เจ้าหัวใจมาเฟีย (ฉบับรีไรต์)

8.7

เขียนโดย ศิริพารา

วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 13.52 น.

  15 ตอน
  2 วิจารณ์
  17.48K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559 13.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

12) เจ้าหัวใจมาเฟีย (ฉบับรีไรต์) ตอนที่ 6 50%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ขณะที่อีกคนกำลังคิดหาวิธีการเข้าหาเธออีกครั้ง แพรวากลับรีบเดินออกจากสโมสรด้วยความหิวเป็นที่สุด ทั้งหมดนั้นจะไม่เกิดขึ้นหากเธอไม่รวมเอามื้อเช้าและเที่ยงเข้าไว้ด้วยกัน อีกทั้งยังไม่รู้ว่าวันนี้จะเลิกงานช้ากว่าปกติถึงสี่สิบนาที ทว่าต้องชะงักการก้าวเดินทั้งประหลาดใจว่า ความหิวนี่มันทำให้เกิดภาพลวงตาได้ด้วยหรืออย่างไร

ร่างสูงใหญ่ที่คิดว่าไม่อาจลืมเลือนได้ชั่วชีวิตยืนพิงสะโพกอยู่กับรถยนต์คันหรู เพียงแค่ได้เห็นรอยยิ้มที่เกิดขึ้นอยู่ตรงมุมปาก แพรวาก็รู้ได้ว่านี่ไม่ใช่ภาพลวงตา!

แขนเสื้อเชิ้ตของเขาถูกพับลวกๆ ขึ้นไปไว้ตรงช่วงศอก ปลดกระดุมเสื้อออกสองสามเม็ดและยังยืนจ้องเธออยู่เช่นเดิม แม้จะหงุดหงิดใจเพราะต้องรอเธอนานร่วมชั่วโมง แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วเขากลับไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดกับเธออย่างไร หากประเมินจากสายตาที่มองมานั้นเตือนให้รู้ว่านอกจากจะรังเกียจแล้วยังมีความชิงชังแฝงเอาไว้อย่างเต็มเปี่ยม

“ทำไมออกมาช้า ผมรออยู่เกือบชั่วโมงแล้วนะ”

แพรวาไม่คิดจะตอบคำถามนั้นแต่กลับเดินเลี่ยงไปอีกทาง แน่นอนว่าเธอไม่อาจสลัดเขาให้หลุดพ้นไปง่ายๆ เมื่อร่างสูงใหญ่ก้าวมาดักหน้าไว้ได้ทุกครั้งไป

“หิวรึเปล่า ไปหาอะไรกินกัน” อีกครั้งที่เขาใช้น้ำเสียงเช่นนี้กับเธอ แต่ถ้าหวังจะได้รับปฏิกิริยาโต้ตอบอย่างดีแล้วล่ะก็ เขาควรจะไปหวังเอาจากผู้หญิงคนอื่น

แพรวาไม่ได้ตอบว่าอย่างไรในคำถามที่สองที่ดังขึ้นและเริ่มโมโหเมื่อเขายังเล่นก้าวไปดักหน้าเธอไว้ทุกครั้ง ความหิวผสมโกรธไม่ปรานีและทำให้เธอเห็นมาเฟียชั่วร้ายเป็นเพียงแค่ผู้ชายที่คอยสร้างความรำคาญใจให้เท่านั้น “ถ้ายังไม่ถอยไปไกลๆ ฉันจะเรียกรปภ.”

“ไม่มีพนักงานคนไหนของสโมสร... อยากตกงานหรอกนะ แพรวา...” เขาเรียกชื่อเธออย่างอ้อยอิ่ง หยอกเย้าไม่ต่างจากคู่รักกำลังงอนง้อกัน

“อ่อ! ลืมไปว่ากำลังคุยอยู่กับมาเฟียชั่ว ชอบทำแต่เรื่องเลวร้าย ไม่ได้นึกถึงความเดือดร้อน ว้าย... ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ”

เอาวะ! อุ้มขึ้นรถก่อนแล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง ไม่ได้เสียเวลาไตร่ตรองเลยสักนิดเพราะอาเชอร์เข้าประชิดร่างอรชรซึ่งไม่ทันตั้งตัว เขาช้อนอุ้มเธอลอยหวือขึ้นจากพื้นไว้ในวงแขนและสอดตัวเข้าไปในคาดิลแลคคันยาวซึ่งเปิดประตูรอไว้ก่อนอยู่แล้ว

รู้แก่ใจดีว่าเธอซ่อนความอวบอัดเอาไว้เฉพาะในส่วนที่เขาพึงปรารถนา แต่ก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มเมื่อจัดการวางเธอลงบนเบาะได้อย่างรวดเร็ว แม้จะไม่ได้นุ่มนวลนักเพราะเธอขัดขืน หากทั้งหมดนั้นคือข้อดีของการมีเมียตัวเล็ก ‘เมีย!’

ช่าย... เขายกตำแหน่งนั้นให้กับเธอเมื่อไหร่ยังไม่เคยจะรู้ตัว แต่ดูคุณผู้หญิงของดอนอาเชอร์สิ คิดแล้วมันน่าโมโหไหม ดู... หลังจากที่ร้องกรี๊ดๆ แล้วทำอะไรไม่ได้เมื่อรถเคลื่อนที่ออกจากหน้าสโมสร เธอยังขยับตัวเบียดเข้ากับประตูรถอีกฝั่งแล้วมองเขาราวกับจะฉีกทึ้งเนื้อตัวออกเป็นชิ้นๆ

‘เมียดีๆ ที่ไหนใช้สายตาแบบนี้’ ถ้าไม่มีรอยยิ้มหวานๆ มอบให้ ไม่ยอมรับว่าเขาเป็นสามี อย่างน้อยเธอก็ควรจะให้เกียรติหรือเกรงกลัวเขาเช่นคนอื่นบ้าง นี่ดอนอาเชอร์นะ!

“จอดรถเดี๋ยวนี้นะ จอด... บอกให้จอดรถไงเล่า” ไม่บ่อยนักที่แพรวาต้องแผดเสียงเช่นนี้ แต่ถึงอย่างไรรถก็ยังไม่หยุดตามคำสั่งของเธอ

“พูดอย่างอื่นที่นอกเหนือจากคำว่า ปล่อยฉัน จอดรถ บ้างสิ บิลกับไมค์คงจะทำตามคำสั่งของคุณในทันที” นั่นคือคำปฏิเสธที่จะทำตามคำสั่งของเธอ

“มาเฟียชั่วร้าย ฉันจะไม่พูดในสิ่งที่ขัดกับความต้องการของตัวเองแล้วตอนนี้ฉันก็ไม่อยากเห็นหน้าคุณ ไม่อยากนั่งบนรถคันนี้ ไม่อยาก...”

“จะพาไปกินมื้อเย็นไง คาดว่าคุณน่าจะหิวเอามากๆ แล้วนะ” มีหรือที่อาเชอร์จะไม่รู้ว่าวันนี้เธอมีอาหารตกท้องเพียงแค่มื้อเดียว

ด้วยความโมโหระคนหวาดหวั่นว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นซ้ำสอง แพรวาจึงไม่ได้ขบคิดหรือเกิดความสงสัยในคำพูดเขาแม้แต่น้อย “ไม่กิน จอดรถแล้วปล่อยฉันไปเดี๋ยวนี้นะ”

เอาแต่ใจ ตวาด ตะคอก พูดแต่คำปฏิเสธอยู่ท่าเดียว แล้วไหนล่ะรอยยิ้มหวานๆ แววตาอ่อนโยนที่เขาต้องเอามาครอบครองเป็นของส่วนตัวที่แบ่งให้คนอื่นไม่ได้

“ทำไมไม่กิน เอวบางจนผมแทบจะกำมือรอบได้อยู่แล้ว” ทั้งที่เริ่มจะหมดความอดทนแต่สุดท้ายเขาก็ยังเป็นห่วงในสุขภาพของเธอ

กรี๊ด...

“ไม่มีมารยาท กล้าดียังไงมาจ้องมองร่างกายของฉัน ไอ้มาเฟียชั่ว บอกว่าให้จอดรถ ฉันไม่ไปไหนด้วยทั้งนั้นถ้าจะไปก็จะไปแค่สถานีตำรวจ ไอ้...” แพรวาชะงักคำบริภาษทุกอย่างเมื่อเห็นว่ากระจกซึ่งกั้นระหว่างห้องโดยสารด้านหน้าและด้านหลังค่อยๆ เลื่อนขึ้น

บิลนั่งอยู่ข้างไมค์ ซึ่งรับหน้าที่เป็นคนขับรถ รีบเอื้อมมือไปกดปุ่มเลื่อนกระจกขึ้น เพื่อให้ความเป็นส่วนตัวกับเจ้านายอีกทั้งเขาและไมค์ รู้ดีว่าต้องถูกเจ้านายตำหนิเมื่อเผลอหันมาสบสายตากันหลายต่อหลายครั้งเพราะคำที่หลุดออกมาจากปากของหญิงสาว

แพรวาตกใจสุดขีดเมื่อได้อยู่กับเขาตามลำพัง เธอไม่รอช้าปรี่เข้าไปทุบกระจกนั้นด้วยสองมืออย่างไม่กลัวเจ็บในขณะที่ยังพูดคำเดิมไม่ขาดปาก “จอดรถเดี๋ยวนี้นะถ้าไม่จอดฉันจะแจ้งความข้อหาลักพาตัว กักขังหน่วงเหนี่ยว จอดรถ...”

อาเชอร์ถอนหายใจออกมาหนักๆ เพราะไม่รู้ว่าจะจัดการกับเธออย่างไร แน่นอนว่าคาดิลแลคกันกระสุนคันนี้ทนทานต่ออาวุธอานุภาพร้ายกาจ แล้วจะหลีกเลี่ยงความเจ็บช้ำที่เกิดขึ้นกับฝ่ามือบอบบางของเธอได้อย่างไร

“กลับมานั่งที่เดิม แล้วก็หยุดโวยวายด้วย” ไม่พูดเปล่าแต่เอื้อมมือไปดึงร่างอรชรให้กลับลงมานั่งบนเบาะข้างกาย แต่เธอยังไม่สิ้นฤทธิ์ผลักไสมือเขาออกอย่างรังเกียจ

“อย่ามาแตะต้องตัวฉันนะ” ไม่เพียงไม่ทำตามแต่เขายังละมือจากต้นแขนมากำข้อมือทั้งสองข้างเอาไว้แน่น

“อย่าให้มีโมโห นั่งนิ่งๆ จนกว่าจะถึงเพนต์เฮาส์แล้วถ้ายังขัดคำสั่งผมอีกครั้งล่ะก็ อย่าหาว่าไม่เตือน!”

ได้ผลชะงัด เธอนั่งนิ่งจ้องหน้าเขาไม่กะพริบตาแต่ถ้าหากได้ยินเสียงเขาตวาดดุอีกแม้เพียงครึ่งคำ น้ำตาคงร่วงเผาะไม่ต่างจากเด็กที่ถูกผู้ใหญ่ว่ากล่าวตักเตือน

พ่อขา... แม่ขา... ช่วยแพรด้วย! ทำไมชีวิตนี้ถึงต้องมาพบเจอกับผู้ชายที่แสนเกลียดชังคนนี้นัก ทุกครั้งที่พบหน้าเขาจะขู่เข็ญ บังคับใจจนต้องพ่ายแพ้ด้วยรูปร่างและพละกำลังที่ด้อยกว่า

จากแรกพอใจหนักหนาที่ปราบพยศให้เธอนั่งนิ่งๆ แต่สายตาเจ้ากรรมกลับเหลือบไปเห็นรอยแดงบริเวณข้างนิ้วก้อยเรื่อยลงไปจนถึงข้างฝ่ามือ ความสงสารอันท่วมท้นก็เข้ายึดพื้นที่ในหัวใจให้อ่อนยวบจนต้องใช้น้ำเสียงนุ่มทุ้มถามเธอด้วยความเป็นห่วง “ดูสิ มือแดงหมดแล้ว เจ็บมากรึเปล่า...”

น้ำเสียงเอื้ออาทรนั้นทำให้แพรวาพูดไม่ออก ดวงตาสองคู่จ้องมองกันอยู่ครู่หนึ่งราวกับว่าเวลารอบตัวได้หยุดหมุนไปชั่วขณะ แล้วเขาก็เป็นคนปลดล็อกเวลาที่หยุดไปนั้นด้วยการก้มลงจูบซับไปตามรอยแดงนั้นโดยที่ไม่ได้ละสายตาจากใบหน้าของเธอ

โอ... ริมฝีปากนั้นไม่ได้ขับไล่แค่จุดที่เขาประทับจุมพิตแต่หัวใจกลับค่อยๆ ลืมเลือนความรวดร้าวที่เขาได้สร้างเอาไว้ ความจริงในข้อนั้นต่างหากที่แพรวาไม่อาจยอมรับได้

แม้จะไม่ได้ดึงมือกลับแต่น้ำเสียงและแววตาที่ใช้มองเขาเย็นยะเยือก บ่งบอกว่าเกลียดชังยิ่งนัก “ไม่ต้องมาเสแสร้งแกล้งทำเป็นสงสาร คุณเคยทำให้ฉันเจ็บมามากกว่านี้ด้วยซ้ำ อย่ามาทำเป็นความจำสั้นนักเลย”

อาเชอร์ปั้นหน้าหน่ายใจสุดชีวิต ถ้าเขาลืมความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับเธอได้จริงคงไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเธออยู่เต็มสมองแบบนี้ “ก็รู้... แต่คุณต้องเข้าใจด้วยว่าใครก็เจ็บปวดกับครั้งแรกกันทั้งนั้น”

เธอไม่ได้คิด แต่เขากลับคิดทั้งยังพูดจากำกวมออกมาอย่างหน้าไม่อาย

“ปล่อยนะ!” แพรวารวบรวมเรี่ยวแรงบิดข้อมือออกจากการเกาะกุม ในจังหวะที่เขาเผลอทั้งจึงถือโอกาสสั่งสอนให้สาสมกับความเจ็บใจที่เกิดขึ้น

เพียะ!...

ประตูรถยนต์เปิดออกพร้อมๆ กับฝ่ามือบางที่ปะทะลงบนข้างแก้มคร้ามคม อาเชอร์ไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเหมือนตอนที่ถูกเธอตบหน้าครั้งแรก แม้จะก้าวลงจากรถหลังเธอแต่ด้วยช่วงขาที่ยาวกว่าจึงก้าวไปดักหน้าคนที่วิ่งหนีได้อย่างรวดเร็ว ไม่พูดพร่ำทำเพลงหรืออ่อนข้อให้อีกเช่นเคยก็จัดการแบกเธอพาดไว้บนบ่า

“ปล่อยฉันนะ บอกว่าให้ปล่อย เวียนหัว... ปล่อยนะไอ้มาเฟียชั่ว” แพรวากรีดร้อง สองมือทุบแผ่นหลัง สองเท้าถีบเตะเป็นพัลวัน “ช่วยด้วย... ใครก็ได้ช่วยแจ้งตำรวจให้ฉันที”

“ร้องไปก็เจ็บคอเปล่าๆ ใครมันกล้ามายุ่งก็ลองดู” อาเชอร์เค้นเสียงลอดไรฟัน เดินดุ่มๆ เข้าไปในโรงแรมซึ่งทั้งคู่ตกเป็นเป้าสายตาของหลายคน แต่ใครจะกล้ายื่นมือเข้าไปยุ่งกับมาเฟียผู้ทรงอิทธิพล

เมื่อไม่มีใครสนใจทั้งยังเข้ามาอยู่ในลิฟต์กับเขาตามลำพัง เหตุการณ์คล้ายๆ เช่นนี้ซึ่งเธอจดจำไม่มีวันลืมเลือนย้ำเตือนให้แพรวาต้องดิ้นรนสุดชีวิตแต่ฝ่ามือใหญ่กางออกกว้างพอควรแล้วฟาดลงบนบั้นท้ายเธออย่างไม่ออมแรงก็ทำให้ต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บแสบ

เพียะ... เพียะ...

“โอ๊ย... ฉันเจ็บนะ รังแกผู้หญิง หน้าไม่อาย...”

อาเชอร์ส่ายหน้าเพราะตลอดเวลาที่อยู่ในลิฟต์จนก้าวขาออกมาจากลิฟต์เธอยังด่าว่า ประณามเขาได้ไม่ซ้ำคำ สุดท้ายเมื่อทนไม่ไหวอาเชอร์เลยขบฟันลงข้างสะโพกงอนงามเมื่อเข้ามาอยู่ในเพนต์เฮาส์พร้อมกับปล่อยเธอลงบนโซฟาตัวใหญ่

“โรคจิตหรือไง มากัดฉันทำไม” เสียงตวาดลดลงกว่าครึ่งเพราะความจุกและเจ็บสะโพก

“ก็เลียนแบบความโรคจิตมาจากคุณนั่นแหละ” อาเชอร์ชะงักการก้าวเดินแล้วชี้นิ้วขึ้นสั่งเธอด้วยน้ำเสียงกร้าว “ทีหลังถ้าตบผมตรงไหนจะจูบคุณตรงนั้น ตวาดตะคอกไม่ให้เกียรติผมเมื่อไหร่จะเมกเลิฟหนักๆ เอาแบบฉีกทึ้งเสื้อผ้า ทำตัวไร้อารยธรรมเหมือนที่คุณชอบว่าผมนั่นแหละ”

แพรวากำมือแน่นจ้องมองเขาอย่างเจ็บแค้น คุกเข่าเถียงเขาอยู่กลางโซฟา “แล้วคุณตวาดตะคอก ชี้หน้าว่าฉันอยู่แบบนี้ไม่ผิดหรือไง”

“คุณก็มาฉีกเสื้อผ้าแล้วปล้ำผมเลยสิ จะรออะไร” ไม่พูดเปล่าแต่อาเชอร์กระตุกเสื้อของตัวเองออกแรงๆ จนกระดุมที่เหลืออยู่ไม่กี่เม็ดกระเด็นหลุด แต่นั่นมันคือการระบายอารมณ์ที่ไม่อาจจะหักหาญน้ำใจเธอได้จริงๆ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา