เจ้าหัวใจมาเฟีย (ฉบับรีไรต์)
8.7
เขียนโดย ศิริพารา
วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 13.52 น.
15 ตอน
2 วิจารณ์
17.46K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559 13.54 น. โดย เจ้าของนิยาย
13) เจ้าหัวใจมาเฟีย (ฉบับรีไรต์) ตอนที่ 6 100%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความอาเชอร์ส่ายหน้าเพราะตลอดเวลาที่อยู่ในลิฟต์จนก้าวขาออกมาจากลิฟต์เธอยังด่าว่า ประณามเขาได้ไม่ซ้ำคำ สุดท้ายเมื่อทนไม่ไหวอาเชอร์เลยขบฟันลงข้างสะโพกงอนงามเมื่อเข้ามาอยู่ในเพนต์เฮาส์พร้อมกับปล่อยเธอลงบนโซฟาตัวใหญ่
“โรคจิตหรือไง มากัดฉันทำไม” เสียงตวาดลดลงกว่าครึ่งเพราะความจุกและเจ็บสะโพก
“ก็เลียนแบบความโรคจิตมาจากคุณนั่นแหละ” อาเชอร์ชะงักการก้าวเดินแล้วชี้นิ้วขึ้นสั่งเธอด้วยน้ำเสียงกร้าว “ทีหลังถ้าตบผมตรงไหนจะจูบคุณตรงนั้น ตวาดตะคอกไม่ให้เกียรติผมเมื่อไหร่จะเมกเลิฟหนักๆ เอาแบบฉีกทึ้งเสื้อผ้า ทำตัวไร้อารยธรรมเหมือนที่คุณชอบว่าผมนั่นแหละ”
แพรวากำมือแน่นจ้องมองเขาอย่างเจ็บแค้น คุกเข่าเถียงเขาอยู่กลางโซฟา “แล้วคุณตวาดตะคอก ชี้หน้าว่าฉันอยู่แบบนี้ไม่ผิดหรือไง”
“คุณก็มาฉีกเสื้อผ้าแล้วปล้ำผมเลยสิ จะรออะไร” ไม่พูดเปล่าแต่อาเชอร์กระตุกเสื้อของตัวเองออกแรงๆ จนกระดุมที่เหลืออยู่ไม่กี่เม็ดกระเด็นหลุด แต่นั่นมันคือการระบายอารมณ์ที่ไม่อาจจะหักหาญน้ำใจเธอได้จริงๆ
แพรวาเข่าอ่อนทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาเมื่อเห็นท่าทางคุกคามดังกล่าว ชาวาบไปทั้งร่างด้วยความสิ้นหวัง น้ำตาที่บังคับเอาไว้กลับไหลออกมาด้วยความหวั่นใจจนต้องรีบเบือนหน้าหนีเพราะไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้คนใจร้ายได้เยาะหยันซึ่งเธอไม่รู้หรอกว่าท่าทางดังกล่าวทำให้อาเชอร์แทบอยากจะกลั้นใจตาย
“เอาล่ะๆ จะอาบน้ำหรือกินมื้อเย็นก่อนก็ว่ามา”
น้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าครึ่งทำให้แพรวามีความหวังและรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาออกจากสองแก้ม หันกลับไปมองเขาอย่างระมัดระวัง “อยากกลับบ้าน ได้ไหม ฉันอยากกลับบ้าน ปล่อยฉัน...”
ไม่ควรต้องใจอ่อนกับเธอจริงๆ อาเชอร์คิดในใจและยื่นคำขาดเป็นครั้งสุดท้าย “อาหารอยู่บนโต๊ะ รีบไปจัดการเดี๋ยวนี้ แล้วถ้าผมออกมาจากห้องน้ำยังเห็นมันเหลือเท่าเดิม คราวนี้จะกินมื้อเย็นพร้อมกินคุณบนโต๊ะนั่นแหละ ถ้าคิดว่าผมแค่ขู่ก็นั่งนิ่งๆ ตรงนี้แหละ”
พูดจบก็เดินดุ่มๆ เข้าไปในห้องน้ำด้วยอารมณ์อันหลากหลาย ไม่ใช่ว่าไม่อยากร่วมโต๊ะรับประทานอาหารกับเธอแต่ทุกอย่างออกมาในรูปนี้แล้วคงไม่ได้กินอิ่มเพราะเอาแต่เถียงกันเสียมากกว่า อีกทั้งเขายังไม่รู้ว่าจะควบคุมเธอให้อยู่ในความสงบ แล้วมาเริ่มทำความรู้จักกันในแบบที่เขาต้องการได้อย่างไร
...จากแรกคิดว่าต้องรับประทานอาหารเพียงเพราะถูกบังคับแต่เมื่อได้ลิ้มลองอาหารอันโอชะ หน้าตาน่ารับประทาน ความหิวที่มีอยู่จึงถูกเข้าแทนที่ด้วยอาหารหลายจานซึ่งวางเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะ แพรวาเลือกรับประทานอย่างละเล็กละน้อย เลือกชิมทุกจานป้องกันไม่ให้เขามาหาเรื่องได้อีก
แน่นอนว่าความอิ่มท้องทำให้สมองโลดแล่นจนสามารถสังเกตได้ว่าทุกครั้งที่เธอร้องไห้ เขาจะกลอกสายตาไปมา นิ่งงันไปชั่วขณะคล้ายๆ กับทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะจัดการหรือควบคุมเธอเช่นไร
แต่ถ้าเธอตอบโต้เขาแบบตาต่อตาฟันต่อฟันแล้วล่ะก็ ไม่พ้นต้องปะทะทั้งคารมและอารมณ์ แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือไม่เคยจะเอาชนะเขาได้สักครั้ง
หรือเธอต้องใช้ไม้นวมเข้าตะล่อม?
ความคิดนั้นผุดขึ้นมาในทันที แม้อีกใจจะแย้งว่า... คนที่เชี่ยวชาญเอาแต่บังคับขู่เข็ญคนอื่นคงต้องเรียกร้องบางสิ่งบางอย่างจากเธอไม่น้อย ถึงจะยอมทำตามคำขอร้องของเธอบ้าง แต่อีกใจกลับแย้งว่า... หากไม่ลองเสี่ยงนั่นหมายถึงหมดโอกาสที่จะล่วงรู้จุดอ่อนของเขาและยังหมดโอกาสที่จะรักษาตัวเองให้รอดพ้นออกไปจากที่นี่
อาเชอร์กอดอกมองคนที่ตักของหวานกินเรื่อยๆ อย่างไม่เร่งรีบ เขารู้ว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะเธอกำลังคิดหาวิธีพาตัวเองออกไปจากที่นี่ หรือจะพูดให้ถูกคือพาตัวเองให้อยู่ห่างจากเขามากที่สุด กระทั่งเขาเดินอ้อมด้านหลังไปทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวตรงกันข้าม เธอถึงกะพริบตาถี่ๆ แล้ววางช้อนของหวานลงทั้งที่พานาคอตต้ายังหมดไปไม่ถึงครึ่งแก้ว
“อิ่มแล้วเหรอ” อาเชอร์ถามและเริ่มรับประทานอาหารมื้อเย็นของตนบ้าง
แพรวาได้แต่พยักหน้ารับน้อยๆ แม้ตัดสินใจว่าจะลองเกลี้ยกล่อมเขาดีๆ แต่เธอยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นที่ตรงไหน คุยกับเขาด้วยเรื่องอะไร “คะ...คือฉัน”
อาเชอร์เหลือบสายตามองเธอสลับกับรับประทานอาหารไปเรื่อยๆ รอฟังว่าเธอจะพูดอะไรออกมาแต่จนแล้วจนรอดก็ยังเอาแต่จ้องหน้าเขา สลับกับการถอนหายใจ “อะไรล่ะ ผมรอฟังอยู่”
“ก็... ฉันคิดว่าควรต้องรอให้คุณอิ่มก่อน จะได้อารมณ์ดีขึ้นบ้าง” เลือกคำพูดที่ดีที่สุด อ้อมค้อมที่สุดแล้ว เพราะความจริงแพรวาอยากตะโกนใส่หน้าเขาว่า... แม่ฉันสอนไม่ให้พูดกับคนที่กำลังกินข้าว มันทั้งเสียมารยาทและถ้าจะขออะไรก็ไม่มีทางสัมฤทธิ์ผล
ทว่าแพรวากลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความคิดโดยสิ้นเชิง เธอเอื้อมมือไปหยิบขวดน้ำแร่สีเขียวที่ตั้งอยู่ไม่ไกลรินใส่ในแก้วแล้วเลื่อนไปวางใกล้มือของเขา แม้ไม่ได้มีท่าทีออดอ้อนเอาอกเอาใจแต่อากัปกิริยาที่แสดงออกมานั้นก็ทำให้อาเชอร์ต้องหรี่ตาแคบ มองเธออย่างระแวดระวังไม่แพ้กัน
“ยกเว้นกลับบ้านหรือเปิดประตูให้ฉัน นอกนั้นก็พูดมาเถอะ ถ้าว่าง่ายๆ ไม่เอาแต่ใจตัวเองแล้วยอมฟังเหตุผลบ้าง มันก็ไม่มีอะไรยากเกินกว่าที่ผมจะให้คุณได้”
หน็อย... อุ้มฉันขึ้นรถอย่างหน้าไม่อายแล้วยังเป็นฝ่ายถามหาเหตุผล แพรวาคิดอย่างคับข้องใจ ทั้งเหลืออดและไร้คำบรรยายเกินกว่าจะสรรหาคำพูดใดมาโต้เถียงจริงๆ สุดท้ายได้แต่ข่มใจต่อรองกับเขาอีกครั้ง
“งั้นเรามาคุยกันด้วยเหตุผล” แพรวาชะงักคำพูดเมื่ออีกฝ่ายหยุดการเคี้ยวอาหารชั่วครู่ก่อนจะเลิกคิ้วแล้วนิ่ง เป็นเชิงปล่อยให้เธอพูดต่อไป “คือฉันต้องกลับไปอยู่ในที่ของฉัน”
“ความจำสั้นนะสวีตตี้ ถ้าคิดว่าจะคุยเรื่องนี้ ผมไม่อยากฟังและเริ่มโมโหหิว” อาเชอร์บอกและอธิบายต่อเมื่อเห็นเธอเหลือบมองอาหาร จึงพูดดักคออย่างรู้ทันความคิด “หิวคุณ”
บอกหน้าตายและไร้ยางอายที่สุด!
คนที่อับอายแทบแทรกแผ่นดินหนีกลับเป็นเธอ ทั้งโกรธทั้งอายจนรู้สึกได้ถึงไอร้อนที่ลามเลียบนผิวหน้าแต่กลับทำอะไรไม่ได้ต้องกำสองมือเอาไว้แน่นเพราะกลัวว่าจะเผลอปรี่เข้าไปทำร้ายคนหน้าไม่อายให้รู้สำนึก
“โอเค” แพรวารับคำ
หากเธอไม่รู้หรอกว่าทำให้คนที่จดจ้องอยู่อย่างไม่วางตาขำหนักสักแค่ไหน เขาอยากรู้ว่าต่อจากนี้เธอจะใช้คำพูดอย่างไร เกลี้ยกล่อมให้เขายอมจำนน “ก่อนจะพูดคุณควรต้องรู้ด้วยนะแพรวา โอกาสดีๆไม่ได้มีบ่อยครั้งนัก”
โอ๊ย... เกิดมายังไม่เคยเห็นใครเชี่ยวชาญในการบังคับขู่เข็ญแบบนี้สักที แพรวากรีดร้องอยู่ในใจ
“ค่ะ” แม้จะทำใจเย็นแล้วอดไม่ได้ที่จะกระแทกเสียงตอบ “ฉันมีหน้าที่ของตัวเองที่จะต้องทำ ต้องรับผิดชอบ ที่ผ่านมาไม่ว่าระหว่างเราจะเกิดอะไรขึ้นนั่นมันคือความผิดพลาดและฉัน... ก็ไม่อยากพลาดพลั้งแบบนั้นอีก ไม่เต็มใจ ไม่พอใจและคิดว่าไม่ถูกต้อง ถ้าคุณยังจะใช้อำนาจหรืออิทธิพลฉุดรั้งฉันมาอย่างนี้ มันผิดกฎหมาย โอเคล่ะว่าคุณอาจจะใหญ่โต เป็นที่นับหน้าถือตาจนจัดการกับเรื่องขี้ผงพวกนี้ได้ แต่ฉันไม่ชอบ ไม่เต็มใจ”
“คุณเต็มใจ” อาเชอร์แย้งในขณะที่เอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำแร่ขึ้นดื่ม
“ไม่เต็มใจ จะให้ย้ำอีกกี่ครั้งก็ยืนยันคำเดิมว่าไม่เคยเต็มใจ” แย้งกลับโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด
“ผมทำร้ายร่างกาย ทำให้คุณมีบาดแผลตรงไหน ทำไมในความทรงจำของผมคุณแค่ขัดขืนในตอนแรกเท่านั้น” อาเชอร์เริ่มระบายในเหตุผลที่ตีวนกันอยู่ในความคิดของตัวเองออกมาบ้าง “จริงอยู่ว่าคุณสู้แรงผมไม่ได้ แต่ลองลำดับความคิดดูอีกทีสิ... เราห่างไกลจากคำว่าขืนใจมากแค่ไหน”
คำพูดของเขาไม่ใช่การเตือนสติ แต่ทำให้เธอไพล่นึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาซึ่งหลีกเลี่ยงที่จะยอมรับมาตลอด อาเชอร์เองก็รู้ว่าการหักหาญน้ำใจเธอเช่นนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ แต่ในวินาทีนั้นสมองเขาคิดถึงแต่ผู้หญิงตรงหน้า ทุกอย่างค้างคาใจจนเลือกทำตามอารมณ์และตลอดเวลาที่เธอเดินจากไป เขาได้รู้หัวใจตัวเองแล้วว่า... มันทรมานสักแค่ไหนเมื่อต้องเฝ้ามองเธอไม่ต่างจากเงาเท่านั้น
“เมื่อเรารู้สึกไม่ต่างกัน ทำไมต้องปฏิเสธผม ทำไมต้องทำให้เรื่องทุกอย่างยุ่งยาก”
ทุกอย่างกำลังจะไปได้ดีหากคำพูดที่ออกมานั้นไม่แสดงว่าความผิดทุกอย่างเกิดจากเธอ “ก็ถ้าอยากให้ฉันง่าย นอนแบให้คุณทำทุกอย่างได้ตามใจชอบก็ต้องไปหาเอาจากผู้หญิงคนอื่น ฉันรู้ว่าคุณมีทั้งเงินและอิทธิพล อ้อ... ที่สำคัญมีความเป็นมาเฟียอยู่ในตัวเต็มเปี่ยม ก็ไปหาเอาจากผู้หญิงคนอื่นสิ”
“ก็ผมไม่ชอบผู้หญิงคนอื่น” ใครกันแน่ที่พูดไม่รู้เรื่องวะ ถ้าหาจากผู้หญิงคนอื่นได้จะมาเสียเวลาถกเถียงกับเธออยู่แบบนี้ทำไม
ไม่ชอบผู้หญิงคนอื่น แปลว่าชอบเธอ งั้นเรอะ?!
คำตอบของเขาทำให้ทั้งคู่นิ่งงันและจ้องตากันอยู่ครู่ใหญ่เพราะคำถามที่เกิดขึ้นในใจ ไม่ได้แตกต่างกันเลย
“ไม่รู้ล่ะ เป็นเมียผมแล้วก็ต้องอยู่กับผม ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องใช้ร่างกายให้หนักขนาดนี้ ดูสภาพตัวเองหน่อยเป็นไร ผมจับแล้วยังกลัวว่าเอวคุณจะหักคามือ เป็นถึงเมียดอนอาเชอร์ทำไมต้องใช้ชีวิตให้มันลำบากขนาดนั้น รู้ถึงไหนอายถึงนั่น” อาเชอร์ส่ายหน้าเมื่อเห็นเธอแตะมือทั้งสองข้างที่เอวของตัวเองตามคำพูดของเขา จากนั้นจึงเอื้อมมือไปรั้งแขนเรียวให้ลุกขึ้น ตั้งใจจะพาเดินเข้าไปส่งในห้องน้ำเพราะเธอไม่เถียง นั่นก็เท่ากับว่ายอมรับในสิ่งที่เขาพูด “ไป... อาบน้ำเข้านอนได้แล้ว ถ้าทำน้ำหนักให้เพิ่มขึ้นเท่าเดิมไม่ได้ก็ไม่ต้องออกไปไหน กินแล้วก็นอนอยู่บนเตียงนี่ล่ะ”
“บ้าน่ะสิ! ฉันไปเป็นเมียคุณเมื่อไหร่ถึงจะมาบังคับหรือมีสิทธิ์ตัดสินใจแทนฉันได้แบบนี้ ปล่อยเลยนะ ถ้าคุยกันดีๆ ไม่รู้เรื่องก็ไม่ต้องคุยมันแล้ว”
ไม่เพียงไม่ทำตามแต่บทเรียนของการใจอ่อนกับเธอทุกครั้งบอกให้รู้ว่า เธอพยศมากเสียจนเขาไม่ควรจะอ่อนข้อให้เลย “ผมเตือนคุณแล้วนะแพรวา”
“ฉันก็เตือนคุณแล้วเหมือนกัน ทำไมถึงได้เป็นคนพูดไม่รู้เรื่องแบบนี้ ที่ยกเอาเหตุผลทั้งหมดมาเนี่ยไม่ได้ทำความเข้าใจ หรือเกิดความเห็นใจคนอื่นบ้างเลยใช่ไหม” ไม่พูดเปล่าแต่กลับสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมและฉวยโอกาสที่เขาไม่ทันตั้งตัวผลักหน้าอกแกร่งออกไปจนสุดแรง “ไอ้มาเฟียชั่วร้าย ชอบใช้กำลังกับผู้หญิง”
ตุบ!... อาเชอร์เสียหลักจนแผ่นหลังกระแทกเข้ากับประตูไม้บานใหญ่ของห้องนอน
“ผมเตือนคุณแล้วนะแพรวา” บอกด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก ก้าวเข้าไปหาเธอด้วยท่าทางสุดจะทน “ถ้าได้ยินอีกว่าไม่ใช่เมีย ผมก็จะย้ำให้คุณได้จำไปตลอดว่าเป็นเมียอาเชอร์แล้วอย่าหวังว่าจะไปยิ้มให้ไอ้หอกหักนั่นได้อีก”
“พูดบ้าอะไรของคุณ ถอยไปนะอาเชอร์ คุณทำให้ฉันกลัว” แพรวารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
“ผมมีสิทธิ์ทุกอย่างในตัวคุณ รอยยิ้ม แววตาอ่อนโยนที่คุณชอบใช้มองคนอื่นแต่ไม่เคยมองผมแบบนั้น ถามตัวเองดูซิ มีสิทธิ์อะไรที่จะทำกับผมแบบนั้น ผมจะ...”
“ว้าย... ไอ้มาเฟียบ้า” แพรวากรีดร้องสุดเสียงและรีบเข้ามาซ่อนตัวในห้องน้ำก่อนที่เขาจะเข้ามาประชิดตัว มือไม้ล็อกประตูด้วยอาการสั่นเทา หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวเพราะท่าทีคุกคาม น้ำเสียงข่มขวัญ
อาเชอร์หัวเราะร่วนเพราะไม่คิดว่าเธอจะเคลื่อนตัวได้รวดเร็วเช่นนี้ หากความเงียบกริบและบทเรียนของความใจอ่อนสั่งให้ต้องขู่สำทับคนที่อยู่ในห้องน้ำอีกครั้ง
“ให้เวลาจัดการตัวเองยี่สิบนาที ถ้ามีลีลาเยอะกว่านี้ก็เตรียมตัวหาทางหนีออกจากห้องน้ำให้ได้ด้วยแล้วกัน”
แพรวาแทบจะบ้าตายเพราะนั่นไม่ใช่คำขู่เข็ญสุดท้ายที่ดังขึ้น คำพูดของมาเฟียจอมเผด็จการยังดังขึ้นข่มขวัญเธอตลอดสิบนาทีที่สอดสายตาหาทางเอาตัวรอด แต่ห้องน้ำที่กรุด้วยหินอ่อนจากฝ้าจรดพื้น บนชั้นสูงสุดของตึกระฟ้า หน้าต่างที่มีจึงไร้ประโยชน์สำหรับเธอนัก
...เสียงตะกุกตะกักที่ดังขึ้นตรงลูกบิดของประตูนั้น ทำให้แพรวาต้องกัดฟันอย่างข่มใจ รีบสวมชุดนอนที่ถูกจัดเตรียมไว้ด้วยความรวดเร็วและชิงกระชากประตูออกมาเสียก่อนที่เขาจะไขกุญแจเข้ามา
อาเชอร์ชะงักมือพร้อมโยนลูกกุญแจไปยังโต๊ะวางแจกันข้างห้องน้ำ “ขึ้นเตียง”
“ไม่!” สิ้นเสียงตวาดของเธอก็ทำให้เขาต้องหันกลับมาจ้องหน้าอย่างเอาเรื่อง แต่มาถึงวินาทีนี้แพรวาก็ไม่อาจทำตามคำสั่งของเขาได้เช่นกัน “ฆ่าฉันให้ตายตรงนี้เลย ถ้าคิดว่าจะ...”
“เมกเลิฟกับคุณอีกรอบน่ะเหรอ” ต่อประโยคคำพูดของเธอแล้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี แต่เชื่อเถอะว่าเสียงหัวเราะที่ได้ยินนั้นข่มขวัญเธอยิ่งนัก “ฆ่าด้วยพิศวาสน่ะ ทำแน่ๆ”
แพรวาถอยหลังกรูเมื่อเห็นเขาถอดเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้ม ปล่อยให้มันร่วงลงบนพื้นแล้วก้าวขึ้นเตียงไม่อับอายเธอสักนิด
ในขณะที่เธอมองเขาแล้วทำหน้าราวกับจะร้องไห้ ความคิดของอาเชอร์กำลังตีรวนกันอยู่ในสมอง ‘นี่โลกมันพลิกกลับตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาถึงได้เป็นฝ่ายเปลือยกายปีนขึ้นมารอผู้หญิงบนเตียงอยู่แบบนี้ ที่น่าอายที่สุดคงหนีไม่พ้นความจริงที่ว่า ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นเมียของตัวเอง’
คำถามต่อมาเกิดขึ้นอีกว่า... ทำเช่นไรถึงจะล่อให้เธอปีนตามหลังขึ้นมาคลุกเคล้าอยู่ด้วยกัน?
ก็คงจะเป็นไปได้ในสักวันแต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่วันนี้หรือตอนนี้ที่เธอเอาแต่ก้มๆ เงยๆ อยู่ตรงคันโยกอันใหญ่ของประตูห้อง ซึ่งถูกเขาล็อกเอาไว้อย่างหนาแน่น
“เคยเปิดประตูบานไหนในห้องนี้ได้สำเร็จสักครั้งไหม” อาเชอร์ผงกศีรษะขึ้นไปถามด้วยน้ำเสียงติดรำคาญใจ
แพรวาหันขวับมองเขาด้วยความคับข้องใจ แต่จะให้คลานขึ้นเตียงทำตามคำสั่งของเขาอย่างว่าง่ายนั่นก็ไม่ใช่แพรวาแล้ว
“ผมเหนื่อยเพราะต้องเถียงกับคุณมาหลายชั่วโมงแล้วถ้ายังส่งเสียงรบกวนการพักผ่อนของผมอีกสักแอะเดียว รับรองว่าได้เหนื่อยด้วยกันแน่ๆ เคยมากับตัวแล้วนี่... ผมทำให้เหนื่อยแทบขาดใจได้มากแค่ไหน” จบคำพูดก็ทิ้งศีรษะลงบนหมอนใบนุ่มทิ้งให้คนที่ต้องกรีดร้องออกมาแบบไม่มีเสียงเต้นเร่าๆ อยู่หน้าประตู
ทำได้เพียงเท่านั้นเพราะรู้อยู่แก่ใจว่าไม่เคยเอาชนะเขาได้เลย ทั้งยังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้โชคร้ายต้องมีอันมาพัวพันกับมาเฟียที่เชี่ยวชาญในการบังคับขู่เข็ญเธอทุกเรื่อง หลายเดือนที่ผ่านมา เคยคิดว่าทำใจได้ในระดับหนึ่งแล้วแต่ไม่คิดมาก่อนเลยว่าการพบหน้าเขาอีกครั้งจะทำให้เธอมีความรู้สึกหลากหลายเช่นนี้
...เถียงไม่ออก บอกไม่ถูกเมื่อเขาเอาความจริงมากองตรงหน้าว่านั่นคือการสมยอม
แพรวาเข่าอ่อนทรุดตัวนั่งกอดหัวเข่าตัวเองอยู่บนพื้น แผ่นหลังพิงประตูบานใหญ่ซึ่งคิดว่าเป็นมุมที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว ความเงียบงันที่เกิดขึ้นในห้องยังทำให้เธอคิดว่าเขาได้หลับใหลจนลึกแล้วทิ้งเธอให้จมจ่อมอยู่กับคำถามที่ไม่กล้ากระทั่งหาคำตอบให้กับตัวเอง
อีกข้อที่เธอยังไม่รู้ว่ามาเฟียชั่วอย่างเขานั้นหลับตาเข้าสู่การพักผ่อนยากเย็นสักแค่ไหน เธอเสียอีกที่เป็นฝ่ายนั่งคุดคู้อยู่ตรงมุมห้อง ขี้เซาจนไม่รู้ตัวว่าเขาลุกขึ้นแล้วไปอุ้มเธอมาวางไว้บนเตียง ไม่เพียงต้องส่ายหน้าให้กับความดื้อดึงของผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่เขากำลังอ่อนใจกับหัวใจไม่รักดีของตัวเอง มันคอยจะอ่อนข้อแล้วเอนเอียงไปตามใจเธออยู่ทุกเวลา
“โรคจิตหรือไง มากัดฉันทำไม” เสียงตวาดลดลงกว่าครึ่งเพราะความจุกและเจ็บสะโพก
“ก็เลียนแบบความโรคจิตมาจากคุณนั่นแหละ” อาเชอร์ชะงักการก้าวเดินแล้วชี้นิ้วขึ้นสั่งเธอด้วยน้ำเสียงกร้าว “ทีหลังถ้าตบผมตรงไหนจะจูบคุณตรงนั้น ตวาดตะคอกไม่ให้เกียรติผมเมื่อไหร่จะเมกเลิฟหนักๆ เอาแบบฉีกทึ้งเสื้อผ้า ทำตัวไร้อารยธรรมเหมือนที่คุณชอบว่าผมนั่นแหละ”
แพรวากำมือแน่นจ้องมองเขาอย่างเจ็บแค้น คุกเข่าเถียงเขาอยู่กลางโซฟา “แล้วคุณตวาดตะคอก ชี้หน้าว่าฉันอยู่แบบนี้ไม่ผิดหรือไง”
“คุณก็มาฉีกเสื้อผ้าแล้วปล้ำผมเลยสิ จะรออะไร” ไม่พูดเปล่าแต่อาเชอร์กระตุกเสื้อของตัวเองออกแรงๆ จนกระดุมที่เหลืออยู่ไม่กี่เม็ดกระเด็นหลุด แต่นั่นมันคือการระบายอารมณ์ที่ไม่อาจจะหักหาญน้ำใจเธอได้จริงๆ
แพรวาเข่าอ่อนทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาเมื่อเห็นท่าทางคุกคามดังกล่าว ชาวาบไปทั้งร่างด้วยความสิ้นหวัง น้ำตาที่บังคับเอาไว้กลับไหลออกมาด้วยความหวั่นใจจนต้องรีบเบือนหน้าหนีเพราะไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้คนใจร้ายได้เยาะหยันซึ่งเธอไม่รู้หรอกว่าท่าทางดังกล่าวทำให้อาเชอร์แทบอยากจะกลั้นใจตาย
“เอาล่ะๆ จะอาบน้ำหรือกินมื้อเย็นก่อนก็ว่ามา”
น้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าครึ่งทำให้แพรวามีความหวังและรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาออกจากสองแก้ม หันกลับไปมองเขาอย่างระมัดระวัง “อยากกลับบ้าน ได้ไหม ฉันอยากกลับบ้าน ปล่อยฉัน...”
ไม่ควรต้องใจอ่อนกับเธอจริงๆ อาเชอร์คิดในใจและยื่นคำขาดเป็นครั้งสุดท้าย “อาหารอยู่บนโต๊ะ รีบไปจัดการเดี๋ยวนี้ แล้วถ้าผมออกมาจากห้องน้ำยังเห็นมันเหลือเท่าเดิม คราวนี้จะกินมื้อเย็นพร้อมกินคุณบนโต๊ะนั่นแหละ ถ้าคิดว่าผมแค่ขู่ก็นั่งนิ่งๆ ตรงนี้แหละ”
พูดจบก็เดินดุ่มๆ เข้าไปในห้องน้ำด้วยอารมณ์อันหลากหลาย ไม่ใช่ว่าไม่อยากร่วมโต๊ะรับประทานอาหารกับเธอแต่ทุกอย่างออกมาในรูปนี้แล้วคงไม่ได้กินอิ่มเพราะเอาแต่เถียงกันเสียมากกว่า อีกทั้งเขายังไม่รู้ว่าจะควบคุมเธอให้อยู่ในความสงบ แล้วมาเริ่มทำความรู้จักกันในแบบที่เขาต้องการได้อย่างไร
...จากแรกคิดว่าต้องรับประทานอาหารเพียงเพราะถูกบังคับแต่เมื่อได้ลิ้มลองอาหารอันโอชะ หน้าตาน่ารับประทาน ความหิวที่มีอยู่จึงถูกเข้าแทนที่ด้วยอาหารหลายจานซึ่งวางเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะ แพรวาเลือกรับประทานอย่างละเล็กละน้อย เลือกชิมทุกจานป้องกันไม่ให้เขามาหาเรื่องได้อีก
แน่นอนว่าความอิ่มท้องทำให้สมองโลดแล่นจนสามารถสังเกตได้ว่าทุกครั้งที่เธอร้องไห้ เขาจะกลอกสายตาไปมา นิ่งงันไปชั่วขณะคล้ายๆ กับทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะจัดการหรือควบคุมเธอเช่นไร
แต่ถ้าเธอตอบโต้เขาแบบตาต่อตาฟันต่อฟันแล้วล่ะก็ ไม่พ้นต้องปะทะทั้งคารมและอารมณ์ แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือไม่เคยจะเอาชนะเขาได้สักครั้ง
หรือเธอต้องใช้ไม้นวมเข้าตะล่อม?
ความคิดนั้นผุดขึ้นมาในทันที แม้อีกใจจะแย้งว่า... คนที่เชี่ยวชาญเอาแต่บังคับขู่เข็ญคนอื่นคงต้องเรียกร้องบางสิ่งบางอย่างจากเธอไม่น้อย ถึงจะยอมทำตามคำขอร้องของเธอบ้าง แต่อีกใจกลับแย้งว่า... หากไม่ลองเสี่ยงนั่นหมายถึงหมดโอกาสที่จะล่วงรู้จุดอ่อนของเขาและยังหมดโอกาสที่จะรักษาตัวเองให้รอดพ้นออกไปจากที่นี่
อาเชอร์กอดอกมองคนที่ตักของหวานกินเรื่อยๆ อย่างไม่เร่งรีบ เขารู้ว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะเธอกำลังคิดหาวิธีพาตัวเองออกไปจากที่นี่ หรือจะพูดให้ถูกคือพาตัวเองให้อยู่ห่างจากเขามากที่สุด กระทั่งเขาเดินอ้อมด้านหลังไปทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวตรงกันข้าม เธอถึงกะพริบตาถี่ๆ แล้ววางช้อนของหวานลงทั้งที่พานาคอตต้ายังหมดไปไม่ถึงครึ่งแก้ว
“อิ่มแล้วเหรอ” อาเชอร์ถามและเริ่มรับประทานอาหารมื้อเย็นของตนบ้าง
แพรวาได้แต่พยักหน้ารับน้อยๆ แม้ตัดสินใจว่าจะลองเกลี้ยกล่อมเขาดีๆ แต่เธอยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นที่ตรงไหน คุยกับเขาด้วยเรื่องอะไร “คะ...คือฉัน”
อาเชอร์เหลือบสายตามองเธอสลับกับรับประทานอาหารไปเรื่อยๆ รอฟังว่าเธอจะพูดอะไรออกมาแต่จนแล้วจนรอดก็ยังเอาแต่จ้องหน้าเขา สลับกับการถอนหายใจ “อะไรล่ะ ผมรอฟังอยู่”
“ก็... ฉันคิดว่าควรต้องรอให้คุณอิ่มก่อน จะได้อารมณ์ดีขึ้นบ้าง” เลือกคำพูดที่ดีที่สุด อ้อมค้อมที่สุดแล้ว เพราะความจริงแพรวาอยากตะโกนใส่หน้าเขาว่า... แม่ฉันสอนไม่ให้พูดกับคนที่กำลังกินข้าว มันทั้งเสียมารยาทและถ้าจะขออะไรก็ไม่มีทางสัมฤทธิ์ผล
ทว่าแพรวากลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความคิดโดยสิ้นเชิง เธอเอื้อมมือไปหยิบขวดน้ำแร่สีเขียวที่ตั้งอยู่ไม่ไกลรินใส่ในแก้วแล้วเลื่อนไปวางใกล้มือของเขา แม้ไม่ได้มีท่าทีออดอ้อนเอาอกเอาใจแต่อากัปกิริยาที่แสดงออกมานั้นก็ทำให้อาเชอร์ต้องหรี่ตาแคบ มองเธออย่างระแวดระวังไม่แพ้กัน
“ยกเว้นกลับบ้านหรือเปิดประตูให้ฉัน นอกนั้นก็พูดมาเถอะ ถ้าว่าง่ายๆ ไม่เอาแต่ใจตัวเองแล้วยอมฟังเหตุผลบ้าง มันก็ไม่มีอะไรยากเกินกว่าที่ผมจะให้คุณได้”
หน็อย... อุ้มฉันขึ้นรถอย่างหน้าไม่อายแล้วยังเป็นฝ่ายถามหาเหตุผล แพรวาคิดอย่างคับข้องใจ ทั้งเหลืออดและไร้คำบรรยายเกินกว่าจะสรรหาคำพูดใดมาโต้เถียงจริงๆ สุดท้ายได้แต่ข่มใจต่อรองกับเขาอีกครั้ง
“งั้นเรามาคุยกันด้วยเหตุผล” แพรวาชะงักคำพูดเมื่ออีกฝ่ายหยุดการเคี้ยวอาหารชั่วครู่ก่อนจะเลิกคิ้วแล้วนิ่ง เป็นเชิงปล่อยให้เธอพูดต่อไป “คือฉันต้องกลับไปอยู่ในที่ของฉัน”
“ความจำสั้นนะสวีตตี้ ถ้าคิดว่าจะคุยเรื่องนี้ ผมไม่อยากฟังและเริ่มโมโหหิว” อาเชอร์บอกและอธิบายต่อเมื่อเห็นเธอเหลือบมองอาหาร จึงพูดดักคออย่างรู้ทันความคิด “หิวคุณ”
บอกหน้าตายและไร้ยางอายที่สุด!
คนที่อับอายแทบแทรกแผ่นดินหนีกลับเป็นเธอ ทั้งโกรธทั้งอายจนรู้สึกได้ถึงไอร้อนที่ลามเลียบนผิวหน้าแต่กลับทำอะไรไม่ได้ต้องกำสองมือเอาไว้แน่นเพราะกลัวว่าจะเผลอปรี่เข้าไปทำร้ายคนหน้าไม่อายให้รู้สำนึก
“โอเค” แพรวารับคำ
หากเธอไม่รู้หรอกว่าทำให้คนที่จดจ้องอยู่อย่างไม่วางตาขำหนักสักแค่ไหน เขาอยากรู้ว่าต่อจากนี้เธอจะใช้คำพูดอย่างไร เกลี้ยกล่อมให้เขายอมจำนน “ก่อนจะพูดคุณควรต้องรู้ด้วยนะแพรวา โอกาสดีๆไม่ได้มีบ่อยครั้งนัก”
โอ๊ย... เกิดมายังไม่เคยเห็นใครเชี่ยวชาญในการบังคับขู่เข็ญแบบนี้สักที แพรวากรีดร้องอยู่ในใจ
“ค่ะ” แม้จะทำใจเย็นแล้วอดไม่ได้ที่จะกระแทกเสียงตอบ “ฉันมีหน้าที่ของตัวเองที่จะต้องทำ ต้องรับผิดชอบ ที่ผ่านมาไม่ว่าระหว่างเราจะเกิดอะไรขึ้นนั่นมันคือความผิดพลาดและฉัน... ก็ไม่อยากพลาดพลั้งแบบนั้นอีก ไม่เต็มใจ ไม่พอใจและคิดว่าไม่ถูกต้อง ถ้าคุณยังจะใช้อำนาจหรืออิทธิพลฉุดรั้งฉันมาอย่างนี้ มันผิดกฎหมาย โอเคล่ะว่าคุณอาจจะใหญ่โต เป็นที่นับหน้าถือตาจนจัดการกับเรื่องขี้ผงพวกนี้ได้ แต่ฉันไม่ชอบ ไม่เต็มใจ”
“คุณเต็มใจ” อาเชอร์แย้งในขณะที่เอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำแร่ขึ้นดื่ม
“ไม่เต็มใจ จะให้ย้ำอีกกี่ครั้งก็ยืนยันคำเดิมว่าไม่เคยเต็มใจ” แย้งกลับโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด
“ผมทำร้ายร่างกาย ทำให้คุณมีบาดแผลตรงไหน ทำไมในความทรงจำของผมคุณแค่ขัดขืนในตอนแรกเท่านั้น” อาเชอร์เริ่มระบายในเหตุผลที่ตีวนกันอยู่ในความคิดของตัวเองออกมาบ้าง “จริงอยู่ว่าคุณสู้แรงผมไม่ได้ แต่ลองลำดับความคิดดูอีกทีสิ... เราห่างไกลจากคำว่าขืนใจมากแค่ไหน”
คำพูดของเขาไม่ใช่การเตือนสติ แต่ทำให้เธอไพล่นึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาซึ่งหลีกเลี่ยงที่จะยอมรับมาตลอด อาเชอร์เองก็รู้ว่าการหักหาญน้ำใจเธอเช่นนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ แต่ในวินาทีนั้นสมองเขาคิดถึงแต่ผู้หญิงตรงหน้า ทุกอย่างค้างคาใจจนเลือกทำตามอารมณ์และตลอดเวลาที่เธอเดินจากไป เขาได้รู้หัวใจตัวเองแล้วว่า... มันทรมานสักแค่ไหนเมื่อต้องเฝ้ามองเธอไม่ต่างจากเงาเท่านั้น
“เมื่อเรารู้สึกไม่ต่างกัน ทำไมต้องปฏิเสธผม ทำไมต้องทำให้เรื่องทุกอย่างยุ่งยาก”
ทุกอย่างกำลังจะไปได้ดีหากคำพูดที่ออกมานั้นไม่แสดงว่าความผิดทุกอย่างเกิดจากเธอ “ก็ถ้าอยากให้ฉันง่าย นอนแบให้คุณทำทุกอย่างได้ตามใจชอบก็ต้องไปหาเอาจากผู้หญิงคนอื่น ฉันรู้ว่าคุณมีทั้งเงินและอิทธิพล อ้อ... ที่สำคัญมีความเป็นมาเฟียอยู่ในตัวเต็มเปี่ยม ก็ไปหาเอาจากผู้หญิงคนอื่นสิ”
“ก็ผมไม่ชอบผู้หญิงคนอื่น” ใครกันแน่ที่พูดไม่รู้เรื่องวะ ถ้าหาจากผู้หญิงคนอื่นได้จะมาเสียเวลาถกเถียงกับเธออยู่แบบนี้ทำไม
ไม่ชอบผู้หญิงคนอื่น แปลว่าชอบเธอ งั้นเรอะ?!
คำตอบของเขาทำให้ทั้งคู่นิ่งงันและจ้องตากันอยู่ครู่ใหญ่เพราะคำถามที่เกิดขึ้นในใจ ไม่ได้แตกต่างกันเลย
“ไม่รู้ล่ะ เป็นเมียผมแล้วก็ต้องอยู่กับผม ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องใช้ร่างกายให้หนักขนาดนี้ ดูสภาพตัวเองหน่อยเป็นไร ผมจับแล้วยังกลัวว่าเอวคุณจะหักคามือ เป็นถึงเมียดอนอาเชอร์ทำไมต้องใช้ชีวิตให้มันลำบากขนาดนั้น รู้ถึงไหนอายถึงนั่น” อาเชอร์ส่ายหน้าเมื่อเห็นเธอแตะมือทั้งสองข้างที่เอวของตัวเองตามคำพูดของเขา จากนั้นจึงเอื้อมมือไปรั้งแขนเรียวให้ลุกขึ้น ตั้งใจจะพาเดินเข้าไปส่งในห้องน้ำเพราะเธอไม่เถียง นั่นก็เท่ากับว่ายอมรับในสิ่งที่เขาพูด “ไป... อาบน้ำเข้านอนได้แล้ว ถ้าทำน้ำหนักให้เพิ่มขึ้นเท่าเดิมไม่ได้ก็ไม่ต้องออกไปไหน กินแล้วก็นอนอยู่บนเตียงนี่ล่ะ”
“บ้าน่ะสิ! ฉันไปเป็นเมียคุณเมื่อไหร่ถึงจะมาบังคับหรือมีสิทธิ์ตัดสินใจแทนฉันได้แบบนี้ ปล่อยเลยนะ ถ้าคุยกันดีๆ ไม่รู้เรื่องก็ไม่ต้องคุยมันแล้ว”
ไม่เพียงไม่ทำตามแต่บทเรียนของการใจอ่อนกับเธอทุกครั้งบอกให้รู้ว่า เธอพยศมากเสียจนเขาไม่ควรจะอ่อนข้อให้เลย “ผมเตือนคุณแล้วนะแพรวา”
“ฉันก็เตือนคุณแล้วเหมือนกัน ทำไมถึงได้เป็นคนพูดไม่รู้เรื่องแบบนี้ ที่ยกเอาเหตุผลทั้งหมดมาเนี่ยไม่ได้ทำความเข้าใจ หรือเกิดความเห็นใจคนอื่นบ้างเลยใช่ไหม” ไม่พูดเปล่าแต่กลับสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมและฉวยโอกาสที่เขาไม่ทันตั้งตัวผลักหน้าอกแกร่งออกไปจนสุดแรง “ไอ้มาเฟียชั่วร้าย ชอบใช้กำลังกับผู้หญิง”
ตุบ!... อาเชอร์เสียหลักจนแผ่นหลังกระแทกเข้ากับประตูไม้บานใหญ่ของห้องนอน
“ผมเตือนคุณแล้วนะแพรวา” บอกด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก ก้าวเข้าไปหาเธอด้วยท่าทางสุดจะทน “ถ้าได้ยินอีกว่าไม่ใช่เมีย ผมก็จะย้ำให้คุณได้จำไปตลอดว่าเป็นเมียอาเชอร์แล้วอย่าหวังว่าจะไปยิ้มให้ไอ้หอกหักนั่นได้อีก”
“พูดบ้าอะไรของคุณ ถอยไปนะอาเชอร์ คุณทำให้ฉันกลัว” แพรวารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
“ผมมีสิทธิ์ทุกอย่างในตัวคุณ รอยยิ้ม แววตาอ่อนโยนที่คุณชอบใช้มองคนอื่นแต่ไม่เคยมองผมแบบนั้น ถามตัวเองดูซิ มีสิทธิ์อะไรที่จะทำกับผมแบบนั้น ผมจะ...”
“ว้าย... ไอ้มาเฟียบ้า” แพรวากรีดร้องสุดเสียงและรีบเข้ามาซ่อนตัวในห้องน้ำก่อนที่เขาจะเข้ามาประชิดตัว มือไม้ล็อกประตูด้วยอาการสั่นเทา หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวเพราะท่าทีคุกคาม น้ำเสียงข่มขวัญ
อาเชอร์หัวเราะร่วนเพราะไม่คิดว่าเธอจะเคลื่อนตัวได้รวดเร็วเช่นนี้ หากความเงียบกริบและบทเรียนของความใจอ่อนสั่งให้ต้องขู่สำทับคนที่อยู่ในห้องน้ำอีกครั้ง
“ให้เวลาจัดการตัวเองยี่สิบนาที ถ้ามีลีลาเยอะกว่านี้ก็เตรียมตัวหาทางหนีออกจากห้องน้ำให้ได้ด้วยแล้วกัน”
แพรวาแทบจะบ้าตายเพราะนั่นไม่ใช่คำขู่เข็ญสุดท้ายที่ดังขึ้น คำพูดของมาเฟียจอมเผด็จการยังดังขึ้นข่มขวัญเธอตลอดสิบนาทีที่สอดสายตาหาทางเอาตัวรอด แต่ห้องน้ำที่กรุด้วยหินอ่อนจากฝ้าจรดพื้น บนชั้นสูงสุดของตึกระฟ้า หน้าต่างที่มีจึงไร้ประโยชน์สำหรับเธอนัก
...เสียงตะกุกตะกักที่ดังขึ้นตรงลูกบิดของประตูนั้น ทำให้แพรวาต้องกัดฟันอย่างข่มใจ รีบสวมชุดนอนที่ถูกจัดเตรียมไว้ด้วยความรวดเร็วและชิงกระชากประตูออกมาเสียก่อนที่เขาจะไขกุญแจเข้ามา
อาเชอร์ชะงักมือพร้อมโยนลูกกุญแจไปยังโต๊ะวางแจกันข้างห้องน้ำ “ขึ้นเตียง”
“ไม่!” สิ้นเสียงตวาดของเธอก็ทำให้เขาต้องหันกลับมาจ้องหน้าอย่างเอาเรื่อง แต่มาถึงวินาทีนี้แพรวาก็ไม่อาจทำตามคำสั่งของเขาได้เช่นกัน “ฆ่าฉันให้ตายตรงนี้เลย ถ้าคิดว่าจะ...”
“เมกเลิฟกับคุณอีกรอบน่ะเหรอ” ต่อประโยคคำพูดของเธอแล้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี แต่เชื่อเถอะว่าเสียงหัวเราะที่ได้ยินนั้นข่มขวัญเธอยิ่งนัก “ฆ่าด้วยพิศวาสน่ะ ทำแน่ๆ”
แพรวาถอยหลังกรูเมื่อเห็นเขาถอดเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้ม ปล่อยให้มันร่วงลงบนพื้นแล้วก้าวขึ้นเตียงไม่อับอายเธอสักนิด
ในขณะที่เธอมองเขาแล้วทำหน้าราวกับจะร้องไห้ ความคิดของอาเชอร์กำลังตีรวนกันอยู่ในสมอง ‘นี่โลกมันพลิกกลับตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาถึงได้เป็นฝ่ายเปลือยกายปีนขึ้นมารอผู้หญิงบนเตียงอยู่แบบนี้ ที่น่าอายที่สุดคงหนีไม่พ้นความจริงที่ว่า ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นเมียของตัวเอง’
คำถามต่อมาเกิดขึ้นอีกว่า... ทำเช่นไรถึงจะล่อให้เธอปีนตามหลังขึ้นมาคลุกเคล้าอยู่ด้วยกัน?
ก็คงจะเป็นไปได้ในสักวันแต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่วันนี้หรือตอนนี้ที่เธอเอาแต่ก้มๆ เงยๆ อยู่ตรงคันโยกอันใหญ่ของประตูห้อง ซึ่งถูกเขาล็อกเอาไว้อย่างหนาแน่น
“เคยเปิดประตูบานไหนในห้องนี้ได้สำเร็จสักครั้งไหม” อาเชอร์ผงกศีรษะขึ้นไปถามด้วยน้ำเสียงติดรำคาญใจ
แพรวาหันขวับมองเขาด้วยความคับข้องใจ แต่จะให้คลานขึ้นเตียงทำตามคำสั่งของเขาอย่างว่าง่ายนั่นก็ไม่ใช่แพรวาแล้ว
“ผมเหนื่อยเพราะต้องเถียงกับคุณมาหลายชั่วโมงแล้วถ้ายังส่งเสียงรบกวนการพักผ่อนของผมอีกสักแอะเดียว รับรองว่าได้เหนื่อยด้วยกันแน่ๆ เคยมากับตัวแล้วนี่... ผมทำให้เหนื่อยแทบขาดใจได้มากแค่ไหน” จบคำพูดก็ทิ้งศีรษะลงบนหมอนใบนุ่มทิ้งให้คนที่ต้องกรีดร้องออกมาแบบไม่มีเสียงเต้นเร่าๆ อยู่หน้าประตู
ทำได้เพียงเท่านั้นเพราะรู้อยู่แก่ใจว่าไม่เคยเอาชนะเขาได้เลย ทั้งยังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้โชคร้ายต้องมีอันมาพัวพันกับมาเฟียที่เชี่ยวชาญในการบังคับขู่เข็ญเธอทุกเรื่อง หลายเดือนที่ผ่านมา เคยคิดว่าทำใจได้ในระดับหนึ่งแล้วแต่ไม่คิดมาก่อนเลยว่าการพบหน้าเขาอีกครั้งจะทำให้เธอมีความรู้สึกหลากหลายเช่นนี้
...เถียงไม่ออก บอกไม่ถูกเมื่อเขาเอาความจริงมากองตรงหน้าว่านั่นคือการสมยอม
แพรวาเข่าอ่อนทรุดตัวนั่งกอดหัวเข่าตัวเองอยู่บนพื้น แผ่นหลังพิงประตูบานใหญ่ซึ่งคิดว่าเป็นมุมที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว ความเงียบงันที่เกิดขึ้นในห้องยังทำให้เธอคิดว่าเขาได้หลับใหลจนลึกแล้วทิ้งเธอให้จมจ่อมอยู่กับคำถามที่ไม่กล้ากระทั่งหาคำตอบให้กับตัวเอง
อีกข้อที่เธอยังไม่รู้ว่ามาเฟียชั่วอย่างเขานั้นหลับตาเข้าสู่การพักผ่อนยากเย็นสักแค่ไหน เธอเสียอีกที่เป็นฝ่ายนั่งคุดคู้อยู่ตรงมุมห้อง ขี้เซาจนไม่รู้ตัวว่าเขาลุกขึ้นแล้วไปอุ้มเธอมาวางไว้บนเตียง ไม่เพียงต้องส่ายหน้าให้กับความดื้อดึงของผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่เขากำลังอ่อนใจกับหัวใจไม่รักดีของตัวเอง มันคอยจะอ่อนข้อแล้วเอนเอียงไปตามใจเธออยู่ทุกเวลา
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ