Imagine Invasion
-
เขียนโดย MrNoname
วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 เวลา 20.40 น.
3 ตอน
1 วิจารณ์
5,670 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 20.57 น. โดย เจ้าของนิยาย
3)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความก่อนที่คลื่นลูกแรกจะมา คริสเป็นนักศึกษา ซึ่งถ้าพูดเรื่องเกรดแล้วเขาอยู่ในระดับพอผ่าน หน้าตาก็ธรรมดา
เขาเป็นคนที่ชอบทำงานอดิเรกหลายอย่าง ตั้งแต่เล่นเกม ดูการ์ตูน ดูภาพยนตร์ กิน เที่ยว แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่รู้ว่าจบแล้วจะไปทำงานอะไรดี
คริสรู้ว่าเขาต้องคิดเรื่องอนาคตได้แล้ว แต่เขาก็ยังมืดแปดด้านอยู่ดี
และแล้ว มันก็มาถึง
คลื่นลูกที่หนึ่งที่ทำให้สิ่งมีชีวิตในจินตนาการปรากฏตัวออกมา ตอนที่คริสดูข่าวในโซเชียลเขาก็คิดว่า“อ๋อเหรอ”สั้นๆแค่นั้น
สาเหตุก็เพราะเขาไม่ค่อยตกใจหรือตื่นเต้นกับข่าวพวกนี้มากเท่าคนอื่น โดยเฉพาะในประเทศที่เขาอยู่ซึ่งมีแต่คนไปกราบไหว้ของแปลกหาเลขเด็ด
แต่ถ้าถามว่าตื่นเต้นมั้ยละก็ ถ้าจะบอกว่าไม่เลยก็คงเป็นการโกหกโดยเฉพาะเมื่อสิ่งเคยมีแต่ในจอหรือหน้ากระดาษ ออกมาโลดแล่นในชีวิตจริง
ถึงแม้โดยอายุเขาจะเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม แต่เขาก็ชอบที่จะคิดแบบเด็กๆ สาเหตุก็เพราะเคยมีคนสอนเขาว่า ‘คิดแบบเด็กๆ แล้วปฏิบัติแบบผู้ใหญ่’
เพราะฉะนั้นเขาจึงอยากที่จะไปดูสิ่งที่ปรากฏตัวออกมา แต่ก็ต้องล้มเลิกไปเมื่อนึกถึงโปรเจคที่ต้องทำและกำลังทรัพย์ที่มีไม่พอ
จนถึงการมาของคลื่นลูกที่สองกับสาม
เมื่อถึงตอนนี้แล้ว เขาก็เริ่มสังเกตว่า เพื่อนในห้องเริ่มมาเรียนน้อยลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะเพื่อนที่เป็นคนต่างชาติและต่างจังหวัด เมื่อถามดูก็ได้ข่าวเช่น ต้องกลับไปอยู่กับที่บ้านบ้าง หรือ ที่บ้านมีปัญหาบ้าง
แต่เขาก็ไม่ได้กังวลเรื่องของเขามากนัก สาเหตุเพราะทั้งเขารวมถึงพ่อและแม่นั้นมีบ้านอยู่ในเมืองหลวง ถึงแม้จะอยู่ค่อนออกไปทางชานเมืองก็ตาม
แม้กระทั่งคลื่นลูกที่สามผ่านมาได้เกือบปี ชีวิตเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักจะมีอย่างเดียวคือเขาต้องจบช้ากว่าคนในรุ่นเดียวกันถึงสองปี สาเหตุเพราะย้ายภาควิชากะทันหัน
เมื่อเทรนการทำงานเริ่มเปลี่ยนไปทางนักต่อสู้มากขึ้น เขาก็มีความคิดที่จะไปลองบ้าง แต่เนื่องด้วยไม่เคยฝึกร่างกายและการต่อสู้จริงจัง เขาจึงล้มเลิกความคิดไป
จนกระทั่ง การมาถึงของคลื่นลูกที่สี่
คลื่นลูกที่สี่นั้น เป็นการปรากฏตัวเป็นครั้งแรกของเหล่าสิ่งมีชีวิตต่างมิติที่ทรงภูมิปัญญา ตัวอย่างก็เช่น เอลฟ์ คนแคระ รวมไปถึงมนุษย์จากต่างโลก
ข้อแตกต่างเล็กน้อยระหว่างคลื่นลูกนี้กับคลื่นลูกอื่นคือ มีการใช้ประตูมิติในการข้ามมายังโลก เพียงแต่ว่า ประตูเหล่านั้นจะปิดทันทีที่ถูกใช้งานเสร็จ ยกเว้นประตูถาวรซึ่งตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิก โดยประตูนั้นตั้งอยู่ระหว่างฮาวายและเอเชียในน่านน้ำสากล ไม่เพียงเท่านั้น บริเวณประตูนั้นยังมีพื้นดินขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น ตามด้วยเมืองขนาดใหญ่ตามลำดับ สิ่งเหล่านี้ปรากฏออกมามาราวกับถูกเนรมิต โดยเมืองนั้นมีสิ่งก่อสร้างซึ่งดูคล้ายกับออกมาจากเทพนิยาย
เมื่อเหล่าผู้มาเยือนมาถึง พวกเขาก็เริ่มก่อตั้งดินแดนของตัวเองทันที เหล่าเอลฟ์ได้สร้างที่มั่นตามป่าเขาห่างไกลจากตัวเมือง ประเทศที่ใหญ่ที่สุดก็ตั้งอยู่ที่ทะเลทรายซาฮาร่าในอดีตซึ่งตอนนี้กลายเป็นพื้นที่ป่าเขียวชอุ่ม
ส่วนคนแคระ ได้หาพื้นที่ตามเหมืองเก่าๆเป็นที่อาศัย และขุดลึกลงไปใต้ผิวโลก จนมีอาณาจักรใต้ดินขนาดมหึมา
ส่วนมนุษย์จากต่างมิตินั้น ได้ตั้งถิ่นฐานในเมืองที่ใกล้กับประตูถาวรกลางมหาสมุทรแปซิฟิก
เนื่องจากประตูหลักนั้นอยู่ในน่านน้ำสากล ทำให้องค์การสหประชาชาติถูกเลือกให้เป็นตัวแทนในการบริหารจัดการประตูโดยมี สหรัฐอเมริกาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงเนื่องจากประเทศตนอยู่ใกล้มากที่สุด
เมื่อภาพถ่ายจากดาวเทียมแสดงให้เห็นว่าดินแดนนั้นมีมนุษย์ที่มีอารยะธรรมอาศัย องค์การสหประชาชาติจึงมีมติที่จะติดต่อกับเหล่าผู้ที่มาจากโลกอื่น โดยมีกองเรือที่สามและเจ็ดกองกองทัพเรือสหรัฐให้การคุ้มกัน
เหตุการณ์นี้ ถูกเรียกภายหลังว่า การติดต่อครั้งแรกหรือเฟิร์สคอนแทค
ครั้งแรกที่ผู้แทนจากยูเอ็นเข้าไปใกล้กับเกาะนั้น พวกเขาก็พบกับการต้อนรับจากกองทัพเรือของผู้มาเยือน ก่อนที่การติดต่อครั้งแรกจะจบลงด้วยการปะทะกัน ผู้แทนจากยูเอ็นได้ตัดสินใจที่จะแสดงให้เห็นถึงการต้องการเจรจาโดยการยกธงขาว พวกเขาจึงได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปบนเกาะได้
ในทีแรก ผู้แทนจากยูเอ็นคาดว่าการติดต่อครั้งแรกนั้นจะล้มเหลวเพราะกำแพงภาษา แต่พวกเขาก็ต้องตื่นตะลึงกับสิ่งที่พวกเขาคิดว่ามีอยู่แค่ในจินตนาการอย่าง‘เวทมนตร์’เป็นครั้งแรก
เหล่าผู้มาเยือนได้ใช้เวทมนตร์แปลภาษา ทำให้การเจรจาพูดคุยจบลงด้วยดี โดยการติดต่อครั้งแรกนั้น จะเป็นการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องทั่วๆไปของทั้งสองโลกเป็นส่วนใหญ่ แต่หนึ่งในความสำเร็จก็คือ ทางยูเอ็นได้รับอนุญาตจากทางผู้มาเยือนให้สามารถตั้งสถานกงสุลบนเกาะ และตั้งสถาบันเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และวัฒนธรรมจากทั้งสองฝ่าย
เมื่อผู้แทนกลับมาจากภารกิจ องค์การสหประชาชาติได้เรียกประชุมใหญ่ ทุกประเทศที่เป็นสมาชิกและไม่ได้เป็นถูกเรียกเข้าประชุม
วาระของการประชุมก็คือ เกี่ยวกับประตูมิติและการรายงานและบอกกล่าวถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการติดต่อครั้งแรก
ทางยูเอ็นได้ยืนยันแล้วว่า ดินแดนนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับประเทศไหนทั้งสิ้น ผู้คนในดินแดนนั้นก็ไม่ใช่คนที่มาจากโลกนี้ มติที่ประชุมองค์การสหประชาชาติได้กำหนดชื่อเรียกดินแดนนั้นว่า ‘อิมาจิน่า’ และเรียกผู้คนจากดินแดนนั้นว่า ‘อิมาจิเนี่ยน’
ที่ประชุมได้มีมติยอมรับอิมาจิน่าเป็นประเทศหนึ่งๆ มีสิทธ์ในการปกครองตนเอง และห้ามการแทรกแซงไม่ว่าด้านใดก็ตามจากทุกประเทศบนโลก
ในตอนแรก สหรัฐอเมริกาได้อาสาที่จะเป็นตัวแทนในการจัดการเรื่องต่างๆแทนยูเอ็น แต่แน่นอน รัสเซีย จีน และอีกหลายประเทศย่อมไม่ยอมเพราะกลัวการผูกขาดแต่เพียงผู้เดียว สุดท้ายที่ประชุมเลยมีมติให้องค์การสหประชาชาติมีสิทธ์ในการดูแลเรื่องต่างๆรวมถึงการติดต่อกับอิมาจิน่า โดยมีเงื่อนไขคือการตัดสินใจทำอะไร ต้องผ่านการประชุมก่อนเท่านั้น
จากนั้นจึงเป็นเรื่องทั่วไปของอิมาจิน่า
เมื่อทางผู้แทนของยูเอ็นที่ได้ไปติดต่อได้รายงานจบ ที่ประชุมก็เงียบไปพักใหญ่ ส่วนหนึ่งเพราะสิ่งที่ถูกเรียกว่า เวทมนตร์นั้น ได้ปรากฏตัวขึ้นมาในความเป็นจริงเรียบร้อยแล้ว
ตามรายงาน เหล่าผู้มาเยือนได้กล่าวไว้ว่า โลกทางนี้นั้น มีปริมาณเวทมนตร์สูงกว่าโลกของพวกเขามากพวกเขายังบอกอีกว่า‘อนุภาคเวทมนตร์’นั้นได้ปรากฏขึ้นตั้งแต่คลื่นลูกที่หนึ่งแล้ว เพียงแต่มันเบาบางกว่าตอนนี้มาก และเนื่องจากโลกฝั่งนี้ไม่เคยเจอเวทมนตร์มาก่อน ทำให้พวกเขาไม่รู้เรื่องนี้เลยจนกระทั่งการติดต่อครั้งแรก
ผู้มาเยือนยังบอกอีกว่า ด้วยอนุภาคเวทมนตร์ที่กระจายอยู่ในบรรยากาศนั้นเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆเมื่อเวลาผ่านไป เมื่อความเข้มข้นมากพอ สิ่งมีชีวิตจากโลกของพวกเขาก็จะปรากฎร่างขึ้นได้
อนุภาคเวทมนตร์ยังมีคุณสมบัติอีกอย่าง คือการทำให้ความสามารถทางเวทมนตร์ของผู้คนตื่นขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นผู้คนจากโลกไหนก็ตาม
หลังจากการประชุมและถกเถียงอย่างยาวนาน ที่ประชุมได้มีมติที่จะอนุญาตให้แต่ละประเทศส่งตัวแทนเข้ามาเพื่อศึกษาเพิ่มเติมเรื่องเวทมนตร์ โดยมีเงื่อนไขคือ ต้องมีความสามารถทางเวท หรือไม่ก็ ต้องเป็นผู้ที่เก่งระดับหัวกะทิที่คัดเลือกแล้วเท่านั้น โดยคนเหล่านี้ถูกเรียกจากที่ประชุมว่า ‘นักเรียนแลกเปลี่ยน’
โดยเหล่านักเรียนแลกเปลี่ยนนั้นจะถูกส่งขึ้นไปยังสถาบันที่อิมาจิน่า เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์และถ่ายทอดองค์ความรู้ของโลกกับผู้มาเยือน
คริสเองเป็นหนึ่งในนักเรียนแลกเปลี่ยน สาเหตุที่เขาถูกเลือกนั้นไม่ใช่เพราะเขาเป็นหัวกระทิ แต่เพราะเขามีความสามารถทางเวทที่ตื่นขึ้นมาทำให้เขาได้รับการคัดเลือก
และที่นั่นคือที่ๆเขาได้พบกับโทมัส เฮล
................................................
กริ้งงงงงงง กริ้งงงงงงงง
คริสลืมตาตื่นเมื่อได้ยินเสียงปลุกของสมาร์ทโฟนที่ตั้งเอาไว้
(ได้เวลาเปลี่ยนริงโทนแล้วมั้ง) เขาคิดในใจ
เขาลุกออกจากที่นอนอย่างช้าๆ เขาหยิบยาสีฟัน แปรงสีฟันและขวดน้ำออกมาจากกระเป๋าแล้วจึงลุกออกมานอกเต็นท์
อากาศยามเช้าท่ามกลางธรรมชาตินั้นสดชื่นอย่างมาก คริสบิดไปมาสองถึงสามครั้งเพื่อยืดเส้นยืดสาย จากนั้นถึงเดินไปยังพุ่มไม้ใกล้ๆเพื่อล้างหน้าและแปรงฟัน
เมื่อเขาทำธุระเสร็จ
“ตื่นเช้าจังนะคะ”
พอได้ยินเสียงทักคริสก็หันไป
เอเลนยืนอยู่ตรงนั้น เธออยู่ในชุดที่พร้อมออกเดินทางเรียบร้อยแล้ว
“ดูทรงแล้ว เธอน่าจะตื่นก่อนผมซักพักแล้วนะ” คริสตอบกลับไป
“ช่วงเช้าตรู่เป็นช่วงที่อนุภาคเวทมนตร์จะเข้มข้นค่ะ เป็นช่วงเวลาเหมาะที่สุดที่จะฝึกเวท”
“เห ตื่นแต่เช้าเพื่อมาฝึกเหรอ เป็นเด็กที่น่าชื่นชมจังนะ”
คิ้วของเอเลนขมวดเข้าหากันเพราะคำพูดนั้น
“นายก็ไม่ได้แก่กว่าชั้นซักเท่าไหร่ อย่าทำเหมือนชั้นเป็นเด็กสิ” คำพูดนั้นมีความไม่พอใจอยู่ในน้ำเสียง
“เอ่อ ขอโทษนะ ผมพูดไม่คิดไปหน่อย”
(ลืมไปเลยแฮะว่าอายุรูปร่างกับจิตใจของเรานั้นไม่เท่ากัน)
ตอนนี้นั้น ร่างกายของคริสเทียบเท่าเด็กอายุสิบห้าปี แต่จริงๆแล้วเขาอายุมากกว่านั้นถึงสิบกว่าปีทีเดียว
ส่วนสาเหตุนั้น ต้องย้อนไปถึงช่วงที่เขาทำการสมัครเพื่อเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน
เขาเป็นคนที่ชอบทำงานอดิเรกหลายอย่าง ตั้งแต่เล่นเกม ดูการ์ตูน ดูภาพยนตร์ กิน เที่ยว แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่รู้ว่าจบแล้วจะไปทำงานอะไรดี
คริสรู้ว่าเขาต้องคิดเรื่องอนาคตได้แล้ว แต่เขาก็ยังมืดแปดด้านอยู่ดี
และแล้ว มันก็มาถึง
คลื่นลูกที่หนึ่งที่ทำให้สิ่งมีชีวิตในจินตนาการปรากฏตัวออกมา ตอนที่คริสดูข่าวในโซเชียลเขาก็คิดว่า“อ๋อเหรอ”สั้นๆแค่นั้น
สาเหตุก็เพราะเขาไม่ค่อยตกใจหรือตื่นเต้นกับข่าวพวกนี้มากเท่าคนอื่น โดยเฉพาะในประเทศที่เขาอยู่ซึ่งมีแต่คนไปกราบไหว้ของแปลกหาเลขเด็ด
แต่ถ้าถามว่าตื่นเต้นมั้ยละก็ ถ้าจะบอกว่าไม่เลยก็คงเป็นการโกหกโดยเฉพาะเมื่อสิ่งเคยมีแต่ในจอหรือหน้ากระดาษ ออกมาโลดแล่นในชีวิตจริง
ถึงแม้โดยอายุเขาจะเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม แต่เขาก็ชอบที่จะคิดแบบเด็กๆ สาเหตุก็เพราะเคยมีคนสอนเขาว่า ‘คิดแบบเด็กๆ แล้วปฏิบัติแบบผู้ใหญ่’
เพราะฉะนั้นเขาจึงอยากที่จะไปดูสิ่งที่ปรากฏตัวออกมา แต่ก็ต้องล้มเลิกไปเมื่อนึกถึงโปรเจคที่ต้องทำและกำลังทรัพย์ที่มีไม่พอ
จนถึงการมาของคลื่นลูกที่สองกับสาม
เมื่อถึงตอนนี้แล้ว เขาก็เริ่มสังเกตว่า เพื่อนในห้องเริ่มมาเรียนน้อยลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะเพื่อนที่เป็นคนต่างชาติและต่างจังหวัด เมื่อถามดูก็ได้ข่าวเช่น ต้องกลับไปอยู่กับที่บ้านบ้าง หรือ ที่บ้านมีปัญหาบ้าง
แต่เขาก็ไม่ได้กังวลเรื่องของเขามากนัก สาเหตุเพราะทั้งเขารวมถึงพ่อและแม่นั้นมีบ้านอยู่ในเมืองหลวง ถึงแม้จะอยู่ค่อนออกไปทางชานเมืองก็ตาม
แม้กระทั่งคลื่นลูกที่สามผ่านมาได้เกือบปี ชีวิตเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักจะมีอย่างเดียวคือเขาต้องจบช้ากว่าคนในรุ่นเดียวกันถึงสองปี สาเหตุเพราะย้ายภาควิชากะทันหัน
เมื่อเทรนการทำงานเริ่มเปลี่ยนไปทางนักต่อสู้มากขึ้น เขาก็มีความคิดที่จะไปลองบ้าง แต่เนื่องด้วยไม่เคยฝึกร่างกายและการต่อสู้จริงจัง เขาจึงล้มเลิกความคิดไป
จนกระทั่ง การมาถึงของคลื่นลูกที่สี่
คลื่นลูกที่สี่นั้น เป็นการปรากฏตัวเป็นครั้งแรกของเหล่าสิ่งมีชีวิตต่างมิติที่ทรงภูมิปัญญา ตัวอย่างก็เช่น เอลฟ์ คนแคระ รวมไปถึงมนุษย์จากต่างโลก
ข้อแตกต่างเล็กน้อยระหว่างคลื่นลูกนี้กับคลื่นลูกอื่นคือ มีการใช้ประตูมิติในการข้ามมายังโลก เพียงแต่ว่า ประตูเหล่านั้นจะปิดทันทีที่ถูกใช้งานเสร็จ ยกเว้นประตูถาวรซึ่งตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิก โดยประตูนั้นตั้งอยู่ระหว่างฮาวายและเอเชียในน่านน้ำสากล ไม่เพียงเท่านั้น บริเวณประตูนั้นยังมีพื้นดินขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น ตามด้วยเมืองขนาดใหญ่ตามลำดับ สิ่งเหล่านี้ปรากฏออกมามาราวกับถูกเนรมิต โดยเมืองนั้นมีสิ่งก่อสร้างซึ่งดูคล้ายกับออกมาจากเทพนิยาย
เมื่อเหล่าผู้มาเยือนมาถึง พวกเขาก็เริ่มก่อตั้งดินแดนของตัวเองทันที เหล่าเอลฟ์ได้สร้างที่มั่นตามป่าเขาห่างไกลจากตัวเมือง ประเทศที่ใหญ่ที่สุดก็ตั้งอยู่ที่ทะเลทรายซาฮาร่าในอดีตซึ่งตอนนี้กลายเป็นพื้นที่ป่าเขียวชอุ่ม
ส่วนคนแคระ ได้หาพื้นที่ตามเหมืองเก่าๆเป็นที่อาศัย และขุดลึกลงไปใต้ผิวโลก จนมีอาณาจักรใต้ดินขนาดมหึมา
ส่วนมนุษย์จากต่างมิตินั้น ได้ตั้งถิ่นฐานในเมืองที่ใกล้กับประตูถาวรกลางมหาสมุทรแปซิฟิก
เนื่องจากประตูหลักนั้นอยู่ในน่านน้ำสากล ทำให้องค์การสหประชาชาติถูกเลือกให้เป็นตัวแทนในการบริหารจัดการประตูโดยมี สหรัฐอเมริกาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงเนื่องจากประเทศตนอยู่ใกล้มากที่สุด
เมื่อภาพถ่ายจากดาวเทียมแสดงให้เห็นว่าดินแดนนั้นมีมนุษย์ที่มีอารยะธรรมอาศัย องค์การสหประชาชาติจึงมีมติที่จะติดต่อกับเหล่าผู้ที่มาจากโลกอื่น โดยมีกองเรือที่สามและเจ็ดกองกองทัพเรือสหรัฐให้การคุ้มกัน
เหตุการณ์นี้ ถูกเรียกภายหลังว่า การติดต่อครั้งแรกหรือเฟิร์สคอนแทค
ครั้งแรกที่ผู้แทนจากยูเอ็นเข้าไปใกล้กับเกาะนั้น พวกเขาก็พบกับการต้อนรับจากกองทัพเรือของผู้มาเยือน ก่อนที่การติดต่อครั้งแรกจะจบลงด้วยการปะทะกัน ผู้แทนจากยูเอ็นได้ตัดสินใจที่จะแสดงให้เห็นถึงการต้องการเจรจาโดยการยกธงขาว พวกเขาจึงได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปบนเกาะได้
ในทีแรก ผู้แทนจากยูเอ็นคาดว่าการติดต่อครั้งแรกนั้นจะล้มเหลวเพราะกำแพงภาษา แต่พวกเขาก็ต้องตื่นตะลึงกับสิ่งที่พวกเขาคิดว่ามีอยู่แค่ในจินตนาการอย่าง‘เวทมนตร์’เป็นครั้งแรก
เหล่าผู้มาเยือนได้ใช้เวทมนตร์แปลภาษา ทำให้การเจรจาพูดคุยจบลงด้วยดี โดยการติดต่อครั้งแรกนั้น จะเป็นการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องทั่วๆไปของทั้งสองโลกเป็นส่วนใหญ่ แต่หนึ่งในความสำเร็จก็คือ ทางยูเอ็นได้รับอนุญาตจากทางผู้มาเยือนให้สามารถตั้งสถานกงสุลบนเกาะ และตั้งสถาบันเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และวัฒนธรรมจากทั้งสองฝ่าย
เมื่อผู้แทนกลับมาจากภารกิจ องค์การสหประชาชาติได้เรียกประชุมใหญ่ ทุกประเทศที่เป็นสมาชิกและไม่ได้เป็นถูกเรียกเข้าประชุม
วาระของการประชุมก็คือ เกี่ยวกับประตูมิติและการรายงานและบอกกล่าวถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการติดต่อครั้งแรก
ทางยูเอ็นได้ยืนยันแล้วว่า ดินแดนนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับประเทศไหนทั้งสิ้น ผู้คนในดินแดนนั้นก็ไม่ใช่คนที่มาจากโลกนี้ มติที่ประชุมองค์การสหประชาชาติได้กำหนดชื่อเรียกดินแดนนั้นว่า ‘อิมาจิน่า’ และเรียกผู้คนจากดินแดนนั้นว่า ‘อิมาจิเนี่ยน’
ที่ประชุมได้มีมติยอมรับอิมาจิน่าเป็นประเทศหนึ่งๆ มีสิทธ์ในการปกครองตนเอง และห้ามการแทรกแซงไม่ว่าด้านใดก็ตามจากทุกประเทศบนโลก
ในตอนแรก สหรัฐอเมริกาได้อาสาที่จะเป็นตัวแทนในการจัดการเรื่องต่างๆแทนยูเอ็น แต่แน่นอน รัสเซีย จีน และอีกหลายประเทศย่อมไม่ยอมเพราะกลัวการผูกขาดแต่เพียงผู้เดียว สุดท้ายที่ประชุมเลยมีมติให้องค์การสหประชาชาติมีสิทธ์ในการดูแลเรื่องต่างๆรวมถึงการติดต่อกับอิมาจิน่า โดยมีเงื่อนไขคือการตัดสินใจทำอะไร ต้องผ่านการประชุมก่อนเท่านั้น
จากนั้นจึงเป็นเรื่องทั่วไปของอิมาจิน่า
เมื่อทางผู้แทนของยูเอ็นที่ได้ไปติดต่อได้รายงานจบ ที่ประชุมก็เงียบไปพักใหญ่ ส่วนหนึ่งเพราะสิ่งที่ถูกเรียกว่า เวทมนตร์นั้น ได้ปรากฏตัวขึ้นมาในความเป็นจริงเรียบร้อยแล้ว
ตามรายงาน เหล่าผู้มาเยือนได้กล่าวไว้ว่า โลกทางนี้นั้น มีปริมาณเวทมนตร์สูงกว่าโลกของพวกเขามากพวกเขายังบอกอีกว่า‘อนุภาคเวทมนตร์’นั้นได้ปรากฏขึ้นตั้งแต่คลื่นลูกที่หนึ่งแล้ว เพียงแต่มันเบาบางกว่าตอนนี้มาก และเนื่องจากโลกฝั่งนี้ไม่เคยเจอเวทมนตร์มาก่อน ทำให้พวกเขาไม่รู้เรื่องนี้เลยจนกระทั่งการติดต่อครั้งแรก
ผู้มาเยือนยังบอกอีกว่า ด้วยอนุภาคเวทมนตร์ที่กระจายอยู่ในบรรยากาศนั้นเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆเมื่อเวลาผ่านไป เมื่อความเข้มข้นมากพอ สิ่งมีชีวิตจากโลกของพวกเขาก็จะปรากฎร่างขึ้นได้
อนุภาคเวทมนตร์ยังมีคุณสมบัติอีกอย่าง คือการทำให้ความสามารถทางเวทมนตร์ของผู้คนตื่นขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นผู้คนจากโลกไหนก็ตาม
หลังจากการประชุมและถกเถียงอย่างยาวนาน ที่ประชุมได้มีมติที่จะอนุญาตให้แต่ละประเทศส่งตัวแทนเข้ามาเพื่อศึกษาเพิ่มเติมเรื่องเวทมนตร์ โดยมีเงื่อนไขคือ ต้องมีความสามารถทางเวท หรือไม่ก็ ต้องเป็นผู้ที่เก่งระดับหัวกะทิที่คัดเลือกแล้วเท่านั้น โดยคนเหล่านี้ถูกเรียกจากที่ประชุมว่า ‘นักเรียนแลกเปลี่ยน’
โดยเหล่านักเรียนแลกเปลี่ยนนั้นจะถูกส่งขึ้นไปยังสถาบันที่อิมาจิน่า เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์และถ่ายทอดองค์ความรู้ของโลกกับผู้มาเยือน
คริสเองเป็นหนึ่งในนักเรียนแลกเปลี่ยน สาเหตุที่เขาถูกเลือกนั้นไม่ใช่เพราะเขาเป็นหัวกระทิ แต่เพราะเขามีความสามารถทางเวทที่ตื่นขึ้นมาทำให้เขาได้รับการคัดเลือก
และที่นั่นคือที่ๆเขาได้พบกับโทมัส เฮล
................................................
กริ้งงงงงงง กริ้งงงงงงงง
คริสลืมตาตื่นเมื่อได้ยินเสียงปลุกของสมาร์ทโฟนที่ตั้งเอาไว้
(ได้เวลาเปลี่ยนริงโทนแล้วมั้ง) เขาคิดในใจ
เขาลุกออกจากที่นอนอย่างช้าๆ เขาหยิบยาสีฟัน แปรงสีฟันและขวดน้ำออกมาจากกระเป๋าแล้วจึงลุกออกมานอกเต็นท์
อากาศยามเช้าท่ามกลางธรรมชาตินั้นสดชื่นอย่างมาก คริสบิดไปมาสองถึงสามครั้งเพื่อยืดเส้นยืดสาย จากนั้นถึงเดินไปยังพุ่มไม้ใกล้ๆเพื่อล้างหน้าและแปรงฟัน
เมื่อเขาทำธุระเสร็จ
“ตื่นเช้าจังนะคะ”
พอได้ยินเสียงทักคริสก็หันไป
เอเลนยืนอยู่ตรงนั้น เธออยู่ในชุดที่พร้อมออกเดินทางเรียบร้อยแล้ว
“ดูทรงแล้ว เธอน่าจะตื่นก่อนผมซักพักแล้วนะ” คริสตอบกลับไป
“ช่วงเช้าตรู่เป็นช่วงที่อนุภาคเวทมนตร์จะเข้มข้นค่ะ เป็นช่วงเวลาเหมาะที่สุดที่จะฝึกเวท”
“เห ตื่นแต่เช้าเพื่อมาฝึกเหรอ เป็นเด็กที่น่าชื่นชมจังนะ”
คิ้วของเอเลนขมวดเข้าหากันเพราะคำพูดนั้น
“นายก็ไม่ได้แก่กว่าชั้นซักเท่าไหร่ อย่าทำเหมือนชั้นเป็นเด็กสิ” คำพูดนั้นมีความไม่พอใจอยู่ในน้ำเสียง
“เอ่อ ขอโทษนะ ผมพูดไม่คิดไปหน่อย”
(ลืมไปเลยแฮะว่าอายุรูปร่างกับจิตใจของเรานั้นไม่เท่ากัน)
ตอนนี้นั้น ร่างกายของคริสเทียบเท่าเด็กอายุสิบห้าปี แต่จริงๆแล้วเขาอายุมากกว่านั้นถึงสิบกว่าปีทีเดียว
ส่วนสาเหตุนั้น ต้องย้อนไปถึงช่วงที่เขาทำการสมัครเพื่อเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ