เจ้าหัวใจมาเฟีย (ฉบับรีไรต์)

8.7

เขียนโดย ศิริพารา

วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 13.52 น.

  15 ตอน
  2 วิจารณ์
  17.46K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559 13.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

11) เจ้าหัวใจมาเฟีย (ฉบับรีไรต์) ตอนที่ 5 100%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
เช้าของวันเดียวกันขณะที่แพรวาเดินเข้ามาในตึกเรียนของมหาวิทยาลัย เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าก็กรีดร้องขึ้น หญิงสาวจึงรีบเอื้อมมือไปหยิบและเลื่อนหน้าจอรับสาย “ว่าไงจ๊ะ... ส้ม”
“วันนี้เธอเลิกเรียนกี่โมง เรียนเสร็จแล้วมาหาฉันหน่อยได้ไหม คือฉัน...” วรนุชน้ำเสียงเคร่งเครียดบ่งบอกให้รู้ว่ามีเรื่องไม่สู้ดีเกิดขึ้น
“เป็นอะไรรึเปล่า ทำไมเสียงเครียดแบบนี้” แพรวาถามกลับทั้งยังนึกเป็นห่วงไม่น้อย
“คือ... ก็มีนิดหน่อย ตกลงว่าเธอจะมาได้ไหม” วรนุชย้ำถาม
“ได้ ฉันมีเรียนถึงบ่ายสอง แล้วจะรีบ...” แพรวาไม่ทันได้พูดจบประโยค คู่สนทนาก็พูดโพล่งขึ้นมาเสียก่อน
“โอเค งั้นฉันไม่กวนแล้วนะ” จบคำพูดก็กดตัดสายทันทีทิ้งความสงสัยระคนเป็นห่วงไว้กับแพรวา
“ฮัลโหล... ส้ม... เดี๋ยวสิ” เรียกอย่างไรก็ไม่ทันเสียแล้ว แพรวาจึงได้แต่หย่อนอุปกรณ์สื่อสารลงในกระเป๋าถือเช่นเดิม แม้จะนึกเป็นห่วงเพื่อนสนิทไม่น้อยแต่ด้วยเวลาที่กระชั้นชิดเข้ามาทำให้ต้องเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปในคลาสเรียน ก่อนที่อาจารย์จะมาถึง
 
บ่ายของวันเดียวกันนั้น แพรวารีบเดินออกจากมหาวิทยาลัยด้วยความร้อนใจไปยังทางเชื่อมลงสู่อุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดิน ไม่กี่นาทีต่อมาแพรวาก็เร่งฝีเท้าจนกลายเป็นวิ่งขึ้นบันไดจนขึ้นมาอยู่ในย่านร้านอาหารซึ่งอยู่ห่างจากร้านของวรนุชไม่ถึงห้าร้อยเมตร
แพรวาต้องอ้อมไปเข้าประตูด้านข้างเพราะยังอยู่ในช่วงเวลาปิดร้าน หากบรรยากาศภายในร้านกลับเงียบเชียบ  ไร้วี่แววกระทั่งร่างของฟรานเชสที่เคยต้องอยู่ในครัวจัดเตรียมอาหารเอาไว้ขายในช่วงเย็น เธอจึงรีบเดินเข้าไปด้านในจึงได้พบว่าวรนุชนั่งเท้าคางอยู่บนโต๊ะอาหาร
“แพร...” วรนุชเรียกเพื่อนสนิทด้วยความดีใจ แต่เพียงเสี้ยววินาทีก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“เป็นอะไร ทำไมต้องทำท่าทางแบบนี้ เกิดอะไรขึ้น บอกมาเร็วๆ” แพรวาทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ตัวตรงกันข้าม ระรัวคำถามเข้าใส่
“ก็... ที่ เมืองไทยน่ะ เอ่อ... คือ” วรนุชพูดจาอ้ำอึ้งยิ่งเพิ่มความร้อนใจให้กับคนฟัง แต่ก่อนที่แพรวาจะย้ำถามออกมาอีกครั้ง กุหลาบช่อโตก็ยื่นมาจ่อตรงหน้าพร้อมด้วยน้ำเสียงคุ้นหูดังขึ้นอยู่ด้านหลัง
“เซอร์ไพรส์ครับน้องแพร...” วรวุฒิเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่ม เปิดยิ้มกว้างด้วยความดีใจเมื่อได้เห็นหน้าของผู้หญิงที่คิดถึงมาตลอดระยะเวลาหลายเดือน
“พี่วุฒิ มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะเนี่ย” แพรวาพนมมือไหว้ก่อนจะรับเอาช่อดอกกุหลาบสีแดงสดนั้นเอาไว้
“ถึงเมื่อเช้านี่เองครับ” ตอบและเลื่อนเก้าอี้นั่งลงข้างๆ ผู้หญิงที่จ้องมองเธอไม่กะพริบตา
“นี่ถ้าไม่ห้ามไว้พี่วุฒิคงไปดักรอเธอที่หน้ามหาวิทยาลัยแล้ว” วรนุชเสริมแต่กลับถูกแพรวามองด้วยสายตาคาดโทษ
“ไม่ต้องมาพูดดีเลย รู้ไหมว่าฉันร้อนใจจนไม่มีสมาธิเรียน” แพรวาบ่นอุบ
“เอาน่า... วันนี้มีไอศกรีมมะม่วงเลี้ยงเป็นการไถ่โทษ พี่วุฒิอุตส่าห์แบกมา นี่ดีนะยังผ่านตม. เข้ามาได้” วรนุชอดประชดประชันพี่ชายเสียไม่ได้ เพราะแพรวานั้นชอบไอศกรีมมะม่วงน้ำดอกไม้ “คุยกันไปก่อนนะ เดี๋ยวจะไปดูก่อนว่าไอศกรีมเซ็ตตัวรึยัง”
เมื่อมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันตามลำพังวรวุฒิก็เอาแต่จ้องมองใบหน้างดงามไม่วางตา ทั้งคิดถึงและกลัวว่าความห่างไกลจะทำให้เธอลืมเลือนความรู้สึกอันดีที่หยิบยื่นให้มาตลอด
แพรวาทำตัวไม่ถูกกับสายตาเป็นประกายที่จ้องมองตนพร้อมรอยยิ้มด้วยความคาดหวัง “เอ่อ... ไม่เคยได้ยินส้มพูดถึงมาก่อนเลยว่าพี่วุฒิจะมาเยี่ยม ความจริงน่าจะบอกก่อนนะคะ แพรจะได้ไปรับที่สนามบิน”
“น้องแพรดีใจด้วยเหรอครับที่พี่มาเยี่ยม” ยิ่งได้เห็นรอยยิ้มประกอบกับสีหน้าดีอกดีใจ หัวใจของวรวุฒิยิ่งพองคับอก ทว่าคนฟังกลับต้องยิ้มด้วยความเกรงใจ
“พี่ชายมาเยี่ยมทั้งทีไม่ดีใจได้ยังไงกันคะ” เน้นหนักในสถานะ หวังใจว่าคุณหมอหนุ่มจะไม่คิดกับเธอเลยเถิดจนต้องอึดอัดใจไปมากกว่านี้ “แล้วนี่พี่วุฒิจะอยู่สักกี่วันคะ”
“พี่ลาพักร้อนได้หนึ่งอาทิตย์ แต่จองตั๋วกลับไว้อีกสี่วันข้างหน้าจ้ะ” วรวุฒิตอบและยังจ้องมองแพรวาด้วยความคิดถึง โชคดีที่วรนุชเดินเข้ามาสมทบอีกครั้งพร้อมด้วยไอศกรีมมะม่วงสีเหลืองสด หน้าตาน่ารับประทาน
“มาแล้ว... อร่อยเหาะจนต้องร้องขอชีวิต” โอ่ตัวอย่างเหลือเชื่อและเสิร์ฟไอศกรีมที่ลงมือทำเองตั้งแต่ตอนเช้า แม้ว่าจะมีวรนุชเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยแต่คุณหมอหนุ่มก็ยังไม่อาจละสายตาจากแพรวาได้เท่าไหร่นัก วรนุชเองก็รับรู้ได้ถึงความอึดอัดใจที่เกิดขึ้นจึงหาเรื่องชวนคุย เบี่ยงเบนความสนใจของพี่ชาย “เย็นนี้เราไปขับรถเล่นชมเมือง แล้วไปหาอะไรกินกันดีไหม”
“น้องแพรว่าไงครับ...” วรวุฒิหันมาถามแพรวา
“แพรว่างค่ะ” ตอบและหันไปตั้งคำถามกับวรนุช “แล้วเย็นนี้ไม่เปิดร้านเหรอ”
“โธ่... พี่ชายมาเยี่ยมทั้งที ฉันนี่ลงทุนปิดร้านพาเที่ยวมาดริดให้ทั่วเลย” ตอบทั้งยังขยิบตาใส่พี่ชายอย่างที่ชอบทำมาตลอด “เดี๋ยวให้ฟรานเชสทำอะไรกินรองท้องก่อนแล้วเราค่อยยกพลออกท่องราตรีกัน”
เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของคนในวงสนทนายังเกิดขึ้นเรื่อยๆ พี่น้องที่ไม่ได้พบหน้ากันมานานถึงสามปียิ่งมีเรื่องต้องไถ่ถามอยู่มากมาย หากไม่มีใครสักคนรู้ตัวเลยว่าบัดนี้กำลังตกเป็นเป้าสายตาของชายผู้หนึ่งซึ่งกำลังแอบเก็บภาพในทุกอิริยาบถตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมาย โดยเฉพาะภาพของแพรวาซึ่งยิ้มและหัวเราะอย่างมีความสุข
หัวค่ำของวันเดียวกันนั้นทั้งหมดจึงมีโอกาสได้นั่งรถออกมาชมมหานครในฝันอันงดงามติดอันดับโลก ฟรานเชสเป็นคนขับรถนั่งคู่กับวรวุฒิ สองสาวนั่งอยู่เบาะหลังรับหน้าที่อธิบายสถานที่ต่างๆ เมื่อรถยนต์แล่นผ่าน
ใจกลางมหานครมาดริดคือสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิก ภาพคุ้นตาของคนทั่วโลกและเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กซึ่งนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาเก็บภาพแห่งความประทับใจ ลานรูปทรงไข่ล้อมด้วยตึกสีนวลสร้างขึ้นในยุคศตวรรษที่ 18 มีหลักกิโลเมตรที่ศูนย์บนพื้นหอนาฬิกาซึ่งใช้วัดระยะทางไปยังทุกแห่ง เป็นจุดนัดพบอันยอดนิยม
“ตรงนี้เรียกว่าปูเอร์ต้า เดลซอล (Puerta delsol) ตอนที่ฉันมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ ทุกครั้งที่หลงทางไปไหนไม่ถูกก็ต้องมาตั้งต้นที่นี่ เพราะถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของถนนทุกสาย ถัดไปก็เป็นไปรษณีย์ตัดกับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ผู้คนส่วนมากมาเดินหาซื้อของกันแถวนี้ เพราะมีร้านค้าแบรนด์เนมเรียงกันแบบไม่มีช่องว่างเลย ถ้าจะมาเดินก็ต้องระวังกระเป๋าสตางค์ให้ดีๆ ส่วนวันคริสต์มาสและปีใหม่ก็จะจัดงานตรงบริเวณนี้” วรนุชทำหน้าที่ไกด์นำเที่ยวจำเป็นอย่างคล่องแคล่ว
“อ้อ... ส่วนนั่น เป็นรูปหมีตะกายต้นสตรอว์เบอร์รี่ เขาถือว่าถ้าใครไม่ได้ถ่ายรูปคู่หมีตัวนี้ก็ถือว่ามาไม่ถึงมาดริดนะคะ”
“แล้วน้องแพรมาถ่ายรูปกับหมีรึยังครับ” วรวุฒิถาม
“เรียบร้อยค่ะ ทำเป็นโปสการ์ดส่งไปให้ป้าน้อมแล้วด้วย” แพรวายอมรับ เพราะอยากจะทำเช่นนี้มานานแล้ว
ขับรถต่อมาอีกสักสิบนาทีก็มาถึงร้านอาหารประจำของฟรานเชสและวรนุช บรรยากาศเป็นแบบสบายๆ มีดนตรีสด หนุ่มสาวหลายคู่ออกมาเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน บ้างก็มานั่งดื่มฟังดนตรีที่มาขับกล่อมผ่อนคลายความตึงเครียด “สั่งอะไรกันดี ร้านนี้เขาทำอาหารอร่อยนะ เจ้าของร้านเป็นเพื่อนสมัยเรียนมัธยมของฟรานเชส” วรนุชเล่าพลางเปิดเมนูเลือกอาหาร
“ส้มสั่งเถอะ ฉันกินอะไรก็อร่อยทั้งนั้นแหละ” แพรวาตอบ
“น้องแพรดูผอมกว่าตอนที่อยู่เมืองไทยนะครับ เรียนหนักหรือทำงานหนักไปรึเปล่า” วรวุฒิถามด้วยความเป็นห่วง สังเกตเห็นว่าเธอตัวบางมากขึ้นกว่าเดิม
แม้จะเป็นเรื่องจริงแต่ก็กลับไม่ยอมรับ “ใช่ที่ไหนล่ะคะ ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่แพรกินทุกอย่างที่ส้มทำ ทั้งอร่อยทั้งประหยัดตังค์ ไม่แน่ว่าตอนกลับไทยอาจจะต้องกลิ้งกลับ”
เพียงแค่มีเรื่องเล็กน้อยมาสะกิดใจแพรวาก็ไพล่นึกถึงสาเหตุในทันทีแต่กลับต้องสลัดความคิดย่ำแย่ให้ออกไปอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่มีใครได้สังเกตเห็นความเศร้าหมองซึ่งเกิดขึ้นชั่วแวบหนึ่ง หลังจากสั่งอาหารไม่ถึงสิบห้านาทีทั้งหมดก็มีโอกาสได้ลิ้มลองอาหารแบบสเปนแท้ๆ เคล้าเสียงดนตรีสดช่วยให้เจริญอาหารยิ่งนัก
วรวุฒิประหลาดใจและยินดีกับแพรวาไม่น้อยเมื่อรู้ว่าหญิงสาวมีโอกาสได้เข้าทำงานในสโมสรฟุตบอลชื่อดัง แต่ยังเป็นกังวลเมื่อได้รับรู้ว่าตารางงานบวกกับตารางเรียนของเธอนั้นช่างอัดแน่นนัก นี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอซูบผอมลงเช่นนี้
หลังอาหารทั้งหมดยังนั่งพูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบกันตามประสา ช่วงเวลาแห่งความสุขจึงผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็วนัก ฟรานเชสขับรถมาจอดหน้าอพาร์ตเมนต์ของแพรวาก่อนเที่ยงคืนไม่กี่นาที “เจอกันวันมะรืนนะคะ พรุ่งนี้ขอให้เที่ยวให้สนุก”
วรวุฒิรับคำและโบกมือลาหญิงสาว ก่อนจะมองตามจนร่างบางลับตา ความน่ารัก เป็นกันเองของเธอยังทำให้เขาตัดใจไม่ได้สักครั้ง แม้ว่าน้องสาวจะเคยเปิดอกพูดถึงความรู้สึกของแพรวาอย่างตรงไปตรงมา ทั้งที่ควรตัดใจแต่เขากลับขอทำตามเสียงของหัวใจที่เรียกร้อง จนได้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงสเปนเพราะคิดว่าถ้าต้องตัดใจจากเธอจริงๆ ก็อยากจะได้เห็นหน้าอีกสักครั้งหนึ่ง
 
รุ่งเช้าของวันต่อมาภายในห้องทำงานสุดหรู ใจกลางย่านธุรกิจของกรุงมาดริด อาเชอร์ยังคงอ่านรายงานการสั่งต่อเรือรบของอดีตรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมแห่งแอลเมเรีย3 เพียงแค่มองก็รับรู้ได้ถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่าง
“รายการสั่งต่อเรือรบนี่ เกิดขึ้นก่อนหรือหลังเปลี่ยนรัฐมนตรีกลาโหมแอลเมเรีย” อาเชอร์ตั้งคำถามกับคนสนิทที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“เป็นคำสั่งของอดีตรัฐมนตรีมิคาเอลครับ” ไมค์ตอบ
“หลังจากสั่งแล้วผ่านมาได้นานแค่ไหน ถึงได้มีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรี”
“ราวสองสัปดาห์ครับดอน” ไมค์ตอบพลางอธิบายรายละเอียดที่ได้รู้มาเพิ่มเติม “อดีตรัฐมนตรีมิคาเอล ตั้งใจจะทำเรื่องนี้ให้เป็นเหมือนผลงานสุดท้ายทิ้งทวนก่อนที่จะลาออก โดยให้เหตุผลว่าสุขภาพไม่แข็งแรงครับ”
ลาออกหรือถูกปลด นั่นคือคำถามที่เกิดขึ้นในทันทีแต่ก่อนที่จะหาคำตอบในเชิงลึก เขาต้องรู้ถึงประวัติของมิคาเอลคนนี้เสียก่อน “มิคาเอลคนนี้หลังออกจากตำแหน่ง ติดต่อกับใคร สืบมาให้หมดทุกคน”
อาเชอร์จะไม่สนใจเลยว่าลูกค้าที่เข้ามาสั่งต่อเรือนั้นจะมีปูมหลังเช่นใด เขาเป็นนักธุรกิจที่มองถึงผลกำไรมากกว่าจะสนใจว่าคู่ค้าธุรกิจจะสั่งโปรดักส์ไปใช้ประโยชน์ในการใด หากมิคาเอลไม่ใช่พลเมืองของประเทศแอลเมเรีย ซึ่งลูกชายเพียงคนเดียวของผู้นำประเทศแอลเมเรียนี้เป็นเพื่อนสนิทของเขาเอง
“เท่าที่ผมสืบทราบมาเบื้องต้น คุณเรเนียกับมิคาเอลคบหา... เอ่อ รู้จักกันมาได้เกือบสองเดือนแล้วครับ” ไมค์แก้คำจำกัดความในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ให้ดีกว่าเดิม หากไม่ต้องอธิบายอย่างลำบากเช่นนี้เลยหากคู่ควงคนล่าสุดของมิคาเอลไม่ใช่แม่บังเกิดเกล้าของคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า
“แม่กับมิคาเอลเหรอ!?” มีทั้งความแปลกใจและไม่อยากเชื่อหู เกิดขึ้นในน้ำเสียงของอาเชอร์
“ครับดอน” ไมค์รับคำอย่างหนักแน่น “เมื่อสัปดาห์ที่แล้วคุณเรเนียก็บินไปพบกับมิคาเอลซึ่งรออยู่ที่โมนาโกแล้ว”
“งั้นดึงเรื่องนี้เอาไว้ก่อน ให้ฉันคุยกับลาโคลอฟแล้วค่อยว่ากันอีกที” จบคำพูดอาเชอร์ก็เลื่อนคำสั่งซื้อของอดีตรัฐมนตรีมิคาเอลกลับไปให้คนสนิท ตั้งใจว่าเคลียร์เอกสารที่เหลืออีกไม่กี่แฟ้มเรียบร้อยคงต้องต่อสายตรงถึงลาโคลอฟแล้วซักถามข้อเท็จจริงในเชิงลึกกว่านี้ อย่างน้อยเขาก็น่าจะได้คำตอบว่ามิคาเอลนั้นลาออกเองหรือถูกสมาชิกในพรรคมีมติลับถอดถอนกันแน่
แม้ปัจจุบันลาโคลอฟยังเป็นนายพลหนุ่มแห่งแอลเมเรีย แต่ข่าวลือหาหูที่ผู้เป็นพ่อต้องการให้ลาออกแล้วกระโดดลงมาเล่นการเมืองอย่างเต็มตัวนั้นก็ดูเหมือนจะเป็นความจริง ดังนั้นตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมของแอลเมเรียในรัฐบาลต่อไปคงจะต้องเป็นลาโคลอฟเท่านั้นขึ้นแท่นนั่งเป็นเจ้ากระทรวง
ทว่าเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นกลับทำให้มาเฟียหนุ่มต้องลอบถอนหายใจพลางคิดว่า หากเขาไม่มีทายาทมาสืบทอดธุรกิจแล้วล่ะก็คงจะไม่มีวันได้นั่งอยู่นิ่งๆ ตื่นสายโด่งขึ้นมากินมื้อเช้ากับใครสักคนและใช้เวลาขลุกอยู่กับเธอทั้งวันกระทั่งหลับใหลไปด้วยกันในยามค่ำคืน
...นั่นคือความคิดที่พุ่งเข้ามากระแทกหัวใจเขาอย่างจังจนต้องปล่อยให้เวลาผ่านไปอยู่ครู่ใหญ่ถึงได้หลุดออกจากห้วงความคิดของตน
“ดอนครับ บิลรออยู่หน้าประตูครับ” ก่อนเตือนไมค์ยังแสร้งกระแอมแต่กลับไม่เป็นผล
“เข้ามา”
สิ้นเสียงอนุญาตบอดีการ์ดหนุ่มอีกคนก็เดินเข้ามาวางซองเอกสารสีน้ำตาลลงบนโต๊ะทำงาน พร้อมรายงานความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ติดตามเธอมาหลายเดือนแล้ว
“วันนี้มีชายหนุ่มอายุราวสามสิบต้นๆ มาพบคุณแพรวาที่ร้านอาหารของเพื่อนเธอครับ” บิลรายงานและชะงักคำพูดชั่วครู่เมื่อเห็นเจ้านายเหลือบสายตามอง
ตอนแรกนั้นตั้งใจว่าจะเคลียร์เอกสารตรงหน้านี้ไปพร้อมๆ กับฟังความเคลื่อนไหวของเธอ แต่เขาต้องกระแทกปากกาลงอย่างไม่พอใจเมื่อได้ยินว่าเธอไปพบกับผู้ชาย!
บิลเริ่มรายงานต่อเมื่อเห็นเจ้านายดึงรูปภาพที่อยู่ในซองออกมาเพ่งมองอย่างละเอียดทุกรูป “พวกเขาคุยกันอยู่ ตกเย็นถึงได้ขับรถออกมาชมเมืองแล้วแวะรับประทานอาหารในร้านแห่งหนึ่ง ก่อนเที่ยงคืนถึงได้มาส่งคุณแพรวาที่อพาร์ตเมนต์ครับ”
ดูได้ไม่ถึงสามภาพ เขาแทบอยากจะขยำมันทิ้งถ้าไม่ติดตรงที่เห็นใบหน้างดงามเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มที่เขาไม่เคยได้รับ
เมื่อเห็นเจ้านายนิ่งงันไปพักใหญ่ บิลจึงชะเง้อมองภาพในมือเจ้านายและรีบอธิบายตาม “ผู้ชายคนนี้เอากุหลาบมาให้...”
“หุบปาก” ตวาดด้วยความโกรธจัดแล้วทิ้งภาพที่เหลือลงบนโต๊ะอย่างไม่สบอารมณ์
ทำไมเขาถึงไม่เคยได้รับยิ้มสวยๆ แววตาอ่อนโยนเช่นนี้ แต่ไอ้หอกหักคนนี้มันเป็นใครถึงได้มีสิทธิ์มาขโมยรอยยิ้มที่ควรเป็นของเขา ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดความคิดบ้าบอเช่นนี้ขึ้น แม้ว่าจะสั่งใจตัวเองไม่ให้มองอีกหลายภาพที่เหลือ บังคับให้สายตาไล่เลียงเฉพาะแค่ตัวอักษรในแฟ้มที่จะสร้างผลกำไรมหาศาลตอบแทนความเหนื่อยยาก
...เกือบสองชั่วโมงกระมังที่บอดีการ์ดคนสนิทและเลขานุการหน้าห้องไม่ได้อยู่เป็นสุข เอสเพรสโซ่เข้มข้นสองแก้วถูกมาเฟียหนุ่มเรียกหาในเวลาห่างกันไม่ถึงชั่วโมง ควันบุหรี่ที่ลอยคละคลุ้งอยู่ในห้องทำงานทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าหน้า ทุกคนรีบทำตามคำสั่งของอาเชอร์อย่างลนลานเพราะไม่อาจจะรับมือกับอารมณ์โกรธอันคุกรุ่นในระดับที่มากกว่านี้ได้
“บิล...”
เสียงเรียกนั้นผ่านอินเตอร์คอมออกไปนอกห้องทำงาน แต่เพียงแค่ชั่วอึดใจเดียว บิลก็เข้าไปยืนตรงหน้าเจ้านายด้วยความว่องไว “ครับดอน”
อาเชอร์ไม่ได้เอ่ยคำถามนั้นออกมาในทันที เพราะหัวใจกับทิฐิยังยื้อยุดกันอย่างหนัก
...หัวใจสั่งให้ออกไปทวงรอยยิ้มและแววตาอ่อนโยนนั้นกลับมาครอบครอง แต่ทิฐิกลับสั่งให้นั่งนิ่งหาวิธีการบีบบังคับให้เธอเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหา
“วันนี้แพรวาเลิกงานกี่โมง” ถามและหลับตาลงอย่างเหนื่อยหน่ายใจตัวเอง เขากำลังพ่ายแพ้ให้กับเสียงเรียกของหัวใจอย่างหมดรูป
“เอ่อ ประมาณสามทุ่มครับ” บิลตอบอย่างรวดเร็ว
“ฉันจะไปสโมสร...” แม้คนรับคำสั่งจะปฏิบัติตามแทบไม่ทัน เพราะเจ้านายผลุนผลันเดินออกไปจากห้องทำงาน ไม่ต่างอะไรกับหนุ่มใจร้อน แต่ความจริงแล้วใครจะล่วงรู้ว่าเขาต้องต่อสู้กับความรู้สึกในใจที่ค่อยๆ เปลี่ยนแปลง มันยากเย็นแสนเข็ญ หากจะปล่อยวางทิฐิทั้งปวงลงแล้วเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาเธออีกครั้ง
เหนือสิ่งอื่นใดอาเชอร์รู้แก่ใจตัวเองดีว่า วินาทีแรกที่ได้พบหน้ากันอีกครั้ง เธอจะไม่มีวันยอมให้เขาก้าวเข้าไปหาใกล้ๆ แล้วดึงมากกกอดให้สมกับความโหยหาที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา