกันแล้วนะแพร คุณเป็นคนรักของผม” สรุปและตีขลุมเข้าข้างตัวเองจนอีกคนต้องเบิกตากว้างมองอย่างไม่อยากเชื่อ
“ได้ที่ไหนล่ะ!” ส่ายหน้าดิกแล้วอธิบายเร็วๆ “เราต้องลองคบกันก่อน เรียนรู้นิสัยใจคอกันไปแล้วค่อยพัฒนามาเป็นคนรัก ถ้าจะให้เป็นคนรักคุณปุบปับแบบนี้ ฉันรับไม่ทันหรอกค่ะ มันดูเร็วไป”
อาเชอร์หรี่ตามองผู้หญิงใต้ร่างที่เริ่มมีข้อต่อรองกับเขามากจนเกินความจำเป็น อีกไม่กี่นาทีข้างหน้าเธอต้องเรียกร้องของขวัญในวันพิเศษที่ไม่รู้ว่าเขาจะจำได้รึเปล่าว่ามันพิเศษยังไง หรือไม่ก็คงจะเป็นการคุกเข่าบอกรัก ซึ่ง... มันดูมากไปหน่อยถ้าต้องลงทุนหมดหน้าตักเช่นนั้น
อันที่จริงแล้วสิ่งเหล่านั้นมันไม่ได้มากมายเกินความสามารถของเขา แต่เธอต้องรู้และเข้าใจอย่างลึกซึ้งในทุกความหมายของคำว่าคนรัก
แพรวาเริ่มหน้าบึ้งเมื่อเห็นเขาเงียบไปครู่หนึ่ง ทั้งยังมองราวกับว่านั่นคือความคิดเลื่อนเปื้อนเพียงฝ่ายเดียวของเธอ “ถอย หายใจไม่ออก”
สั่งด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ปั้นหน้างอทั้งยังผลักแผงอกเขาเป็นพัลวัน “แค่ผมถอนจูบไม่กี่นาทีคุณก็ร่ำๆว่าให้ช่วยผายปอดแล้วหรือไง จอมเรียกร้อง”
ประณามเธออย่างหยอกล้อทั้งยังทำท่าว่าจะก้มลงไปหาอีกครั้ง แต่ยังช้ากว่าฝ่ามือบางที่ยกขึ้นปิดปากเขาอย่างรวดเร็ว “อย่านะ ห้ามเด็ดขาดเลย”
“อ้าว! คนรักกันก็ต้องแสดงความรักต่อกัน กอดนิดจูบหน่อยถือเป็นเรื่องธรรมดา”
“ฉันหมายถึงเราต้องลองคบหากันก่อน ศึกษานิสัยใจคอกันดูแล้วค่อย...” พูดไม่ทันจบประโยคเขาก็ขัดคอขึ้นมาทันที
“เรื่องมากจริง มีอย่างที่ไหนจะให้เริ่มจีบเมียตัวเองใหม่ ไม่เอาล่ะ ยังไงคุณก็เป็นเมียผมแล้ว ย้ายมาอยู่ด้วยกันเดี๋ยวก็รู้เองว่านิสัยใจคอเป็นยังไง”
“ไม่ได้...” แพรวาลากเสียงปฏิเสธ “เราเติบโตมาในวัฒนธรรมสังคมที่ต่างกัน คุณต้องยอมรับในสิ่งที่ฉันเป็น ให้เกียรติและเคารพการตัดสินใจของฉัน ห้ามก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว อีกอย่างฉันมาที่นี่เพื่อเรียนหนังสือ ยังมีลุงกับป้ารออยู่ที่เมืองไทย ถ้าทำตัวเหลวไหลแบบนี้จะมีหน้ากลับไปมองท่านได้ยังไง”
ร่ายยาวจนคนฟังต้องชักสีหน้าครุ่นคิดเพราะไม่รู้ว่านี่คือความคิดของผู้หญิงที่อยู่ในยุคนี้จริงๆ หรือ “ผมก็... พอจะเข้าใจแต่ไม่เข้าใจว่าการมีคนรักถือเป็นเรื่องเหลวไหล”
“จะเป็นเรื่องปกติ ถ้าคบกันโดยไม่มีเรื่องความสัมพันธ์ทางกายเข้ามาเกี่ยวข้อง”
“ม่าย...”
“งั้นก็ล้มเลิกทุกอย่างไปได้เลยเพราะฉันจะไม่ยอมขึ้นเตียงกับผู้ชายที่เพิ่งคบหาดูใจกันแน่ๆ”
อาเชอร์ขมวดคิ้วจรดกันแทบจะเป็นเส้นตรงเพราะยังไม่ค่อยเข้าใจในจุดประสงค์ของเธอนัก “คงไม่ได้หมายความว่า ในระหว่างที่เราคบหาดูใจกันในแบบของคุณเนี่ย อนุญาตให้ผมไปหาเซ็กซ์เอากับผู้หญิงคนอื่นหรอกนะ”
“ถ้าคิดจะทำอย่างนั้นก็อย่ามาคบฉันให้เสียเวลาเลยดีกว่า อยากได้สักกี่คนก็ไปซื้อเอาตามสบายเถอะ คนมักง่าย!” อีกครั้งที่แพรวาผงกศีรษะขึ้นมาตวาดใส่หน้าเขาแล้วทิ้งตัวกลับลงไปอย่างคนเจ้าอารมณ์
“เออ! ก็ถ้าทำให้ทุกอย่างมันยากไปหมดแล้วจะคุยกันรู้เรื่องสักทีไหม” โต้กลับบ้างทั้งยังไม่รู้ว่าจะอดทนใจเย็นเจรจาเรื่องยิบย่อยนี้ไปได้อีกสักกี่น้ำ “วัยรุ่นสิบสี่สิบห้าคบกันยังมีอะไรกัน แล้วผมผู้ชายเต็มตัวนะทูนหัว ไม่ให้เอาจากคุณแล้วจะไปเรียกร้องเอาจากใคร”
ถึงคราวที่เธอต้องพูดไม่ออกจนต่อแต้มในทุกทาง เธอไม่ได้ไร้เดียงสาจนกระทั่งไม่เข้าใจในความต้องการของมนุษย์ ในขณะที่เธอก็ไม่อาจปล่อยให้เรื่องเกินเลยเช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำสอง
อาเชอร์ส่ายหน้าให้กับคนหัวรั้นที่ไม่มีคำตอบกลับมาให้ ไม่ได้อยากคะยั้นคะยอเอาคำตอบจากเธอแต่เขาอยากได้น้ำเย็นจัดราดศีรษะสักหน่อย เผื่อกลับออกมาจากห้องน้ำอีกครั้งแล้วจะได้ใจแข็ง ต่อรองกับเธอโดยที่ไม่ทำให้ตัวเองต้องลำบากใจทรมานกายในภายหลัง
“ถ้ายังหาทางออกให้ผมไม่ได้ ก็ต้องเป็นคนรักตามแบบที่ผมต้องการ” บอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่นก่อนจะผละออกจากร่างอรชรที่ยังนอนนิ่งตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง
ทำไมแพรวาจะไม่เข้าใจความสัมพันธ์ของหญิงชายในปัจจุบัน เหมือนเป็นการทดลองใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันก่อนจดทะเบียนสมรสหรือมีพิธีการอันศักดิ์สิทธิ์ แต่เธอเติบโตและถูกอบรมสั่งสอนมาอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งมองปราดเดียวก็รู้ว่าคนอย่างเขาไม่มีทางยอมรับ
...แล้วในทางตรงกันข้ามถ้าเธอคว้าเอาฐานะ ‘คนรัก’ ที่เขาหยิบยื่นให้ไม่แน่ว่าอาจต้องกลายเป็นนางบำเรอขึ้นมาจริงๆ ทุกครั้งที่พบหน้ากันเขาก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเอาแต่ใจตัวเองสักแค่ไหน เมื่อคิดมาถึงจุดนี้เสียงในหัวใจยังประท้วงว่าทุกอย่างนั้นเป็นเพราะหัวใจเธอไม่กล้าปฏิเสธว่าคิดถึงอ้อมกอดอันอบอุ่นของเขาต่างหาก
แพรวาได้แต่ทอดถอนหายใจเพราะไม่คิดมาก่อนเลยว่าการเผชิญหน้ากับเขาเป็นครั้งที่สามนั้น หัวใจไม่รักดีของเธอเริ่มเอนเอียงไปภักดีต่อเขาแล้ว
ความจริงในข้อนั้นทำให้แพรวาตกใจไม่น้อย เพราะรู้ดีว่าหากควบคุมหัวใจตัวเองไม่ได้แล้วการอยู่ใกล้ชิดกันเช่นนี้ ยิ่งล่อแหลมและมีความเสี่ยงที่จะเกิดเรื่องเช่นในคืนนั้นซ้ำสองอีก
“ต้องคิดหนักขนาดคิ้วผูกกันเป็นโบเชียวรึ” มีทั้งความขบขันและระอาใจเจืออยู่ในน้ำเสียงนั้น
แพรวากะพริบตาถี่ๆ มองตามร่างสูงใหญ่ที่อยู่ในเสื้อคอโปโลกับกางเกงขาสั้น เสยผมลวกๆ ซึ่งเป็นรูปลักษณ์ที่เธอเพิ่งได้เห็นเป็นครั้งแรก จากมาเฟียมาดเฉียบขาด ดุดัน ตอนนี้เขาหล่อเหลาเจ้าเสน่ห์ ดูเป็นมิตรมากกว่าผูกเนกไทสวมสูทอยู่หลายเท่า
แม้ไม่ได้คำตอบว่าอย่างไรแต่สายตาที่มองมาอย่างเป็นประกายก็ทำให้อาเชอร์พึงใจไม่น้อย อาจจะไม่ได้มองแล้วส่งสายตาวิบวับให้เขาเหมือนเช่นสาวๆ ส่วนมาก แต่เชื่อเถอะว่าเขาพอใจในสายตาอยากรู้อยากเห็นของเธอ “ถ้าเป็นคู่รักตามคำจำกัดความของผม คุณจะมีสิทธิ์กอด จูบลูบคลำผมได้ตามใจชอบ”
ไม่พูดเปล่าแต่ยังทรุดตัวนั่งลงเบียดร่างอรชรซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาก่อนแล้ว กลิ่นสะอาดของเปปเปอร์มิ้นต์ในน้ำหอมของผู้ชายล่อลวงให้แพรวานั่งนิ่งไม่ไหวติง มารู้สึกตัวอีกทีว่าตกอยู่ในอ้อมกอดแข็งแรงก็เมื่อรอยยิ้มพรายที่อยู่บนใบหน้าหล่อเหลานั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้
“บ้า! ฉันไม่ได้ลามกอย่างคุณนี่ ถึงจะได้คิดแต่เรื่องอย่างว่า”
“แล้วหาทางออกให้คนลามกคิดแต่เรื่องอย่างว่าทุกวินาทีได้รึยัง” ไม่เพียงไม่ตอบแต่แม่คนหัวรั้นกลับทำไม่รู้ไม่ชี้ สายตาจดจ้องอยู่ที่ซีรีส์สืบสวนสอบสวนที่เธอชื่นชอบนักหนา “แพรวา”
น้ำเสียงคาดโทษนั้นทำให้แพรวาหันขวับกลับมาจ้องมองหน้าเขาราวกับเพิ่งนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “ทำไมคุณรู้ว่าฉันชอบดูซีรีส์พวกนี้ รู้ได้ยังไงว่าวันนี้ฉันไม่มีเรียน แล้วรู้ได้ยังไงว่า...”
“ผมรู้ทุกอย่างรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับเมียตัวเอง เพราะฉะนั้นระหว่างเราข้ามผ่านจุดที่คุณพูดถึงหรือกำลังอยากให้ไปมาไกลมากแล้ว เชื่อผมสิว่าทุกอย่างมันจะไปได้ดี”
“คุณให้คนสะกดรอยตามฉันมาตลอด” แพรวาถามด้วยใบหน้าบูดบึ้งและมากกว่าเดิมเมื่อเขายังเงียบ “ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ผมมีสิทธิ์ที่จะรู้ว่าเมียตัวเองทำอะไร อยู่ที่ไหน ปลอดภัยหรือกำลังตกอยู่ในอันตราย” อาเชอร์เริ่มตอบด้วยน้ำเสียงติดรำคาญใจ ความจริงแล้วเขาไม่พอใจที่เธอใช้คำถามราวกับเขาเข้าไปวุ่นวายในชีวิต ทั้งที่ความจริงแล้วเขามีสิทธิ์เต็มที่ต่างหาก
“คุณเรียกผู้หญิงทุกคนที่นอนด้วยว่าเมียหรือไง ถ้าไม่ใช่... ก็อย่ามาอ้างสิทธิ์นั้นดีกว่า อีกอย่างฉันยังไม่ได้แต่งงานกับใคร เพราะฉะนั้นฉันก็ยังไม่ได้เป็นเมียใครเหมือนกัน”
“แปลว่าเรากำลังจะแต่งงานกัน...” ข้อเรียกร้องสูงจริงนะแม่คุณ
แพรวาชะงักไปเสี้ยววินาทีเพราะไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดนั้นหลุดจากปากเขา แต่น้ำเสียงประชดประชันนั้นทำให้เธอต้องกระแทกเสียงตอบกลับไปเช่นกัน “แปลว่า... ฉันจะแต่งงานกับผู้ชายที่รักฉันและฉันก็ต้องรู้สึกแบบเดียวกันด้วย ไม่มีความหมายอื่นนอกเหนือจากนี้”
“เช่นว่าอะไรล่ะ อธิบายมาให้ละเอียดกว่านี้ ผมขี้เกียจต้องมานั่งเดาใจคุณ”
“ก็...ไม่รู้สิคะ เราเริ่มต้นกันแบบที่มันไม่ถูกต้อง จะให้อธิบายก็ไม่รู้ว่าควรต้องเริ่มตรงไหนดี อย่างน้อยถ้าเราคิดว่าจะเริ่มต้นคบหาดูใจมันคงต้องเริ่มจากความพึงพอใจกัน คุยกันถูกคอแล้วถึงจะตกลงเป็นคนรัก ซึ่งฉันคิดว่ามันก็ไม่น่าจะยาก ถ้า...” แพรวาลากเสียงยาว ไม่แน่ใจว่าจะพูดออกไปดีหรือไม่เพราะเท่าที่เห็นเขากำลังหน้าบึ้งจัด
ก็ต้องหน้าบึ้งกันหน่อยล่ะ เธอร่ายยาวขนาดนี้มีหรือที่เขาจะไม่รู้ว่ามันจะไปจบลงตรงให้เขาเริ่มจีบเมียตัวเอง!
เธอต้องการเดต ดอกไม้ บทสนทนาทางโทรศัพท์หลายชั่วโมงซึ่งทั้งหมดนั้นมันเสียเวลาและไม่ได้ทำให้เธอเข้าใจในความปรารถนาที่เขามี ได้ดีเท่ากับภาษากายที่เขาจะแสดงให้เห็นหรอก แต่... ถ้าพูดออกไปตรงๆ อย่างนั้น เชื่อแน่ว่าเมียผู้มีข้อเรียกร้องสูงต้องหาทางหลีกหนีและถอยหลังไกลออกไปจากจุดที่เป็นอยู่นี้อย่างแน่นอน
ถ้าต้องเล่นตามบทที่เธอต้องการสักหน่อย มันก็ไม่เสียหายมากมายนักอย่างน้อยก็ดีกว่าปล่อยให้เธอไปตะลอนๆ ไปกับผู้ชายคนอื่น หรืออีกอย่างถ้าเธอจะไปไหนมาไหนนั่นก็หมายความว่าต้องมีเขาอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา
“โอเค จีบก็จีบ...” อาเชอร์สรุปออกมาเสียเอง
ทุกอย่างง่ายดาย ลงตัวราวกับเขามานั่งอยู่กลางใจนั่นก็เพียงพอแล้วให้แพรวากระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ เริ่มจีบแปลว่ายังรักษาตัวรอดพ้นจากความสัมพันธ์ในสถานะคนรัก แต่สิ่งที่เธอแสดงออกมากลับมีเพียงการมองหน้าเขาอย่างระแวดระวังแล้วกดเสียงต่ำย้ำถามถึงความสมัครใจ “คุณพูดเองนะอาเชอร์”
“ช่าย... ลูกผู้ชายคำไหนคำนั้นด้วย” อีกอย่างถ้าหากเธอรับปากเป็นคนรักในแบบที่เขาต้องการอย่างง่ายดายก็จะได้รู้ว่าเขาสามารถซ่อนอารมณ์ทุกอย่างไว้ภายใต้สีหน้าอันราบเรียบ ตอนนี้ก็เช่นกัน “ต้องให้สาบานรึเปล่า”
“อย่าเลยค่ะ”
ทุกอย่างดูผ่อนคลายเมื่อแพรวาให้เครดิตกับผู้ชายที่ยอมนั่งดูซีรีส์กับเธอราวสามชั่วโมง มือไม้ไม่ได้วุ่นวายกับเนื้อตัวเธอแต่กลับพูดคุยราวกับแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเรียนรู้กันไปในคราวเดียวกัน แม้ก่อนเวลาอาหารกลางวันจะเริ่มถกเถียงกันในการทำงาน ซึ่งแพรวาออกปากตำหนิเขาในเรื่องงานที่สโมสร...
แต่จนแล้วจนรอดเธอกลับเงียบและรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้มีความเป็นผู้นำอยู่เต็มเปี่ยม ภาพพจน์ที่อันตรายดูบางเบาลงไปมากเพราะคำพูดที่ว่า
‘ผมจะไม่เถียงกับคุณหรอกนะ เพราะรู้ว่าคุณเข้าใจความหมายที่ผมไม่อยากให้ไปทำงาน แต่ที่ยังต่อล้อต่อเถียงไม่เลิกนี่เพราะโกรธที่ผมตัดสินใจโดยพลการ’ อาเชอร์แบ่งรับแบ่งสู้เพราะเอาเข้าจริงแล้วผู้หญิงที่นั่งข้างๆ กลับหาเหตุผลมาถกเถียงเขาได้ไม่จบสิ้น ‘ผมเป็นผู้ชายอะไรที่หนักหนาสาหัส มันควรเป็นเรื่องของผม ส่วนคุณก็ควรทำใจให้สบาย ดูแลจัดการเรื่องส่วนตัวของผมและเรื่องในบ้าน อย่าคิดว่าที่คุณรับผิดชอบคือเรื่องเล็กน้อยเพราะถ้าในบ้านไม่มีความสุข ผมจะออกไปนอกบ้านทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่และประสบความสำเร็จไม่ได้เลย’
ไม่น่าเชื่ออีกเช่นกันว่ามื้อเที่ยงของทั้งคู่จะเกิดขึ้นบนโซฟาตัวใหญ่หลังจากนั้นเขาก็อาศัยตักนุ่มๆของเธอแทนหมอนและพบว่าตัวเองหลับกลางวันเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี
สำหรับแพรวาทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นรวดเร็วแต่ก็ยังช้ากว่าความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อเขา แม้ว่าผู้ชายคนนี้จะเอาแต่ใจตัวเอง บางครั้งยังสัมผัสได้ถึงความอ้างว้างพยายามเสาะหาความมั่นคงบางอย่างซึ่งสักวันหนึ่งเธอต้องหาคำตอบให้ได้ แต่ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ...
เธอต้องหิ้วเขาออกไปทานมื้อค่ำกับเพื่อนๆ ซึ่งนัดเอาไว้เมื่อสองวันที่ผ่านมาเพื่อแลกกับการก้าวขาออกจากเพนต์เฮาส์สุดหรู!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ