IF

9.3

เขียนโดย Tsmit

วันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 เวลา 18.13 น.

  6 ตอน
  6 วิจารณ์
  8,254 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 19.16 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) บทที่ 4 : นกกระดาษ 100%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก

 
 
 
 


 

 
บทที่ 4
นกกระดาษ
 
 INGFAR อิงฟ้า 

 
ถ้าหากฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดตึกไม่ได้... เธออาจจะต้องลองกินยานอนหลับ
 
อิงฟ้ายืนมองเม็ดยานอนหลับจำนวนสี่เม็ดที่อยู่ในอุ้งมือของตัวเอง พวกมันช่างดูเย้ายวนให้เธอกลืนมันลงไปเหลือเกิน แต่เธอก็รู้ดีว่ายานอนหลับจำนวนไม่กี่เม็ดไม่สามารถฆ่าเธอให้ตายได้หรอก
พ่อกับแม่จะคอยเปิดกระเป๋าตรวจสิ่งของต้องห้ามประจำบ้านทุกๆ วัน ไม่ว่าจะเป็นหนังสือการ์ตูน หรือหนังสือนิยาย เพราะฉะนั้นการที่เธออุตส่าห์แอบซื้อยานอนหลับมาได้ตั้งสี่เม็ดนี่ก็ถือว่าเป็นปาฏิหารย์มากแล้ว
อิงฟ้าถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนที่จะตัดสินใจเก็บยานอนหลับซ่อนเอาไว้ในแก้วใส่แปรงสีฟันตามเดิม
หญิงสาวเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วทิ้งตัวนอนลงบนเตียง ลืมตามองเพดานสีขาวด้วยความรู้สึกหดหู่ ทั้งที่เธอจะต้องออกจากบ้านไปโรงเรียนภายในยี่สิบนาทีนี้ แต่เธอกลับยังไม่ได้เปลี่ยนชุดนอนเลยด้วยซ้ำ
เมื่อคิดย้อนไปถึงเหตุการณ์บนดาดฟ้าเมื่อวานซืนแล้วอิงฟ้าก็แทบอยากจะขุดหลุมฝังตัวเองเสียเดี๋ยวนี้ เพียงแค่ถูกขัดขวางจนฆ่าตัวตายไม่ได้นั้นก็แย่พอสมควรแล้ว แต่เธอกลับถูกคนอื่นมาเห็นเข้าด้วยนี่สิ
น่าขายหน้าที่สุด
หลังจากลงมาจากดาดฟ้าในวันนั้นเธอก็กลับไปที่ห้องเรียนได้ทันเวลาเช็กชื่อฉิวเฉียด จากนั้นก็ใช้ชีวิตอยู่อย่างเงียบๆ ต่อไปตามเดิม พลางครุ่นคิดถึงเหตุการณ์แสนน่าอนาถบนดาดฟ้าอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ กังวลว่าเรื่องของเธอจะถูกนำไปโพทะนาหรือเปล่า เป็นผลให้เธอต้องคอยมองรอบตัวแทบจะตลอดเวลาราวกับคนหวาดระแวงว่ามีใครรู้เรื่องบ้างหรือไม่ ทั้งที่เธออยากจะลืมเรื่องนั้นโดยเร็วที่สุด แต่ในวันถัดมานายตัวตลกนั่นกลับยังคงตามมาหลอกหลอนไม่ยอมหยุด
น่าเสียดายเหลือเกินที่วันนั้นพลาดโอกาสในการกระโดดตึก แถมยังทำให้เธอไม่กล้ากลับขึ้นไปบนดาดฟ้าอีกต่างหาก มันเหมือนกับว่าพอถูกคนอื่นรู้ความลับแล้ว เธอก็ไม่อยากจะรับรู้ว่า ‘คนอื่น’ ที่ว่านั่นมีตัวตนอยู่ หรือแม้แต่จะย่างกรายเข้าไปเหยียบสถานที่ต้องสาปอย่างบนดาดฟ้าอีกเป็นครั้งที่สอง โดยที่เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร เพราะฉะนั้นเธอจะต้องหาสถานที่แห่งใหม่ในการจบชีวิตตัวเอง
บางทีวันนี้แหละ...วันที่ทุกอย่างจะได้จบสิ้นกันเสียที
อิงฟ้ากระพริบตาอีกครั้ง ขณะนอนมองภาพเพดานสีขาวด้วยความรู้สึกเปล่าเปลี่ยว คิดฟุ้งซ่านถึงภาพความตายต่างๆ นานาอย่างโหยหา
เช้าวันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่เธอไม่อยากไปโรงเรียนหรือแม้แต่อยากจะออกจากห้อง เธอไม่อยากเคลื่อนไหวร่างกาย ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น ไม่อยากคิดอะไรอีกต่อไป ทุกสิ่งทุกอย่างมันช่างดูไร้ค่า ไม่ว่าจะห้องทั้งห้องนี้หรือแม้แต่ตัวเธอเอง อยากจะนอนนิ่งๆ แล้วก็หยุดหายใจไปเลยทั้งๆ อย่างนี้
หญิงสาวหลับตาลงอีกครั้ง จินตนาการว่าตัวเองได้กลายเป็นซากศพอยู่บนเตียง
“อิง! ลงมาได้แล้วลูก!” เสียงตะโกนของแม่ดังขึ้นมาจากชั้นล่าง เตือนให้หญิงสาวรู้สึกว่าตัวเองต้องบังคับร่างกายให้ลงไปชั้นล่างตามคำสั่งของแม่
อิงฟ้าฝืนดันตัวลุกขึ้นจากเตียง แล้วไปอาบน้ำแต่งตัวสวมชุดนักเรียนตามกิจวัตรประจำวันของตัวเอง
ใช้เวลาไม่เกินสิบนาทีเธอก็เตรียมพร้อมออกจากห้อง โดยที่ไม่สนใจแม้แต่จะดูกระจกเพราะคิดว่ามันไม่จำเป็น ไม่มีเพื่อนคนไหนสนใจเธอหรอก ไม่ว่าจะเป็นเบลล์ที่นั่งข้างกันหรือพลอยที่นั่งข้างหน้า หรือแม้แต่เกดกับใบเตยที่นั่งแถวหลัง ส่วนพ่อกับแม่ก็สนใจเพียงแค่ตัวเลขในกระดาษใบเกรดเท่านั้น ตราบใดที่มันยังคงเป็นเลขสี่ พวกเขาก็จะพอใจโดยที่ไม่เคยสนใจเลยสักนิดว่าเธอรู้สึกอย่างไร
อย่างเช่นเมื่อวานซืน คะแนนสอบย่อยของวิชาฟิสิกส์ทำให้พ่อกับแม่ต้องมองเธอด้วยสายตาผิดหวัง ซึ่งเป็นสายตาที่ทำให้เธอต้องรู้สึกปวดร้าวทุกครั้ง และเกลียดตัวเองเหลือเกินที่ช่างโง่เขลาเกินเยียวยา จนไม่สามารถเป็นลูกสาวแสนเพอร์เฟ็กต์ที่ตรงตามความต้องการของพ่อกับแม่ได้
อิงฟ้าเดินลงบันไดมาจนถึงห้องกินข้าว โตีะอาหารมีโจ๊กและน้ำส้มคั้นวางเตรียมเอาไว้ตรงที่นั่งประจำของเธอ พ่อนั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ กำลังนั่งอ่านอะไรบางอย่างในไอแพด เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นเธอก็ส่งรอยยิ้มกว้างมาให้ทันที
“อิง” เสียงตื่นเต้นเอ่ยเรียก “นั่งเลยลูก พ่อมีข่าวดีจะบอก”
หญิงสาวเดินไปนั่งลงตรงหน้าชามโจ๊กโดยที่ไม่ได้พูดตอบอะไรกลับไป ตามปกติเธอก็ไม่ค่อยจะพูดอะไรอยู่แล้ว นอกจากจะพูดตอบรับคำสั่งของพ่อกับแม่หรืออาจารย์เท่านั้น ทำให้เหล่าญาติๆ มักจะกล่าวชมว่าเธอเป็นเด็กดี ทั้งเรียนเก่งและว่านอนสอนง่าย พ่อกับแม่จึงยืดอกด้วยความภาคภูมิใจทุกครั้งที่มีใครชื่นชมว่าเลี้ยงลูกเก่ง
“พ่อลงคอร์สติวเข้มฟิสิกส์ให้เราแล้วนะ เริ่มวันเสาร์นี้เลย” พ่อพูดด้วยสีหน้ายินดี พอดีกับที่แม่หยิบชามโจ๊กของตัวเองมานั่งลงตรงฝั่งตรงข้าม
“มันจะชนกับเคมีมั้ยคะคุณ ฉันอยากให้ลูกแน่นเคมีกว่านี้”
“เคมีลงคอร์สเรียนตอนเย็นวันอังคารไปแล้วไง” พ่อแย้งกลับทันทีอย่างมั่นใจแล้วลุกเดินไปหยิบปฏิทินที่วางอยู่ตรงเคาน์เตอร์ครัวขึ้นมาดู “...วันศุกร์ว่างอยู่ ผมว่าน่าจะลงเรียนเลขดีกว่า”
ปฏิทินนั้นคือตารางเรียนพิเศษของเธอ ซึ่งพ่อกับแม่จำเป็นต้องใช้ร่วมกันเพื่อไม่ให้มีใครเผลอไปลงคอร์สเรียนพิเศษชนวันกัน แม้ว่าผู้เรียนจะเป็นอิงฟ้า แต่หญิงสาวก็ไม่เคยได้ออกความเห็นใดๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นเธอจึงไม่ค่อยแน่ใจว่าตัวเองมีเรียนพิเศษกี่วิชากันแน่ นอกจากจะต้องถามพ่อกับแม่ผู้รอบรู้เรื่องตารางเรียนของเธอราวกับว่าเป็นผู้จัดการส่วนตัว
พ่อเดินกลับมานั่งลงที่โต๊ะอาหาร วางปฏิทินในมือลงตรงหน้าอิงฟ้า หญิงสาวจึงเห็นว่า ตัวเองมีวันว่างเพียงแค่วันอาทิตย์และวันศุกร์เท่านั้นในหนึ่งอาทิตย์
พ่อกับแม่ตกลงกันไว้ว่าจะให้วันอาทิตย์เป็นวันทำการบ้าน ไม่ว่าวันอื่นจะมีตารางเรียนอัดแน่นขนาดไหน วันอาทิตย์ก็จะเป็นวันที่เว้นว่างอยู่เสมอ
เธอควรจะต้องขอบคุณหรือเปล่านะ...
“ต้องตั้งใจเรียนเข้าไว้นะลูก เราจะได้สอบเข้าหมอได้ตามที่ฝัน” แม่พูดย้ำประโยคเดิมอีกครั้งอย่างที่เคยทำมาตลอดตั้งแต่วันที่อิงฟ้าได้เข้าเรียนชั้นม.1เป็นวันแรก ประโยคนั้นได้ซึมซาบและติดตรึงอยู่ในจิตใจจนเธอไม่รู้ว่าตัวเองมีความฝันจริงหรือเปล่า หรือเป็นเพียงแค่ความฝันที่พ่อกับแม่เลือกให้ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็รู้ว่ามันเป็นความฝันที่ดี เพราะว่าพ่อมักจะย้ำต่อท้ายจากประโยคของแม่เสมอว่า
“พ่อหวังดีนะลูก พ่อกับแม่รักลูกมากนะถึงได้อยากที่จะเลือกแต่สิ่งดีๆ ให้ เพราะฉะนั้นลูกต้องตั้งใจเรียนวันนี้อีกวันนะ”
อิงฟ้ามองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวังของทั้งคู่อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ แล้วพร่ำบอกตัวเอง ว่ามันคือความฝันของเธอด้วยเช่นกัน
“...ค่ะ”
 
 
คาบเรียนช่วงเช้าวันนี้ถูกยกเลิกไปเนื่องจากมีพิธีไหว้ครู ซึ่งก็ไม่ได้มีอย่างไหนดีไปกว่ากันเลยแม้แต่น้อย แต่ถ้าให้เลือกจริงๆ เธอก็จะคงเลือกเรียนมากกว่า ต่อให้ไม่ได้อยากเรียน แต่เมื่อเทียบกันแล้ว เธอไม่อยากเข้าไปนั่งรวมอยู่กับเหล่าผู้คนสองหน้าในพิธีหลอกลวงที่มีแต่นักเรียนและครูจอมปลอม ไม่ว่าใครก็ใส่หน้ากากด้วยกันทั้งนั้น โรงเรียนก็คือสนามแข่งขัน หรืออีกนัยหนึ่งคือสนามประลองที่ผู้แข็งแกร่งกว่าจะเหยียบย่ำผู้อ่อนแอขึ้นไปจนถึงจุดที่สูงที่สุด
พ่อกับแม่พร่ำคอยสอนเธออยู่เสมอว่าให้ตั้งใจเรียน เพื่อสร้างคุณค่าให้กับตัวเอง อิงฟ้าเห็นด้วยกับคำสอนของพวกเขา เพราะว่าเพื่อนๆ จะเข้ามาคุยกับเธอก็ต่อเมื่อมีคำปรึกษาเรื่องเรียนเท่านั้น ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็ไม่เคยเห็นว่าเธอมีตัวตน
แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ต้องมองเหล่านักเรียนที่ยืนจับกลุ่มพูดคุยอย่างมีความสุขด้วยความไม่เข้าใจ ทั้งที่เธอสอบได้อันดับหนึ่งหรือไม่ก็อันดับสองมาโดยตลอด แต่เธอกลับไม่มีเพื่อนเลยแม้แต่คนเดียว ทั้งที่เธออยู่จุดสูงที่สุดอย่างที่พ่อกับแม่ต้องการแท้ๆ แต่เธอกลับรู้สึกเดียวดายเหลือเกิน
เธอไม่อยากอยู่อย่างโดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว
แต่ก็หวาดกลัว...ถ้าหากก้าวลงไปข้างล่าง เธอก็จะไม่เหลือคุณค่าอะไรทั้งนั้น แล้วก็จะกลายเป็นคนไร้ค่าอย่างแท้จริง
หลังจากหมดกิจกรรมเข้าแถว เหล่านักเรียนก็ถูกอาจารย์ต้อนให้ขึ้นบันไดตึกทิศตะวันออกไปยังชั้นหกเพื่อร่วมพิธีไหว้ครูในหอประชุม
อิงฟ้าเดินตามเพื่อนๆ ในแถวไปด้วยความรู้สึกหดหู่ เธอไม่ได้อยากมาอยู่ตรงนี้ ไม่ได้มาอยู่ที่นี่ แต่กลับต้องฝืนก้าวขาไปข้างหน้าเรื่อยๆ โดยที่พยายามตีหน้าเรียบเฉยเพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้าสายตา มันทรมานเหลือเกิน จนทำให้เธออยากหายตัวไปเสียเดี๋ยวนี้
ในระหว่างที่ทุกคนกำลังเดินขึ้นตึกกันอย่างเป็นระเบียบ อาจารย์น้ำทิพย์ รองอาจารย์ประจำชั้นของห้องเธอ ก็วิ่งเข้ามาพูดซุบซิบอะไรบางอย่างกับอาจารย์ดวงกมลซึ่งเป็นอาจารย์ประจำชั้น
“...หมดเลยค่ะ” อิงฟ้าได้ยินเสียงอาจารย์น้ำทิพย์พูดพึมพำเนื่องจากยืนอยู่ใกล้กันพอดี สีหน้าของอาจารย์ดูวิตกกังวลอย่างหนัก จนทำให้เธอสงสัยว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า
“หายไปหมดได้ยังไง” เสียงแข็งของอาจารย์ดวงกมลหันไปถามอย่างคาดคั้น แต่คนถูกถามกลับส่ายหน้ากลับมาให้เป็นคำตอบ
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ ตอนนี้พี่พงษ์กำลังหาตัวการอยู่ เห็นเขาบอกว่าพอจะรู้ตัวการที่เป็นคนก่อเรื่องนี้”
อิงฟ้าเดาว่า ‘พี่พงษ์’ ก็คืออาจารย์พงษ์ที่เป็นอาจารย์สอนวิชาพละ แต่เธอก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดี บางทีอาจารย์น้ำทิพย์อาจจะหมายถึงคนอื่นก็ได้
“ถ้าไม่มีพาน แล้วจะทำยังไงกันล่ะทีนี้”
“ทิพย์คาดว่าอาจจะเป็นนายอิสระอีกก็ได้ค่ะ เพราะเมื่อปีที่แล้วก็เขาเนี่ยแหละ ที่เป็นคนตัดไฟทั้งโรง...”
แล้วเสียงของทั้งคู่ก็ขาดหายไปหลังจากที่เธอเดินห่างออกมาไกลพอสมควร
หญิงสาวจำได้ว่าชื่อ ‘อิสระ’ เป็นชื่อของนายตัวตลกบนชั้นดาดฟ้าเมื่อวันก่อน ทีแรกเธอไม่รู้ว่าเขาชื่ออะไร แต่ก็ได้รู้ชื่อจากเพื่อนร่วมห้องคนอื่นในตอนที่พวกเขาจับกลุ่มพูดนินทาถึงนายตัวตลกคนนั้นกันอย่างสนุกปาก คนส่วนมากเรียกเขาว่าตัวประหลาด แต่ก็มีบางกลุ่มที่เรียกว่าตัวตลก ซึ่งห้องหนึ่งของเธอคุ้นชินกับชื่อตัวตลกมากกว่า อาจจะเป็นเพราะว่านักเรียนห้องหนึ่งรู้สึกว่าตัวเองสูงส่งเกินกว่าที่จะใช้คำดูถูกอย่างคำว่าตัวประหลาด ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ตัวประหลาดกับตัวตลกก็ไม่ได้ฟังดูดีไปกว่ากันเท่าไหร่
ครึ่งชั่วโมงต่อมานักเรียนทั้งโรงเรียนก็ถูกต้อนขึ้นมายืนเข้าแถวอยู่ในหอประชุมกันจนครบทุกชั้นเรียน เสียงพูดคุยดังอื้ออึงไปทั่วทั้งหอประชุม แต่ละคนเริ่มจับความผิดปกติของพิธีไหว้ครูครั้งนี้ได้เนื่องจากอาจารย์ทุกคนเอาแต่วิ่งวุ่นวายโดยที่ไม่สนใจแม้แต่จะห้ามนักเรียนไม่ให้พูดคุยกัน เหล่านักเรียนจึงหันไปแลกเปลี่ยนข้อสันนิษฐานของตัวเองว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น บางคนเสนอว่ามีอาจารย์บางคนไม่มา บ้างก็บอกว่าระบบเครื่องเสียงมีปัญหา หรือไม่ก็มีเหตุข่มขู่ทางโรงเรียน แต่ข้อสันนิษฐานที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือผู้อำนวยการเสียชีวิต
เวลาผ่านไปจนกระทั่งเกือบถึงสิบโมงเช้า ในที่สุดก็มีอาจารย์คนหนึ่งขึ้นไปประกาศบนเวทีว่าให้นักเรียนแยกย้ายกันกลับห้องเรียน พิธีไหว้ครูจะเลื่อนไปเป็นวันพรุ่งนี้แทน ทำให้มีนักเรียนบางห้องส่งเสียงเฮลั่นด้วยความดีใจ ไม่ต้องสงสัยเลยว่านักเรียนห้องนั้นคงมีเรียนวิชาคณิตศาสร์ในช่วงเช้าของวันพรุ่งนี้
 
 
 
คาบเช้าที่เหลืออยู่ของวันนี้คือวิชาฟิสิกส์ ซึ่งเป็นวิชาที่เธออ่อนสุด แต่อิงฟ้ากลับนั่งเรียนอย่างไม่ค่อยมีสมาธิเท่าที่ควร เนื่องจากเธอมัวแต่คิดสงสัยว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น นายตัวตลกทำอะไรจนถึงกับทำให้พวกอาจารย์ต้องเลื่อนงานไหว้ครูออกไป 
จนกระทั่งเสียงออดบอกเวลาพักกลางวันดังขึ้นในที่สุด เหล่านักเรียนและอาจารย์ต่างก็พากันทยอยเดินออกจากห้องเรียน
ช่วงพักกลางวันนั้นเป็นช่วงเวลาที่อิงฟ้าเริ่มรู้สึกหวาดระแวงมากเป็นพิเศษ ก่อนเดินออกจากห้องเรียนเธอจึงต้องมองหาอะไรบางอย่างหรือใครบางคนที่มักจะมาป้วนเปี้ยนอยู้ใกล้ๆ ตลอดสองสามวันที่ผ่านมานี้ แต่ก็น่าแปลกที่วันนี้กลับไม่มีวี่แววของใครคนนั้นเลยสักนิด
หญิงสาวผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แล้วลงบันไดไปที่โรงอาหารอย่างสบายใจ
เวลาพักกลางวันของชีวิตนักเรียนม.ปลายนั้นช่างเปรียบเสมือนฝันร้าย เหล่านักเรียนจะแบ่งที่นั่งกันเป็นกลุ่ม แล้วเลือกนั่งโต๊ะประจำของตัวเอง ใครที่เป็นนอกคอกจะถือว่าเป็นธาตุอากาศ ราวกับว่าโรงอาหารคือสมรภูมิแห่งการแบ่งแยกจนไม่เหลือพื้นที่ให้มนุษย์ตัวเล็กๆ ผู้ไร้พวกพ้องได้ยืน
อิงฟ้าเดินไปที่ร้านเบเกอรี่ร้านประจำของตัวเอง เลือกซื้อขนมปังเหมือนอย่างเคย พร้อมกับเหลือบมองสายตาของคนรอบข้างด้วยความกังวลโดยที่ยังคงรักษาสีหน้าเรียบเฉยเอาไว้ เธอไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ว่าเธอไม่มีเพื่อน หรือแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น เพราะมันทำให้เธอรู้สึกวิตกจริตทุกครั้งที่จินตนาการถึงสายตาเย็นชาของคนพวกนั้น จนต้องรู้สึกสมเพชตัวเองที่เป็นพวกนอกคอก แต่จริงๆ แล้ว สิ่งที่ทำให้ต้องเจ็บแปลบอยู่ในอกก็คือการตอกย้ำถึงความเป็นจริงที่ว่าเธอไร้ตัวตนในสถานที่แห่งนี้่ต่างหาก
ดังนั้นเธอจึงต้องหนี หนีขึ้นบันไดไปที่ชั้นสามหรือชั้นสี่ เข้าไปในห้องน้ำสี่เหลี่ยมอันแสนเปียกชื้น ซึ่งก็คือโต๊ะอาหารสำหรับมื้อกลางวันของเธออย่างแท้จริง
อิงฟ้าจับฝาโถส้วมปิดลงแล้วนั่งลงบนนั้น จากนั้นก็หยิบขนมปังออกมากัดกินไปเรื่อยๆ พยายามกลั้นน้ำตาที่กำลังเอ่อล้นอยู่ในดวงตาแต่ก็ไม่เป็นผล นักเรียนหญิงคนอื่นๆ ส่งเสียงหัวเราะเฮฮาดังลั่นไปทั่วห้องน้ำ คนพวกนั้นไม่รับรู้ด้วยซ้ำว่ายังมีเพื่อนนักเรียนหญิงผู้ไร้ตัวตนอีกคนหนึ่งอยู่ด้วย
ในที่สุดเสียงฝีเท้าของคนทั้งหมดก็ดังหายออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งห้องน้ำทั้งห้องได้เข้าสู่ความเงียบงัน
ความเงียบเป็นสิ่งที่เธอชื่นชอบและปรารถนามาโดยตลอด โดยเฉพาะยามที่ประสาทสัมผัสทุกอย่างได้ดับศูนย์ แสดงถึงความจบสิ้นของทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งร่างกาย...และจิตใจ
เหนื่อยเหลือเกิน...
การมีชีวิตอยู่
เธอไม่อยากจะทำอะไรทั้งสิ้น ไม่อยากมอง ไม่อยากฟัง ไม่อยากรับรู้อะไรอีกต่อไป เธอต้องการให้ความรู้สึกปวดร้าวในอกมันสิ้นสุดเสียที
อยากตาย
อิงฟ้าค่อยๆ ล้วงมือหยิบปากกาลูกลื่นในกระเป๋าออกมา สายตาเรียบนิ่งมองไปที่ปากกาด้ามนั้นอย่างเหม่อลอย กลืนน้ำลายเหนียวลงคออย่างยากลำบาก
ถ้าหากว่าเธอแทงปากกาเข้าที่คอ...เธอจะตายได้หรือเปล่า
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงเคาะเบาๆ ดังขึ้นที่ประตูห้องน้ำ ดึงสติของหญิงสาวให้หลุดออกมาจากภวังค์ของตัวเอง อิงฟ้าสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ และเผลอทำปากกาหล่นพื้นเกิดเป็นเสียงกระทบดังสะท้อนขึ้นในห้องน้ำ เมื่อครู่เธอเหม่อลอยจนไม่รู้ตัวเลยว่ามีคนอื่นเข้ามาในห้องน้ำตั้งแต่เมื่อไหร่
แต่ไม่ทันไรอิงฟ้าก็ต้องตื่นตระหนกที่ตัวเองเผลอทำปากกาตก หญิงสาวจึงรีบก้มตัวลงไปเก็บปากกาบนพื้น ระหว่างนั้นก็เหลือบมองผ่านช่องว่างตรงพื้นกับประตู และได้เห็นว่ารองเท้าของคนที่ยืนอยู่อีกฟากหนึ่งของประตูเป็นรองเท้านักเรียนผู้ชาย
“นี่ฉันเอง ฟ้าอยู่ในนี้หรือเปล่า” เสียงร่าเริงอันคุ้นเคยของใครบางคนตะโกนถาม แต่กลับทำให้หญิงสาวต้องขมวดคิ้วด้วยความฉงน แม้จะเริ่มรู้สึกคุ้นๆ ว่าคนที่เรียกเธอว่า ‘ฟ้า’ นั้นมีอยู่คนเดียวเท่านั้น แต่ก็นึกไม่ถึงว่าใครคนนั้นจะกล้าบุกเข้ามาในห้องน้ำหญิงแบบนี้
“ไปกินข้าวด้วยกันนะ” ชายหนุ่มกล่าวชวนด้วยน้ำเสียงเริงรื่นเช่นเคย จนเธออดนึกแปลกใจไม่ได้ว่าเขาไม่ได้กำลังมีเรื่องอยู่กับพวกอาจารย์หรอกหรือไง
อิงฟ้ารู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกคุกคามความเป็นส่วนตัวอย่างรุนแรง แต่ก็ไม่รู้จะตอบกลับไปว่าอย่างไรดี เธอไม่อยากให้ใครรู้ว่าเธอแอบมาซ่อนตัวกินอาหารกลางวันอยู่ในห้องน้ำแบบนี้ มันน่าสมเพช เพราะฉะนั้นเธอจึงตัดสินใจว่าจะใช้ความเงียบเป็นคำตอบ เพื่อให้เขาเข้าใจผิดว่าคนที่อยู่ในนี้ไม่ใช่ ‘อิงฟ้า’ และถ้าหากว่าเธอเอาแต่เงียบ เดี๋ยวเขาก็คงจะยอมแพ้ไปเอง
“เธอออกจากห้องน้ำไม่ได้เหรอฟ้า” จู่ๆ นายตัวตลกก็เอ่ยถามขึ้นอย่างเป็นจริงเป็นจัง แล้วเสียงเครียดของเขาก็กลายเป็นเสียงตื่นตระหนกขึ้นมาอย่างฉับพลัน “งั้นเดี๋ยวฉันไปตามลุงภารโรงมาให้นะ!”
“อย่า...!” เสียงตื่นกลัวโพล่งออกไปด้วยความตกใจ พร้อมกับรีบเปิดประตูออกไปทันควัน
นายตัวตลกหันกลับมามองด้วยสีหน้างุนงง ก่อนที่จะยิ้มกว้างสดใสทันทีเมื่อเห็นเธอยืนหน้าซีดทำอะไรไม่ถูกอยู่ตรงหน้ากระจก
 
 
 -------------------- 50%
 
 
 
 

 

ดาดฟ้าเป็นสถานที่ที่ตอกย้ำถึงความล้มเหลวและความอับอาย อิงฟ้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีวันที่เธอเดินย้อนกลับขึ้นมาบนนี้พร้อมกับนายตัวตลกผู้ก่อความน่าขายหน้าให้กับเธอ
นายตัวตลกพาเธอไปนั่งอยู่ใต้หลังคาที่ยื่นต่อออกมาจากห้องเก็บของจนไปถึงแท้งก์น้ำ เขาหยิบถุงขนมปังจากร้านประจำของเธอออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วพยักหน้ารบเร้าให้เธอหยิบขนมปังออกมากินบ้าง
“ฉันกินหมดแล้ว” หญิงสาวตอบเสียงห้วน
นายตัวตลกทำหน้าสลดอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะกลับมายิ้มแย้มตามเดิมอย่างรวดเร็วจนเธอปรับอารมณ์ตามอีกฝ่ายแทบไม่ทัน
“เธอรู้รึเปล่าว่าห้องชมรมศิลปะมีข่าวลือว่าผีดุด้วยล่ะ” นายตัวตลกหันมาถามด้วยเสียงสดใส
อิงฟ้าเพียงแต่นั่งฟังเงียบๆ โดยที่ไม่ตอบอะไรกลับไป สถานการณ์นี้ช่างทำให้เธอรู้สึกแปลกประหลาดและอดที่จะหวาดระแวงไม่ได้ว่าจะมีใครมาเห็นเธออยู่กับเขาหรือเปล่า เธอไม่อยากรับฉายาตัวตลกต่อจากเขานะ
“ฉันชอบศิลปะนะ แต่พอมีข่าวลือแบบนี้ก็เลยไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้ห้องชมรม ถ้าเธอจะหาที่ที่ไม่มีคนนะ ห้องศิลปะกับดาดฟ้านี่แหละเหมาะที่สุด”
“ฉันไม่ได้อยากหาที่ที่ไม่มีคน” หญิงสาวแย้งกลับไปโดยอัตโนมัติ เพื่อที่จะแก้ความเข้าใจผิดของเขาว่าเธอไม่ได้มีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น จริงๆ แล้วเขาต่างหากที่เป็น ‘ตัวปัญหา’ สำหรับเธอ
นายตัวตลกพยักหน้ารับฟังหงึกๆ ก่อนที่จะกัดขนมปังคำโตต่อ
“ตอนม.ปลายฟ้าชอบเรียนวิชาอะไรเหรอ” ชายหนุ่มหันมาถามเสียงใสหลังจากกลืนขนมปังก้อนยักษ์ลงคอ
คนถูกถามขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างขัดใจ เธอไม่ต้องการเล่าเรื่องของตัวเอง เขาจะอยากรู้ไปทำไมว่าเธอชอบวิชาอะไร แถมน่าจะรู้คำตอบอยู่แล้วหรือเปล่าว่าต้องเป็นวิชาเลขในเมื่อพวกเธอเรียนอยู่คณะบัญชี
แต่ทั้งสีหน้าและสายตาของคนตรงหน้ากลับดูตั้งใจฟังราวกับว่าเขาต้องการที่จะรู้คำตอบของคำถามนั้นจริงๆ หญิงสาวจึงลองครุ่นคิดหาคำตอบเพื่อตัดความรำคาญ จะว่าไปแล้ว...ไม่เคยมีใครถามคำถามนั้นกับเธอมาก่อนเลย
อิงฟ้าไม่รู้ว่าตอนสมัยมัธยมตัวเองชอบวิชาไหนเป็นพิเศษ แม้ว่าในหัวจะมีชื่อวิชาภาษาอังกฤษลอยขึ้นมาแล้วก็ตาม แต่เธอก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดีว่าเธอชอบมันแน่หรือเปล่า รู้แค่ว่าวิชาที่เธอเรียนแล้วมีความสุขและสนุกมากที่สุดก็คือภาษาอังกฤษ เธอชอบดูหนังและอ่านบทความที่เป็นภาษาอังกฤษ อยากรู้จักโครงสร้างของภาษาต่างๆ นอกจากภาษาอังกฤษแล้วเธอก็รู้สึกว่าภาษาอื่นๆ อย่างเช่นภาษาจีนและภาษาญี่ปุ่นน่าสนใจอีกด้วย ต่างจากวิชาฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ที่เธอจะต้องกวดขันให้ตัวเองตั้งสมาธิอยู่กับมันเพื่อคะแนนสอบ
“ฉัน...ชอบภาษาอังกฤษ”
ประโยคนั้นให้ความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจอย่างน่าประหลาด ราวกับว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอทำความรู้จักตัวเองอย่างจริงจัง
“ฉันก็ชอบเหมือนกัน” นายตัวตลกพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ภาษาอังกฤษสนุกดี ฉันชอบทุกอย่างที่สนุก
เขาเงียบไปพักหนึ่ง แล้วทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้
“อย่างเรื่องภารกิจของพวกเรานี่ก็สนุกนะ”
“ภารกิจอะไร?”
“ภารกิจพิชิตความกลัวไง” เสียงสดใสตอบด้วยรอยยิ้มกว้าง แต่มันกลับทำให้เธอรู้สึกสับสนเมื่อคำพูดของเขามันช่างฟังดูกำกวมและพิลึกเหลือเกิน ภารกิจพิชิตความกลัวอะไรกัน พวกเธอไม่ใช่เจ้าหน้าที่ FBI หรือสายลับสักหน่อย นี่เขาดูหนังมากไปหรือเปล่า
“นายพูดเรื่องอะไรน่ะ”
“ก็ที่เธอรับปากว่าจะทำตามที่ฉันบอกไง ถ้าหากว่าฉันปิดปากเงียบเรื่องบนดาดฟ้าในวันนั้น”
อิงฟ้าเม้มปากแน่นทันทีเมื่ออีกฝ่ายพูดตอกย้ำถึงความน่าขายหน้าของเธอ เมื่อไหร่เขาจะหยุดพูดเรื่องนี้และหายตัวไปจากตรงหน้าเธอเสียที
“ถ้าหากว่าฉันไม่บอกใคร เธอจะต้องมาทำภารกิจกับฉันไง” เสียงสดใสกล่าวย้ำอีกครั้ง แม้ว่าชายหนุ่มจะดูร่าเริงและไม่เป็นพิษเป็นภัยใดๆ ก็จริง แต่คำพูดขู่นั้นทำให้หญิงสาวรู้สึกถูกเอาเปรียบและเริ่มมองอีกฝ่ายอย่างระแวง เขาต้องการให้เธอไปเป็นทาสของเขาหรือไง
ดังนั้นอิงฟ้าจึงใช้ความเงียบเป็นคำตอบ เพื่อรวบรวมข้อมูลจากอีกฝ่ายมาให้มากที่สุดแล้วค่อยตัดสินใจอีกทีว่าจะทำอย่างไรต่อไป
แต่นายตัวตลกกลับไม่ยอมรอฟังคำตอบ แล้วทึกทักเอาเองว่าเธอคงจะตอบตกลงแน่นอน
“งั้นมาเริ่มกันเลยนะ” เขาล้วงหยิบเศษกระดาษออกมาจากกระเป๋ากางเกง ตีสีหน้าและท่าทางดูขึงขังราวกับว่านี่คือเรื่องสำคัญมาก
อิงฟ้าขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจทันควัน แต่ยังไม่ทันที่จะได้แย้งอะไรออกไปเขาก็หันมายิงคำถามใส่เธอเสียก่อน
“เธอกลัวอะไรมากที่สุดในชีวิตเหรอ” เสียงจริงจังเอ่ยถามพร้อมกับจับปากกาเตรียมพร้อมจดคำตอบของเธอลงไปในแผ่นกระดาษเล็กๆ แผ่นนั้น ท่าทางของเขาทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับถูกสัมภาษณ์ ราวกับว่านายตัวตลกเป็นนักข่าวที่กำลังรอฟังคำตอบจากเธออยู่
หญิงสาวทำตาเขียวใส่คนข้างกาย แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สะทกสะท้านใดๆ เลยสักนิด เธอจะจัดการกับคนขี้ตื๊อแบบนี้ยังไงดีล่ะเนี่ย
อิงฟ้าถอนหายใจออกมาอย่างปลงๆ แล้วลองครุ่นคิดหาคำตอบตามที่เขาถาม เธอกลัวอะไรมากที่สุดงั้นเหรอ...
“...การที่ไม่ได้เกรดสี่”
อิสระชะงักไป แล้วหันมาทำหน้ามุ่ยใส่เธอ
“เอาสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับการเรียนสิ” เขาหัวเราะเบาๆ ในลำคอ ก่อนที่จะพูดขยายความเพิ่มเติม “เอาอะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับการใช้ชีวิต”
หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างไม่เห็นด้วย เพราะการเรียนคือทั้งชีวิตสำหรับเธอมาโดยตลอด ชีวิตเธอจะดีหรือร้ายนั้นขึ้นอยู่กับตัวเลขในใบเกรดทั้งสิ้น
ทันใดนั้นเองก็มีภาพความทรงจำในตอนที่เธอต้องออกไปรายงานหน้าชั้นผุดขึ้นมาในหัว พร้อมด้วยความรู้สึกหวาดวิตกจนถึงขั้นหายใจไม่ออกในขณะนั้น เธอรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังจมน้ำ และกำลังจะตายในอีกไม่ช้า
แม้แต่ในตอนที่ขึ้นเวทีไปรับใบประกาศเกียรติบัตรก็ด้วยเช่นกัน
“...พูด...” หญิงสาวพึมพำตอบออกไปโดยไม่รู้ตัว “...ต่อหน้าคนจำนวนมาก”
แต่แล้วเสี้ยววินาทีถัดมาเธอก็ต้องรู้สึกอับอายทันทีที่ตัวเองเผลอตอบอะไรงี่เง่าออกไป แล้วจินตนาการถึงภาพนายตัวตลกที่กำลังหัวเราะเยอะเธออยู่ในหัว
แต่ถึงอย่างนั้นคนตรงหน้ากลับไม่แม้แต่จะแสดงความรู้สึกใดๆ ทั้งนั้น เขาก้มหน้าก้มตาเขียนคำตอบของเธอลงกระดาษอย่างจริงจังราวกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดามาก
“แล้วข้อสองล่ะ” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาถามต่ออย่างสนใจ
อิงฟ้ารู้สึกงุนงงเล็กน้อยที่อีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยกับความกลัวที่เธอคิดว่าแสนโง่เง่าเหลือเกิน แต่ก็เป็นความผิดคาดที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นยังไงชอบกล
“เอ่อ...” หญิงสาวพยายามคิดหาอย่างอื่น แต่เธอกลับคิดอะไรไม่ออกเลยนอกจากเรื่องเรียน และสายตาผิดหวังของพ่อแม่ ซึ่งเธอเกลียดตัวเองที่รู้สึกไม่พอใจสายตาของพวกเขา เพราะเธอรู้ดีว่าพ่อกับแม่แค่หวังดี พวกเขาอยากให้เธอประสบความสำเร็จ เพราะฉะนั้นเธอควรที่จะต้องรู้สึกขอบคุณพวกเขา ไม่ใช่กลัว ดังนั้นเธอจึงไม่ต้องการให้นายตัวตลกมารับรู้ความน่ารังเกียจในตัวเธอมากไปกว่านี้อีกแล้ว
อิงฟ้าส่ายหน้าเบาๆ แล้วตอบเสียงห้วนอย่างเด็ดขาด
“ฉันนึกไม่ออก”
นายตัวตลกมองสบสายตากับเธอพักหนึ่ง ก่อนที่จะหันไปพับกระดาษแผ่นเล็กในมือเก็บเข้ากระเป๋ากางเกงราวกับอ่านใจเธอออกว่าเธอไม่ต้องการพูดเรื่องนี้ในตอนนี้ จากนั้นเขาก็หันมาส่งยิ้มสดใสให้เธอ
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบก็ได้ เราจะพิชิตมันไปด้วยกันทีละอย่างเอง”
‘ด้วยกัน’
เป็นคำที่ฟังดูไม่คุ้นหูยิ่งนัก เธอไม่เคยมีเพื่อนมาก่อนเลยในชีวิต จึงไม่เคยได้ยินเพื่อนคนไหนพูดคำคำนี้กับเธอมาก่อนเลยแม้แต่คนเดียว
หญิงสาวค่อยๆ ยกมุมปากขึ้นนิดๆ ตามรอยยิ้มสดใสของคนตรงหน้า
นายอิสระละสายตาจากเธอไปแล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเบื้องบน ยิ้มสดใสกว้างขึ้นกว่าเดิมราวกับกำลังหลงใหลภาพชวนฝันของเหล่าก้อนเมฆสีขาว เส้นผมสีดำสนิทที่ปรกหน้าผากของเขาพริ้วไหวเล็กน้อยตามแรงลมอ่อนๆ เสียงนกร้องบนท้องฟ้าดังขึ้นอยู่ไกลๆ
“ถ้าหากว่าเธอได้เป็นนก...เธอจะทำอะไรเป็นอย่างแรกเหรอ” เสียงเคลิ้มฝันเอ่ยถามขณะจ้องมองไปยังกลุ่มนกน้อยๆ กลุ่มหนึ่งที่กำลังสยายปีกอยู่บนท้องฟ้า
อิงฟ้าเงยหน้าขึ้นมองตาม
“ก็คง...อยากจะบินล่ะมั้ง”
หญิงสาวตอบไปตามความรู้สึกโดยไม่รู้ตัว แล้วลองนำคำตอบนั้นมาครุ่นคิดกับตัวเอง ความรู้สึกของการได้เป็นอิสระ...มันเป็นอย่างไรกันนะ
อิงฟ้าก้มมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือ เหลือเวลาพักอีกแค่สิบนาทีเท่านั้น หญิงสาวจึงรีบลุกเดินจากมาโดยที่ไม่รอฟังเสียงเรียกของนายตัวตลก แค่ขึ้นมานั่งอยู่บนนี้จนหมดคาบพักกลางวันนี่ก็เกินความคาดหมายมากแล้ว เธอไม่เคยนึกเลยว่าตัวเองจะทนนั่งอยู่กับนายตัวตลกได้นานเกินห้านาทีด้วยซ้ำ
หญิงสาวแวะเลี้ยวเข้าห้องน้ำระหว่างทางก่อนที่จะกลับไปที่ห้องเรียน แต่ก่อนที่จะเดินออกจากห้องน้ำเธอก็ต้องเหลียวซ้ายแลขวาโดยอัตโนมัติ กลัวว่านายตัวตลกอาจจะยังยืนรออยู่หรือเปล่า แต่ว่าเขากลับหายตัวไปไหนแล้วไม่รู้ ดังนั้นเธอจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
 
อิงฟ้านั่งลงประจำที่นั่งของตัวเองในห้องเรียน ในตอนที่เธอเข้ามาในห้องมีเพื่อนคนอื่นอยู่แค่สามคนเท่านั้น แสดงว่าคนอื่นๆ ยังคงอยู่ที่โรงอาหาร แต่ไม่ถึงหนึ่งนาทีต่อมาเพื่อนร่วมเซคคนอื่นก็พากันเดินทยอยเข้ามาในห้องเรียน
อาจารย์ดวงกมลเดินเข้าห้องตามหลังเกด ใบเตย และเฟรม สองสาวหนึ่งหนุ่มผู้โด่งดังไปทั้งคณะตั้งแต่กิจกรรมรับน้องเมื่อหลายเดือนก่อน แม้ว่าคะแนนสอบของทั้งสามนั้นจะรั้งท้ายก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็มีเพื่อนรายล้อมมากมาย ผิดกับคนที่ครองที่หนึ่งมาโดยตลอดอย่างเธอ
ทำยังไง...
ทั้งสามคนเดินผ่านที่นั่งของเธอไปยังหลังห้องซึ่งเป็นที่นั่งประจำของตัวเอง
หญิงสาวสะดุ้งนิดๆ เมื่อรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังมองสามคนนั้นอยู่ แล้วรีบหันกลับไปมองกระดานตามเดิม  จริงๆ แล้วอิงฟ้าก็ไม่ได้รู้สึกสนใจพวกเขาเลยสักนิด แค่หันไปมองแบบผ่านๆ สิ่งที่เธอสนใจคือวิชาเรียนและอาจารย์ต่างหาก
“วันนี้ต่อจากครั้งก่อนเลยนะ ค้างไว้ที่หน้า 189 ใช่มั้ย” อาจารย์ดวงกมลตะโกนบอกนักศึกษาทุกคน
หญิงสาวล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเพื่อหยิบหนังสือเรียน แต่ในจังหวะที่ดึงหนังสือออกมากลับมีเสียงอะไรบางอย่างติดออกมาด้วย
อิงฟ้าหยิบนกกระดาษสีเหลืองตัวน้อยที่อยู่บนปกหนังสือเรียนขึ้นมามองอย่างงงๆ ไม่รู้ว่ามันเข้ามาอยู่ในกระเป๋าของเธอได้ยังไง แล้วหันมองซ้ายมองขวาเพื่อหาเจ้าของ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครสนใจเธอเลย...
นั่นสิ... ใครเขาจะมาสนใจนกกระดาษกัน
หรือว่าจะมีใครแกล้งเธอหรือเปล่า
แต่ใครเขาจะแกล้งด้วยการพับนกกระดาษให้กันล่ะ แถมเมื่อสังเกตดูดีๆ แล้ว ดูเหมือนว่ากระดาษสีหลืองแผ่นนี้จะไม่ใช่กระดาษสี แต่เป็นกระดาษสมุดที่ถูกระบายด้วยสีเหลืองต่างหาก
อิงฟ้านั่งมองนกกระดาษในมืออยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะเก็บมันใส่กลับเข้าไปในเก๊ะแล้วเปิดหนังสือเรียนไปที่หน้า 189 ตามคำสั่งของอาจารย์
 
 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา