อดีตสู่ปัจจุบัน สัญญารักนิรันดร
-
เขียนโดย แม่หญิงระพี
วันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 11.33 น.
2 ตอน
0 วิจารณ์
4,054 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2559 19.14 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) บางสิ่งที่ตามหา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ เสียงโวยวายดังลั่นมาก่อนเห็นตัวเสียอีก เมื่อประตูห้องตรวจในโรงพยาบาลถูกเปิดออกอย่างแรง หญิงวัยกลางคนหน้าตาสวยคมในชุดเสื้อผ้าเรียบหรูดูดี เดินจ้ำเข้ามาโดยไม่สนใจเสียงห้ามปรามของพยาบาลด้านนอกแม้แต่นิด
“ลูกเมย์!! หนูเป็นยังไงบ้างคะลูก เจ็บตรงไหน ให้คุณแม่ดูหน่อยสิคะ” เธอกล่าวพร้อมกับเข้ามาสำรวจตรวจตราบุตรสาวด้วยความเป็นห่วงอย่างเกินเหตุ เมยาส่งยิ้มให้กับต้นน้ำผู้เป็นเจ้าของไข้ ซึ่งกำลังนั่งตะลึงกับอาการผู้เป็นแม่ของเจ้าหล่อน หากแต่ไม่ใช่แค่นั้น ยังมีผู้ชายอีกสองเดินจ้ำตามเข้ามาโดยไม่ฟังเสียงทัดทานของพยาบาลหน้าห้องตรวจเช่นกัน
ทั้งสองมีพิมพ์หน้าและรูปร่างสูงใหญ่ ละม้ายคล้ายคลึงกันอย่างเห็นได้ชัด หากแต่สิ่งที่สามารถแยกออกอย่างชัดเจนเห็นจะเป็นริ้วรอยแห่งความสูงวัยมากกว่าของผู้เป็นพ่อ ทั้งคู่ใส่สูทอย่างเป็นทางการของนักธุรกิจระดับสูง
“คุณพ่อ พี่โต นี่มากันหมดเลยเหรอคะ” เมยากล่าวปนหัวเราะ เมื่อเห็นสีหน้าวิตกกังวลของทุกคน
“เป็นอะไรมากไหมเมย์ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า พอคุณแม่โทรบอก คุณพ่อก็ยกเลิกประชุมทั้งหมดทันที” ผู้เป็นพี่ชายเอ่ยเสียงร้อนรน ขณะที่ชายสูงวัยซึ่งเป็นบิดาเดินเข้ามาลูบศรีษะบุตรสาวคนเล็กด้วยความห่วงใย
“พ่อบอกแล้วว่าอย่าขับรถเอง ต่อไปนี้จะไปไหนให้คนขับขับให้แล้วนะลูก พ่อนี่ใจหายหมดเลย”
“แล้วคู่กรณีอยู่ไหน ขับรถยังไงไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือ” ผู้เป็นพี่ชายกล่าวเสียงขึงขัง จนคู่กรณีที่นั่งอยู่มุมห้อง ถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ
“พี่โต เมย์ไม่เป็นอะไรเลยค่ะ ไม่เชื่อถามคุณหมอดูสิคะ แล้วเมย์ก็เป็นคนผิดด้วย เมย์เผลอเบรครถกระทันหันตอนไฟเขียวน่ะค่ะ” หญิงสาวรีบบอก เมื่อเห็นท่าไม่ดี เนื่องจากทุกคนในครอบครัวล้วนเป็นโรคห่วงเมย์ลิซึ่มกันอย่างถ้วนหน้า
ซึ่งได้ผล ทุกคนเงียบ
“ไม่เป็นอะไรจริง ๆ นะ ใช่ไหมคะคุณหมอ” ผู้เป็นมารดารีบหันไปถามแพทย์ประจำห้องตรวจ
“ครับผม จากการตรวจ คุณเมยาปกติดีครับ ไม่ได้รับบาดเจ็บหรือการกระทบกระเทือนอะไรทั้งสิ้น” นายแพทย์ตอบพร้อมรอยยิ้มใจดี
“ควรแอดมิทรอดูอาการก่อนไหม” ผู้เป็นบิดาถามบ้าง นายแพทย์ยังคงยิ้ม
“แล้วทำซีที สแกนหรือยัง” พี่ชายรีบถามต่อ นายแพทย์ก็ยังคงยิ้ม เพียงแต่มุมปากมีการกระตุกเล็กน้อย
“หมอตรวจเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ เดี๋ยวเชิญทุกคนรอด้านนอกดีกว่า” นายแพทย์รีบตัดบท ทำให้ทุกคนหยุดตั้งคำถาม ผู้เป็นพี่ชายเข้ามาพยุงน้องสาวเดินออกจากห้อง
“แล้วคุณเป็นใครคะ” ทัศนีผู้เป็นมารดาหันมาถามต้นน้ำ เมื่อทุกคนเดินออกมาจากห้องตรวจหมดแล้ว ชายหนุ่มได้โอกาสแสดงความมีตัวตนสักที เขายกมือไหว้ทำความเคารพ
“ผมต้นน้ำครับ เป็นคู่กรณีของคุณเมยา” เขากล่าวยังไม่ทันจบ ทุกคนอ้าปากเตรียมรุมกล่าวโทษ แต่เมยารีบยกมือห้ามเอาไว้
“เมย์เป็นคนผิดค่ะ ขอย้ำนะคะ มันเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ ค่ะ อีกอย่างคุณต้นก็เป็นคนพาเมย์มาโรงพยาบาลด้วยนะคะ” เมยาอธิบาย แต่ดูท่าทางพี่ชายไม่เห็นด้วย
“ก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว คุณเป็นคนขับรถชนน้องสาวผม ถ้าเห็นคันหน้าเบรคคุณก็ควรเบรคให้ทันสิ” เขากล่าวขึงขัง
“เมย์เป็นคนผิดค่ะ” น้องสาวรีบเถียง
“สอบใบขับขี่ผ่านมาได้ยังไงไม่รู้” ผู้เป็นมารดากล่าวกระแทก พลางมองด้วยหางตา
“เมย์เป็นคนผิดค่ะ” เมยาบอกอย่างเหนื่อยหน่าย
“ครับผม เอาเป็นว่าผมต้องขอโทษทุกคนด้วยนะครับ ความจริงผมเองก็มีส่วน เพราะเร่งเครื่องช่วงไฟเขียว พอคุณเมย์เบรคกระทันหันผมเลยหยุดรถไม่ทัน” นี่คือผิดใช่ไหม ต้นน้ำแอบอมยิ้มในใจ และเกือบยิ้มออกมาจริง ๆ เมื่อเห็นเมยากลั้นหัวเราะ
“เอาเถอะ ยังไงก็ขอบคุณคุณมากนะครับ ที่พาลูกสาวผมมาส่งโรงพยาบาล ถ้าติดขัดตรงไหนหรือมีปัญหาอะไร ติดต่อมาได้นะครับ นี่นามบัตรผม” ผู้เป็นบิดากล่าวพลางยื่นนามบัตรส่งให้
“ถ้าอย่างนั้น พวกเราขอตัว” ทัศนีหันไปกล่าวกับต้นน้ำ แล้วจูงผู้เป็นลูกสาวออกเดิน หญิงสาวหันมาโบกมือให้กับชายหนุ่มผู้ซึ่งได้รู้จักกันในสถานการณ์แปลก ๆ เขาก้มศรีษะให้แทนการบอกลา หวังเหลือเกินว่าคงมีโอกาสได้เจอกันอีก
“เมธานัย ภัทรภักดิ์”ต้นน้ำ หรือ ตันตฤน พลิกนามบัตรดูชื่อ ตำแหน่ง และบริษัท ถึงกับอ้าปากค้าง CEO บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับประเทศ ดับฝันโอกาสได้พบอีกครั้งแบบฉับพลันกันเลยทีเดียว เขาถอนหายใจอย่างเจียมตัวก่อนก้าวเดินออกจากโรงพยาบาลด้วยความรู้สึกประหลาดในหัวใจ
ร่างสูงสมส่วนในชุดสูทสีเทา เปิดประตูห้องทำงานเข้ามาอย่างอ่อนล้ากับการประชุมงานสำคัญมาทั้งวัน ผสุชาเลขาสาวรีบเดินจ้ำตามผู้เป็นนายเข้ามา
“มีโทรศัพท์จากคุณกวินทร์ค่ะ” เธอรีบรายงาน เมื่อภูมิพันธิ์นั่งลงบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ เขาหยิบแฟ้มเอกสารที่เรียงไว้บนโต๊ะรอการเซ็นต์อนุมัติขึ้นมาดู
“บอกว่าคุณเมย์เกิดอุบัติเหตุ ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลค่ะ” มือใหญ่ชะงัก เงยหน้ามองเลขาทันที คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแววตาเหนื่อยล้าเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยว
“แล้วทำไมเพิ่งบอก!!” คำถามเกือบเป็นการตวาด เลขาสาวห่อไหล่ลง
“เห็นคุณสั่งไว้ว่าห้ามรบกวน เพราะวันนี้เป็นงานสำคัญ” หญิงสาวบอกเสียงเบา ภูมิพันธ์ลุกขึ้นก้าวออกจากห้องทำงานอย่างรวดเร็วพร้อมกับหยิบโทรศัพท์กดเบอร์โทรออกทันที แต่ไม่มีคนรับสาย ชายหนุ่มเก็บโทรศัพท์แล้วรีบมายังลานจอดรถพร้อมขับออกไปอย่างรวดเร็ว ระหว่างขับรถเขาพยายามโทรหากวินทร์ผู้เป็นพี่ชายของเมยา แต่ปลายสายไม่รับจึงต้องเปลี่ยนเป้าหมายเป็นเบอร์ของทัศนีผู้เป็นมารดาหญิงสาวแทน
“ครับผมคุณแม่ ผมเพิ่งทราบเรื่อง น้องเมย์เป็นยังไงบ้างครับ” ชายหนุ่มถามด้วยความร้อนใจ
“ไม่เป็นไรมากหรอกจ้ะหนึ่ง ขับรถใจลอยน่ะ เลยโดนชน”
“ตอนนี้อยู่ที่ไหนครับ โรงพยาบาลหรือเปล่า”
“ตอนนี้อยู่บ้านแล้วจ้ะ...” ทัศนีกล่าวค้างแค่นั้น เมื่อภูมิพันธ์รีบตัดบท
“ครับ ผมกำลังเข้าไปนะครับ” เขากล่าวแล้วตัดสาย ทำเอาผู้เป็นว่าที่แม่ยายซึ่งกำลังจะเล่าเรื่องราวให้ฟังถึงกับ มองโทรศัพท์ตาค้าง
“ตาหนึ่งตัดสายฉันล่ะคุณ ไม่รู้รีบอะไรนักหนา” เธอฟ้องสามี แต่ไม่ได้มีท่าทีจริงจังนัก กวินทร์ซึ่งนั่งจิบกาแฟอยู่ยังมุมรับแขกหัวเราะ เมื่อมองสายเรียกเข้าในโทรศัพท์ตัวเอง ดี ต้องทำให้ร้อนใจเสียบ้าง
“แล้วโตทำไมไม่ยอมรับสาย ทำแบบนี้หนึ่งเค้ายิ่งเป็นห่วง” ผู้เป็นมารดาหันมาบ่นลูกชาย เขายักไหล่
“โทรบอกตั้งแต่บ่าย เพิ่งติดต่อกลับมาตอนมืด นี่ถ้ายัยเมย์เป็นอะไรมาก คงไม่ต้องดูใจกันพอดี”
“ตายแล้วตาโตนี่นะ พูดจาอะไรไม่เป็นมงคล” มารดาเอ็ดพลางฟาดลูกชายเข้าให้หนึ่งที กวินทร์หน้าเบ้ ขยับออกห่าง
“แล้วเมย์อยู่ไหนล่ะเนี่ย” เมื่อปราบลูกชายคนโตเสร็จ จึงหันไปถามหาลูกสาวคนเล็กกับเมธานัยผู้เป็นสามี
“เวลานี้ก็คงอยู่ในสวนหลังบ้าน คุยกับดอกไม้นั่นแหละครับ” กวินทร์รีบตอบแทน เลยโดนทัศนีหันมาค้อนควับให้เสียอีกหนึ่งที
ท่ามกลางสวนดอกไม้เขียวชอุ่มสวยงามอันเป็นสถานที่นั่งเล่นประจำทั้งยามสาย บ่าย เย็น และค่ำของหญิงสาว หากแต่วันนี้เมยาไม่ได้คุยกับดอกไม้ใบหญ้าเหมือนเช่นผู้เป็นพี่ชายกระเซ้า หญิงสาวกำลังนั่งใจลอยนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทบทวนซ้ำไปซ้ำมา
หากเป็นความฝัน มันช่างเป็นความฝันที่มีพลังทำให้รู้สึกอิ่มเอมใจเป็นอย่างมาก ทั้งยังรู้สึกได้ถึงความสุขยามย่างเท้าเข้าไปภายในเรือนนั้น แสนสบายเหมือนได้กลับบ้าน และหากเป็นเพียงความฝัน ทำไมความรู้สึกจึงยังคงติดตรึงอยู่
แม้กระทั่งกลิ่นหอมของดอกไม้ ยังคงอยู่ที่ปลายจมูก ประทับอยู่ในความทรงจำ ความรู้สึกแปลกใหม่ทดแทนที่ว่างอันแสนว่างเปล่าในชีวิต ราวกับได้รับการเติมเต็มในหัวใจ หากเลือกได้ เธออยากกลับไปพบกับความฝันนั้นอีกเหลือเกิน
หากแต่เสียงสวบสาบที่ใกล้เข้ามา ทำให้เมยาต้องหันไปมอง เสียงย่างเท้าอันแสนคุ้นเคย รู้ก่อนจะเห็นตัวผู้มาเยือนเสียอีก
และเมื่อร่างสูงโผล่พ้นแนวโค้งของสวน จึงได้รับการต้อนรับด้วยรอยยิ้มทันที
“พี่หนึ่งมาได้ยังไงคะ” หญิงสาวกล่าวด้วยความดีใจ แม้รู้ว่าควรสงวนท่าที แต่นานทีปีหนหรอกนะที่คู่หมั้นหนุ่มจะมาหาถึงบ้านยามวิกาลเช่นนี้
สายตาคมกริบที่เมยาไม่เคยอ่านออกมองสำรวจ ก่อนเจ้าตัวลอบถอนหายใจ เมื่อเห็นว่าหญิงสาวตรงหน้าปกติดี อย่างเช่นที่ทุกคนเพิ่งกล่าวย้ำมา
“ทำไมเมย์ไม่โทรหาพี่ตอนเกิดอุบัติเหตุคะ” น้ำเสียงเย็นชาไม่แสดงอารมณ์ ทำให้รอยยิ้มของหญิงสาวเจื่อนไป แต่ใช่ว่าเธอไม่รู้จักพี่หนึ่งของเธอเสียหน่อย การอุตส่าห์ขับรถมาหาถึงบ้านเวลานี้คงไม่มีอะไรนอกจากเป็นห่วง
“พี่หนึ่งเป็นห่วงเมย์เหรอคะ....ดีใจจัง” หญิงสาวกล่าวพลางยิ้มกว้าง แต่คนฟังทำหน้าไม่ถูก นี่เขาควรโกรธหรือเขินกันแน่
“คราวหลังมีอะไรโทรหาพี่ด้วยนะคะ พี่ไม่อยากรู้เป็นคนสุดท้าย มันดูไม่ดีเลยในฐานะคู่หมั้น” เขาไม่ได้อยากพูดแบบนี้เสียหน่อย ในใจมีคำถามมากมาย อยากรู้ทุกรายละเอียด อยากจับเจ้าตัวดีมาสำรวจให้แน่ใจว่าปลอดภัย ไม่มีแม้รอยขีดข่วน แต่ช้าไปแล้วเมื่อรอยยิ้มกว้างนั้นเจื่อนลงอีกครั้ง
“เมย์ขอโทษค่ะ พอดีเห็นว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เลยไม่อยากรบกวนพี่หนึ่ง” หญิงสาวกล่าวเสียงอ่อย ทิ้งตัวลงบนม้านั่ง ท่าทีดีใจเมื่อครู่หายไปหมดสิ้น ภูมิพันธ์นั่งลงตามเงียบๆ ถึงจะเป็นคู่หมั้นกันมานานแค่ไหน แต่พออยู่ใกล้ทีไร เขาเป็นต้องทำอะไรที่มันตรงกันข้ามกับในหัวใจทุกทีสิน่า
“ทานข้าวหรือยังคะ หิวไหม เดี๋ยวเมย์ให้แม่บ้านตั้งสำรับที่นี่ให้” มีแค่เรื่องอาหารการกินเท่านี้แหละที่ถามไถ่ได้ เรื่องอื่นเมยานึกหัวข้อไม่ออกจริง ๆ
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพี่ต้องกลับไปทำงานต่อแล้ว”
“ถ้างั้นเดี๋ยวเมย์ให้แม่บ้านทำข้าวกล่องไปให้นะคะ” หญิงสาวกล่าว แล้วกดอินเตอร์คอมสั่งการไปยังห้องครัวทันที ภูมิพันธ์คร้านปฏิเสธเพราะรู้ว่าไม่มีประโยชน์อะไร ชายหนุ่มยิ้มรับ
ทางเดินทอดยาวนี่ช่างคุ้นตา สองฝั่งเต็มไปด้วยไม้ใหญ่ดูเขียวขจีสดชื่นมากกว่าน่ากลัว เสียงดนตรีไทยบรรเลงเพราะพริ้งมาจากด้านใน ทำให้เท้าน้อย ๆ ก้าวตามไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ไกลพอหนึ่งเหนื่อยจึงปรากฎภาพเรือนไทยหลังใหญ่สวยงามโอ่อ่า ประทับอยู่เบื้องหน้าตรงสุดทางเดิน ลานกว้างด้านล่างคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ต่างเดินกันให้ขวักไขว่เร่งรีบ นั่นเขามีงานอะไรกันหนอ
เสียงเฮฮาดังลั่นจากด้านบนเรือน จึงก้าวขึ้นไปอย่างใคร่รู้ ผู้คนแต่งกายงดงามเครื่องประดับเต็มยศ ข้างในสุดมีคู่บ่าวสาวกำลังค้อมตัวให้พระภิกษุรดน้ำมนต์ บรรดาเพื่อนบ่าวสาวทั้งสองฝ่าย ต่างพากันเบียดเสียดเพื่อให้คนทั้งคู่ยิ่งใกล้ชิดกัน สร้างความรู้สึกสุขใจให้กับเจ้าหล่อนเป็นยิ่งนัก
เสียงดนตรีบรรเลงเพราะพริ้งมาท่ามกลางเสียงพูดคุยและหัวร่อต่อกระซิก เจ้าบ่าวค่อย ๆ บรรจงประคองผู้เป็นเจ้าสาวลุกขึ้น แต่เมื่อทั้งคู่กำลังหันมา โลกตรงหน้ากลับตารปัดหมุนคว้างทันที บัดนี้เรือนไทยหลังงามอยู่เบื้องหลัง
ท่ามกลางสวนสวย พบร่างสูงใหญ่ในชุดแปลกตา ยืนชมดอกไม้ แผ่นหลังกว้างแสนคุ้นเคยแลดูอบอุ่น วินาทีหนึ่งรู้สึกโหยหาจนอยากโผเข้าไปกอด หากแต่ยับยั้งชั่งใจเอาไว้ ค่อย ๆ เดินลัดเลาะเข้าไปหา หวังอยากเห็นหน้าค่าตา เบื้องหลังยังดูดีมีสง่าขนาดนี้ เบื้องหน้านั้นจะหล่อเหลาขนาดไหนกัน
“คุณ คุณคะ” นั่นคือเสียงของตัวเอง ที่เมยาเปล่งออกไป เขากำลังหันกลับมาตามเสียงเรียก หัวใจหญิงสาวเต้นระรัวราวกับรอรักแรก แต่ทันใดนั้นทุกสิ่งรอบตัวกลับเลือนลางเคว้งคว้าง ชายหนุ่มตรงหน้าหันกลับมาแต่เขากลับอยู่ห่างออกไปจนมองไม่เห็น รู้สึกเสียดายและเสียใจเกินทน จนต้องยื่นสองมือออกไปเพื่อไขว่คว้า
“คุณ อย่าเพิ่งไป รอก่อน คุณ!!!!”
เมยาถลันลุกพรวดขึ้นมา ไม่ใช่สวนสวยหลังเรือนไทย แต่เป็นภายในห้องนอนหรูหราสีขาวของเธอเอง
ฝัน!!
ฝันแบบเดิมติดกันเป็นวันที่สาม
ไม่อยากให้เป็นแค่ฝัน เสียดาย เสียใจ คิดถึง เมยารู้สึกเจ็บอยู่ในหัวใจอีกแล้ว เพราะอะไร..... เธออยากให้มันเป็นความจริงอย่างนั้นหรือ หัวใจยังเต้นโครมครามเมื่อนึกถึงแผ่นหลังกว้างของผู้ชายคนนั้น
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นพร้อมกับแม่บ้านกล่าวเบา ๆ “ตื่นหรือยังคะคุณหนูเมย์”
“ตื่นแล้วค่ะ” หญิงสาวตอบรับออกไป แม่บ้านแง้มประตูโผล่หน้าเข้ามา
“คุณท่านให้มาเรียนคุณหนูว่าวันนี้จะพาไปดูฤกษ์แต่งงานนะคะ อีกหนึ่งชั่วโมงคุณภูมิพันธ์กับคุณแม่จะมารับ” เมยาพยักหน้า เธอลืมไปเสียสนิท เมื่อวานเจอกันที่บริษัท พี่หนึ่งก็ไม่ได้คุยเรื่องนี้ อันที่จริงแทบไม่เคยคุยกันเรื่องอะไรเลยด้วยซ้ำ การเจอกันที่บริษัทคือพี่หนึ่งนั่งทำงานและเธอนั่งเล่นโทรศัพท์มือถือ ส่วนเรื่องแต่งงานมีเพียงผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายคุยกันเองทั้งสิ้น
ภูมิพันธ์และคุณวาณี ดัสกร มาตรงเวลาเป๊ะ ไม่ผิดเลยที่เป็นนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง เรื่องเวลาเป็นสิ่งสำคัญเหลือเกิน ทัศนีและเมยาเตรียมตัวรออยู่แล้ว มีการทักทายเพียงเล็กน้อย แล้วทั้งหมดจึงขึ้นรถตู้วีไอพีของทางฝ่ายชาย ออกเดินทางสู่วัดเก่าแก่อันเป็นวัดที่มีเจ้าอาวาสซึ่งเป็นที่นับถือกันมาช้านาน ให้เป็นผู้ดูฤกษ์ยาม
“หนูเมย์ไม่เป็นอะไรใช่ไหมลูก เห็นว่าเกิดอุบัติเหตุ” วาณีกล่าวขึ้นพลางสำรวจตรวจตราว่าที่ลูกสะใภ้ด้วยความเอ็นดู
“แค่ชนท้ายกันนิดหน่อยเองค่ะ” หญิงสาวตอบรับ เหลือบตามองไปยังภูมิพันธ์ซึ่งนั่งอ่านเอกสารอยู่ วันนี้เขาใส่เสื้อโปโลสีฟ้าเข้ารูปกับกางเกงยีนส์สีเข้ม แลดูหล่อเหลาผ่อนคลาย เมยาชอบแบบนี้มากกว่าตอนใส่สูทเคร่งขรึมเป็นทางการเสียอีก
“ตอนนี้ผมให้นายวิทย์คนรถที่บริษัท คอยขับรับส่งอยู่ครับคุณแม่ ไม่อยากให้ขับรถเอง” ชายหนุ่มกล่าวขึ้นมาทั้งที่สายตาไม่ละจากเอกสาร
“น้าล่ะเกรงใจตาหนึ่ง จริง ๆ ให้คนรถที่บ้านน้าคอยรับส่งก็ได้” ทัศนีกล่าวเปรย แต่วาณีรีบห้าม
“แบบนี้ดีแล้วล่ะค่ะคุณทัศ ที่จริงควรให้ตาหนึ่งเป็นคนคอยรับส่งเสียด้วยซ้ำ รายนี้เอาแต่ทำงาน ไม่เคยได้ดั่งใจเลย” มารดาฝ่ายชายบ่น พลางหันไปค้อนใส่
“เมย์อยากขอพี่หนึ่งเรื่องนี้เหมือนกันค่ะ เมย์อยากขับรถเองมากกว่า ไม่ต้องให้คนรถพี่หนึ่งมาคอยรับส่งได้ไหมคะ”
“ไม่ได้!!!“ กล่าวพร้อมกันทั้งสามคน ทำเอาเมยามองคนนั้นที คนนี้ที ก่อนมาจบกับสายตาดุ ๆ ของผู้เป็นคู่หมั้น
เขาไม่กล่าวอะไร แต่ตัดบทด้วยการกลับไปสนใจกับเอกสารตรงหน้า ขณะที่แม่ ๆ ทั้งสอง พากันชักแม่น้ำทั้งห้ามากล่อมเพื่อไม่ให้เธออยากขับรถเอง
แม้รู้ว่าเป็นห่วง แต่มันช่างแสนน่าเบื่อ รู้สึกไม่เป็นอิสระจนหน่วงอยู่ในอก
หลวงตาแก่ขึ้นกว่าเดิมมากโขแต่กระนั้นท่านยังคงดูแข็งแรงอยู่ นัยน์ตาฝ้าฟางจ้องมองมายังเมยาด้วยความเอ็นดูเหมือนเช่นเคย หากแต่คราวนี้กลับแฝงไปด้วยบางอย่างที่ดูน่าหนักใจระคนเป็นห่วง
“ปีนี้ยี่สิบห้าพอดีใช่ไหมเจ้าเมย์” น้ำเสียงแหบพร่าของหลวงตาเอ่ยขึ้นอย่างคุ้นเคยเพราะเป็นวัดประจำไปมาหาสู่กันอยู่บ่อยครั้ง
“ใช่ค่ะหลวงตา” หญิงสาวตอบรับเสียงสดใส
“เผลอแป้ปเดียวจะแต่งงานแล้ว เมื่อวานยังเป็นเด็กห้าขวบอยู่เลย” หลวงตากล่าวด้วยความเอ็นดู พลางหันไปหยิบสายสิญจ์สีขาวมาส่งให้
“ใส่ไว้อย่าแกะออก แล้วเอาพระไปคล้องซะอย่าถอดออกเหมือนกัน” เมื่อส่งสายสิญจ์ให้เสร็จท่านจึงหันไปหยิบพระหย่อนใส่ให้ในมือ ทัศนีและวาณีคิ้วขมวดทันที รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลจากการกระทำของหลวงตา
“ไม่มีอะไรหรอก ไม่มีเรื่องร้าย แค่ให้ติดตัวไว้ ทำอะไรจะได้ราบรื่นไร้อุปสรรค” แกกล่าวขึ้นมาเหมือนรู้ว่าหญิงสูงวัยทั้งสองต้องถาม
“ฤกษ์แต่งน่ะ อีกสามเดือนนะ วันดีมาก พวกโยมจะพร้อมกันหรือเปล่า”
“แหมหลวงพ่อ อิฉันน่ะพร้อมตลอดอยู่แล้วล่ะค่ะ” วาณีกล่าวแล้วหันไปยิ้มกับทัศนี หลวงตาพยักหน้า แล้วหันมาหยิบพระส่งให้กับภูมิพันธ์
“คนเราหากคู่กันแล้ว ยังไงก็ไม่แคล้วกันนะ ติดตัวเอาไว้อย่าให้ห่าง” ภูมิพันธ์รับมาแล้วก้มลงกราบ
“เด็กๆ สนทนากับพระคงจะเบื่อ ออกไปเดินเล่นกันเถอะ ส่วนโยมทัศนีกับโยมวาณี เดี๋ยวอาตมาจะจดวัน เวลาให้นะ” หลวงตากล่าว พลางโบกมือให้ทั้งภูมิพันธ์และเมยาออกไปด้านนอก ทั้งคูจึงคลานถอยออกไป เมื่อด้านในเหลือแต่ผู้เป็นมารดา หลวงตาจึงเอ่ยขึ้น
“กรรมดีของเจ้าเมย์มีเยอะ แต่ตอนนี้เคราะห์หนักมาก เจ้ากรรมนายเวรเขาตามเจอ ของรักของเขา เขาย่อมอยากได้คืน”
“หมายความว่าอย่างไรคะหลวงพ่อ อิชั้นไม่เข้าใจ” ทัศนีกล่าวถามเสียงสั่น ใจหายวูบ เมื่อรู้ว่าลูกสาวมีเคราะห์หนัก
“เขาตามมาเจอแล้ว เลยอยากได้คืน อาตมาจนใจนะโยม คงต้องแล้วแต่บุญกรรมที่ได้ประกอบมา คนเราเวียนว่ายตายเกิดกันหลายภพหลายชาติเหลือเกิน บางชาติกรรมดีส่งผล บางชาติกรรมแห่งบาปก็ตามมาทวง” หลวงตากล่าวเชื่องช้า สายตามองผ่านออกไปยังประตูทางเข้ากุฏิ ทัศนีและวาณีสบตากันด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
“หมายความว่า ยัยเมย์มีเคราะห์หนักถึงชีวิตเลยหรือคะท่าน” ทัศนีรีบถามต่อกระวนกระวาย หลวงตาถอนหายใจ
“มันเป็นเรื่องของกรรมนะโยม อาตมาตอบไม่ได้ หากกรรมดีที่เคยทำมาช่วยส่งผล เจ้าเมย์คงรอดพ้นจากบ่วงกรรมหนนี้ได้”
“แล้วมีทางไหนช่วยได้ไหมคะท่าน” คราวนี้วาณีเป็นคนถามด้วยความร้อนใจไม่ต่างจากทัศนี เมยาไม่ใช่แค่ผู้หญิงที่จะมาเป็นลูกสะใภ้ หากแต่เธอเองก็รักใคร่ผูกพันประดุจลูกสาวแท้ ๆ คนหนึ่ง
“อาตมาให้ไปแล้ว ช่วยได้เท่านี้แหละโยม หากมีเวลาอยากให้เจ้าเมย์สวดมนต์ไหว้พระแผ่บุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรเขาทุกวัน ทำได้จะดีมาก” หลวงตากล่าว พลางมองออกไปยังประตูกุฏิอีกครั้ง “เรื่องของบุญกรรม ห้ามกันไม่ได้ ใครสร้างมาร่วมกัน เค้าก็ได้ใช้ร่วมกัน ไปทวงไปขวางมันเป็นบาปกรรม เมื่อจิตยึดติดจึงเกิดเป็นทุกข์นะโยม” ประโยคหลัง หลวงตากล่าวขึ้นมาลอย ๆ ทำเอาแม่ทั้งสองถึงกับมองหน้ากัน แล้วรีบกล่าวลาหลวงตาออกมาด้วยสีหน้าที่ไม่ดีนัก
แผ่นหลังของร่างสูงใหญ่ในชุดนักรบโบราณสีเลือดหมู เลือนลางอยู่ด้านหน้าประตูกุฏิ ร่างนั้นหยุดนิ่งเพียงชั่วครู่ ก่อนเดินห่างหายออกไปจากสายตาฝ้าฟางของภิกษุชรา
“ลูกเมย์!! หนูเป็นยังไงบ้างคะลูก เจ็บตรงไหน ให้คุณแม่ดูหน่อยสิคะ” เธอกล่าวพร้อมกับเข้ามาสำรวจตรวจตราบุตรสาวด้วยความเป็นห่วงอย่างเกินเหตุ เมยาส่งยิ้มให้กับต้นน้ำผู้เป็นเจ้าของไข้ ซึ่งกำลังนั่งตะลึงกับอาการผู้เป็นแม่ของเจ้าหล่อน หากแต่ไม่ใช่แค่นั้น ยังมีผู้ชายอีกสองเดินจ้ำตามเข้ามาโดยไม่ฟังเสียงทัดทานของพยาบาลหน้าห้องตรวจเช่นกัน
ทั้งสองมีพิมพ์หน้าและรูปร่างสูงใหญ่ ละม้ายคล้ายคลึงกันอย่างเห็นได้ชัด หากแต่สิ่งที่สามารถแยกออกอย่างชัดเจนเห็นจะเป็นริ้วรอยแห่งความสูงวัยมากกว่าของผู้เป็นพ่อ ทั้งคู่ใส่สูทอย่างเป็นทางการของนักธุรกิจระดับสูง
“คุณพ่อ พี่โต นี่มากันหมดเลยเหรอคะ” เมยากล่าวปนหัวเราะ เมื่อเห็นสีหน้าวิตกกังวลของทุกคน
“เป็นอะไรมากไหมเมย์ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า พอคุณแม่โทรบอก คุณพ่อก็ยกเลิกประชุมทั้งหมดทันที” ผู้เป็นพี่ชายเอ่ยเสียงร้อนรน ขณะที่ชายสูงวัยซึ่งเป็นบิดาเดินเข้ามาลูบศรีษะบุตรสาวคนเล็กด้วยความห่วงใย
“พ่อบอกแล้วว่าอย่าขับรถเอง ต่อไปนี้จะไปไหนให้คนขับขับให้แล้วนะลูก พ่อนี่ใจหายหมดเลย”
“แล้วคู่กรณีอยู่ไหน ขับรถยังไงไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือ” ผู้เป็นพี่ชายกล่าวเสียงขึงขัง จนคู่กรณีที่นั่งอยู่มุมห้อง ถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ
“พี่โต เมย์ไม่เป็นอะไรเลยค่ะ ไม่เชื่อถามคุณหมอดูสิคะ แล้วเมย์ก็เป็นคนผิดด้วย เมย์เผลอเบรครถกระทันหันตอนไฟเขียวน่ะค่ะ” หญิงสาวรีบบอก เมื่อเห็นท่าไม่ดี เนื่องจากทุกคนในครอบครัวล้วนเป็นโรคห่วงเมย์ลิซึ่มกันอย่างถ้วนหน้า
ซึ่งได้ผล ทุกคนเงียบ
“ไม่เป็นอะไรจริง ๆ นะ ใช่ไหมคะคุณหมอ” ผู้เป็นมารดารีบหันไปถามแพทย์ประจำห้องตรวจ
“ครับผม จากการตรวจ คุณเมยาปกติดีครับ ไม่ได้รับบาดเจ็บหรือการกระทบกระเทือนอะไรทั้งสิ้น” นายแพทย์ตอบพร้อมรอยยิ้มใจดี
“ควรแอดมิทรอดูอาการก่อนไหม” ผู้เป็นบิดาถามบ้าง นายแพทย์ยังคงยิ้ม
“แล้วทำซีที สแกนหรือยัง” พี่ชายรีบถามต่อ นายแพทย์ก็ยังคงยิ้ม เพียงแต่มุมปากมีการกระตุกเล็กน้อย
“หมอตรวจเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ เดี๋ยวเชิญทุกคนรอด้านนอกดีกว่า” นายแพทย์รีบตัดบท ทำให้ทุกคนหยุดตั้งคำถาม ผู้เป็นพี่ชายเข้ามาพยุงน้องสาวเดินออกจากห้อง
“แล้วคุณเป็นใครคะ” ทัศนีผู้เป็นมารดาหันมาถามต้นน้ำ เมื่อทุกคนเดินออกมาจากห้องตรวจหมดแล้ว ชายหนุ่มได้โอกาสแสดงความมีตัวตนสักที เขายกมือไหว้ทำความเคารพ
“ผมต้นน้ำครับ เป็นคู่กรณีของคุณเมยา” เขากล่าวยังไม่ทันจบ ทุกคนอ้าปากเตรียมรุมกล่าวโทษ แต่เมยารีบยกมือห้ามเอาไว้
“เมย์เป็นคนผิดค่ะ ขอย้ำนะคะ มันเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ ค่ะ อีกอย่างคุณต้นก็เป็นคนพาเมย์มาโรงพยาบาลด้วยนะคะ” เมยาอธิบาย แต่ดูท่าทางพี่ชายไม่เห็นด้วย
“ก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว คุณเป็นคนขับรถชนน้องสาวผม ถ้าเห็นคันหน้าเบรคคุณก็ควรเบรคให้ทันสิ” เขากล่าวขึงขัง
“เมย์เป็นคนผิดค่ะ” น้องสาวรีบเถียง
“สอบใบขับขี่ผ่านมาได้ยังไงไม่รู้” ผู้เป็นมารดากล่าวกระแทก พลางมองด้วยหางตา
“เมย์เป็นคนผิดค่ะ” เมยาบอกอย่างเหนื่อยหน่าย
“ครับผม เอาเป็นว่าผมต้องขอโทษทุกคนด้วยนะครับ ความจริงผมเองก็มีส่วน เพราะเร่งเครื่องช่วงไฟเขียว พอคุณเมย์เบรคกระทันหันผมเลยหยุดรถไม่ทัน” นี่คือผิดใช่ไหม ต้นน้ำแอบอมยิ้มในใจ และเกือบยิ้มออกมาจริง ๆ เมื่อเห็นเมยากลั้นหัวเราะ
“เอาเถอะ ยังไงก็ขอบคุณคุณมากนะครับ ที่พาลูกสาวผมมาส่งโรงพยาบาล ถ้าติดขัดตรงไหนหรือมีปัญหาอะไร ติดต่อมาได้นะครับ นี่นามบัตรผม” ผู้เป็นบิดากล่าวพลางยื่นนามบัตรส่งให้
“ถ้าอย่างนั้น พวกเราขอตัว” ทัศนีหันไปกล่าวกับต้นน้ำ แล้วจูงผู้เป็นลูกสาวออกเดิน หญิงสาวหันมาโบกมือให้กับชายหนุ่มผู้ซึ่งได้รู้จักกันในสถานการณ์แปลก ๆ เขาก้มศรีษะให้แทนการบอกลา หวังเหลือเกินว่าคงมีโอกาสได้เจอกันอีก
“เมธานัย ภัทรภักดิ์”ต้นน้ำ หรือ ตันตฤน พลิกนามบัตรดูชื่อ ตำแหน่ง และบริษัท ถึงกับอ้าปากค้าง CEO บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับประเทศ ดับฝันโอกาสได้พบอีกครั้งแบบฉับพลันกันเลยทีเดียว เขาถอนหายใจอย่างเจียมตัวก่อนก้าวเดินออกจากโรงพยาบาลด้วยความรู้สึกประหลาดในหัวใจ
ร่างสูงสมส่วนในชุดสูทสีเทา เปิดประตูห้องทำงานเข้ามาอย่างอ่อนล้ากับการประชุมงานสำคัญมาทั้งวัน ผสุชาเลขาสาวรีบเดินจ้ำตามผู้เป็นนายเข้ามา
“มีโทรศัพท์จากคุณกวินทร์ค่ะ” เธอรีบรายงาน เมื่อภูมิพันธิ์นั่งลงบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ เขาหยิบแฟ้มเอกสารที่เรียงไว้บนโต๊ะรอการเซ็นต์อนุมัติขึ้นมาดู
“บอกว่าคุณเมย์เกิดอุบัติเหตุ ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลค่ะ” มือใหญ่ชะงัก เงยหน้ามองเลขาทันที คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแววตาเหนื่อยล้าเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยว
“แล้วทำไมเพิ่งบอก!!” คำถามเกือบเป็นการตวาด เลขาสาวห่อไหล่ลง
“เห็นคุณสั่งไว้ว่าห้ามรบกวน เพราะวันนี้เป็นงานสำคัญ” หญิงสาวบอกเสียงเบา ภูมิพันธ์ลุกขึ้นก้าวออกจากห้องทำงานอย่างรวดเร็วพร้อมกับหยิบโทรศัพท์กดเบอร์โทรออกทันที แต่ไม่มีคนรับสาย ชายหนุ่มเก็บโทรศัพท์แล้วรีบมายังลานจอดรถพร้อมขับออกไปอย่างรวดเร็ว ระหว่างขับรถเขาพยายามโทรหากวินทร์ผู้เป็นพี่ชายของเมยา แต่ปลายสายไม่รับจึงต้องเปลี่ยนเป้าหมายเป็นเบอร์ของทัศนีผู้เป็นมารดาหญิงสาวแทน
“ครับผมคุณแม่ ผมเพิ่งทราบเรื่อง น้องเมย์เป็นยังไงบ้างครับ” ชายหนุ่มถามด้วยความร้อนใจ
“ไม่เป็นไรมากหรอกจ้ะหนึ่ง ขับรถใจลอยน่ะ เลยโดนชน”
“ตอนนี้อยู่ที่ไหนครับ โรงพยาบาลหรือเปล่า”
“ตอนนี้อยู่บ้านแล้วจ้ะ...” ทัศนีกล่าวค้างแค่นั้น เมื่อภูมิพันธ์รีบตัดบท
“ครับ ผมกำลังเข้าไปนะครับ” เขากล่าวแล้วตัดสาย ทำเอาผู้เป็นว่าที่แม่ยายซึ่งกำลังจะเล่าเรื่องราวให้ฟังถึงกับ มองโทรศัพท์ตาค้าง
“ตาหนึ่งตัดสายฉันล่ะคุณ ไม่รู้รีบอะไรนักหนา” เธอฟ้องสามี แต่ไม่ได้มีท่าทีจริงจังนัก กวินทร์ซึ่งนั่งจิบกาแฟอยู่ยังมุมรับแขกหัวเราะ เมื่อมองสายเรียกเข้าในโทรศัพท์ตัวเอง ดี ต้องทำให้ร้อนใจเสียบ้าง
“แล้วโตทำไมไม่ยอมรับสาย ทำแบบนี้หนึ่งเค้ายิ่งเป็นห่วง” ผู้เป็นมารดาหันมาบ่นลูกชาย เขายักไหล่
“โทรบอกตั้งแต่บ่าย เพิ่งติดต่อกลับมาตอนมืด นี่ถ้ายัยเมย์เป็นอะไรมาก คงไม่ต้องดูใจกันพอดี”
“ตายแล้วตาโตนี่นะ พูดจาอะไรไม่เป็นมงคล” มารดาเอ็ดพลางฟาดลูกชายเข้าให้หนึ่งที กวินทร์หน้าเบ้ ขยับออกห่าง
“แล้วเมย์อยู่ไหนล่ะเนี่ย” เมื่อปราบลูกชายคนโตเสร็จ จึงหันไปถามหาลูกสาวคนเล็กกับเมธานัยผู้เป็นสามี
“เวลานี้ก็คงอยู่ในสวนหลังบ้าน คุยกับดอกไม้นั่นแหละครับ” กวินทร์รีบตอบแทน เลยโดนทัศนีหันมาค้อนควับให้เสียอีกหนึ่งที
ท่ามกลางสวนดอกไม้เขียวชอุ่มสวยงามอันเป็นสถานที่นั่งเล่นประจำทั้งยามสาย บ่าย เย็น และค่ำของหญิงสาว หากแต่วันนี้เมยาไม่ได้คุยกับดอกไม้ใบหญ้าเหมือนเช่นผู้เป็นพี่ชายกระเซ้า หญิงสาวกำลังนั่งใจลอยนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทบทวนซ้ำไปซ้ำมา
หากเป็นความฝัน มันช่างเป็นความฝันที่มีพลังทำให้รู้สึกอิ่มเอมใจเป็นอย่างมาก ทั้งยังรู้สึกได้ถึงความสุขยามย่างเท้าเข้าไปภายในเรือนนั้น แสนสบายเหมือนได้กลับบ้าน และหากเป็นเพียงความฝัน ทำไมความรู้สึกจึงยังคงติดตรึงอยู่
แม้กระทั่งกลิ่นหอมของดอกไม้ ยังคงอยู่ที่ปลายจมูก ประทับอยู่ในความทรงจำ ความรู้สึกแปลกใหม่ทดแทนที่ว่างอันแสนว่างเปล่าในชีวิต ราวกับได้รับการเติมเต็มในหัวใจ หากเลือกได้ เธออยากกลับไปพบกับความฝันนั้นอีกเหลือเกิน
หากแต่เสียงสวบสาบที่ใกล้เข้ามา ทำให้เมยาต้องหันไปมอง เสียงย่างเท้าอันแสนคุ้นเคย รู้ก่อนจะเห็นตัวผู้มาเยือนเสียอีก
และเมื่อร่างสูงโผล่พ้นแนวโค้งของสวน จึงได้รับการต้อนรับด้วยรอยยิ้มทันที
“พี่หนึ่งมาได้ยังไงคะ” หญิงสาวกล่าวด้วยความดีใจ แม้รู้ว่าควรสงวนท่าที แต่นานทีปีหนหรอกนะที่คู่หมั้นหนุ่มจะมาหาถึงบ้านยามวิกาลเช่นนี้
สายตาคมกริบที่เมยาไม่เคยอ่านออกมองสำรวจ ก่อนเจ้าตัวลอบถอนหายใจ เมื่อเห็นว่าหญิงสาวตรงหน้าปกติดี อย่างเช่นที่ทุกคนเพิ่งกล่าวย้ำมา
“ทำไมเมย์ไม่โทรหาพี่ตอนเกิดอุบัติเหตุคะ” น้ำเสียงเย็นชาไม่แสดงอารมณ์ ทำให้รอยยิ้มของหญิงสาวเจื่อนไป แต่ใช่ว่าเธอไม่รู้จักพี่หนึ่งของเธอเสียหน่อย การอุตส่าห์ขับรถมาหาถึงบ้านเวลานี้คงไม่มีอะไรนอกจากเป็นห่วง
“พี่หนึ่งเป็นห่วงเมย์เหรอคะ....ดีใจจัง” หญิงสาวกล่าวพลางยิ้มกว้าง แต่คนฟังทำหน้าไม่ถูก นี่เขาควรโกรธหรือเขินกันแน่
“คราวหลังมีอะไรโทรหาพี่ด้วยนะคะ พี่ไม่อยากรู้เป็นคนสุดท้าย มันดูไม่ดีเลยในฐานะคู่หมั้น” เขาไม่ได้อยากพูดแบบนี้เสียหน่อย ในใจมีคำถามมากมาย อยากรู้ทุกรายละเอียด อยากจับเจ้าตัวดีมาสำรวจให้แน่ใจว่าปลอดภัย ไม่มีแม้รอยขีดข่วน แต่ช้าไปแล้วเมื่อรอยยิ้มกว้างนั้นเจื่อนลงอีกครั้ง
“เมย์ขอโทษค่ะ พอดีเห็นว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เลยไม่อยากรบกวนพี่หนึ่ง” หญิงสาวกล่าวเสียงอ่อย ทิ้งตัวลงบนม้านั่ง ท่าทีดีใจเมื่อครู่หายไปหมดสิ้น ภูมิพันธ์นั่งลงตามเงียบๆ ถึงจะเป็นคู่หมั้นกันมานานแค่ไหน แต่พออยู่ใกล้ทีไร เขาเป็นต้องทำอะไรที่มันตรงกันข้ามกับในหัวใจทุกทีสิน่า
“ทานข้าวหรือยังคะ หิวไหม เดี๋ยวเมย์ให้แม่บ้านตั้งสำรับที่นี่ให้” มีแค่เรื่องอาหารการกินเท่านี้แหละที่ถามไถ่ได้ เรื่องอื่นเมยานึกหัวข้อไม่ออกจริง ๆ
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพี่ต้องกลับไปทำงานต่อแล้ว”
“ถ้างั้นเดี๋ยวเมย์ให้แม่บ้านทำข้าวกล่องไปให้นะคะ” หญิงสาวกล่าว แล้วกดอินเตอร์คอมสั่งการไปยังห้องครัวทันที ภูมิพันธ์คร้านปฏิเสธเพราะรู้ว่าไม่มีประโยชน์อะไร ชายหนุ่มยิ้มรับ
ทางเดินทอดยาวนี่ช่างคุ้นตา สองฝั่งเต็มไปด้วยไม้ใหญ่ดูเขียวขจีสดชื่นมากกว่าน่ากลัว เสียงดนตรีไทยบรรเลงเพราะพริ้งมาจากด้านใน ทำให้เท้าน้อย ๆ ก้าวตามไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ไกลพอหนึ่งเหนื่อยจึงปรากฎภาพเรือนไทยหลังใหญ่สวยงามโอ่อ่า ประทับอยู่เบื้องหน้าตรงสุดทางเดิน ลานกว้างด้านล่างคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ต่างเดินกันให้ขวักไขว่เร่งรีบ นั่นเขามีงานอะไรกันหนอ
เสียงเฮฮาดังลั่นจากด้านบนเรือน จึงก้าวขึ้นไปอย่างใคร่รู้ ผู้คนแต่งกายงดงามเครื่องประดับเต็มยศ ข้างในสุดมีคู่บ่าวสาวกำลังค้อมตัวให้พระภิกษุรดน้ำมนต์ บรรดาเพื่อนบ่าวสาวทั้งสองฝ่าย ต่างพากันเบียดเสียดเพื่อให้คนทั้งคู่ยิ่งใกล้ชิดกัน สร้างความรู้สึกสุขใจให้กับเจ้าหล่อนเป็นยิ่งนัก
เสียงดนตรีบรรเลงเพราะพริ้งมาท่ามกลางเสียงพูดคุยและหัวร่อต่อกระซิก เจ้าบ่าวค่อย ๆ บรรจงประคองผู้เป็นเจ้าสาวลุกขึ้น แต่เมื่อทั้งคู่กำลังหันมา โลกตรงหน้ากลับตารปัดหมุนคว้างทันที บัดนี้เรือนไทยหลังงามอยู่เบื้องหลัง
ท่ามกลางสวนสวย พบร่างสูงใหญ่ในชุดแปลกตา ยืนชมดอกไม้ แผ่นหลังกว้างแสนคุ้นเคยแลดูอบอุ่น วินาทีหนึ่งรู้สึกโหยหาจนอยากโผเข้าไปกอด หากแต่ยับยั้งชั่งใจเอาไว้ ค่อย ๆ เดินลัดเลาะเข้าไปหา หวังอยากเห็นหน้าค่าตา เบื้องหลังยังดูดีมีสง่าขนาดนี้ เบื้องหน้านั้นจะหล่อเหลาขนาดไหนกัน
“คุณ คุณคะ” นั่นคือเสียงของตัวเอง ที่เมยาเปล่งออกไป เขากำลังหันกลับมาตามเสียงเรียก หัวใจหญิงสาวเต้นระรัวราวกับรอรักแรก แต่ทันใดนั้นทุกสิ่งรอบตัวกลับเลือนลางเคว้งคว้าง ชายหนุ่มตรงหน้าหันกลับมาแต่เขากลับอยู่ห่างออกไปจนมองไม่เห็น รู้สึกเสียดายและเสียใจเกินทน จนต้องยื่นสองมือออกไปเพื่อไขว่คว้า
“คุณ อย่าเพิ่งไป รอก่อน คุณ!!!!”
เมยาถลันลุกพรวดขึ้นมา ไม่ใช่สวนสวยหลังเรือนไทย แต่เป็นภายในห้องนอนหรูหราสีขาวของเธอเอง
ฝัน!!
ฝันแบบเดิมติดกันเป็นวันที่สาม
ไม่อยากให้เป็นแค่ฝัน เสียดาย เสียใจ คิดถึง เมยารู้สึกเจ็บอยู่ในหัวใจอีกแล้ว เพราะอะไร..... เธออยากให้มันเป็นความจริงอย่างนั้นหรือ หัวใจยังเต้นโครมครามเมื่อนึกถึงแผ่นหลังกว้างของผู้ชายคนนั้น
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นพร้อมกับแม่บ้านกล่าวเบา ๆ “ตื่นหรือยังคะคุณหนูเมย์”
“ตื่นแล้วค่ะ” หญิงสาวตอบรับออกไป แม่บ้านแง้มประตูโผล่หน้าเข้ามา
“คุณท่านให้มาเรียนคุณหนูว่าวันนี้จะพาไปดูฤกษ์แต่งงานนะคะ อีกหนึ่งชั่วโมงคุณภูมิพันธ์กับคุณแม่จะมารับ” เมยาพยักหน้า เธอลืมไปเสียสนิท เมื่อวานเจอกันที่บริษัท พี่หนึ่งก็ไม่ได้คุยเรื่องนี้ อันที่จริงแทบไม่เคยคุยกันเรื่องอะไรเลยด้วยซ้ำ การเจอกันที่บริษัทคือพี่หนึ่งนั่งทำงานและเธอนั่งเล่นโทรศัพท์มือถือ ส่วนเรื่องแต่งงานมีเพียงผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายคุยกันเองทั้งสิ้น
ภูมิพันธ์และคุณวาณี ดัสกร มาตรงเวลาเป๊ะ ไม่ผิดเลยที่เป็นนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง เรื่องเวลาเป็นสิ่งสำคัญเหลือเกิน ทัศนีและเมยาเตรียมตัวรออยู่แล้ว มีการทักทายเพียงเล็กน้อย แล้วทั้งหมดจึงขึ้นรถตู้วีไอพีของทางฝ่ายชาย ออกเดินทางสู่วัดเก่าแก่อันเป็นวัดที่มีเจ้าอาวาสซึ่งเป็นที่นับถือกันมาช้านาน ให้เป็นผู้ดูฤกษ์ยาม
“หนูเมย์ไม่เป็นอะไรใช่ไหมลูก เห็นว่าเกิดอุบัติเหตุ” วาณีกล่าวขึ้นพลางสำรวจตรวจตราว่าที่ลูกสะใภ้ด้วยความเอ็นดู
“แค่ชนท้ายกันนิดหน่อยเองค่ะ” หญิงสาวตอบรับ เหลือบตามองไปยังภูมิพันธ์ซึ่งนั่งอ่านเอกสารอยู่ วันนี้เขาใส่เสื้อโปโลสีฟ้าเข้ารูปกับกางเกงยีนส์สีเข้ม แลดูหล่อเหลาผ่อนคลาย เมยาชอบแบบนี้มากกว่าตอนใส่สูทเคร่งขรึมเป็นทางการเสียอีก
“ตอนนี้ผมให้นายวิทย์คนรถที่บริษัท คอยขับรับส่งอยู่ครับคุณแม่ ไม่อยากให้ขับรถเอง” ชายหนุ่มกล่าวขึ้นมาทั้งที่สายตาไม่ละจากเอกสาร
“น้าล่ะเกรงใจตาหนึ่ง จริง ๆ ให้คนรถที่บ้านน้าคอยรับส่งก็ได้” ทัศนีกล่าวเปรย แต่วาณีรีบห้าม
“แบบนี้ดีแล้วล่ะค่ะคุณทัศ ที่จริงควรให้ตาหนึ่งเป็นคนคอยรับส่งเสียด้วยซ้ำ รายนี้เอาแต่ทำงาน ไม่เคยได้ดั่งใจเลย” มารดาฝ่ายชายบ่น พลางหันไปค้อนใส่
“เมย์อยากขอพี่หนึ่งเรื่องนี้เหมือนกันค่ะ เมย์อยากขับรถเองมากกว่า ไม่ต้องให้คนรถพี่หนึ่งมาคอยรับส่งได้ไหมคะ”
“ไม่ได้!!!“ กล่าวพร้อมกันทั้งสามคน ทำเอาเมยามองคนนั้นที คนนี้ที ก่อนมาจบกับสายตาดุ ๆ ของผู้เป็นคู่หมั้น
เขาไม่กล่าวอะไร แต่ตัดบทด้วยการกลับไปสนใจกับเอกสารตรงหน้า ขณะที่แม่ ๆ ทั้งสอง พากันชักแม่น้ำทั้งห้ามากล่อมเพื่อไม่ให้เธออยากขับรถเอง
แม้รู้ว่าเป็นห่วง แต่มันช่างแสนน่าเบื่อ รู้สึกไม่เป็นอิสระจนหน่วงอยู่ในอก
หลวงตาแก่ขึ้นกว่าเดิมมากโขแต่กระนั้นท่านยังคงดูแข็งแรงอยู่ นัยน์ตาฝ้าฟางจ้องมองมายังเมยาด้วยความเอ็นดูเหมือนเช่นเคย หากแต่คราวนี้กลับแฝงไปด้วยบางอย่างที่ดูน่าหนักใจระคนเป็นห่วง
“ปีนี้ยี่สิบห้าพอดีใช่ไหมเจ้าเมย์” น้ำเสียงแหบพร่าของหลวงตาเอ่ยขึ้นอย่างคุ้นเคยเพราะเป็นวัดประจำไปมาหาสู่กันอยู่บ่อยครั้ง
“ใช่ค่ะหลวงตา” หญิงสาวตอบรับเสียงสดใส
“เผลอแป้ปเดียวจะแต่งงานแล้ว เมื่อวานยังเป็นเด็กห้าขวบอยู่เลย” หลวงตากล่าวด้วยความเอ็นดู พลางหันไปหยิบสายสิญจ์สีขาวมาส่งให้
“ใส่ไว้อย่าแกะออก แล้วเอาพระไปคล้องซะอย่าถอดออกเหมือนกัน” เมื่อส่งสายสิญจ์ให้เสร็จท่านจึงหันไปหยิบพระหย่อนใส่ให้ในมือ ทัศนีและวาณีคิ้วขมวดทันที รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลจากการกระทำของหลวงตา
“ไม่มีอะไรหรอก ไม่มีเรื่องร้าย แค่ให้ติดตัวไว้ ทำอะไรจะได้ราบรื่นไร้อุปสรรค” แกกล่าวขึ้นมาเหมือนรู้ว่าหญิงสูงวัยทั้งสองต้องถาม
“ฤกษ์แต่งน่ะ อีกสามเดือนนะ วันดีมาก พวกโยมจะพร้อมกันหรือเปล่า”
“แหมหลวงพ่อ อิฉันน่ะพร้อมตลอดอยู่แล้วล่ะค่ะ” วาณีกล่าวแล้วหันไปยิ้มกับทัศนี หลวงตาพยักหน้า แล้วหันมาหยิบพระส่งให้กับภูมิพันธ์
“คนเราหากคู่กันแล้ว ยังไงก็ไม่แคล้วกันนะ ติดตัวเอาไว้อย่าให้ห่าง” ภูมิพันธ์รับมาแล้วก้มลงกราบ
“เด็กๆ สนทนากับพระคงจะเบื่อ ออกไปเดินเล่นกันเถอะ ส่วนโยมทัศนีกับโยมวาณี เดี๋ยวอาตมาจะจดวัน เวลาให้นะ” หลวงตากล่าว พลางโบกมือให้ทั้งภูมิพันธ์และเมยาออกไปด้านนอก ทั้งคูจึงคลานถอยออกไป เมื่อด้านในเหลือแต่ผู้เป็นมารดา หลวงตาจึงเอ่ยขึ้น
“กรรมดีของเจ้าเมย์มีเยอะ แต่ตอนนี้เคราะห์หนักมาก เจ้ากรรมนายเวรเขาตามเจอ ของรักของเขา เขาย่อมอยากได้คืน”
“หมายความว่าอย่างไรคะหลวงพ่อ อิชั้นไม่เข้าใจ” ทัศนีกล่าวถามเสียงสั่น ใจหายวูบ เมื่อรู้ว่าลูกสาวมีเคราะห์หนัก
“เขาตามมาเจอแล้ว เลยอยากได้คืน อาตมาจนใจนะโยม คงต้องแล้วแต่บุญกรรมที่ได้ประกอบมา คนเราเวียนว่ายตายเกิดกันหลายภพหลายชาติเหลือเกิน บางชาติกรรมดีส่งผล บางชาติกรรมแห่งบาปก็ตามมาทวง” หลวงตากล่าวเชื่องช้า สายตามองผ่านออกไปยังประตูทางเข้ากุฏิ ทัศนีและวาณีสบตากันด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
“หมายความว่า ยัยเมย์มีเคราะห์หนักถึงชีวิตเลยหรือคะท่าน” ทัศนีรีบถามต่อกระวนกระวาย หลวงตาถอนหายใจ
“มันเป็นเรื่องของกรรมนะโยม อาตมาตอบไม่ได้ หากกรรมดีที่เคยทำมาช่วยส่งผล เจ้าเมย์คงรอดพ้นจากบ่วงกรรมหนนี้ได้”
“แล้วมีทางไหนช่วยได้ไหมคะท่าน” คราวนี้วาณีเป็นคนถามด้วยความร้อนใจไม่ต่างจากทัศนี เมยาไม่ใช่แค่ผู้หญิงที่จะมาเป็นลูกสะใภ้ หากแต่เธอเองก็รักใคร่ผูกพันประดุจลูกสาวแท้ ๆ คนหนึ่ง
“อาตมาให้ไปแล้ว ช่วยได้เท่านี้แหละโยม หากมีเวลาอยากให้เจ้าเมย์สวดมนต์ไหว้พระแผ่บุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรเขาทุกวัน ทำได้จะดีมาก” หลวงตากล่าว พลางมองออกไปยังประตูกุฏิอีกครั้ง “เรื่องของบุญกรรม ห้ามกันไม่ได้ ใครสร้างมาร่วมกัน เค้าก็ได้ใช้ร่วมกัน ไปทวงไปขวางมันเป็นบาปกรรม เมื่อจิตยึดติดจึงเกิดเป็นทุกข์นะโยม” ประโยคหลัง หลวงตากล่าวขึ้นมาลอย ๆ ทำเอาแม่ทั้งสองถึงกับมองหน้ากัน แล้วรีบกล่าวลาหลวงตาออกมาด้วยสีหน้าที่ไม่ดีนัก
แผ่นหลังของร่างสูงใหญ่ในชุดนักรบโบราณสีเลือดหมู เลือนลางอยู่ด้านหน้าประตูกุฏิ ร่างนั้นหยุดนิ่งเพียงชั่วครู่ ก่อนเดินห่างหายออกไปจากสายตาฝ้าฟางของภิกษุชรา
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ