IF

9.3

เขียนโดย Tsmit

วันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 เวลา 18.13 น.

  6 ตอน
  6 วิจารณ์
  8,248 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 19.16 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) บทที่ 2 : ผู้วิเศษ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 
 
บทที่ 2
ผู้วิเศษ
 
 ITSARA อิสระ 

 
 
ถ้าหากกระโดดตึกลงมาจากชั้นดาดฟ้าที่มีต้นไม้อยู่ด้านล่าง ต้นไม้จะช่วยผ่อนแรงกระแทก ทำให้ไม่ตายจริงหรือเปล่า
 
เธอชื่ออิงฟ้า
เขาไม่รู้จักเธอหรอก แต่ว่าเขาเป็นผู้วิเศษ เขาจึงใช้พลังพิเศษแอบตามเธอไปที่ห้องเรียนจนได้รู้ว่าเธออยู่ชั้น ม.5/1 ซึ่งเป็นห้องนักเรียนหัวกะทิ แล้วก็ได้รู้จักชื่อของเธอจากเพื่อนคนหนึ่งที่นั่งอยู่ริมประตู เพื่อนคนนั้นเป็นนักเรียนชายที่มีรูปร่างใหญ่ผิดกับคนอื่นๆ บางทีเขาคงจะเป็นนักกีฬา
คุณนักกีฬาทำหน้าประหลาดเมื่อเห็นเขาทำท่าจะเดินเข้าไปในห้อง แล้วรีบลุกพรวดกระโดดข้ามโต๊ะตัวเองมายืนกั้นขวางทางเข้าออกเอาไว้ทันที
“นายอยู่ห้องนี้ด้วยเหรอไง” เสียงแข็งถามพร้อมกับเชิดคางขึ้นน้อยๆ ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังถูกเยาะเย้ย
อิสระขมวดคิ้วด้วยความงุนงงที่ตัวเองถูกขวาง ทำไมถึงไม่ยอมเข้าใจกันนะ ก็เพราะว่าเขาไม่ได้อยู่ห้องนี้ยังไงล่ะถึงต้องคุยกับอิงฟ้าให้รู้เรื่องเสียตอนนี้ พวกเขากำลังจะปฏิบัติภารกิจผู้พิชิตด้วยกัน เพราะฉะนั้นเขาจึงต้องรีบนัดแนะเวลาประชุมให้เธอได้เตรียมพร้อม
“ฉันอยากจะคุยกับอิงฟ้าน่ะ เราเป็นเพื่อนกัน” ชายหนุ่มพยายามอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ
คนตรงหน้าหลุดขำพรืดออกมาทันทีก่อนที่จะหันไปมองด้านหลัง
“เฮ้ย อิง! มีตัวตลกมาหาว่ะ”
หญิงสาวเจ้าของชื่อกำลังนั่งก้มหน้าเขียนอะไรบางอย่างอยู่ที่โต๊ะตรงกลางห้อง อิงฟ้ามีสีหน้าซีดเผือดโดยพลันเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นเขา ดังนั้นอิสระจึงส่งรอยยิ้มสดใสพร้อมกับโบกมือให้เธอด้วยความดีใจ เพื่อเป็นการแก้ความเข้าใจผิดว่าเขาไม่ใช่ผีนะ เธอไม่ต้องทำหน้าหวาดกลัวขนาดนั้นก็ได้
แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามกระโดดหรือโบกไม้โบกมือเรียกเธอสักเท่าไร อิงฟ้ากลับหลบสายตาแล้วเอาแต่จ้องหนังสือที่อยู่บนโต๊ะเขม็ง จ้องนานเสียจนน่าสงสัยว่ามันอาจจะมีการแสดงอะไรบางอย่างที่น่าสนใจมากอยู่บนนั้น
เธอไม่หันกลับมามองเขาอีกเลย ดังนั้นเขาจึงพยายามเรียกชื่อของเธอดังขึ้นอีก
“ฟ้า!”
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงหัวเราะจากเพื่อนคนอื่นๆ แต่ละคนพากันชี้มือมาทางเขาแล้วซุบซิบอะไรกันบางอย่าง แต่ว่าเขาไม่สนใจ เขาสนใจเพียงแค่คนคนเดียวเท่านั้น นั่นคือหญิงสาวเจ้าของโต๊ะตรงกลางห้อง ผู้ที่บัดนี้ได้ฝังใบหน้าของตัวเองลงไปในหนังสือแล้วเรียบร้อย
“นายอิสระ” เสียงแหวร้องดังมาจากข้างหลัง เรียกให้เขาหันขวับไปมอง อาจารย์ดวงกมลผู้เป็นอาจารย์ประจำห้องของอิงฟ้ากำลังยืนจ้องมาที่เขาด้วยสีหน้าบึ้งตึง “มายืนทำอะไรตรงนี้ กลับไปที่ห้องของตัวเองซะ”
 อาจารย์ดวงกมลครอบครองพลังเวทมหาศาลที่เขาไม่อาจต่อกรได้ ทำให้เขาต้องรีบเค้นพลังหายตัวออกมา แต่ดูเหมือนว่าพลังหายตัวยังใช้ไม่ค่อยได้ผล เขาจึงต้องใช้เท้าทั้งสองข้างวิ่งกลับมายังห้องเรียนที่อยู่ท้ายตึกของตัวเองแทน
อาจารย์ประจำชั้นห้องของเขาคืออาจารย์พงษ์ อาจารย์พงษ์เป็นอาจารย์ประจำวิชาพละ ตามปกติแล้วอาจารย์มักจะเข้าห้องเรียนสายเสมอ แต่น่าเสียดายที่วันนี้ไม่ใช่วันปกติ อาจารย์ถึงได้มายืนรออยู่หน้าชั้นเรียนเสียแล้ว ทำให้เขาต้องถูกเช็กชื่อว่าเข้าสายไปโดยปริยาย
อิสระนั่งตัวงอนอนราบไปกับโต๊ะเรียน เวลาเรียนช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้าเหลือเกิน คิดๆ ดูแล้วก็น่าสงสัยว่าทำไมนักเรียนจะต้องมาเสียเวลานั่งอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมทั้งที่มีประสบการณ์มากมายให้ออกไปไขว่คว้าอยู่ข้างนอก
บางทีเหล่านักเรียนอาจจะไม่ชอบการเคลื่อนไหว
ดูได้จากเวลาพักกลางวันที่แต่ละคนขยับตัวกันอย่างเอื่อยเฉื่อย เดินขวางทางกันอยู่ข้างหน้า เป็นผลให้เขาต้องแทรกตัวผ่านแต่ละคนไปโดยไม่สะดวกนัก เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าคนเหล่านี้เคลื่อนไหวอืดอาดอย่างกับเต่าคลานขนาดนี้ได้ยังไง ทั้งที่ยังมีเรื่องอีกตั้งมากมายให้จัดการ
อิสระวิ่งตามระเบียงทางเดินไปจนถึงหน้าห้องเรียนชั้นม.5/1 แล้วชะโงกหน้าเข้าไปมองหาอิงฟ้า เหล่านักเรียนออกมาจากห้องกันเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงนักเรียนเบอร์หนึ่งสองสามที่เขาไม่รู้จักชื่อกำลังนั่งหัวเราะกันอยู่หน้าชั้น ดังนั้นเขาจึงรีบร่ายเวทในหัวเสียใหม่ เปลี่ยนจุดหมายปลายทางเป็นโรงอาหารแทนแล้วออกตัววิ่งไปที่บันไดอย่างรวดเร็ว พลางคิดทบทวนโครงการพิชิตความกลัวไปด้วยอย่างตื่นเต้นในระหว่างที่กระโดดข้ามบันไดทีละสองขั้นหรือสามขั้น
แจ๊กพ็อต!
นั่นไง เขาเจอเธอแล้ว !
โดยที่ไม่ต้องรอไปจนถึงโรงอาหารด้วยซ้ำ เขาเห็นหลังของเธอไวๆ อยู่ตรงมุมบันไดชั้นสอง อิงฟ้ามัดผมหางม้าด้วยยางรัดสีขาว มีนักเรียนหญิงมากมายมัดผมด้วยยางรัดสีขาว แต่เขาจำด้านหลังของเธอได้ในทันที โดยที่เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงจำเธอได้ แต่ว่าเขาจำเธอได้! ดังนั้นเขาจึงรีบวิ่งเข้าไปหาเธอ
“ฟ้า!” อิสระพยายามส่งเสียงเรียก แต่ว่าเธอกลับเดินหายเข้าไปในห้องสมุดเสียแล้ว เพราะฉะนั้นเขาจะต้องตามเธอเข้าไป
“เดี๋ยวก่อน! นายอิสระ!” เสียงเย็นของใครบางคนดังขึ้นใกล้ๆ ก่อนที่จะมีมือหนึ่งพุ่งเข้ามาคว้าแขนเขาเอาไว้ “นี่คิดจะไปไหน เธอถูกสั่งห้ามเข้าห้องสมุดไม่ใช่รึ”
อิสระหันไปมองอีกฝ่าย เผชิญหน้ากับอาจารย์พิมพ์ผู้เป็นบรรณนารักษ์ประจำห้องสมุด
อาจารย์พิมพ์ปล่อยแขนเขาเป็นอิสระ จากนั้นก็ยกแขนตัวเองขึ้นกอดอก จ้องเขม็งตรงมาด้วยสายตาตำหนิ เมื่อปีที่แล้วเขาเข้าไปก่อเรื่องวุ่นในห้องสมุดจนทำให้มีรายชื่ออยู่ในคัมภีร์ต้องห้าม นับแต่นั้นมาอาจารย์พิมพ์ก็เอาแต่ใช้สายตาแบบนั้นจ้องเขาอยู่เสมอ
แต่ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด
“ผมเป็นเพื่อนกับอิงฟ้าครับ เราเป็นเพื่อนกัน” เสียงกระตือรือร้นพยายามอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ มั่นใจเต็มร้อยว่าทุกคนจะต้องเข้าใจอย่างแน่นอน เพราะว่าเขาเป็นเพื่อนกับอิงฟ้าไง เพราะฉะนั้นเขาก็ต้องตามเธอเข้าไปในห้องสมุดด้วยสิ
“แล้วยังไง” อาจารย์ทำหน้างงเหมือนไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด แต่พอเขาทำท่าจะอธิบายอีกรอบ อาจารย์พิมพ์ก็ทำหน้าเบื่อหน่ายพร้อมกับทำมือปัดๆ ไล่ให้ไปจากตรงนี้ “ไม่ว่าจะยังไงก็ไม่ได้ เธอถูกห้ามเข้าที่นี่อย่างถาวร”
หลังจากถูกห้ามไม่ให้เข้าห้องสมุด อิสระก็เดินทำหน้าจ๋อยออกมานั่งรออิงฟ้าอยู่ตรงหน้าบันได คอยชะเง้อมองเหล่านักเรียนคนอื่นเดินผ่านไปมาด้วยความหวังว่าฟ้าจะเป็นหนึ่งในกลุ่มคนพวกนั้น
จนกระทั่งผ่านเวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมงและเหลือเวลาพักอีกแค่ยี่สิบนาทีเท่านั้น ในที่สุดอิงฟ้าก็เดินออกมาจากห้องสมุด
ทีแรกเขาตั้งใจว่าจะเข้าไปคุยกับเธอเลย แต่พอมาคิดดูอีกทีแล้ว บางทีเขาน่าจะรอเธอไปกินข้าวกลางวันให้เสร็จก่อนดีกว่า เธอจะได้อิ่มท้องก่อนเวลาเข้าเรียนช่วงบ่าย ดังนั้นอิสระจึงตัดสินใจเฝ้ามองด้วยการคอยเดินตามเธออยู่ห่างๆ แทน
อิงฟ้าเดินลงบันไดไปจนถึงโรงอาหาร เธอเลือกซื้อขนมปังจากร้านเบเกอรี่มาสองสามชิ้น ไม่แน่ใจว่าสองหรือสามเพราะว่าเขามองเห็นไม่ถนัด หลังจากนั้นก็เดินกลับขึ้นตึกเรียน แล้วแวะเข้าห้องน้ำระหว่างทางชั้นสามกับชั้นสี่
อิสระยืนพิงกำแพงรอเธอเข้าห้องน้ำอยู่ตรงหัวมุมห้องเรียนชั้นสี่ เวลาผ่านไปนานจนเขาต้องเปลี่ยนเป็นนั่งรอแทน ระหว่างนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองป้ายห้องเรียนชั้น ม.4/1 ซึ่งคงจะเป็นอดีตชั้นเรียนของอิงฟ้าเมื่อปีที่แล้ว ป้ายแขวนหน้าห้องมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมเหมือนกันหมดทุกห้อง ดังนั้นเขาจึงวาดภาพป้ายแขวนในหัวเสียใหม่ให้เป็นรูปบ้านแทน หรือไม่ก็เป็นรูปห้องหัวใจที่รวมผู้คนหลากหลายเข้ามาอยู่รวมกัน
ชายหนุ่มหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง แต่เมื่อกดดูเวลาบนหน้าจอแล้วเขาก็ต้องรู้สึกสงสัย ทั้งที่เวลาผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีแล้ว เหลืออีกไม่ถึงห้านาทีก็จะเริ่มคาบเรียนช่วงบ่าย แต่เขาก็ยังไม่เห็นอิงฟ้าออกมาจากห้องน้ำเลย
เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านะ
เพื่อนร่วมชั้นคนอื่นเดินผ่านขึ้นไปยังชั้นห้า เขาจำใบหน้าของใครหลายๆ คนได้ว่าอยู่ห้องเดียวกัน หลายคนหันหลังกลับมามองเขาอย่างฉงนแต่ก็ไม่มีใครเอ่ยทักหรือถามว่าเขามานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้
จนในที่สุดก็มีเสียงออดเข้าห้องเรียนดังขึ้น อิสระจึงตัดสินใจลุกวิ่งไปที่ห้องน้ำหญิงแล้วเปิดประตูพรวดเข้าไปข้างในโดยไม่ลังเล ห้องน้ำว่างเปล่าไม่มีนักเรียนคนอื่นอยู่เลย แต่เขาเห็นว่าห้องด้านในสุดปิดประตูสนิทเอาไว้ ดังนั้นเขาจึงเดินเข้าไปหาประตูบานนั้น พอดีกับที่อิงฟ้าเปิดประตูออกมา
หญิงสาวมีสีหน้าตกใจทันทีที่เห็นเขา
ใบหน้าของเธอมีสีเลือดฝาดอยู่ทั่ว โดยเฉพาะบริเวณเปลือกตาทั้งสองข้าง เธอใช้แขนเสื้อปาดหยดน้ำใสตรงหางตาออก เดินก้มหน้าผ่านเขาไปยังเคาน์เตอร์อ่างล้างมือ
เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าอิงฟ้าเข้าห้องน้ำไปพร้อมกับถุงขนมปัง แต่ว่าตอนนี้มันกลับหายไปแล้ว
อิงฟ้าเปิดก๊อกน้ำล้างหน้าอยู่สองสามทีก่อนที่จะรีบวิ่งออกไปจากห้องน้ำอย่างรวดเร็ว อิสระจึงรีบวิ่งตามเธอออกมาข้างนอก เห็นหลังของเธอไวๆ กำลังวิ่งเลี้ยวขึ้นบันไดไปยังชั้น 5 ดังนั้นเขาจึงก้าวเท้ายาวขึ้นอีกเพื่อที่จะวิ่งตามเธอให้ทัน
อิงฟ้ากำลังจะวิ่งไปถึงห้องม.5/1 ที่อยู่ตรงมุมทางเดินอีกฟากหนึ่งของตึกแล้ว เพราะฉะนั้นเขาจะต้องส่งเสียงเรียกเธอเอาไว้!
“ฟะ...”
พลั่ก!
มือปริศนาของใครบางคนพุ่งเข้ามาอัดตัวเขาเข้ากับกำแพง ก่อนที่อีกคนหนึ่งจะใช้หัวเข่ากระทุ้งเข้าที่บริเวณท้องของเขาสุดแรง
“อั้ก...” อิสระก้มงอตัวด้วยความเจ็บปวดที่แพร่กระจายไปทั่วร่าง ตัวบิดเบี้ยวจากอาการจุก เขาพยายามฝืนยืดตัวขึ้น แต่ไม่ทันไรก็ถูกใครอีกคนเข้ามาล็อกแขนเอาไว้แล้วลากลงบันไดไปที่ห้องน้ำชาย โดยมีอีกสองคนเดินคุมตามมาอยู่ด้านหลังอย่างชำนาญการ
เสียงล็อกประตูห้องน้ำดังขึ้น อิสระเห็นใบหน้าอันแสนคุ้นเคยของเจ้าบ้าสามตัวในกระจก สองในสามเป็นเพื่อนร่วมห้องกับเขา พวกมันกำลังแสยะยิ้มกว้าง ถลึงตาใส่เขาด้วยความสะใจ เขามักจะพบกับทั้งสามคนในตอนพักกลางวันเกือบทุกวัน แต่ก็มักจะมีเวลาพิเศษคือหลังเลิกเรียนอยู่ด้วย
“ไง ไอ้สัตว์ประหลาด” เจ้าบ้าเบอร์หนึ่งพ่นน้ำลายเล็ดรอดไรฟันโดยที่ยังคงล็อกแขนเขาเอาไว้ เจ้าบ้าเบอร์หนึ่งมีฉายาร็อกเกอร์ ซึ่งมาจากชื่อเล่นว่า ‘หิน’ ของมัน และเป็นมือมัดประจำกลุ่ม โดยที่มันมักจะคอยหาจังหวะล็อกตัวเขาตามมุมต่างๆ ของตึก
เจ้าบ้าเบอร์สองชื่อเจอโรม อยู่ห้อง 5/2 เป็นหัวหน้ากลุ่มที่คอยสั่งการและใช้ลูกเตะเพียงอย่างเดียว โกนผมเกลี้ยงเสียจนหนังศีรษะโล้น คาดว่าคงตั้งใจจะประชดอาจารย์ฝ่ายปกครอง
เจอโรมพยักหน้าไปทางกำแพงด้านในสุดของห้องน้ำ ออกคำสั่งให้หินลากตัวเขาไปที่นั่น หินทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย อัดตัวเขาเข้ากับกำแพงก่อนที่จะหลีกทางให้เจอโรมรับช่วงต่อ
เจอโรมใช้เท้าดันตรงกลางหลังเขาเอาไว้ ไม่สิ น่าจะเรียกว่าบดขยี้มากกว่า เพราะว่าแรงขยี้ของมันทำให้เขารู้สึกเจ็บแปลบไปทั้งแผ่นหลังจนแทบจะหายใจไม่ออก
และแล้วเจ้าบ้าเบอร์สามที่ชื่อเต้ก็ออกโรงปิดท้ายด้วยการสาดถังน้ำของลุงภารโรงใส่เขาจนเปียกโชกไปทั้งตัว แล้วส่งเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนาน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพียงฉากเปิดม่านก่อนเริ่มการกล่าวทักทายอย่างจริงจังของเจ้าบ้าทั้งสามตัว โดยที่ทุกครั้งจะเป็นไปตามขั้นตอนนี้อยู่เสมอ ไอ้หินเข้ามาล็อกตัวเขา เจอโรมสั่งให้หินพาตัวเขาไปที่ห้องน้ำแล้วใช้เท้าขยี้ตรงกลางหลัง จากนั้นเต้ก็จะเอาน้ำมาสาด โดยมีเจ้าบ้าเบอร์สี่ที่ชื่อเชียรและเป็นเพื่อนร่วมห้องกับเจอโรมคอยดูลาดเลาอยู่ข้างนอก
“ยึดตัวมันไว้” เสียงของเจอโรมดังขึ้น ก่อนที่เต้กับหินจะเข้ามายึดแขนเขาไว้กันคนละข้าง แล้วบังคับให้เขาหมุนตัวไปเผชิญหน้าด้วย
อิสระพยายามฝืนและขัดขืนเช่นเดียวกับเมื่อวานและวันก่อนๆ แม้จะรู้อยู่แก่ใจดีว่ามันไร้ประโยชน์ก็ตาม แต่เขาก็ไม่เคยยอมแพ้ เขาไม่กลัวพวกมันหรอก เขาไม่เคยกลัวอะไรทั้งนั้น
เจอโรมแสยะยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นเขาทำตาเขียวใส่ จากนั้นก็ปล่อยหมัดอัดเข้าที่ท้อง ประเดิมเป็นลูกแรกของวัน แล้วลูกที่สองลูกที่สามก็ตามมาติดๆ ก่อนที่จะตามด้วยลูกเตะอีกสองชุด โดยปิดท้ายด้วยการอัดลูกเตะอีกลูกใส่หน้าเขาสุดแรงจนต้องกระอักเลือดรอบแรกออกมา
เต้กับหินปล่อยแขนเขาให้เป็นอิสระ แต่ความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกลับทำให้ชายหนุ่มฝืนทรงตัวอยู่ไม่ไหว ล้มลงไปกองกับพื้นห้องน้ำในที่สุด
เขาปรือตามองภาพเบื้องหน้าที่แสนเลือนรางขณะนอนคว่ำราบไปกับพื้น เห็นหยดเลือดสีข้นของตัวเองค่อยๆ ไหลไปรวมตัวเข้ากับน้ำที่นองอยู่เต็มพื้นกระเบื้อง พร้อมกับได้กลิ่นเหล็กขึ้นสนิมที่ชวนให้รู้สึกคลื่นไส้ลอยโชยเข้ามาแตะจมูก
แต่ทว่าทุกอย่างมันช่างสงบนิ่ง และเงียบงันยิ่งนัก ราวกับว่าจังหวะนี้คือช่วงเวลาพักยกประมาณสิบวินาทีก่อนที่ยกใหม่จะเริ่มต้นขึ้น
ติ๊ก...ติ๊ก... ติ๊ก...ติ๊ก... ติ๊ก...ติ๊ก... ติ๊ก...ติ๊ก... ติ๊ก...ติ๊ก
หมดเวลา
ทันใดนั้นเองลูกเตะของใครสักคนก็อัดเข้ามาที่บริเวณชายโครงจนเขากระอักเลือดออกมาเป็นรอบที่สอง แล้วมันก็เตะซ้ำที่เดิมอีกหลายที อาจจะเป็นลูกเตะของเต้หรือหินซึ่งเขาไม่แน่ใจ เพราะหลังจากเจอโรมแล้วเขาก็มักจะคุมสติของตัวเองไม่ค่อยได้ จึงไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่รับช่วงต่อเป็นรายที่สองและรายที่สาม กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีก็เป็นช่วงเวลาที่เชียรใช้สายฉีดชักโครกฉีดเข้าที่หน้าอย่างแรงและนานเสียจนทำให้เขาสำลักน้ำ แล้วทั้งสี่คนก็ปิดท้ายด้วยหมัดของเจอโรมตรงแก้มซ้าย
หลังกิจกรรมทักทายได้สิ้นสุดลง พวกมันก็ช่วยกันลากขาเขาไปทิ้งไว้ในห้องส้วมห้องในสุด ปล่อยให้เขานอนจมกองเลือดของตัวเองอยู่อย่างนั้น แล้วพากันเดินหัวเราะร่วนออกไปจากห้องน้ำโดยที่ไม่ลืมล็อกประตูทิ้งท้าย
อิสระพยายามออกคำสั่งให้ตัวเองลุกขึ้นยืน แต่แขนขาอันไร้เรี่ยวแรงกลับไม่ยอมฟังคำสั่งของเขาเลยสักนิด ยิ่งไปกว่านั้น ไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็รู้สึกว่าภาพและเสียงรอบตัวกำลังค่อยๆ ถูกตัดขาดไปทีละนิด จนในที่สุดประสาทรับรู้ทั้งหมดก็ดับวูบ
 
 
...กริ๊ก
เสียงกุกกักปลุกให้ชายหนุ่มรู้สึกตัว คงจะเป็นเสียงไขกุญแจเปิดประตูของคุณลุงภารโรง
ความรู้สึกแรกที่ไหลเข้ามาคือความรู้เจ็บปวดตรงบริเวณช่องท้องและกรามด้านซ้าย แล้วทวีความรุนแรงขึ้นจนเขาแทบขยับตัวไม่ได้
ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่กว่าที่ตัวเองจะกลับมามีสติอีกครั้ง แต่เมื่อประตูห้องน้ำถูกเปิดออกและเห็นใบหน้าเฟิ้มหนวดของคุณลุงภารโรงแล้ว เขาก็พอเดาออกว่าคงจะเหมือนเช่นทุกๆ เย็น หลังจากที่นักเรียนส่วนใหญ่กลับบ้านกันเกือบหมดแล้ว คุณลุงภารโรงก็จะเป็นผู้มาปลดปล่อยให้เขาได้เป็นอิสระ
อิสระค่อยๆ พยุงตัวเองเดินขึ้นบันได เขากำลังจะไปที่ห้องเรียนของตัวเองเพื่อไปเอาชุดนักเรียนสำรอง ไม่สนใจเสียงหยดน้ำดังแหมะเป็นจังหวะไปตลอดทาง ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นนอกจากป้ายแขวน ม.5/8 ที่อยู่ห่างออกไปอีกไม่ไกล เขาพกชุดนักเรียนสำรองมาด้วยทุกวันสำหรับเปลี่ยนกลับบ้าน เพราะว่าไม่อยากถูกห้ามไม่ให้ขึ้นรถแท็กซี่จนต้องเดินเตร่ไปเรื่อยๆ เหมือนอย่างปีที่แล้วอีก ดีจริงๆ ที่เพื่อนคนอื่นๆ กลับบ้านกันไปหมดแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงจะต้องฝืนสังขารลากตัวเองกลับไปซ่อนตัวในห้องน้ำแล้วรอให้คนอื่นกลับไปให้หมดก่อนแน่
หลังจากเปลี่ยนชุดนักเรียนเสร็จแล้วและนำชุดเก่าใส่ถุงพลาสติกเก็บลงในกระเป๋าเรียบร้อย ชายหนุ่มก็หยิบมือถือเปียกโชกออกมากดดูเวลาบนหน้าจอ ถือว่าเป็นโชคดีของเขาที่มันยังไม่เสีย
หกโมงครึ่ง... อิงฟ้าคงจะกลับบ้านไปแล้วล่ะ พวกเขาคงต้องเลื่อนการคุยเรื่องโครงการพิชิตความกลัวไปเป็นวันพรุ่งนี้
น่าเสียดาย
ชายหนุ่มเก็บมือถือใส่กลับลงในกระเป๋ากางเกง จากนั้นก็เดินออกจากห้องเรียน
ในจังหวะที่อิสระกำลังจะเดินผ่านหน้าห้องเรียนของอิงฟ้าไปยังบันไดนั่นเอง เขาก็เห็นว่ามีแสงไฟลอดผ่านประตูห้องออกมา
อิงฟ้ายังไม่กลับบ้าน!
อิสระตะโกนก้องในใจด้วยความตื่นเต้น แล้วรีบวิ่งไปประตูห้องเรียนของฟ้าทันที ไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายจะเป็นอิงฟ้าหรือเปล่า แต่เขาภาวนาในใจว่าขอให้เป็นเธอ
ชายหนุ่มยิ้มกว้างออกมาทันทีเมื่อมองผ่านบานกระจกของประตูเข้าไป แล้วเห็นใบหน้าอันคุ้นตาของนักเรียนหญิงคนหนึ่งที่โต๊ะเรียนตรงกลางห้อง
เขาอ้าปากตั้งใจจะส่งเสียงเรียกชื่อฟ้า แต่แล้วก็ต้องชะงักไป ยืนนิ่งมองฟ้าก้มหน้าขีดเขียนอะไรบางอย่างลงในสมุด
อิสระตัดสินใจขยับตัวหลบแล้วซ่อนตัวอยู่หลังประตู คอยชะเง้อคอมองเข้าไปข้างในด้วยความอยากรู้อยากเห็นหลังจากที่ตรัสรู้ด้วยตัวเองว่าอิงฟ้าคงไม่อยากเห็นเขาในตอนนี้
หญิงสาวยังคงเพ่งสมาธิอยู่กับการขีดเขียน บนโต๊ะมีชีทจำนวนมากวางแผ่อยู่เต็มไปหมดซึ่งเขาเดาว่าน่าจะเป็นการบ้าน บางทีเธออาจจะกำลังทำการบ้านอยู่...แต่เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงไม่กลับไปทำที่บ้านเหมือนอย่างเพื่อนคนอื่นๆ
ชายหนุ่มค่อยๆ ทรุดตัวนั่งลงกับพื้น ตั้งใจว่าจะนั่งเป็นเพื่อนฟ้าอยู่หน้าห้องเรียนจนเธอทำการบ้านเสร็จ พลางลอบมองเข้าไปในห้องอยู่เป็นพักๆ ด้วยความรู้สึกลังเล เขาอยากจะเอ่ยทักเธอ แต่ก็กังวลว่าเธออาจจะวิ่งหนีไปอีก
ในตอนที่เขากำลังทำสงครามกับตัวเองอยู่นั่นเอง จู่ๆ ฟ้าก็ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ รีบเก็บสมุดและชีทบนโต๊ะทั้งหมดลงกระเป๋าด้วยความเร็วสูง แล้วเดินออกจากห้องเรียนอย่างรวดเร็ว ทำให้เขาเกือบจะวิ่งไปซ่อนตัวอยู่ในห้องเรียนข้างๆ แทบไม่ทัน
อิสระกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ขณะที่กำลังยืนแนบหลังชิดกับกำแพง คอยเงี่ยหูฟังฝีเท้าของหญิงสาวดังห่างออกไปเรื่อยๆ เมื่อคิดว่าเธออยู่ไกลมากพอแล้วถึงได้ชะโงกหน้าออกไปมอง เห็นหลังไวๆ ของเธอเดินลงบันไดไป
ชายหนุ่มค่อยๆ แอบย่องตามเธอไปอย่างเงียบเชียบ
จนกระทั่งลงมาถึงชั้นล่างสุด ท้องฟ้าในขณะนี้ได้กลายเป็นสีมืดสนิทแล้วเรียบร้อย ดวงดาวเริ่มส่องแสงประกายแข่งขัน แต่ก็ไม่อาจสู้แสงสว่างจากดวงจันทร์ได้
อิสระแอบตามหญิงสาวมาจนถึงหน้าประตูโรงเรียน แล้วยืนซ่อนตัวอยู่ตรงหลังต้นไม้ต้นยักษ์ คอยเฝ้ามองเธอด้วยความสนใจ ฟ้ากำลังนั่งรอรถอยู่ตรงป้ายรถเมล์ริมถนนภายใต้แสงไฟริบหรี่จากหลอดไฟ สีหน้าเรียบนิ่งมองออกไปที่ถนน มือสองข้างจับกระเป๋านักเรียนที่วางอยู่บนตัก
เขารู้สึกสงบนิ่งอย่างประหลาดขณะที่ได้มองเธอ
สีหน้าของฟ้าดูราบเรียบ แม้ว่ารอบตัวเธอจะเต็มไปด้วยสีฟ้าก็ตาม  ทั้งที่เธอกำลังนั่งอยู่ตรงนั้นแท้ๆ แต่เขากลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังจะหายไปในอีกไม่ช้า ราวกับแสงไฟดวงน้อยที่กำลังถูกสีดำมืดของท้องฟ้ากลืนกิน
ไม่ถึงห้านาทีต่อมา รถเมล์ของฟ้าก็เข้ามาจอดรับ อิสระรอจนกระทั่งหญิงสาวขึ้นรถเมล์ไปแล้ว ถึงได้ขยับตัวออกจากหลังต้นไม้
จากนั้นก็หันไปเรียกรถแท็กซี่ให้ขับตามเธอไป
“เฮ้ยน้อง อย่าให้เลือดเลอะเบาะนะ” พี่คนขับโวยทันทีที่เห็นสภาพยับเยินของเขา โดยเฉพาะแผลตรงบริเวณโหนกแก้ม มุมปาก และมือซ้ายที่ยังคงมีคราบเลือดแห้งกรังติดอยู่
“รับรอง ไม่เลอะแน่ครับ” เสียงร่าเริงตอบกลับไปอย่างมั่นใจสุดขีดว่าคราบเลือดต่างๆ แห้งหมดแล้ว
เมื่อได้รับคำยืนยันจากเขา พี่แท็กซี่จึงไม่พูดอะไรอีก แล้วบึ่งรถตามรถเมล์ของฟ้าไป
ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง เขาก็ตามมาจนถึงที่ป้ายรถเมล์ที่ฟ้าลง อิสระหันไปจ่ายเงินให้พี่คนขับแท็กซี่ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ
ฟ้าเดินหายเข้าไปในซอยซอยหนึ่ง ซึ่งค่อนข้างมืดและเปลี่ยวมากทีเดียว เพราะฉะนั้นเขาจึงรู้สึกเป็นห่วงจนต้องแอบตามหญิงสาวไปอย่างเงียบๆ
อิสระรีบขยับตัวไปหลบอยู่ด้านหลังเสาทันทีเมื่อเห็นว่าฟ้ายืนไขกุญแจเปิดประตูรั้วของบ้านหลังหนึ่ง บ้านของฟ้าเป็นบ้านเดี่ยวขนาดกะทัดรัดที่อยู่ห่างจากโรงเรียนพอสมควร แถมยังอยู่ลึกเข้าไปในซอยอีกต่างหาก
ชายหนุ่มก้มมองนาฬิกาจึงเห็นว่าตอนนี้ปาเข้าไปสามทุ่มกว่าแล้ว ทำให้เขาอดชื่นชมในความขยันขันแข็งของเธอไม่ได้ นี่คือพลังแห่งความตั้งใจจริงที่จะเป็นแรงผลักดันให้พวกเขาทั้งคู่ฝ่าฟันภารกิจพิชิตความกลัวได้สำเร็จ เพราะฉะนั้นเขาจึงรีบร่ายเวทจดจำที่อยู่ของเธอเอาไว้ เพื่อใช้เป็นฐานสำรองในการหารือเรื่องภารกิจ
ไฟหน้าประตูบ้านสว่างวาบขึ้นก่อนที่จะมีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเดินออกมา สีหน้าของใครคนนั้นดูกลัดกลุ้มแล้วชูนาฬิกาข้อมือให้ฟ้าดู เธอคนนั้นคงจะกำลังเครียดเรื่องอะไรบางอย่าง หรือไม่ก็กำลังโกรธอยู่ หรืออาจจะทั้งสองอย่าง ถึงได้ทำให้ฟ้ามีสีหน้ารู้สึกผิดขนาดนั้น
ฟ้าเดินเข้าไปในบ้านพร้อมกับคุณป้าคนนั้น เป็นอันสิ้นสุดของภารกิจสำคัญของนักสืบเวทมนตร์ผู้นี้
 
 
อิสระเดินกลับออกมาที่ถนนใหญ่อีกครั้ง แล้วเรียกแท็กซี่ให้ไปยังจุดหมายปลายทางแห่งใหม่ซึ่งก็คือบ้านของเขาเอง
บ้านของเขาอยู่คนละทิศกับบ้านของฟ้า แต่ตอนนี้เป็นเวลากลางคืนจึงไม่มีรถติด เพราะฉะนั้นไม่น่าจะใช้เวลานานเท่าไหร่หากเดินทางด้วยรถแท็กซี่ คงจะสักประมาณชั่วโมงหนึ่ง
ติ๊ก... ติ๊ก... ติ๊ก... ติ๊ก...
เวลาผ่านไปชั่วโมงกว่านับจากหน้าปากซอยบ้านของฟ้ามาจนถึงหน้าประตูบ้านสีทอง เขาคาดเดาเวลาผิดไปหน่อย คงเป็นเพราะว่าใกล้เวลาเช้าวันใหม่แล้วล่ะมั้ง เวทมนตร์ของเขาถึงได้เสื่อมสภาพ
ชายหนุ่มควักเงินจ่ายค่าโดยสารให้พี่คนขับแล้วเปิดประตูลงจากรถทันทีโดยไม่รอเงินทอน
บ้านของเขาอยู่ในหมู่บ้านที่ร่มรื่มและแสนสงบเงียบ เป็นครอบครัวอบอุ่นแสนแฮปปี้ ประกอบไปด้วยพ่อและเขาสองคน เมื่อเทียบขนาดบ้านกับจำนวนคนอยู่อาศัยแล้วก็คงเรียกได้ว่าเป็นคฤหาสน์เลยทีเดียว
ไฟตรงห้องรับแขกยังคงเปิดสว่างจ้าทั้งที่เป็นเวลาห้าทุ่มครึ่ง แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ แม้ว่าเขาจะไม่แน่ใจเรื่องเวลาเข้านอนที่แน่ชัดของพ่อเท่าไหร่ แต่พ่อก็มักจะเข้านอนหลังเที่ยงคืนเสมอ
อิสระเปิดประตูเข้าไปในตัวบ้าน เดินผ่านห้องเล่นซึ่งผู้สูงวัยกว่ากำลังนั่งอยู่ที่โซฟา เพ่งสายตาอ่านอะไรบางอย่างในคอมพิวเตอร์
พ่อเงยหน้าจากหน้าจอคอมขึ้นมามองเขาแวบหนึ่ง แล้วตวัดสายตากลับไปยังหน้าจอดังเดิม
อิสระเดินไปที่ตะกร้าส่งเสื้อผ้าซักตรงหลังบันได แล้วเปิดกระเป๋าหยิบชุดนักเรียนมอมแมมของตัวเองออกมาโยนลงไปในตะกร้าอย่างรู้หน้าที่ ทุกคืนเขาจะต้องนำเสื้อผ้าเลอะเทอะมาใส่ลงไปในตะกร้าใบนี้ เพื่อที่แม่บ้านจะได้นำไปซักให้ใหม่เอี่ยมอีกครั้ง ฝีมือการซักผ้าของแม้บ้านนั้นช่างไร้เทียมทาน ไม่ว่าจะสกปรกเลอะอะไรมาแค่ไหนก็สามารถกำจัดคราบต่างๆ ออกไปได้อย่างหมดจด
อิสระยืนก้มมองเสื้อนักเรียนสีขาวของตัวเองในตะกร้าอย่างชื่นชมในความเก่งกาจของแม่บ้านที่พ่อเป็นคนหามาให้ จำนวนผ้าในตระกร้ามีค่อนข้างเยอะ แสดงว่าคงจะใกล้ถึงเวลาที่แม่บ้านจะต้องนำเสื้อไปซักแล้ว
พอยืนมองไปเรื่อยๆ เขาก็ชักจะรู้สึกขัดๆ กับเสื้อนักเรียนของตัวเองขึ้นมายังไงชอบกล สีขาวของเสื้อนักเรียนมีสีเลือดปะปนอยู่มากพอสมควรจนชวนให้ดูไม่สวยงามเท่าไหร่
เขาไม่ชอบสีแดง
ชายหนุ่มกลับหลังหันไปเดินที่บันได ก้าวเท้าหนักๆ ขึ้นไปข้างบน แล้วเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งกลายเป็นวิ่ง
เขาวิ่งไปตามระเบียงทางเดินชั้นสองจนถึงประตูหน้าห้องของตัวเอง ห้องของเขาอยู่มุมในสุดของระเบียง
จากนั้นก็ใช้เท้าถีบปิดประตูห้องเสียงดังปัง ทิ้งกระเป๋าเรียนไว้หน้าประตู แล้ววิ่งถลาเข้าไปเปิดประตูตู้เสื้อผ้า
อิสระหยิบเสื้อยืดสามสี่ตัวออกมากางคลี่บนพื้น ก่อนที่จะก้มตัวคลานเข้าไปใต้เตียง คว้าหยิบสีทาบ้านและแปรงทาสีออกมา
เขากำลังจะสร้างผลงานศิลปะอันสวยงาม
ภาพศิลปะในหัวปรากฏแวบขึ้นแล้วเปลี่ยนเป็นภาพใหม่ด้วยความเร็วสูง จนทำให้อิสระรู้สึกว่าตัวเองเคลื่อนไหวได้เชื่องช้าเหลือเกิน
เต่าคลาน!
เขาใช้แปรงจุ่มลงไปในถังสีเขียว แล้วสะบัดแปรงลงบนผืนผ้า สีเขียววาดทับลวดลายสีแดงจนกระทั่งไม่หลงเหลือสีแดงปรากฏอยู่ เมื่อระบายสีเสื้อเสร็จตัวหนึ่งแล้ว เขาก็ใช้แปรงจุ่มสีกระป๋องอื่นละเลงลงไปยังเสื้ออีกตัว สีเขียวสดกำลังถูกป้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่บนเหล่าเสื้อยืดที่เคยเป็นสีแดงมาก่อน
ชายหนุ่มยืดตัวขึ้นมองสีสันบนเสื้อทั้งสองตัว แต่เขาก็รู้สึกว่ามันยังไม่ใช่ ดังนั้นเขาจึงพุ่งไปยังกระเป๋าเรียนที่อยู่หน้าประตู หยิบสมุดและปากกาไฮไลท์สีต่างๆ ออกมา จากนั้นก็เริ่มต้นละเลงสีเขียวลงในสมุดเรียน
ความคิดในหัวแล่นฉิวจนเขารู้สึกว่าจะไม่ทันแล้ว โดยที่เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไม่ทันอะไร แต่ว่ามันจะไม่ทันแล้ว ทั้งเรื่องชุด สี และโครงการ โดยเฉพาะภารกิจพิชิตความกลัว!
เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้เช้าเขาจะต้องรีบไปหาอิงฟ้าแต่เช้า แต่ก็กังวลว่ารังสีสีฟ้าหม่นของเธอจะขับไล่เขาอีก
ใช่แล้ว!
เขาจะต้องให้สีอื่น เขาจะให้สีเหลืองกับเธอ! เธอจะได้มีความสดใส ไม่มีความหม่นหมองอีกต่อไป
อิสระหันไปฉีกกระดาษสมุดเรียนของตัวเองออกมาโดยพลัน แล้วคว้าปากกาไฮไลท์สีเหลืองทาสีไปทั่วทั้งหน้ากระดาษ จากนั้นก็หยิบกระดาษสีเหลืองสดแผ่นนั้นขึ้นมาพับเป็นรูปนก
ไม่กี่นาทีต่อมานกกระดาษก็ถูกพับเป็นรูปเป็นร่างอย่างรวดเร็วจนกระทั่งเสร็จสมบูรณ์อย่างสวยงาม
ชายหนุ่มนั่งอมยิ้มมองนกกระดาษสีเหลืองบนโต๊ะอยู่สักพัก แล้วมองเลยไปยังนาฬิกาตั้งโต๊ะที่อยู่ห่างออกไป เห็นเข็มนาฬิกาสั้นชี้อยู่ตรงเลขสาม แต่เขากลับไม่รู้สึกง่วงนอนเลยสักนิด เขาแทบไม่ได้นอนติดกันมาเป็นอาทิตย์แล้ว และเขาเป็นผู้วิเศษ เพราะฉะนั้นเขาจึงมั่นใจมากว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องนอน ไม่อย่างนั้นใครจะเป็นผู้สร้างผลงานอันแสนยอดเยี่ยมพวกนี้ต่อกันล่ะ

ดังนั้นชายหนุ่มจึงละสายตาจากเจ้านกน้อยสีเหลือง แล้วหันไปฉีกกระดาษสมุดออกมาพับกระดาษเป็นรูปต่างๆ ต่อ
 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา