ในเรือนเบี้ย
8.0
เขียนโดย ilithyia
วันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 เวลา 18.43 น.
10 ตอน
0 วิจารณ์
11.97K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 21.45 น. โดย เจ้าของนิยาย
10) เมืองราม(100%)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ เจ็ดวันก่อน ณ เรือนพระพรหมเสนา ผู้คนในเรือนต่างแตกตื่นโกลาหนกันใหญ่ ต้นเหตุเพราะเจ้าสีนิลม้าตัวโปรดของคุณพระกำลังพยศหนักกระโดดข้ามคอกออกมาได้จนต้องไล่จับให้วุ่น ผู้ชายในเรือนตอนนี้มีเพียงทาสคือนายยอด นายสัก และเมืองรามลูกชายคนที่สองของคุณพระที่พอขี่ม้าได้บ้างหากแต่ไม่เก่งวิชาการบังคับม้าเท่าผู้พ่อ เมืองรามให้ทาสทั้งสองคนคอยใช้หวายหวดอากาศคอยดักไว้ไม่ให้ม้าเตลิดไปไกลจากโรงม้า ส่วนตนใช้เชือกทำเป็นบ่วงบาศก์คล้องเจ้าสีนิลไว้ได้ก่อนจะขึ้นขี่ แต่เจ้าม้าดื้อไม่ยอมง่ายๆ มันวิ่งเตลิดจนออกจากโรงม้าไปได้ และวิ่งไปทางสวนหลังเรือน เจ้าสีนิลเป็นม้าศึกคู่ใจพระพรหมเสนา มันองอาจฮึกเหิมมากยามออกศึกไม่ยอมฟังคำสั่งใครนอกจากนาย มันคงเบื่อที่ถูกล่ามไว้ที่โรงม้ามาหลายวัน จึงอยากแผลงฤทธิ์ขึ้นมาบ้าง เจ้าม้าดื้อออกแรงควบสุดฝีเท้าจนถึงพุ่มต้นชะอม แม่วาดทาสสาวที่มัวก้มเก็บยอดชะอมอยู่ไม่ทันได้ยินเสียงเอะอะจากด้านหลังพอลุกขึ้นยืนก็ถูกเจ้าสีนิลพุ่งชนเข้าอย่างจัง เมืองรามเองตกจากหมดสติไปทั้งนายทั้งบ่าว นายยอดนายสักช่วยกันพยุงนายน้อยขึ้นเรือนพลางร้องเรียกทาสสาวคนอื่นให้ไปช่วยแม่วาดที่นอนสลบอยู่ในสวน
เสียงอึกทึกครึกโครมบนเรือนทำให้แม่นายมิ่งหล้าที่กำลังสอนลูกสาวเย็บผ้าวางมือจากงานออกมาดู พอพบลูกชายตนถูกบ่าวหามขึ้นเรือนมาก็ตกใจนัก ยิ่งพอมองใกล้ขึ้นก็พบว่ามีเลือดออกมากมายเหลือเกินที่ศีรษะก็ยิ่งเป็นห่วง
“ไอ้ยอดไอ้สัก ค่อยๆพาเมืองรามเข้าไปนอนในห้อง”
“ไอ้ยอดเอ็งรีบไปตามท่านขุนเวชฯมาที ไอ้สักเอ็งไปเรียนคุณพระว่าพ่อเมืองรามตกม้าเจ็บหนัก เอื้อยคำฟอง ไปเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าเช็ดตาหื้อลูกข้าด้วย” แม้จะตระหนกตกใจเพียงไหนแม่นายมิ่งหล้าก็สั่งงานบ่าวไพร่ที่ยืนไม่เป็นอันทำอะไรได้ถูก
ท่านขุนเวชสิทธิ์ผู้เป็นหมอเมื่อทราบข่าวก็รีบลงเรือมากับนายยอด แล้วรีบตรวจดูอาการของบุตรชายพระพรหมเสานา หลังห้ามเลือดเสร็จก็มอบยาให้ห่อหนึ่ง
“พ่อเมืองรามบาดเจ็บหนักที่ศีรษะเพียงเท่านั้นดอก ส่วนอื่นมิได้บาดเจ็บอันใด แต่เพียงเท่านั้นก็สาหัสนัก ขึ้นกับตัวพ่อเมืองรามเองแล้วว่าจักฟื้นขึ้นมาเมื่อใด ยานี่เป็นยาห้ามเลือดใช้โรยที่ปากแผล ส่วนยารักษาอาการตกเลือดภายในกระเดี๋ยวให้นายยอดตามไปเอาที่เรือนข้าเทิด” ขุนเวชสิทธิ์กำชับเรื่องวิธีการใช้ยาก่อนจะลากลับ ยิ่งฟังที่ขุนเวชฯพูดเรื่องอาการเมืองรามแม่นายมิ่งหล้าก็ยิ่งกังวลมากกว่าเดิม พระพรหมเสนารีบกลับจากการควบคุมดูแลการสร้างพระราชวังใหม่หลังจากนายสักไปแจ้งว่าลูกชายตกจากหลังม้า มาถึงเรือนคล้อยหลังขุนเวชสิทธิ์กลับไปไม่นานนัก
“คุณพี่เจ้าขา มาดูลูกที ป่านนี้ยังไม่ได้สติเลย” แม่นายมิ่งหล้ารีบเล่าถึงอาการของเมืองรามตามที่ขุนเวชฯได้บอกไว้
“แม่หล้า เจ้าไปจัดเตรียมดอกไม้ธูปเทียน ในห้องพระเถิด บัดเดี๋ยวพี่จะเข้าไปสวดมนต์ให้ลูก” พระพรหมเสนาตรวจดูตามร่างกายลูกชายสักพักก็หันมาบอกภรรยา
พระพรหมเสนาเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวมานุ่งห่มชุดขาวเข้าห้องพระไปตั้งแต่เย็นแล้วไม่ได้ออกมาอีกจนถึงเช้า ซึ่งตามปกติแล้วก็เป็นสิ่งที่คุณพระกระทำเป็นประจำในวันพระโดยจะเข้าไปสวดมนต์ถืออุโบสถศีลในห้องพระเพียงลำพังมิให้ผู้ใดมารบกวน พระพรหมเสนาเป็นผู้มั่นคงในศีลธรรม เป็นผู้เชี่ยวชาญในทางวิทยาอาคม เป็นคนสำคัญในกองทัพที่จะทำหน้าที่กำหนดฤกษ์ยามการเดิมทัพ การปลุกเสกของขลังและสักยันต์เพื่อเรียกขวัญกำลังใจให้เหล่าทหาร
“อย่ากังวลใจไปนักเลยแม่หล้า กระเดี๋ยวเมืองรามก็คงฟื้น แลเจ้าจะได้ลูกชายคนใหม่” พระพรหมเสนาเดิมเข้ามาบอกภรรยาที่ยังคอยเฝ้าลูกชายทั้งคืนมิได้ห่าง
“คุณพี่หมายความว่าจะใด”
“เดี๋ยวเจ้าก็จะได้รู้เองหนา” พระพรหมเสนาไม่ได้อธิบายอะไร แล้วยังปลีกตัวไปชำระร่างกายผลัดเปลี่ยนผ้านุ่ง
...................................................................................................................
วันแรกของการฟื้นขึ้นมาในร่างของเมืองราม พิรัลรู้สึกว่ามีคนคอยเอาผ้าชุบน้ำเย็นๆมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้และกระซิบค่อยๆ เพื่อปลุกให้เขาตื่น พิรัลลืมตาขึ้นช้าๆ ภาพที่เห็นตรงหน้าคือผู้หญิงสองคนที่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นแม่ลูกกันแน่ เพราะหน้าตาเหมือนแกะออกมาจากพิมพ์เดียวกัน คนที่เป็นแม่นี่เองที่คอยเช็ดตัวให้เขา ส่วนลูกสาวก็คอยถือพัดโบกให้เย็นขึ้น
“เมืองราม ตื่นแล้วก่อลูก”
“อ้ายฟื้นแล้ว” คนแม่พูดด้วยสำเนียงที่เขาไม่คุ้นหูนักน่าจะเป็นสำเนียงทางเหนือ ส่วนคนลูกพูดด้วยสำเนียงภาคกลางแต่ยังมีภาษาพื้นเมืองปนมาบาง
“เจ็บปวดตรงไหนหื้อบ่ลูก บอกแม่” ลูกเหรอ....พิรัลกระพริบตาถี่ๆ เขาอยากมองผู้หญิงคนนี้ให้ชัดขึ้นว่าใช่แม่ของเขาจริงหรือ หากคนนี้คือแม่ของเขา สาวน้อยคนนั้นก็น่าจะเป็นน้องสาว น้องคนละพ่อ
“ผม...ปวดหัวมาก” พิรัลค่อยๆพูดออกมาอย่างยากลำบากเพราะลำคอฝืดแห้งเต็มทน
“มิ่งเมือง ไปเรียนคุณพ่อทีว่าพี่เมืองรามฟื้นแล้ว” พอสาวน้อยคนนั้นลุกวิ่งไป พิรัลจึงสังเกตเห็นว่า สาวน้อยที่ชื่อมิ่งเมืองนั้นแต่งตัวโบราณย้อนยุค เพราะเธอใส่ผ้าแถบนุ่งผ้าถุง มวยผมและใช้ปิ่นเงินปัก พอหันมามองคนแม่ก็พบว่าแต่งตัวไม่ต่างกัน
“เมื่อตะกี้ แม่เรียกผมว่ายังไงนะครับ”
“เมืองรามไงลูก เป็นหยังถามแปลกๆ”
ทำไมแม่ถึงเรียกเขาว่าเมืองราม เขาไม่คุ้นเลยว่าพ่อหรือแม่เคยเรียกเขาด้วยชื่อนี้ นี่ใช่แม่ของเขาแน่หรือ ยิ่งมองพิรัลยิ่งคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ แม่ของเขาไม่ใช่คนทางเหนือ โดยเฉพาะอาการเป็นห่วงเป็นใยเขาแบบนี้ ยังไงก็ไม่ใช่แน่ๆ ไม่นานนักประตูห้องก็ถูกเปิดขึ้นอีกครั้งพร้อมกับคนแปลกหน้าคนอีกคน ชายวัยกลางคนผิวกร้านแดดไว้หนวดนุ่งโจงกระเบนมีผ้าคาดเอวยาวเพียงเข่า ชายคนนั้นยืนมองหน้าพิรัลอย่างครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยปากบอกคนอื่นในห้อง
“แม่มิ่ง แม่หล้า พวกเจ้าออกไปคอยข้างนอกก่อนหนา พ่อมีเรื่องจะพูดกับเมืองรามตามลำพัง” ว่าแล้วสองสาวก็มองหน้ากันเพียงครู่ ก่อนที่คนเป็นแม่จะพยักหน้าเรียกให้ลูกสาวเดินตามออกมาจากห้องนั้นแล้วหับประตูปิด
ชายคนนั้นเดินเข้ามาใกล้แล้วนั่งลงที่ปลายเตียง พิรัลเองก็ค่อยๆดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง เพราะดูท่าทางอีกฝ่ายคงมีเรื่องจริงจังจะคุยด้วย
“เจ้ามีชื่อว่ากระไร เป็นใคร มาจากที่ใด”
“ผมชื่อพิรัล ทำงานเป็นช่างเทคนิกของบริษัทที่กรุงเทพครับ ผมถูกคนร้ายแทงมา” ว่าแล้วพิรัลก็ยกมือคลำตำแหน่งที่ตนเองโดนแทง ปรากฏว่าไปพบร่องรอยของการมีบาดแผลและไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย
“บ้านเมืองของเจ้าคงไกลจากที่นี่นัก ข้าไม่เคยได้ยินชื่อของบรรษัทแลชื่อเมืองกรุงเทพมาก่อน แต่ก็ยังดีที่พอพูดภาษาคุยกันได้รู้เรื่อง” ชายคนนั้นพูดกับเขา แล้วนิ่งเหมือนครุ่นคิดอะไรไปสักพักก่อนจะพูดกับเขาต่อ
“เอาเถิด ไม่ว่าเจ้าจะเคยเป็นใคร แต่บัดนี้ เจ้าจงจำไว้เสียว่าตัวเจ้าชื่อเมืองราม เป็นบุตรชายของข้าพระพรหมเสนา” ประหลาด! นี่มันเกิดเรื่องประหลาดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ดีๆ เขาต้องมาเป็นคนอื่น มีชื่อใหม่ มีครอบครัวใหม่ มีพ่อ....ที่จำไม่ได้ว่าเคยมี
“ทำไมผมต้องเป็นลูกคุณ” พิรัลตัดสินใจถามออกไปอย่างที่ใจคิด แม้จะรู้สึกเกรงใจคนตรงหน้าอยู่มาก ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาถูกรู้สึกยำเกรงในตัวชายคนนี้อย่างประหลาดทั้งที่ไม่เคยพบกันมาก่อน พิรัลรู้สึกได้ว่าชายคนนี้เป็นคนจริงและไม่ว่าใครก็ไม่ควรจะมาล้อเล่นด้วย
“ก็เพราะเจ้าได้จากที่ที่เจ้าเคยอยู่มาแล้ว ไม่มีมีหนทางจะกลับไปได้ จิตวิญญาณของเจ้าได้มีที่อยู่ใหม่ คือมาเป็นลูกของข้า ส่วนเมืองรามลูกข้าคนเดิม.....หมดบุญแล้ว” ยิ่งอธิบายพิรัลก็ยิ่งฟังไม่เข้าใจ
“แล้ว...ท่าน ทราบได้ยังไง”
“เดิมข้าเป็นเจ้าคุ้มเชียงทองที่เมืองตาก ได้เรียนรู้วิชาอาคมและโหราศาสตร์จนสามารถใช้วิชาเหล่านั้นได้คล่อง ข้าสามารถรู้ได้ด้วยญานและตรวจดูดวงชะตา”
“เดิมท่านอยู่ที่ตาก แล้วตอนนี้เราอยู่ที่ไหนหรือครับ” พิรัลตัดสินใจถาม ในใจเขาคิดว่าที่นี่คงห่างไกลกรุงเทพมากเหมือนอย่างที่คนบอกว่าเป็นพ่อพูด เพราะอะไรต่างก็ดูแปลกตา
“ที่นี้คือกรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร ราชธานีใหม่ที่สมเด็จพระบรมราชาที่๔ ได้ทรงดำริให้สร้าง”
“พระเจ้าตากสิน” พิรัลอุทานออกมาเมื่อสามารถเรียบเรียงเรื่องราวในหัวได้
“ใช่ แต่เจ้ามิบังควรเอ่ยพระนามลำลองของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”
“พ่อจะบอกทุกคนว่าเจ้าเสียสติบางส่วนไปจากการตกม้า เจ้าจงเรียนรู้การอยู่การเนาที่นี่เสียใหม่ และจงจำไว้ ว่าต่อไปนี้เจ้าคือลูกพ่อ และพ่อจะรักเจ้าเท่าบิดาพึงรักบุตร อย่าได้กลัวอันใดไป” คำพูดของพระพรหมเสนา....พ่อของเขา เหมือนจะให้คำสัญญาเพื่อให้พิรัลวางใจ
“ทำไมท่าน....พ่อ ถึงดีกับผม ทั้งที่ผมมาแทนที่ลูกชายของท่านที่หมดบุญ”
“เพราะพ่อรู้ว่าเจ้าจะมาเป็นลูกชายที่ทำให้พ่อภูมิใจ”
.......................................................................................................
วันที่สองของของการตื่นขึ้นมาเป็นบุตรชายพระพรหมเสนา พิรัลซึ่งพยายามจดจำตัวเองใหม่ว่าชื่อเมืองรามก็ได้พยายามรู้จักตัวคนใหม่ ทำความรู้จักคนในครอบครัว ซึ่งพระพรหมเสนาได้สั่งแก่ทุกคนในเรือนไว้ก่อนหน้าแล้วว่าลูกชายท่านบาดเจ็บหนักพอฟื้นขึ้นมาก็มีอาการหลงลืมไปบางสิ่ง ทุกคนในบ้านยังคอยกังวลเรื่องการเจ็บป่วยของเขา ทั้งแม่มิ่งหล้าและมิ่งเมืองน้องสาวก็ผลัดกันมาคอยเฝ้าไม่ห่าง พิรัลมีทาสชื่อนายยอดเป็นผู้ช่วยส่วนตัว คอยเล่าเรื่องไล่เรียงเหตุการณ์ต่างๆตามที่ตนได้รู้มาให้ฟัง
“คุณเมืองราม แม่นาย คุณมิ่งเมือง ยายตองนวล พี่คำฟอง พึ่งลงมาจากเมืองตากได้เพียงเดือนเดียวขอรับ พอพวกคุณๆมา คุณพระจึงได้หาทาสสาวมาไว้คอยรับใช้ แต่คุณพระไม่ชอบการเอิกเกริก เรือนนี้จึงมีทาสไม่หนาแน่นเท่าเรือนเจ้าขุนมูลนายคนอื่น” นายยอดนอกจากจะคอยดูแลปรนนิบัติตามที่แม่นายได้สั่งไว้ ยังคอยเล่าจ้อเรื่องต่างๆให้ฟังได้ไม่มีหยุด เพราะคุณเมืองรามคนใหม่ของนายยอดน่ารับใช้กว่าคนเดิมเป็นไหนๆ คนเดิมที่เอาแต่เมาน้ำจันทน์แล้วอาละวาด
“เอาเรื่องอันใดมาใส่หัวลูกข้าหรือไอ้ยอด” แม่นายของเรือนเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับบุตรสาวที่ช่วยยกสำรับอาหารมา
“เปล่าขอรับแม่นาย”
“กิ๋นข้าวหงายเถิดลูก วันนี้นอนพักอีกสักวัน อย่าพึ่งรีบออกไปไหน”
“คุณพี่ยังปวดหัวอยู่หรือไม่เจ้าคะ” มิ่งเมืองเป็นเด็กน่าเอ็นดู นอกจากติดแม่แล้วก็คอยแวบมาดูแลพี่ชายตลอด
“หากพี่บอกว่าหายปวดแล้ว เจ้าจะเลิกรินยาหม้อให้พี่ใช่ไหม” พิรัลยิ้มให้แม่และน้องด้วยหัวใจที่ตื้นตัน วันนี้เขาพึ่งได้รู้ซึ้งถึงคำว่าครอบครัว ครอบครัวที่กอปรด้วยพ่อแม่ลูกและมีเขาเป็นส่วนหนึ่งในนั้น เขามีความสุขที่ตนเองมีความสำคัญ เป็นที่รัก เป็นที่ต้องการ เพราะนอกจากป้าที่เลี้ยงเขามาแล้ว พิรัลก็ไม่รู้ว่าในโลกใบนี้ยังมีใครต้องการเขาอยู่อีก เขาไม่รู้ว่าความสุขนี้จะอยู่กับเขาได้นานแค่ไหน แต่ในตอนนี้เขาขอกอบโกยความสุขจากช่วงเวลานี้ไว้ก่อน
.................................................................................................
ล่วงเข้าวันที่สามของการอยู่ที่นี่ พิรัลเริ่มกระวนกระวายเมื่อนึกถึงใครคนหนึ่ง วาดดาว....ที่ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง เขาจำได้เพียงว่าเขาถูกแทงขณะที่เข้าไปช่วยขวางเธอจากคนร้าย แล้วสติเขาก็ดับวูบไปและฟื้นขึ้นมาอีกทีที่นี่ หากโลกใบนั้นมีป้าคนเดียวที่คอยห่วงเขา วาดดาวก็เป็นเพียงคนเดียวที่เขาคอยห่วง
“เจ้ามีเรื่องกังวลอันใดหรือ” พระพรหมเสนาเดินเข้ามาถามบุตรชายที่นั่งเหม่อซึมอยู่ที่ชานเรือน หลังจากที่มารดาเห็นว่าแข็งแรงขึ้นมาบ้างก็อนุญาตให้ออกมานอกห้องหับ
“ขอรับท่านพ่อ”
“หากเจ้าเป็นห่วงคนที่บ้านก็จงตั้งจิตอุทิศกรรมดีที่เจ้าเคยทำให้ปกปักคุ้มครองเขา คงพอช่วยได้บ้าง”
“ท่านพ่อไม่สามารถทราบได้หรือขอรับ ว่าครอบครัวของผมทางโน้นเป็นอย่างไร” เขาคิดถึงป้า คิดถึงวาดดาว
“ห่างไกลกันเพียงนั้น พ่อคงไม่สามารถช่วยเจ้าได้” พระพรหมเสนาส่ายหน้า เรื่องบางเรื่องก็เกินอำนาจที่คนธรรมดาจะให้คำตอบได้ แม้ว่าจะมีวิชาอาคมเก่งกล้าเพียงใด
“พ่อบอกเจ้าได้เพียงว่า เจ้ามิได้มาที่นี่เพียงผู้เดียว เจ้ายังพาผู้หนึ่งมาด้วยเจ้า.....แลใกล้มาถึงแล้ว” ใคร! ใครหลุดมาที่นี่พร้อมเขา ใจของพิรัลภาวนาให้เป็นวาดดาว คนที่อยู่กับเขาเป็นคนสุดท้ายในโลกปัจจุบัน
แม้จะอยากออกไปตามหาคนที่พระพรหมเสนาพ่อของเขาพูดถึง แต่พิรัลก็ไม่สามารถทำได้ ทั้งเพราะพ่อบอกให้เขาใจเย็นอีกไม่นานจะได้พบคนคนนั้นแน่ และทั้งแม่และน้องสาวคอยมานั่งเฝ้าหรือไม่ก็มองมาไม่ห่างตาเพราะคิดว่าเขายังไม่หายดี นายยอดอีกคนที่คอยทำตามคำสั่งแม่นายอย่างเคร่งครัด คือเฝ้าคุณเมืองรามไว้ให้ดีอย่าให้ลงจากเรือนได้เป็นอันขาด นายยอดแอบกระซิบบอกว่า
“แม่นายกลัวว่าคุณเมืองรามจะแอบไปดื่มสุรา” โถ่! เขาในยุคนี้เป็นไอ้ขี้เมาหรือ
ตกบ่ายเสียงเอะอะดังโวยวายมาจากทางหลังเรือน นายยอดเองยังถูกนายสักเรียกให้ลงไปช่วยเพราะมีนางทาสคนหนึ่งพยายามหลบหนี ฟังจากเสียงแล้วคงไล่จับกันอยู่พักใหญ่ กระทั่งนายยอดขึ้นเรือนมาท่าทางเหน็ดเหนื่อย
“นังวาดฟื้นแล้วขอรับ มันเป็นบ้า พยายามจะวิ่งหนี กระผมกับไอ้สักจับได้แล้ว ให้นังนาพากลับเรือนไป” นายยอดเข้ามารายงานแม่นายผู้เป็นใหญ่ในเรือน
“สลบไปหลายวัน ก็ควรอยู่ดอกที่จะฟื้นมาเป็นบ้าเป็นหลังไป”
พิรัลจับใจความได้ว่าเสียงอื้ออึงเมื่อกี้เกิดจากนางทาสชื่อวาด ที่พึ่งฟื้นจากการหมดสติวันนี้และเป็นบ้า วาดอย่างนั้นหรือ จะใช่คนที่ท่านพ่อบอกหรือไม่ ใช่วาดดาวหรือเปล่า ถึงจะสงสัยเพียงไหน พิรัลก็ได้แต่เก็บอาการไว้ไม่ให้ใครผิดสังเกต ยามค่ำพิรัลจึงได้ถามถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ และถามถึงทาสหญิงคนนั้นที่ชื่อวาด พอนายยอดเล่าเหตุการณ์เรื่องเขาตกม้าและแม่วาดถูกเจ้าสีนิลเหยียบเข้าให้ฟังเขาก็ยิ่งสงสัยว่านังวาดจะเป็นวาดดาว
..................................................................................
วันต่อมาพิรัลคอยสังเกตถึงทาสผู้หญิงที่ขึ้นมาทำงานบนเรือน ไม่มีใครที่เขาคุ้นหน้า ถามชื่อแล้วได้รู้ว่าชื่อนา และดวง พอถามถึงทาสที่ชื่อวาดก็ได้ความว่ายังไม่หายดีและแม่นายอนุญาตให้รักษาตัวอยู่ในเรือนทาสด้านหลัง
........................................................................................................
ถัดมาอีกวันพิรัลไม่มีอาการปวดศีรษะแล้ว เขาแสดงอาการว่าแข็งแรงขึ้นมากเพราะไม่อยากให้ทุกคนมาคอยเฝ้าว่าเขาจะเจ็บปวดที่ใด
“หากท่านแม่อนุญาต ลูกจะลงไปว่ายน้ำข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาให้ท่านแม่ดู จะได้รู้ว่าลูกหายแล้ว”
“แหม พอแข็งแรงขึ้นหน่อยเดียวก็ห้าวจริงหนาพ่อคุณ” แม่นายมิ่งหล้าหัวเราะชอบใจเมื่อเห็นบุตรชายทำทีขึงขัง
แท้จริงแล้วพิรัลแอบวางแผนไว้ในใจ หากไม่มีใครคอยจับตามอง เขาคงแอบหลบลงจากเรือนได้ อยากจะลงไปดูให้แน่ ว่าที่เรือนทาสนั้นใช่วาดดาวหรือไม่ แต่จนแล้วจนรอดพิรัลก็ทำไม่สำเร็จ
..................................................................................................
เช้าวันที่หก พิรัลตื่นล้างหน้าล้างตาเตรียมตัวออกไปรับอาหารเช้าพร้อมหน้ากับพ่อแม่และน้องสาว นึกไว้ในใจว่ายังไงเสียวันนี้เขาต้องรู้คำตอบให้ได้ เขาได้แต่คิดและวางแผนต่างๆนานาที่จะหาทางแอบไปที่เรือนทาส จนไม่ได้ทันหลบทาสสาวที่กำลังก้มหน้าจัดสำรับอยู่ เธอหันกลับมาชนเขาอย่างจัง
“วี!!”
เสียงอึกทึกครึกโครมบนเรือนทำให้แม่นายมิ่งหล้าที่กำลังสอนลูกสาวเย็บผ้าวางมือจากงานออกมาดู พอพบลูกชายตนถูกบ่าวหามขึ้นเรือนมาก็ตกใจนัก ยิ่งพอมองใกล้ขึ้นก็พบว่ามีเลือดออกมากมายเหลือเกินที่ศีรษะก็ยิ่งเป็นห่วง
“ไอ้ยอดไอ้สัก ค่อยๆพาเมืองรามเข้าไปนอนในห้อง”
“ไอ้ยอดเอ็งรีบไปตามท่านขุนเวชฯมาที ไอ้สักเอ็งไปเรียนคุณพระว่าพ่อเมืองรามตกม้าเจ็บหนัก เอื้อยคำฟอง ไปเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าเช็ดตาหื้อลูกข้าด้วย” แม้จะตระหนกตกใจเพียงไหนแม่นายมิ่งหล้าก็สั่งงานบ่าวไพร่ที่ยืนไม่เป็นอันทำอะไรได้ถูก
ท่านขุนเวชสิทธิ์ผู้เป็นหมอเมื่อทราบข่าวก็รีบลงเรือมากับนายยอด แล้วรีบตรวจดูอาการของบุตรชายพระพรหมเสานา หลังห้ามเลือดเสร็จก็มอบยาให้ห่อหนึ่ง
“พ่อเมืองรามบาดเจ็บหนักที่ศีรษะเพียงเท่านั้นดอก ส่วนอื่นมิได้บาดเจ็บอันใด แต่เพียงเท่านั้นก็สาหัสนัก ขึ้นกับตัวพ่อเมืองรามเองแล้วว่าจักฟื้นขึ้นมาเมื่อใด ยานี่เป็นยาห้ามเลือดใช้โรยที่ปากแผล ส่วนยารักษาอาการตกเลือดภายในกระเดี๋ยวให้นายยอดตามไปเอาที่เรือนข้าเทิด” ขุนเวชสิทธิ์กำชับเรื่องวิธีการใช้ยาก่อนจะลากลับ ยิ่งฟังที่ขุนเวชฯพูดเรื่องอาการเมืองรามแม่นายมิ่งหล้าก็ยิ่งกังวลมากกว่าเดิม พระพรหมเสนารีบกลับจากการควบคุมดูแลการสร้างพระราชวังใหม่หลังจากนายสักไปแจ้งว่าลูกชายตกจากหลังม้า มาถึงเรือนคล้อยหลังขุนเวชสิทธิ์กลับไปไม่นานนัก
“คุณพี่เจ้าขา มาดูลูกที ป่านนี้ยังไม่ได้สติเลย” แม่นายมิ่งหล้ารีบเล่าถึงอาการของเมืองรามตามที่ขุนเวชฯได้บอกไว้
“แม่หล้า เจ้าไปจัดเตรียมดอกไม้ธูปเทียน ในห้องพระเถิด บัดเดี๋ยวพี่จะเข้าไปสวดมนต์ให้ลูก” พระพรหมเสนาตรวจดูตามร่างกายลูกชายสักพักก็หันมาบอกภรรยา
พระพรหมเสนาเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวมานุ่งห่มชุดขาวเข้าห้องพระไปตั้งแต่เย็นแล้วไม่ได้ออกมาอีกจนถึงเช้า ซึ่งตามปกติแล้วก็เป็นสิ่งที่คุณพระกระทำเป็นประจำในวันพระโดยจะเข้าไปสวดมนต์ถืออุโบสถศีลในห้องพระเพียงลำพังมิให้ผู้ใดมารบกวน พระพรหมเสนาเป็นผู้มั่นคงในศีลธรรม เป็นผู้เชี่ยวชาญในทางวิทยาอาคม เป็นคนสำคัญในกองทัพที่จะทำหน้าที่กำหนดฤกษ์ยามการเดิมทัพ การปลุกเสกของขลังและสักยันต์เพื่อเรียกขวัญกำลังใจให้เหล่าทหาร
“อย่ากังวลใจไปนักเลยแม่หล้า กระเดี๋ยวเมืองรามก็คงฟื้น แลเจ้าจะได้ลูกชายคนใหม่” พระพรหมเสนาเดิมเข้ามาบอกภรรยาที่ยังคอยเฝ้าลูกชายทั้งคืนมิได้ห่าง
“คุณพี่หมายความว่าจะใด”
“เดี๋ยวเจ้าก็จะได้รู้เองหนา” พระพรหมเสนาไม่ได้อธิบายอะไร แล้วยังปลีกตัวไปชำระร่างกายผลัดเปลี่ยนผ้านุ่ง
...................................................................................................................
วันแรกของการฟื้นขึ้นมาในร่างของเมืองราม พิรัลรู้สึกว่ามีคนคอยเอาผ้าชุบน้ำเย็นๆมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้และกระซิบค่อยๆ เพื่อปลุกให้เขาตื่น พิรัลลืมตาขึ้นช้าๆ ภาพที่เห็นตรงหน้าคือผู้หญิงสองคนที่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นแม่ลูกกันแน่ เพราะหน้าตาเหมือนแกะออกมาจากพิมพ์เดียวกัน คนที่เป็นแม่นี่เองที่คอยเช็ดตัวให้เขา ส่วนลูกสาวก็คอยถือพัดโบกให้เย็นขึ้น
“เมืองราม ตื่นแล้วก่อลูก”
“อ้ายฟื้นแล้ว” คนแม่พูดด้วยสำเนียงที่เขาไม่คุ้นหูนักน่าจะเป็นสำเนียงทางเหนือ ส่วนคนลูกพูดด้วยสำเนียงภาคกลางแต่ยังมีภาษาพื้นเมืองปนมาบาง
“เจ็บปวดตรงไหนหื้อบ่ลูก บอกแม่” ลูกเหรอ....พิรัลกระพริบตาถี่ๆ เขาอยากมองผู้หญิงคนนี้ให้ชัดขึ้นว่าใช่แม่ของเขาจริงหรือ หากคนนี้คือแม่ของเขา สาวน้อยคนนั้นก็น่าจะเป็นน้องสาว น้องคนละพ่อ
“ผม...ปวดหัวมาก” พิรัลค่อยๆพูดออกมาอย่างยากลำบากเพราะลำคอฝืดแห้งเต็มทน
“มิ่งเมือง ไปเรียนคุณพ่อทีว่าพี่เมืองรามฟื้นแล้ว” พอสาวน้อยคนนั้นลุกวิ่งไป พิรัลจึงสังเกตเห็นว่า สาวน้อยที่ชื่อมิ่งเมืองนั้นแต่งตัวโบราณย้อนยุค เพราะเธอใส่ผ้าแถบนุ่งผ้าถุง มวยผมและใช้ปิ่นเงินปัก พอหันมามองคนแม่ก็พบว่าแต่งตัวไม่ต่างกัน
“เมื่อตะกี้ แม่เรียกผมว่ายังไงนะครับ”
“เมืองรามไงลูก เป็นหยังถามแปลกๆ”
ทำไมแม่ถึงเรียกเขาว่าเมืองราม เขาไม่คุ้นเลยว่าพ่อหรือแม่เคยเรียกเขาด้วยชื่อนี้ นี่ใช่แม่ของเขาแน่หรือ ยิ่งมองพิรัลยิ่งคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ แม่ของเขาไม่ใช่คนทางเหนือ โดยเฉพาะอาการเป็นห่วงเป็นใยเขาแบบนี้ ยังไงก็ไม่ใช่แน่ๆ ไม่นานนักประตูห้องก็ถูกเปิดขึ้นอีกครั้งพร้อมกับคนแปลกหน้าคนอีกคน ชายวัยกลางคนผิวกร้านแดดไว้หนวดนุ่งโจงกระเบนมีผ้าคาดเอวยาวเพียงเข่า ชายคนนั้นยืนมองหน้าพิรัลอย่างครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยปากบอกคนอื่นในห้อง
“แม่มิ่ง แม่หล้า พวกเจ้าออกไปคอยข้างนอกก่อนหนา พ่อมีเรื่องจะพูดกับเมืองรามตามลำพัง” ว่าแล้วสองสาวก็มองหน้ากันเพียงครู่ ก่อนที่คนเป็นแม่จะพยักหน้าเรียกให้ลูกสาวเดินตามออกมาจากห้องนั้นแล้วหับประตูปิด
ชายคนนั้นเดินเข้ามาใกล้แล้วนั่งลงที่ปลายเตียง พิรัลเองก็ค่อยๆดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง เพราะดูท่าทางอีกฝ่ายคงมีเรื่องจริงจังจะคุยด้วย
“เจ้ามีชื่อว่ากระไร เป็นใคร มาจากที่ใด”
“ผมชื่อพิรัล ทำงานเป็นช่างเทคนิกของบริษัทที่กรุงเทพครับ ผมถูกคนร้ายแทงมา” ว่าแล้วพิรัลก็ยกมือคลำตำแหน่งที่ตนเองโดนแทง ปรากฏว่าไปพบร่องรอยของการมีบาดแผลและไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย
“บ้านเมืองของเจ้าคงไกลจากที่นี่นัก ข้าไม่เคยได้ยินชื่อของบรรษัทแลชื่อเมืองกรุงเทพมาก่อน แต่ก็ยังดีที่พอพูดภาษาคุยกันได้รู้เรื่อง” ชายคนนั้นพูดกับเขา แล้วนิ่งเหมือนครุ่นคิดอะไรไปสักพักก่อนจะพูดกับเขาต่อ
“เอาเถิด ไม่ว่าเจ้าจะเคยเป็นใคร แต่บัดนี้ เจ้าจงจำไว้เสียว่าตัวเจ้าชื่อเมืองราม เป็นบุตรชายของข้าพระพรหมเสนา” ประหลาด! นี่มันเกิดเรื่องประหลาดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ดีๆ เขาต้องมาเป็นคนอื่น มีชื่อใหม่ มีครอบครัวใหม่ มีพ่อ....ที่จำไม่ได้ว่าเคยมี
“ทำไมผมต้องเป็นลูกคุณ” พิรัลตัดสินใจถามออกไปอย่างที่ใจคิด แม้จะรู้สึกเกรงใจคนตรงหน้าอยู่มาก ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาถูกรู้สึกยำเกรงในตัวชายคนนี้อย่างประหลาดทั้งที่ไม่เคยพบกันมาก่อน พิรัลรู้สึกได้ว่าชายคนนี้เป็นคนจริงและไม่ว่าใครก็ไม่ควรจะมาล้อเล่นด้วย
“ก็เพราะเจ้าได้จากที่ที่เจ้าเคยอยู่มาแล้ว ไม่มีมีหนทางจะกลับไปได้ จิตวิญญาณของเจ้าได้มีที่อยู่ใหม่ คือมาเป็นลูกของข้า ส่วนเมืองรามลูกข้าคนเดิม.....หมดบุญแล้ว” ยิ่งอธิบายพิรัลก็ยิ่งฟังไม่เข้าใจ
“แล้ว...ท่าน ทราบได้ยังไง”
“เดิมข้าเป็นเจ้าคุ้มเชียงทองที่เมืองตาก ได้เรียนรู้วิชาอาคมและโหราศาสตร์จนสามารถใช้วิชาเหล่านั้นได้คล่อง ข้าสามารถรู้ได้ด้วยญานและตรวจดูดวงชะตา”
“เดิมท่านอยู่ที่ตาก แล้วตอนนี้เราอยู่ที่ไหนหรือครับ” พิรัลตัดสินใจถาม ในใจเขาคิดว่าที่นี่คงห่างไกลกรุงเทพมากเหมือนอย่างที่คนบอกว่าเป็นพ่อพูด เพราะอะไรต่างก็ดูแปลกตา
“ที่นี้คือกรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร ราชธานีใหม่ที่สมเด็จพระบรมราชาที่๔ ได้ทรงดำริให้สร้าง”
“พระเจ้าตากสิน” พิรัลอุทานออกมาเมื่อสามารถเรียบเรียงเรื่องราวในหัวได้
“ใช่ แต่เจ้ามิบังควรเอ่ยพระนามลำลองของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”
“พ่อจะบอกทุกคนว่าเจ้าเสียสติบางส่วนไปจากการตกม้า เจ้าจงเรียนรู้การอยู่การเนาที่นี่เสียใหม่ และจงจำไว้ ว่าต่อไปนี้เจ้าคือลูกพ่อ และพ่อจะรักเจ้าเท่าบิดาพึงรักบุตร อย่าได้กลัวอันใดไป” คำพูดของพระพรหมเสนา....พ่อของเขา เหมือนจะให้คำสัญญาเพื่อให้พิรัลวางใจ
“ทำไมท่าน....พ่อ ถึงดีกับผม ทั้งที่ผมมาแทนที่ลูกชายของท่านที่หมดบุญ”
“เพราะพ่อรู้ว่าเจ้าจะมาเป็นลูกชายที่ทำให้พ่อภูมิใจ”
.......................................................................................................
วันที่สองของของการตื่นขึ้นมาเป็นบุตรชายพระพรหมเสนา พิรัลซึ่งพยายามจดจำตัวเองใหม่ว่าชื่อเมืองรามก็ได้พยายามรู้จักตัวคนใหม่ ทำความรู้จักคนในครอบครัว ซึ่งพระพรหมเสนาได้สั่งแก่ทุกคนในเรือนไว้ก่อนหน้าแล้วว่าลูกชายท่านบาดเจ็บหนักพอฟื้นขึ้นมาก็มีอาการหลงลืมไปบางสิ่ง ทุกคนในบ้านยังคอยกังวลเรื่องการเจ็บป่วยของเขา ทั้งแม่มิ่งหล้าและมิ่งเมืองน้องสาวก็ผลัดกันมาคอยเฝ้าไม่ห่าง พิรัลมีทาสชื่อนายยอดเป็นผู้ช่วยส่วนตัว คอยเล่าเรื่องไล่เรียงเหตุการณ์ต่างๆตามที่ตนได้รู้มาให้ฟัง
“คุณเมืองราม แม่นาย คุณมิ่งเมือง ยายตองนวล พี่คำฟอง พึ่งลงมาจากเมืองตากได้เพียงเดือนเดียวขอรับ พอพวกคุณๆมา คุณพระจึงได้หาทาสสาวมาไว้คอยรับใช้ แต่คุณพระไม่ชอบการเอิกเกริก เรือนนี้จึงมีทาสไม่หนาแน่นเท่าเรือนเจ้าขุนมูลนายคนอื่น” นายยอดนอกจากจะคอยดูแลปรนนิบัติตามที่แม่นายได้สั่งไว้ ยังคอยเล่าจ้อเรื่องต่างๆให้ฟังได้ไม่มีหยุด เพราะคุณเมืองรามคนใหม่ของนายยอดน่ารับใช้กว่าคนเดิมเป็นไหนๆ คนเดิมที่เอาแต่เมาน้ำจันทน์แล้วอาละวาด
“เอาเรื่องอันใดมาใส่หัวลูกข้าหรือไอ้ยอด” แม่นายของเรือนเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับบุตรสาวที่ช่วยยกสำรับอาหารมา
“เปล่าขอรับแม่นาย”
“กิ๋นข้าวหงายเถิดลูก วันนี้นอนพักอีกสักวัน อย่าพึ่งรีบออกไปไหน”
“คุณพี่ยังปวดหัวอยู่หรือไม่เจ้าคะ” มิ่งเมืองเป็นเด็กน่าเอ็นดู นอกจากติดแม่แล้วก็คอยแวบมาดูแลพี่ชายตลอด
“หากพี่บอกว่าหายปวดแล้ว เจ้าจะเลิกรินยาหม้อให้พี่ใช่ไหม” พิรัลยิ้มให้แม่และน้องด้วยหัวใจที่ตื้นตัน วันนี้เขาพึ่งได้รู้ซึ้งถึงคำว่าครอบครัว ครอบครัวที่กอปรด้วยพ่อแม่ลูกและมีเขาเป็นส่วนหนึ่งในนั้น เขามีความสุขที่ตนเองมีความสำคัญ เป็นที่รัก เป็นที่ต้องการ เพราะนอกจากป้าที่เลี้ยงเขามาแล้ว พิรัลก็ไม่รู้ว่าในโลกใบนี้ยังมีใครต้องการเขาอยู่อีก เขาไม่รู้ว่าความสุขนี้จะอยู่กับเขาได้นานแค่ไหน แต่ในตอนนี้เขาขอกอบโกยความสุขจากช่วงเวลานี้ไว้ก่อน
.................................................................................................
ล่วงเข้าวันที่สามของการอยู่ที่นี่ พิรัลเริ่มกระวนกระวายเมื่อนึกถึงใครคนหนึ่ง วาดดาว....ที่ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง เขาจำได้เพียงว่าเขาถูกแทงขณะที่เข้าไปช่วยขวางเธอจากคนร้าย แล้วสติเขาก็ดับวูบไปและฟื้นขึ้นมาอีกทีที่นี่ หากโลกใบนั้นมีป้าคนเดียวที่คอยห่วงเขา วาดดาวก็เป็นเพียงคนเดียวที่เขาคอยห่วง
“เจ้ามีเรื่องกังวลอันใดหรือ” พระพรหมเสนาเดินเข้ามาถามบุตรชายที่นั่งเหม่อซึมอยู่ที่ชานเรือน หลังจากที่มารดาเห็นว่าแข็งแรงขึ้นมาบ้างก็อนุญาตให้ออกมานอกห้องหับ
“ขอรับท่านพ่อ”
“หากเจ้าเป็นห่วงคนที่บ้านก็จงตั้งจิตอุทิศกรรมดีที่เจ้าเคยทำให้ปกปักคุ้มครองเขา คงพอช่วยได้บ้าง”
“ท่านพ่อไม่สามารถทราบได้หรือขอรับ ว่าครอบครัวของผมทางโน้นเป็นอย่างไร” เขาคิดถึงป้า คิดถึงวาดดาว
“ห่างไกลกันเพียงนั้น พ่อคงไม่สามารถช่วยเจ้าได้” พระพรหมเสนาส่ายหน้า เรื่องบางเรื่องก็เกินอำนาจที่คนธรรมดาจะให้คำตอบได้ แม้ว่าจะมีวิชาอาคมเก่งกล้าเพียงใด
“พ่อบอกเจ้าได้เพียงว่า เจ้ามิได้มาที่นี่เพียงผู้เดียว เจ้ายังพาผู้หนึ่งมาด้วยเจ้า.....แลใกล้มาถึงแล้ว” ใคร! ใครหลุดมาที่นี่พร้อมเขา ใจของพิรัลภาวนาให้เป็นวาดดาว คนที่อยู่กับเขาเป็นคนสุดท้ายในโลกปัจจุบัน
แม้จะอยากออกไปตามหาคนที่พระพรหมเสนาพ่อของเขาพูดถึง แต่พิรัลก็ไม่สามารถทำได้ ทั้งเพราะพ่อบอกให้เขาใจเย็นอีกไม่นานจะได้พบคนคนนั้นแน่ และทั้งแม่และน้องสาวคอยมานั่งเฝ้าหรือไม่ก็มองมาไม่ห่างตาเพราะคิดว่าเขายังไม่หายดี นายยอดอีกคนที่คอยทำตามคำสั่งแม่นายอย่างเคร่งครัด คือเฝ้าคุณเมืองรามไว้ให้ดีอย่าให้ลงจากเรือนได้เป็นอันขาด นายยอดแอบกระซิบบอกว่า
“แม่นายกลัวว่าคุณเมืองรามจะแอบไปดื่มสุรา” โถ่! เขาในยุคนี้เป็นไอ้ขี้เมาหรือ
ตกบ่ายเสียงเอะอะดังโวยวายมาจากทางหลังเรือน นายยอดเองยังถูกนายสักเรียกให้ลงไปช่วยเพราะมีนางทาสคนหนึ่งพยายามหลบหนี ฟังจากเสียงแล้วคงไล่จับกันอยู่พักใหญ่ กระทั่งนายยอดขึ้นเรือนมาท่าทางเหน็ดเหนื่อย
“นังวาดฟื้นแล้วขอรับ มันเป็นบ้า พยายามจะวิ่งหนี กระผมกับไอ้สักจับได้แล้ว ให้นังนาพากลับเรือนไป” นายยอดเข้ามารายงานแม่นายผู้เป็นใหญ่ในเรือน
“สลบไปหลายวัน ก็ควรอยู่ดอกที่จะฟื้นมาเป็นบ้าเป็นหลังไป”
พิรัลจับใจความได้ว่าเสียงอื้ออึงเมื่อกี้เกิดจากนางทาสชื่อวาด ที่พึ่งฟื้นจากการหมดสติวันนี้และเป็นบ้า วาดอย่างนั้นหรือ จะใช่คนที่ท่านพ่อบอกหรือไม่ ใช่วาดดาวหรือเปล่า ถึงจะสงสัยเพียงไหน พิรัลก็ได้แต่เก็บอาการไว้ไม่ให้ใครผิดสังเกต ยามค่ำพิรัลจึงได้ถามถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ และถามถึงทาสหญิงคนนั้นที่ชื่อวาด พอนายยอดเล่าเหตุการณ์เรื่องเขาตกม้าและแม่วาดถูกเจ้าสีนิลเหยียบเข้าให้ฟังเขาก็ยิ่งสงสัยว่านังวาดจะเป็นวาดดาว
..................................................................................
วันต่อมาพิรัลคอยสังเกตถึงทาสผู้หญิงที่ขึ้นมาทำงานบนเรือน ไม่มีใครที่เขาคุ้นหน้า ถามชื่อแล้วได้รู้ว่าชื่อนา และดวง พอถามถึงทาสที่ชื่อวาดก็ได้ความว่ายังไม่หายดีและแม่นายอนุญาตให้รักษาตัวอยู่ในเรือนทาสด้านหลัง
........................................................................................................
ถัดมาอีกวันพิรัลไม่มีอาการปวดศีรษะแล้ว เขาแสดงอาการว่าแข็งแรงขึ้นมากเพราะไม่อยากให้ทุกคนมาคอยเฝ้าว่าเขาจะเจ็บปวดที่ใด
“หากท่านแม่อนุญาต ลูกจะลงไปว่ายน้ำข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาให้ท่านแม่ดู จะได้รู้ว่าลูกหายแล้ว”
“แหม พอแข็งแรงขึ้นหน่อยเดียวก็ห้าวจริงหนาพ่อคุณ” แม่นายมิ่งหล้าหัวเราะชอบใจเมื่อเห็นบุตรชายทำทีขึงขัง
แท้จริงแล้วพิรัลแอบวางแผนไว้ในใจ หากไม่มีใครคอยจับตามอง เขาคงแอบหลบลงจากเรือนได้ อยากจะลงไปดูให้แน่ ว่าที่เรือนทาสนั้นใช่วาดดาวหรือไม่ แต่จนแล้วจนรอดพิรัลก็ทำไม่สำเร็จ
..................................................................................................
เช้าวันที่หก พิรัลตื่นล้างหน้าล้างตาเตรียมตัวออกไปรับอาหารเช้าพร้อมหน้ากับพ่อแม่และน้องสาว นึกไว้ในใจว่ายังไงเสียวันนี้เขาต้องรู้คำตอบให้ได้ เขาได้แต่คิดและวางแผนต่างๆนานาที่จะหาทางแอบไปที่เรือนทาส จนไม่ได้ทันหลบทาสสาวที่กำลังก้มหน้าจัดสำรับอยู่ เธอหันกลับมาชนเขาอย่างจัง
“วี!!”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ