อดีตสู่ปัจจุบัน สัญญารักนิรันดร
-
เขียนโดย แม่หญิงระพี
วันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 11.33 น.
2 ตอน
0 วิจารณ์
4,057 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2559 19.14 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) ตอนที่ 1 บางสิ่งที่หายไป
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเพราะคำมั่นสัญญาผูกพันธนาให้เขาต้องรอคอยวันที่ได้กลับมาพบกัน เมื่อเวลานั้นมาถึงเขาและเธอกลับอยู่คนละภพ หัวใจแห่งรักมั่นจะเอาชนะบทสรุปแห่งกรรมของแต่ละบุคคลได้หรือไม่ โปรดติดตาม......
ตอนที่ 1 บางสิ่งที่หายไป
เพราะสภาพอากาศประหลาด เลยทำให้รู้สึกแปลก หรือเปล่า ???
เมยาจ้องมองเค้าเมฆฝนดำทะมึนที่ตั้งท่าเหมือนว่ากำลังจะมีพายุใหญ่ ผ่านกระจกอาคารสูงสุดหรูหรากลางมหานครใหญ่ เจ้าหล่อนขมวดคิ้ว นึกสงสัยกับตัวเองว่าทำไมช่วงนี้จึงรู้สึกกระวนกระวายใจนัก เหมือนมีบางสิ่งบางอย่างที่เร่งด่วนแต่ได้หลงลืมไป บางทีคลับคล้ายว่าหาของสำคัญไม่เจอ เมื่อคิดใคร่ครวญหนักเข้า....กลับหาคำตอบไม่ได้
จิตใจกังวลร้อนรนจนต้องหยิบโทรศัพท์สมาร์ทโฟนขึ้นมาดูบันทึกนัดหมายอีกครั้ง สิ่งที่เห็นตรงหน้าทำให้หญิงสาวถอนหายใจ ไม่มีอะไรสำคัญในบันทึก นั่นหมายถึงไม่มีอะไรที่ได้หลงลืม แล้วอะไรกันที่ติดอยู่ในใจจนทำให้รู้สึกหงุดหงิดเช่นนี้
อันที่จริง สิ่งที่ทำให้รู้สึกโกรธยิ่งกว่า นั่นคือความว่างเปล่าที่มองเห็นอยู่ตรงหน้า
ชีวิตในแต่ละวันที่ผ่านไปมันช่างว่างไร้ค่าเสียเหลือเกิน !!
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นสามครั้ง เรียกเมยาให้หลุดจากห้วงความคิดหงุดหงิดในหัวใจ หญิงสาวหน้าตาสะสวยในชุดสูทสีเทาเรียบร้อย แง้มประตูเข้ามาพร้อมกับยิ้มกว้าง
“คุณหนึ่งให้แจ้งว่า ถ้าคุณเมย์มีธุระกลับก่อนได้เลยนะคะ เพราะคุณหนึ่งน่าจะติดประชุมจนถึงเย็นค่ะ” เลขาสาวกล่าวรายงานด้วยน้ำเสียงสุภาพ
อย่างเธอจะมีธุระอะไรกับใครเขากันล่ะ “ประชุมจนไม่ทานข้าวเลยเหรอคะ” มั่นใจที่สุดนะว่าไม่ได้ประชด แค่เปรยให้ฟัง ทั้งที่รู้ดีว่าคงมีการสั่งอาหารเข้าไปเสิร์ฟด้านในห้องเรียบร้อย
ผสุชายิ้มจืด ไม่รู้ว่าควรตอบคำถามนี้ไหม เพราะนายไม่ได้สั่งมา ขืนทำเกินกว่าหน้าที่มีหวังคอขาดเป็นแน่
เมยายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู เป็นเวลาเกือบบ่ายสองโมงแล้ว ไม่แปลกใจเลยที่ต้องหิ้วท้องรอเก้อเหมือนเคย
“งั้นเมย์กลับเลยละกันค่ะ” หญิงสาวบอกพร้อมกับลุกขึ้นยืน ก่อนเอื้อมมือมาหยิบกล่องอาหารกลางวันที่เธอมักทำมาให้ชายหนุ่มเป็นประจำ
“คุณหนึ่งบอกว่า ไม่ต้องเอากล่องอาหารกลับค่ะ เดี๋ยวเธอจะออกมาทานตอนประชุมเสร็จ” เลขาสาวรีบบอก แต่เมยาไม่สนใจคำกล่าวนั้น ยังคงรวบรวมทุกสิ่งไว้ในมือ
“พี่หนึ่งไม่ได้ทานหรอกค่ะ ทิ้งไว้ก็เสียเปล่าๆ เสียดายของ” ที่รู้เพราะทุกครั้งก็ให้ทิ้งไว้ แต่พอถามว่าอร่อยหรือเปล่า กับข้าวถูกปากไหม เจ้าตัวกลับอึกอักตอบไม่ตรงคำถาม แสดงว่าไม่เคยได้แตะต้อง แค่ไม่อยากให้เสียน้ำใจ
ผสุชามีสีหน้ากระอักกระอ่วน เมื่อเมยายืนกราน ไม่ยอมง่ายๆ เหมือนทุกครั้ง
“เอาไว้เถอะนะคะคุณเมย์ คุณหนึ่งทานค่ะ สุรับประกันได้” เลขาสาวรีบยับยั้งด้วยน้ำเสียงและแววตาวิงวอนเต็มที่ รับคำสั่งมาหากทำไม่ได้ตามนั้นมีหวังเธอตายแน่ แม้ไม่ค่อยเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายหนุ่มกับคู่หมั้นสาวมากนัก แต่เพราะห่วงหน้าที่การงานตัวเองมากกว่าจึงจำใจถือวิสาสะเข้ามาหยิบถุงอาหารจากมือหญิงสาวด้วยท่าทีสุดแสนนอบน้อม
เมยาไม่ได้ขัดขืนอะไร เธอยินยอมส่งให้แต่โดยดี ก่อนก้าวเดินนำออกจากห้อง ผสุชาลอบถอนหายใจ ก่อนกระวีกระวาดมาเปิดประตูให้พร้อมกับกล่าวอำลาด้วยถ้อยคำเดิม
“คุณหนึ่งฝากบอกว่าขับรถกลับบ้านปลอดภัยนะคะ”
ทุกอย่างเหมือนเดิม ซ้ำๆ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ แม้กระทั่งคำพูดอำลา
ชีวิตประจำวันของหญิงสาวที่ชื่อ “เมยา ภัทรภักดิ์” เธอผู้เกิดมาเป็นลูกสาวคนเล็กในตระกูลเก่าแก่อันแสนมั่งคั่ง มีชีวิตหรูหราสุขสบายบนกองเงินกองทองอันเป็นสมบัติมรดกตกทอดและธุรกิจใหญ่โตที่ผู้เป็นบิดาก่อร่างสร้างขึ้นจนเจริญรุ่งเรือง ซึ่งบัดนี้มีผู้เป็นพี่ชายรับหน้าที่ดูแลบริหาร
คำว่าลูกสาวคนเล็กแห่งตระกูลใหญ่ ทำให้ถูกเลี้ยงดูราวไข่ในหิน ทุกคนรุมเอาอกเอาใจ ทะนุถนอม ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม งานการไม่ให้แตะ ชีวิตถูกกำหนดเอาไว้บนคำว่าเพียบพร้อมและสุขสบาย แม้กระทั่งสามีในอนาคตครอบครัวก็ได้จัดเตรียมเอาไว้ ชายหนุ่มผู้เพียบพร้อมและสมบูรณ์แบบ “ภูมิพันธ์ ดัสกร”
ทายาทธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ผู้เป็นบุตรชายคนโตและคนเดียวของคุณลุง สินศักดิ์ ดัสกร เพื่อนสนิทของบิดาเธอ ตั้งแต่จำความได้โลกของเมยาจึงมีเพียงภูมิพันธิ์ ผู้ชายที่ทุกคนเฝ้าเพียรปลูกฝังให้เธอจงรักและภักดี
ภูมิพันธิ์ หรือพี่หนึ่ง ชายหนุ่มผู้เพียบพร้อม หล่อ รวย อบอุ่น ราวกับหลุดออกมาจากซีรีส์เกาหลี ผู้ทำหน้าที่ของคำว่าคู่หมั้นได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง จนบางทีเมยาแอบคิดว่า โลกของเธอมันสวยงามและสมบูรณ์แบบเกินกว่าจะเป็นโลกแห่งความจริง แต่ถึงแม้ว่าพี่หนึ่งทำหน้าที่ได้ดีเพียงใด เมยากลับสัมผัสได้ว่าเขาไม่ได้ทำมันจากหัวใจเลยสักนิด ทุกอย่างเป็นไปตามกลไกเหมือนตารางการทำงาน แลดูเหมือนใส่ใจแต่กลับไม่มีเวลาส่วนตัวให้
ส่วนตารางของเธอในแต่ละวันน่ะหรือ
เช้า ไปช่วยงานพี่หนึ่งที่ออฟฟิศ นั่นคือสิ่งที่คิด....ส่วนความเป็นจริง นั่งเล่นเน็ต เล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลง หิ้วท้องรอทานข้าวถึงบ่ายเพื่อให้เลขาเขาออกมาบอกว่าติดลูกค้า ติดประชุม ติดนู่น นี่ นั่น และให้เธอกลับก่อนโดยทิ้งกล่องอาหารกลางวันเอาไว้
กลับถึงบ้านช่วงบ่าย เดินเล่นในสวน ทานอาหารว่าง เดินเล่นในสวน ทานอาหารเย็น เดินเล่นในสวน รอโทรศัพท์กู๊ดไนท์จากพี่หนึ่ง แล้วก็นอน
จบ ชีวิตในแต่ละวัน
มีแค่นี้ ว่างเปล่าจนน่าเบื่อ ที่อุตส่าห์ร่ำเรียนจนได้ปริญญาเกียรตินิยมมันเพื่ออะไรกัน
ทำไมไม่ไปช้อปปิ้ง ตอบว่าช้อปจนของเต็มบ้านโละไปไม่รู้กี่ครั้ง ช้อปจนเบื่อหน่ายกับการเดินห้างสรรพสินค้า ช้อปจนเบื่อหน่ายกับการเลือกสินค้าในเฟซบุ๊ค ในอินเตอร์เน็ท ในไลน์ ในอินสตราแกรม
แล้วไม่มีเพื่อนคนอื่นบ้างเลยหรือไง มีสิ แต่เพื่อนทุกคนมีงานทำ เพื่อนทุกคนไม่ได้มีเวลาว่างมากพอที่จะมาหาทุกครั้งที่เรียกหาหรอกนะ ทุกคนล้วนมีภาระหน้าที่ของตัวเองกันทั้งนั้น
เสียงฟ้าร้องครืนดังลั่น ทำให้ความคิดของเมยากลับมาอยู่กับปัจจุบัน ในรถยนต์คันหรูแอร์เย็นฉ่ำ บนท้องถนนเหมือนเดิม.....แต่.....ทำไมไม่คุ้นตา
เมฆดำทะมึนขวางอยู่ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องบน เสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าโครมคราม ลมพายุพัดแรงจนน่ากลัว เมยาหรี่ตามองถนนเบื้องหน้า ไม่ใช่เส้นทางที่ใช้กลับบ้าน เธอขับรถหลงออกมายังสถานที่แห่งนี้ได้อย่างไร
จากสภาพการจราจรแสนแออัดวุ่นวาย กลายเป็นถนนสายยาวเงียบเหงา สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ขึ้นปกคลุม คงสวยงามมากหากเป็นเวลาปกติ ไม่ใช่ตอนที่ลมพายุกำลังกระหน่ำหนักเช่นนี้
เมยารีบแอบรถจอดข้างทาง หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อหาสัญญาณ GPS หรือโทรขอความช่วยเหลือจากใครสักคน แต่ทุกอย่างเงียบสนิท ไร้สัญญาณ โทรศัพท์มือถือใช้การไม่ได้ ด้านหน้าไม่มีรถสวน ด้านหลังไม่มีรถตาม นี่เธอหลุดมาอยู่ส่วนใดในแผนที่ของเมืองกรุงเทพฯ กันนะ
ลมยังคงกรรโชกแรงจนรถสั่นไหว เมยาใจคอไม่ดีเลย หัวใจดวงน้อยเต้นระรัว เพราะไม่เคยต้องเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อนในชีวิต หลงทาง ติดต่อใครไม่ได้ เหมือนตัวคนเดียวในโลก
แม้อยากร้องไห้ออกมาดังๆ แต่เวลานี้เมยากลับบอกตัวเองให้เข้มแข็ง เธอต้องตั้งสติ และคิดว่าควรทำอย่างไรต่อไป ขณะที่กำลังตัดสินใจว่าควรขับรถย้อนกลับไปตามทางเดิม ฝนเม็ดใหญ่ก็เริ่มโปรยปรายลงมาและหนักหน่วงมากขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้แทบมองไม่เห็นสิ่งใดรอบตัวนอกจากเม็ดฝน ซึ่งหากยังจอดรถอยู่อย่างนี้คงไม่ดีแน่ เธอต้องหาสักที่ที่ปลอดภัยมากพอเพื่อจอดรถรอจนกว่าฝนจะหยุด
ไวเท่าความคิด เมยาเคลื่อนรถออกจากตรงจุดนั้นอย่างเชื่องช้า หญิงสาวพยายามมองฝ่าสายฝนออกไปเพื่อหาบ้านคน เธออาจขอความช่วยเหลือจากพวกเขาได้ หลังจากขับรถเลาะมาตามทางเรื่อยๆ ในที่สุดเธอพบชาวบ้านคนหนึ่งยืนกางร่มอยู่จากความหนาแน่นของเม็ดฝนทำให้มองไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชาย ยืนอยู่ริมทางด้านหน้าซึ่งตรงนั้นคล้ายกับมีถนนลูกรังให้เลี้ยวเข้าไปได้
ต้องมีบ้านคนแน่นอน หัวใจเมยาเต้นโครมครามด้วยความดีใจ เธอชะลอรถเข้าไปใกล้คนผู้นั้นทันที เขาเป็นชายร่างสูงใหญ่ยืนก้มหน้าหลบเม็ดฝนภายใต้ร่มคันใหญ่
“คุณคะ ฉันหลงทาง ไม่ทราบว่าพอมีที่ให้หลบฝนบ้างไหมคะ” หญิงสาวหรี่กระจก ตะโกนฝ่าสายฝนและลมพายุออกไป เขายังคงก้มหน้า ไม่ตอบแต่ชี้เข้าไปด้านในถนนลูกรังเล็กๆ เมยาใจชื้นขึ้นมาทันที ริมถนนเช่นนี้อันตรายเกินไปสำหรับการจอดรถหลบฝน หากมีบ้านคนให้พอถามไถ่เส้นทางน่าจะปลอดภัยกว่า ไปตายเอาดาบหน้าเถอะนะ เธอกล่าวขอบคุณแล้วเลี้ยวรถเข้าไปในทางดินลูกรังทันที
สองข้างทางยังคงเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ หากไม่ใช่เพราะฝนตกหนักมันคงดูร่มรื่นสวยงามทีเดียว แต่เวลานี้หญิงสาวไม่มีกะใจชมนกชมไม้ เธอสนใจเพียงบ้านเรือนไทยหลังใหญ่เบื้องหน้าเท่านั้น
ทันทีที่รถจอดเทียบด้านหน้าเรือน ฝนหนาเม็ดและลมกรรโชกแรงกลับซาลง เมื่อหญิงสาวเปิดประตูก้าวลงมา ฝนก็หยุดตกพอดี แม้ดูเหมือนเหตุบังเอิญจนน่าประหลาด แต่ไม่เท่ากับความรู้สึกโหยหาภายในใจที่เกิดขึ้นมาหลายวัน บางสิ่งที่คิดค้นเท่าไหร่กลับคิดไม่ออก เพียงแค่เห็นเรือนหลังนี้ทุกอย่างราวกับถูกยกออกจากอก ความปลอดโปร่งโล่งใจ สุขสบายราวได้กลับมาบ้านซึ่งจากไปแสนนาน
เมยาก้าวเท้าขึ้นบันไดเฉกเช่นคนตกอยู่ในห้วงแห่งภวังค์ ความปิติยินดีพรั่งพรูจนรู้สึกถึงน้ำร้อนๆ ที่กำลังรินไหลออกจากตา เพราะเหตุอันใดจึงดีใจขนาดนี้ ทั้งที่ไม่เคยรู้จักที่นี่มาก่อน ทำไมคุ้นเคยราวกับได้อยู่อาศัยมานานแสนนาน
มือเล็กสั่นเทายามจับราวบันได เพื่อพยุงตัวเองจนขึ้นมาถึงตัวเรือน ประตูไม่ได้ลงกลอนหญิงสาวจึงแง้มออกอย่างเบามือ หัวใจกระโดดโลดเต้นอยู่ในอกวินาทีต่อวินาทีที่ได้สัมผัส
ทันใดเมื่อก้าวเท้าผ่านธรณีบานประตูเข้ามา ทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างฉับพลันกะทันหัน เฉกเช่นโลกหมุนกลับตารปัด เสียงพูดคุยหัวเราะต่อกระซิก จากผู้คนที่กำลังนั่งร้อยมาลัยอยู่บนเรือนเบื้องหน้า บ้างกำลังขัดถูทำความสะอาด หยิบจับนู่นนี่นั่นอย่างขยันขันแข็ง ทุกคนมีใบหน้าเบิกบานสดชื่นแจ่มใส แต่ที่แปลกไปคือทุกคนล้วนแล้วแต่งกายแบบสมัยโบราณ คำพูดคำจาที่ใช้ไม่ใช่ยุคปัจจุบัน
เมยาเหลียวมองรอบกาย หรือกำลังถ่ายทำละครย้อนยุค แต่ทำไมไม่เห็นมีกล้องหรืออุปกรณ์กองถ่ายสักชิ้น ที่สำคัญราวกับว่าไม่มีใครเห็นเธอยืนอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ
โลกหมุนกลับตารปัดอีกครั้ง รอบกายเปลี่ยนไปอีกหน เสียงดนตรีไทยบรรเลงอย่างไพเราะเพราะพริ้ง บนเรือนเต็มไปด้วยผู้คนแต่งกายสวยงาม ราวกับกำลังมีพิธีสำคัญ กลิ่นหอมของดอกไม้โชยมาแตะจมูก ช่างอบอวลชวนให้หลงใหลเคลิบเคลิ้มไปกับบรรยากาศยามนี้ เมยารู้สึกอิ่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูก
มันเรียกว่าความสุขใช่ไหม......
แต่ทว่า....กลับมีเสียงแปลก ๆ ดังแทรกดนตรีไทยอันไพเราะขึ้นมา คล้ายเสียงเคาะกระจกและกำลังตะโกนเรียกใครสักคนอยู่ เมยาเหลียวซ้ายแลขวา หาที่มาของเสียง โลกหมุนคว้างน่าเวียนหัวจนเธอต้องหลับตาเอาไว้ และเมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง กลับมีใบหน้าใครสักคนที่ไม่คุ้นเคยพยายามมองผ่านกระจกรถเข้ามา
สิ่งที่สัมผัสกับแก้มตัวเองคือพวงมาลัยรถยนต์ เมยาเงยหน้าขึ้นอย่างเชื่องช้า การจราจรอันแสนคับคั่งคือภาพที่เห็นเบื้องหน้า มันเกิดอะไรขึ้น ท่ามกลางความไม่เข้าใจ เสียงเคาะกระจกรถดังรัวขึ้นอีก หญิงสาวเห็นใบหน้าคมสันของชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังมองผ่านกระจกเข้ามา เธอยังไม่หายมึนงงขณะกดเลื่อนกระจกรถลงและเห็นว่ามีผู้คนมากมายรายล้อมอยู่
“เป็นอะไรหรือเปล่าคุณ บาดเจ็บตรงไหนไหมครับ” เสียงทุ้มกล่าว ขณะถือวิสาสะเอื้อมมือผ่านกระจกเข้ามาปลดล๊อคประตูรถ เมยาไม่ได้ทักท้วง น้ำเสียงและท่าทีของเขาดูห่วงใยมากกว่าน่ากลัว
“ขยับรถไหวไหมครับ หรือเดี๋ยวผมช่วยขยับให้ไหม” ตำรวจนายหนึ่งเอ่ยถามอย่างสุภาพ ท่ามกลางความน่าเวียนหัวที่ถูกรุมล้อม ประตูรถถูกเปิดออก ก่อนมีมือใหญ่ยื่นเข้ามาช่วยพยุงเธอลุกออกไปยังริมถนนใต้ร่มไม้
เมยามองรถตัวเองถูกเลื่อนเข้ามาจอดริมทาง ความสับสนอลหม่านกำลังคลี่คลาย บางคนยื่นยาดม ยาลม ยาหม่องเข้ามาให้ ส่วนร่างสูงที่ยืนพยุงเธออยู่กำลังใช้กระดาษหรืออะไรสักอย่างโบกพัดอยู่ตรงหน้า ลมเย็น ๆ ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น และสามารถกลับมาลำดับเหตุการณ์
เธอยังอยู่บนสภาพจราจรอันวุ่นวายของถนนในกรุงเทพมหานคร ไม่มีลมพายุ ไม่มีฝน มีเพียงเค้าเมฆดำทะมึนของฤดูฝนอยู่เบื้องบนเท่านั้น
“เกิดอะไรขึ้นคะ” หญิงสาวหันไปถามชายหนุ่มด้านข้าง เขามีสีหน้าประหลาดใจ พลางจับตัวเธอหมุนซ้ายหมุนขวาเพื่อสำรวจตรวจตรา
“คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่า เอาดี ๆ นะ เห็นท่าทางคุณแล้วผมใจไม่ดีเลย” เขาแสดงความเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด
เมยาส่ายหน้า “ไม่ค่ะ ฉันปกติดี....แค่อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นมากกว่า” เมื่อยืนใกล้กัน ทำให้รู้ว่าผู้ชายคนนี้สูงเสียจนต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง ความสูงเขาไล่เลี่ยกับพี่หนึ่งของเธอได้เลยทีเดียว(ย้ำนะว่าพี่หนึ่งของเธอ)
เขามองอยู่ก่อนแล้ว คิ้วเข้มขมวด ก่อนชี้ให้มองไปยังรถที่จอดอยู่ริมถนน คันหน้าเป็นของเธอ ส่วนคันหลังเป็นของเขา แต่หญิงสาวยังคงไม่เข้าใจ กระทั่งสังเกตเห็นรอยยุบตรงท้ายรถตัวเองที่ค่อนข้างลึก
“ผมขับรถตามมา อยู่ ๆ คุณก็เบรคกระทันหันทั้งที่เป็นไฟเขียว นี่ขนาดผมเบรคทันนะ ถ้าเบรคไม่ทันนี่ไม่อยากคิดเลย พอเดินไปดูเห็นคุณฟุบอยู่กับพวงมาลัย เรียกยังไงก็ไม่ตื่น ผมเลยตกใจนึกว่าคุณเป็นอะไรหรือเปล่า ว่าแต่....คุณไม่เป็นอะไรแน่นะครับ”
เมยาส่ายหน้า เธอเบรครถเมื่อไหร่ แล้วรถชนตอนไหน ไม่เห็นรู้เรื่อง!!
“ผมเรียกประกันมาแล้ว เดี๋ยวเคลียร์เสร็จ คุณไปโรงพยาบาลกับผมก่อนละกัน” เขากล่าวขณะหันไปยกมือเรียกเจ้าหน้าที่ประกันรถยนต์ที่เพิ่งมาถึง
“ไม่เป็นไรค่ะคุณ ฉันไม่เป็นอะไรจริง ๆ “ เขายกมือขึ้นห้ามไม่ให้เธอปฏิเสธ ก่อนก้าวเข้าไปคุยกับเจ้าหน้าที่เพื่อเคลียร์เรื่องต่างๆ
ถึงแม้อากาศอึมครึม ท้องฟ้าทะมึนไปด้วยก้อนเมฆสีดำ แต่อากาศกลับไม่ได้เย็นฉ่ำอย่างที่ควรจะเป็น มันร้อนอบอ้าวเหมือนวันปกติทั่วไปที่มีแสงแดด ทำให้ผิวแก้มของเมยาถึงกับแดงเรื่อขึ้นมา ผิวอันบอบบางไม่เคยต้องเจอกับอากาศร้อนและมลพิษเป็นเวลานาน ทำให้รู้สึกแสบคันและแดงเรื่อขึ้นตามลำดับ เมื่อชายหนุ่มจัดการธุระเสร็จหันกลับมาเห็น ทำให้คิ้วเข้มต้องขมวดอีกครั้ง ผู้หญิงตัวเล็กบอบบางผู้มีผิวขาวผ่องน่ามอง บัดนี้กำลังยืนแดงไปทั้งตัว
“คุณเป็นอะไร” เขาถามด้วยความตกใจ
“ไม่เป็นค่ะ” เธอรีบปฏิเสธ ก่อนยิ้มเจื่อนเมื่อชายหนุ่มชี้ที่แขนซึ่งบัดนี้มีตุ่มคันสีแดงขึ้นอยู่เต็มไปหมด “แค่แสบแล้วก็คัน” บอกแล้วหัวเราะ พลางมองดูแขนตัวเอง ชายหนุ่มเผลอหัวเราะ ไม่รู้เพราะท่าทางอันน่าเอ็นดูของเจ้าหล่อนหรือรอยยิ้มเจื่อนนั่นกันแน่
“เราคงต้องใช้รถผมไปโรงพยาบาลนะ คุณไม่รังเกียจใช่ไหม” ชายหนุ่มถามเพราะรถของเจ้าหล่อนยี่ห้อดังหรูหราเสียจนเขาไม่กล้าคิดว่าเธอจะกล้านั่งรถเขาหรือเปล่า
“ฉันไม่เป็นไรจริงๆค่ะ” เมยารีบบอก“แต่ฉันไม่ได้รังเกียจคุณนะ”
“แต่ผมไม่สบายใจ” เขาบ่นออกมา ด้วยใบหน้าวิตกกังวลเกินกว่าเหตุทำให้เมยาเผลอหัวเราะ
โลกสดใสขึ้นอีกเป็นกองสำหรับคนที่มองเจ้าหล่อนอยู่
“ฉันไม่เป็นอะไรเลยค่ะ แต่ถ้าคุณไม่สบายใจจริง ๆ เดี๋ยวเราไปโรงพยาบาลกัน นั่งรถคุณไปก็ได้ เดี๋ยวฉันให้ที่บ้านมาเอารถกลับ รอสักครู่นะคะ” เมยาบอกแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทร คล้ายมีเสียงโวยวายจากปลายสาย ก่อนหญิงสาวเบ้หน้าเล็กน้อย รีบบอกสถานที่แล้วกดวางสายทันที
“ไปกันเถอะค่ะ” เธอกล่าว พลางเดินไปยังรถของชายหนุ่ม แล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งด้านข้างคนขับ รถยี่ห้อท้องตลาด ไม่หรูหราราคาแพงเฉกเช่นรถเธอ แต่เมื่อได้นั่งกลับรู้สึกสบายไม่เห็นต่างกันสักนิด เจ้าของรถก้าวเข้ามานั่งประจำที่ เมื่อเห็นหญิงสาวกำลังมองสำรวจภายในรถอันรกไปด้วยข้าวของอุปกรณ์ทำงาน จึงรีบกล่าวแก้เขิน
“รกไปหน่อยนะครับ รถหนุ่มโสดก็แบบนี้แหละ” ทำไมต้องบอกสถานะ เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน เมยายิ้ม เอื้อมมือไปกดเปิดเพลงเหมือนสนใจใคร่รู้มากกว่าการถือวิสาสะ
“เมยาค่ะ เรียกเมย์ก็ได้” หญิงสาวหันมาบอก ใบหน้าสวยใสหายแดงจากความร้อนอบอ้าว เหลือเพียงแก้มสีอมชมพูระเรื่อ แลดูสวยน่ารักจนคนมองถึงกับพูดอะไรไม่ออก
“คุณล่ะคะ ฉันยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย” เมยาถามต่อ เพื่อทำลายความเงียบจากฝ่ายตรงข้าม
“ครับผม” ชายหนุ่มขานรับ เมยาหัวเราะ
“ชื่อครับผมหรือคะ แปลกดี”
เขาหัวเราะแก้เขิน พร้อมกับยกมือเกาท้ายทอย
“ต้นน้ำครับ ผมชื่อต้นน้ำ เรียกต้นเฉยๆ ก็ได้ แต่พวกเพื่อนชอบเรียกเฮียต้น” ชายหนุ่มรีบ
หยุดพูด รู้สึกหงุดหงิดตัวเองที่พล่ามเรื่องไร้สาระออกมา หญิงสาวผู้นั่งด้านข้างยิ้มกว้าง
“งั้นเมย์เรียกเฮียต้นนะคะ เราจะได้เป็นเพื่อนกัน” หัวใจของคนกุมพวงมาลัยรถกระตุก กระเด้ง กระดอน ไม่เคยมีใครเรียกชื่อแล้วฟังรื่นหูเท่านี้มาก่อนในชีวิตที่ผ่านมาเกือบสามสิบฝน
ชายหนุ่มเคลื่อนรถออกจากบริเวณนั้น ด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ กับหญิงสาวแปลกหน้า ผู้ซึ่งได้พบเจอกันด้วยเหตุการณ์แปลกๆ
จังหวะเพลงที่ดังขึ้นทำให้รู้สึกผ่อนคลาย อาการกระวนกระวายราวกับหาของสำคัญไม่เจอได้หายไปแล้ว มีแต่ความอบอุ่นเข้ามาแทนที่ในหัวใจ รู้สึกสุขสบายเหมือนได้กลับบ้าน ไม่ใช่บ้านหลังใหญ่ที่เธอเคยอยู่ แต่กลับเป็นเรือนไทยหลังนั้น มันมีอยู่จริง หรือเธอเพียงแค่หลับฝันไป หญิงสาวเอนหลังพิงเบาะหลับตาลง รู้สึกไว้ใจผู้ชายข้างๆ อย่างแปลกประหลาด “ต้นน้ำ” เขาชื่อว่า “ต้นน้ำ”
ตอนที่ 1 บางสิ่งที่หายไป
เพราะสภาพอากาศประหลาด เลยทำให้รู้สึกแปลก หรือเปล่า ???
เมยาจ้องมองเค้าเมฆฝนดำทะมึนที่ตั้งท่าเหมือนว่ากำลังจะมีพายุใหญ่ ผ่านกระจกอาคารสูงสุดหรูหรากลางมหานครใหญ่ เจ้าหล่อนขมวดคิ้ว นึกสงสัยกับตัวเองว่าทำไมช่วงนี้จึงรู้สึกกระวนกระวายใจนัก เหมือนมีบางสิ่งบางอย่างที่เร่งด่วนแต่ได้หลงลืมไป บางทีคลับคล้ายว่าหาของสำคัญไม่เจอ เมื่อคิดใคร่ครวญหนักเข้า....กลับหาคำตอบไม่ได้
จิตใจกังวลร้อนรนจนต้องหยิบโทรศัพท์สมาร์ทโฟนขึ้นมาดูบันทึกนัดหมายอีกครั้ง สิ่งที่เห็นตรงหน้าทำให้หญิงสาวถอนหายใจ ไม่มีอะไรสำคัญในบันทึก นั่นหมายถึงไม่มีอะไรที่ได้หลงลืม แล้วอะไรกันที่ติดอยู่ในใจจนทำให้รู้สึกหงุดหงิดเช่นนี้
อันที่จริง สิ่งที่ทำให้รู้สึกโกรธยิ่งกว่า นั่นคือความว่างเปล่าที่มองเห็นอยู่ตรงหน้า
ชีวิตในแต่ละวันที่ผ่านไปมันช่างว่างไร้ค่าเสียเหลือเกิน !!
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นสามครั้ง เรียกเมยาให้หลุดจากห้วงความคิดหงุดหงิดในหัวใจ หญิงสาวหน้าตาสะสวยในชุดสูทสีเทาเรียบร้อย แง้มประตูเข้ามาพร้อมกับยิ้มกว้าง
“คุณหนึ่งให้แจ้งว่า ถ้าคุณเมย์มีธุระกลับก่อนได้เลยนะคะ เพราะคุณหนึ่งน่าจะติดประชุมจนถึงเย็นค่ะ” เลขาสาวกล่าวรายงานด้วยน้ำเสียงสุภาพ
อย่างเธอจะมีธุระอะไรกับใครเขากันล่ะ “ประชุมจนไม่ทานข้าวเลยเหรอคะ” มั่นใจที่สุดนะว่าไม่ได้ประชด แค่เปรยให้ฟัง ทั้งที่รู้ดีว่าคงมีการสั่งอาหารเข้าไปเสิร์ฟด้านในห้องเรียบร้อย
ผสุชายิ้มจืด ไม่รู้ว่าควรตอบคำถามนี้ไหม เพราะนายไม่ได้สั่งมา ขืนทำเกินกว่าหน้าที่มีหวังคอขาดเป็นแน่
เมยายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู เป็นเวลาเกือบบ่ายสองโมงแล้ว ไม่แปลกใจเลยที่ต้องหิ้วท้องรอเก้อเหมือนเคย
“งั้นเมย์กลับเลยละกันค่ะ” หญิงสาวบอกพร้อมกับลุกขึ้นยืน ก่อนเอื้อมมือมาหยิบกล่องอาหารกลางวันที่เธอมักทำมาให้ชายหนุ่มเป็นประจำ
“คุณหนึ่งบอกว่า ไม่ต้องเอากล่องอาหารกลับค่ะ เดี๋ยวเธอจะออกมาทานตอนประชุมเสร็จ” เลขาสาวรีบบอก แต่เมยาไม่สนใจคำกล่าวนั้น ยังคงรวบรวมทุกสิ่งไว้ในมือ
“พี่หนึ่งไม่ได้ทานหรอกค่ะ ทิ้งไว้ก็เสียเปล่าๆ เสียดายของ” ที่รู้เพราะทุกครั้งก็ให้ทิ้งไว้ แต่พอถามว่าอร่อยหรือเปล่า กับข้าวถูกปากไหม เจ้าตัวกลับอึกอักตอบไม่ตรงคำถาม แสดงว่าไม่เคยได้แตะต้อง แค่ไม่อยากให้เสียน้ำใจ
ผสุชามีสีหน้ากระอักกระอ่วน เมื่อเมยายืนกราน ไม่ยอมง่ายๆ เหมือนทุกครั้ง
“เอาไว้เถอะนะคะคุณเมย์ คุณหนึ่งทานค่ะ สุรับประกันได้” เลขาสาวรีบยับยั้งด้วยน้ำเสียงและแววตาวิงวอนเต็มที่ รับคำสั่งมาหากทำไม่ได้ตามนั้นมีหวังเธอตายแน่ แม้ไม่ค่อยเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายหนุ่มกับคู่หมั้นสาวมากนัก แต่เพราะห่วงหน้าที่การงานตัวเองมากกว่าจึงจำใจถือวิสาสะเข้ามาหยิบถุงอาหารจากมือหญิงสาวด้วยท่าทีสุดแสนนอบน้อม
เมยาไม่ได้ขัดขืนอะไร เธอยินยอมส่งให้แต่โดยดี ก่อนก้าวเดินนำออกจากห้อง ผสุชาลอบถอนหายใจ ก่อนกระวีกระวาดมาเปิดประตูให้พร้อมกับกล่าวอำลาด้วยถ้อยคำเดิม
“คุณหนึ่งฝากบอกว่าขับรถกลับบ้านปลอดภัยนะคะ”
ทุกอย่างเหมือนเดิม ซ้ำๆ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ แม้กระทั่งคำพูดอำลา
ชีวิตประจำวันของหญิงสาวที่ชื่อ “เมยา ภัทรภักดิ์” เธอผู้เกิดมาเป็นลูกสาวคนเล็กในตระกูลเก่าแก่อันแสนมั่งคั่ง มีชีวิตหรูหราสุขสบายบนกองเงินกองทองอันเป็นสมบัติมรดกตกทอดและธุรกิจใหญ่โตที่ผู้เป็นบิดาก่อร่างสร้างขึ้นจนเจริญรุ่งเรือง ซึ่งบัดนี้มีผู้เป็นพี่ชายรับหน้าที่ดูแลบริหาร
คำว่าลูกสาวคนเล็กแห่งตระกูลใหญ่ ทำให้ถูกเลี้ยงดูราวไข่ในหิน ทุกคนรุมเอาอกเอาใจ ทะนุถนอม ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม งานการไม่ให้แตะ ชีวิตถูกกำหนดเอาไว้บนคำว่าเพียบพร้อมและสุขสบาย แม้กระทั่งสามีในอนาคตครอบครัวก็ได้จัดเตรียมเอาไว้ ชายหนุ่มผู้เพียบพร้อมและสมบูรณ์แบบ “ภูมิพันธ์ ดัสกร”
ทายาทธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ผู้เป็นบุตรชายคนโตและคนเดียวของคุณลุง สินศักดิ์ ดัสกร เพื่อนสนิทของบิดาเธอ ตั้งแต่จำความได้โลกของเมยาจึงมีเพียงภูมิพันธิ์ ผู้ชายที่ทุกคนเฝ้าเพียรปลูกฝังให้เธอจงรักและภักดี
ภูมิพันธิ์ หรือพี่หนึ่ง ชายหนุ่มผู้เพียบพร้อม หล่อ รวย อบอุ่น ราวกับหลุดออกมาจากซีรีส์เกาหลี ผู้ทำหน้าที่ของคำว่าคู่หมั้นได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง จนบางทีเมยาแอบคิดว่า โลกของเธอมันสวยงามและสมบูรณ์แบบเกินกว่าจะเป็นโลกแห่งความจริง แต่ถึงแม้ว่าพี่หนึ่งทำหน้าที่ได้ดีเพียงใด เมยากลับสัมผัสได้ว่าเขาไม่ได้ทำมันจากหัวใจเลยสักนิด ทุกอย่างเป็นไปตามกลไกเหมือนตารางการทำงาน แลดูเหมือนใส่ใจแต่กลับไม่มีเวลาส่วนตัวให้
ส่วนตารางของเธอในแต่ละวันน่ะหรือ
เช้า ไปช่วยงานพี่หนึ่งที่ออฟฟิศ นั่นคือสิ่งที่คิด....ส่วนความเป็นจริง นั่งเล่นเน็ต เล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลง หิ้วท้องรอทานข้าวถึงบ่ายเพื่อให้เลขาเขาออกมาบอกว่าติดลูกค้า ติดประชุม ติดนู่น นี่ นั่น และให้เธอกลับก่อนโดยทิ้งกล่องอาหารกลางวันเอาไว้
กลับถึงบ้านช่วงบ่าย เดินเล่นในสวน ทานอาหารว่าง เดินเล่นในสวน ทานอาหารเย็น เดินเล่นในสวน รอโทรศัพท์กู๊ดไนท์จากพี่หนึ่ง แล้วก็นอน
จบ ชีวิตในแต่ละวัน
มีแค่นี้ ว่างเปล่าจนน่าเบื่อ ที่อุตส่าห์ร่ำเรียนจนได้ปริญญาเกียรตินิยมมันเพื่ออะไรกัน
ทำไมไม่ไปช้อปปิ้ง ตอบว่าช้อปจนของเต็มบ้านโละไปไม่รู้กี่ครั้ง ช้อปจนเบื่อหน่ายกับการเดินห้างสรรพสินค้า ช้อปจนเบื่อหน่ายกับการเลือกสินค้าในเฟซบุ๊ค ในอินเตอร์เน็ท ในไลน์ ในอินสตราแกรม
แล้วไม่มีเพื่อนคนอื่นบ้างเลยหรือไง มีสิ แต่เพื่อนทุกคนมีงานทำ เพื่อนทุกคนไม่ได้มีเวลาว่างมากพอที่จะมาหาทุกครั้งที่เรียกหาหรอกนะ ทุกคนล้วนมีภาระหน้าที่ของตัวเองกันทั้งนั้น
เสียงฟ้าร้องครืนดังลั่น ทำให้ความคิดของเมยากลับมาอยู่กับปัจจุบัน ในรถยนต์คันหรูแอร์เย็นฉ่ำ บนท้องถนนเหมือนเดิม.....แต่.....ทำไมไม่คุ้นตา
เมฆดำทะมึนขวางอยู่ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องบน เสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าโครมคราม ลมพายุพัดแรงจนน่ากลัว เมยาหรี่ตามองถนนเบื้องหน้า ไม่ใช่เส้นทางที่ใช้กลับบ้าน เธอขับรถหลงออกมายังสถานที่แห่งนี้ได้อย่างไร
จากสภาพการจราจรแสนแออัดวุ่นวาย กลายเป็นถนนสายยาวเงียบเหงา สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ขึ้นปกคลุม คงสวยงามมากหากเป็นเวลาปกติ ไม่ใช่ตอนที่ลมพายุกำลังกระหน่ำหนักเช่นนี้
เมยารีบแอบรถจอดข้างทาง หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อหาสัญญาณ GPS หรือโทรขอความช่วยเหลือจากใครสักคน แต่ทุกอย่างเงียบสนิท ไร้สัญญาณ โทรศัพท์มือถือใช้การไม่ได้ ด้านหน้าไม่มีรถสวน ด้านหลังไม่มีรถตาม นี่เธอหลุดมาอยู่ส่วนใดในแผนที่ของเมืองกรุงเทพฯ กันนะ
ลมยังคงกรรโชกแรงจนรถสั่นไหว เมยาใจคอไม่ดีเลย หัวใจดวงน้อยเต้นระรัว เพราะไม่เคยต้องเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อนในชีวิต หลงทาง ติดต่อใครไม่ได้ เหมือนตัวคนเดียวในโลก
แม้อยากร้องไห้ออกมาดังๆ แต่เวลานี้เมยากลับบอกตัวเองให้เข้มแข็ง เธอต้องตั้งสติ และคิดว่าควรทำอย่างไรต่อไป ขณะที่กำลังตัดสินใจว่าควรขับรถย้อนกลับไปตามทางเดิม ฝนเม็ดใหญ่ก็เริ่มโปรยปรายลงมาและหนักหน่วงมากขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้แทบมองไม่เห็นสิ่งใดรอบตัวนอกจากเม็ดฝน ซึ่งหากยังจอดรถอยู่อย่างนี้คงไม่ดีแน่ เธอต้องหาสักที่ที่ปลอดภัยมากพอเพื่อจอดรถรอจนกว่าฝนจะหยุด
ไวเท่าความคิด เมยาเคลื่อนรถออกจากตรงจุดนั้นอย่างเชื่องช้า หญิงสาวพยายามมองฝ่าสายฝนออกไปเพื่อหาบ้านคน เธออาจขอความช่วยเหลือจากพวกเขาได้ หลังจากขับรถเลาะมาตามทางเรื่อยๆ ในที่สุดเธอพบชาวบ้านคนหนึ่งยืนกางร่มอยู่จากความหนาแน่นของเม็ดฝนทำให้มองไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชาย ยืนอยู่ริมทางด้านหน้าซึ่งตรงนั้นคล้ายกับมีถนนลูกรังให้เลี้ยวเข้าไปได้
ต้องมีบ้านคนแน่นอน หัวใจเมยาเต้นโครมครามด้วยความดีใจ เธอชะลอรถเข้าไปใกล้คนผู้นั้นทันที เขาเป็นชายร่างสูงใหญ่ยืนก้มหน้าหลบเม็ดฝนภายใต้ร่มคันใหญ่
“คุณคะ ฉันหลงทาง ไม่ทราบว่าพอมีที่ให้หลบฝนบ้างไหมคะ” หญิงสาวหรี่กระจก ตะโกนฝ่าสายฝนและลมพายุออกไป เขายังคงก้มหน้า ไม่ตอบแต่ชี้เข้าไปด้านในถนนลูกรังเล็กๆ เมยาใจชื้นขึ้นมาทันที ริมถนนเช่นนี้อันตรายเกินไปสำหรับการจอดรถหลบฝน หากมีบ้านคนให้พอถามไถ่เส้นทางน่าจะปลอดภัยกว่า ไปตายเอาดาบหน้าเถอะนะ เธอกล่าวขอบคุณแล้วเลี้ยวรถเข้าไปในทางดินลูกรังทันที
สองข้างทางยังคงเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ หากไม่ใช่เพราะฝนตกหนักมันคงดูร่มรื่นสวยงามทีเดียว แต่เวลานี้หญิงสาวไม่มีกะใจชมนกชมไม้ เธอสนใจเพียงบ้านเรือนไทยหลังใหญ่เบื้องหน้าเท่านั้น
ทันทีที่รถจอดเทียบด้านหน้าเรือน ฝนหนาเม็ดและลมกรรโชกแรงกลับซาลง เมื่อหญิงสาวเปิดประตูก้าวลงมา ฝนก็หยุดตกพอดี แม้ดูเหมือนเหตุบังเอิญจนน่าประหลาด แต่ไม่เท่ากับความรู้สึกโหยหาภายในใจที่เกิดขึ้นมาหลายวัน บางสิ่งที่คิดค้นเท่าไหร่กลับคิดไม่ออก เพียงแค่เห็นเรือนหลังนี้ทุกอย่างราวกับถูกยกออกจากอก ความปลอดโปร่งโล่งใจ สุขสบายราวได้กลับมาบ้านซึ่งจากไปแสนนาน
เมยาก้าวเท้าขึ้นบันไดเฉกเช่นคนตกอยู่ในห้วงแห่งภวังค์ ความปิติยินดีพรั่งพรูจนรู้สึกถึงน้ำร้อนๆ ที่กำลังรินไหลออกจากตา เพราะเหตุอันใดจึงดีใจขนาดนี้ ทั้งที่ไม่เคยรู้จักที่นี่มาก่อน ทำไมคุ้นเคยราวกับได้อยู่อาศัยมานานแสนนาน
มือเล็กสั่นเทายามจับราวบันได เพื่อพยุงตัวเองจนขึ้นมาถึงตัวเรือน ประตูไม่ได้ลงกลอนหญิงสาวจึงแง้มออกอย่างเบามือ หัวใจกระโดดโลดเต้นอยู่ในอกวินาทีต่อวินาทีที่ได้สัมผัส
ทันใดเมื่อก้าวเท้าผ่านธรณีบานประตูเข้ามา ทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างฉับพลันกะทันหัน เฉกเช่นโลกหมุนกลับตารปัด เสียงพูดคุยหัวเราะต่อกระซิก จากผู้คนที่กำลังนั่งร้อยมาลัยอยู่บนเรือนเบื้องหน้า บ้างกำลังขัดถูทำความสะอาด หยิบจับนู่นนี่นั่นอย่างขยันขันแข็ง ทุกคนมีใบหน้าเบิกบานสดชื่นแจ่มใส แต่ที่แปลกไปคือทุกคนล้วนแล้วแต่งกายแบบสมัยโบราณ คำพูดคำจาที่ใช้ไม่ใช่ยุคปัจจุบัน
เมยาเหลียวมองรอบกาย หรือกำลังถ่ายทำละครย้อนยุค แต่ทำไมไม่เห็นมีกล้องหรืออุปกรณ์กองถ่ายสักชิ้น ที่สำคัญราวกับว่าไม่มีใครเห็นเธอยืนอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ
โลกหมุนกลับตารปัดอีกครั้ง รอบกายเปลี่ยนไปอีกหน เสียงดนตรีไทยบรรเลงอย่างไพเราะเพราะพริ้ง บนเรือนเต็มไปด้วยผู้คนแต่งกายสวยงาม ราวกับกำลังมีพิธีสำคัญ กลิ่นหอมของดอกไม้โชยมาแตะจมูก ช่างอบอวลชวนให้หลงใหลเคลิบเคลิ้มไปกับบรรยากาศยามนี้ เมยารู้สึกอิ่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูก
มันเรียกว่าความสุขใช่ไหม......
แต่ทว่า....กลับมีเสียงแปลก ๆ ดังแทรกดนตรีไทยอันไพเราะขึ้นมา คล้ายเสียงเคาะกระจกและกำลังตะโกนเรียกใครสักคนอยู่ เมยาเหลียวซ้ายแลขวา หาที่มาของเสียง โลกหมุนคว้างน่าเวียนหัวจนเธอต้องหลับตาเอาไว้ และเมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง กลับมีใบหน้าใครสักคนที่ไม่คุ้นเคยพยายามมองผ่านกระจกรถเข้ามา
สิ่งที่สัมผัสกับแก้มตัวเองคือพวงมาลัยรถยนต์ เมยาเงยหน้าขึ้นอย่างเชื่องช้า การจราจรอันแสนคับคั่งคือภาพที่เห็นเบื้องหน้า มันเกิดอะไรขึ้น ท่ามกลางความไม่เข้าใจ เสียงเคาะกระจกรถดังรัวขึ้นอีก หญิงสาวเห็นใบหน้าคมสันของชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังมองผ่านกระจกเข้ามา เธอยังไม่หายมึนงงขณะกดเลื่อนกระจกรถลงและเห็นว่ามีผู้คนมากมายรายล้อมอยู่
“เป็นอะไรหรือเปล่าคุณ บาดเจ็บตรงไหนไหมครับ” เสียงทุ้มกล่าว ขณะถือวิสาสะเอื้อมมือผ่านกระจกเข้ามาปลดล๊อคประตูรถ เมยาไม่ได้ทักท้วง น้ำเสียงและท่าทีของเขาดูห่วงใยมากกว่าน่ากลัว
“ขยับรถไหวไหมครับ หรือเดี๋ยวผมช่วยขยับให้ไหม” ตำรวจนายหนึ่งเอ่ยถามอย่างสุภาพ ท่ามกลางความน่าเวียนหัวที่ถูกรุมล้อม ประตูรถถูกเปิดออก ก่อนมีมือใหญ่ยื่นเข้ามาช่วยพยุงเธอลุกออกไปยังริมถนนใต้ร่มไม้
เมยามองรถตัวเองถูกเลื่อนเข้ามาจอดริมทาง ความสับสนอลหม่านกำลังคลี่คลาย บางคนยื่นยาดม ยาลม ยาหม่องเข้ามาให้ ส่วนร่างสูงที่ยืนพยุงเธออยู่กำลังใช้กระดาษหรืออะไรสักอย่างโบกพัดอยู่ตรงหน้า ลมเย็น ๆ ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น และสามารถกลับมาลำดับเหตุการณ์
เธอยังอยู่บนสภาพจราจรอันวุ่นวายของถนนในกรุงเทพมหานคร ไม่มีลมพายุ ไม่มีฝน มีเพียงเค้าเมฆดำทะมึนของฤดูฝนอยู่เบื้องบนเท่านั้น
“เกิดอะไรขึ้นคะ” หญิงสาวหันไปถามชายหนุ่มด้านข้าง เขามีสีหน้าประหลาดใจ พลางจับตัวเธอหมุนซ้ายหมุนขวาเพื่อสำรวจตรวจตรา
“คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่า เอาดี ๆ นะ เห็นท่าทางคุณแล้วผมใจไม่ดีเลย” เขาแสดงความเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด
เมยาส่ายหน้า “ไม่ค่ะ ฉันปกติดี....แค่อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นมากกว่า” เมื่อยืนใกล้กัน ทำให้รู้ว่าผู้ชายคนนี้สูงเสียจนต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง ความสูงเขาไล่เลี่ยกับพี่หนึ่งของเธอได้เลยทีเดียว(ย้ำนะว่าพี่หนึ่งของเธอ)
เขามองอยู่ก่อนแล้ว คิ้วเข้มขมวด ก่อนชี้ให้มองไปยังรถที่จอดอยู่ริมถนน คันหน้าเป็นของเธอ ส่วนคันหลังเป็นของเขา แต่หญิงสาวยังคงไม่เข้าใจ กระทั่งสังเกตเห็นรอยยุบตรงท้ายรถตัวเองที่ค่อนข้างลึก
“ผมขับรถตามมา อยู่ ๆ คุณก็เบรคกระทันหันทั้งที่เป็นไฟเขียว นี่ขนาดผมเบรคทันนะ ถ้าเบรคไม่ทันนี่ไม่อยากคิดเลย พอเดินไปดูเห็นคุณฟุบอยู่กับพวงมาลัย เรียกยังไงก็ไม่ตื่น ผมเลยตกใจนึกว่าคุณเป็นอะไรหรือเปล่า ว่าแต่....คุณไม่เป็นอะไรแน่นะครับ”
เมยาส่ายหน้า เธอเบรครถเมื่อไหร่ แล้วรถชนตอนไหน ไม่เห็นรู้เรื่อง!!
“ผมเรียกประกันมาแล้ว เดี๋ยวเคลียร์เสร็จ คุณไปโรงพยาบาลกับผมก่อนละกัน” เขากล่าวขณะหันไปยกมือเรียกเจ้าหน้าที่ประกันรถยนต์ที่เพิ่งมาถึง
“ไม่เป็นไรค่ะคุณ ฉันไม่เป็นอะไรจริง ๆ “ เขายกมือขึ้นห้ามไม่ให้เธอปฏิเสธ ก่อนก้าวเข้าไปคุยกับเจ้าหน้าที่เพื่อเคลียร์เรื่องต่างๆ
ถึงแม้อากาศอึมครึม ท้องฟ้าทะมึนไปด้วยก้อนเมฆสีดำ แต่อากาศกลับไม่ได้เย็นฉ่ำอย่างที่ควรจะเป็น มันร้อนอบอ้าวเหมือนวันปกติทั่วไปที่มีแสงแดด ทำให้ผิวแก้มของเมยาถึงกับแดงเรื่อขึ้นมา ผิวอันบอบบางไม่เคยต้องเจอกับอากาศร้อนและมลพิษเป็นเวลานาน ทำให้รู้สึกแสบคันและแดงเรื่อขึ้นตามลำดับ เมื่อชายหนุ่มจัดการธุระเสร็จหันกลับมาเห็น ทำให้คิ้วเข้มต้องขมวดอีกครั้ง ผู้หญิงตัวเล็กบอบบางผู้มีผิวขาวผ่องน่ามอง บัดนี้กำลังยืนแดงไปทั้งตัว
“คุณเป็นอะไร” เขาถามด้วยความตกใจ
“ไม่เป็นค่ะ” เธอรีบปฏิเสธ ก่อนยิ้มเจื่อนเมื่อชายหนุ่มชี้ที่แขนซึ่งบัดนี้มีตุ่มคันสีแดงขึ้นอยู่เต็มไปหมด “แค่แสบแล้วก็คัน” บอกแล้วหัวเราะ พลางมองดูแขนตัวเอง ชายหนุ่มเผลอหัวเราะ ไม่รู้เพราะท่าทางอันน่าเอ็นดูของเจ้าหล่อนหรือรอยยิ้มเจื่อนนั่นกันแน่
“เราคงต้องใช้รถผมไปโรงพยาบาลนะ คุณไม่รังเกียจใช่ไหม” ชายหนุ่มถามเพราะรถของเจ้าหล่อนยี่ห้อดังหรูหราเสียจนเขาไม่กล้าคิดว่าเธอจะกล้านั่งรถเขาหรือเปล่า
“ฉันไม่เป็นไรจริงๆค่ะ” เมยารีบบอก“แต่ฉันไม่ได้รังเกียจคุณนะ”
“แต่ผมไม่สบายใจ” เขาบ่นออกมา ด้วยใบหน้าวิตกกังวลเกินกว่าเหตุทำให้เมยาเผลอหัวเราะ
โลกสดใสขึ้นอีกเป็นกองสำหรับคนที่มองเจ้าหล่อนอยู่
“ฉันไม่เป็นอะไรเลยค่ะ แต่ถ้าคุณไม่สบายใจจริง ๆ เดี๋ยวเราไปโรงพยาบาลกัน นั่งรถคุณไปก็ได้ เดี๋ยวฉันให้ที่บ้านมาเอารถกลับ รอสักครู่นะคะ” เมยาบอกแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทร คล้ายมีเสียงโวยวายจากปลายสาย ก่อนหญิงสาวเบ้หน้าเล็กน้อย รีบบอกสถานที่แล้วกดวางสายทันที
“ไปกันเถอะค่ะ” เธอกล่าว พลางเดินไปยังรถของชายหนุ่ม แล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งด้านข้างคนขับ รถยี่ห้อท้องตลาด ไม่หรูหราราคาแพงเฉกเช่นรถเธอ แต่เมื่อได้นั่งกลับรู้สึกสบายไม่เห็นต่างกันสักนิด เจ้าของรถก้าวเข้ามานั่งประจำที่ เมื่อเห็นหญิงสาวกำลังมองสำรวจภายในรถอันรกไปด้วยข้าวของอุปกรณ์ทำงาน จึงรีบกล่าวแก้เขิน
“รกไปหน่อยนะครับ รถหนุ่มโสดก็แบบนี้แหละ” ทำไมต้องบอกสถานะ เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน เมยายิ้ม เอื้อมมือไปกดเปิดเพลงเหมือนสนใจใคร่รู้มากกว่าการถือวิสาสะ
“เมยาค่ะ เรียกเมย์ก็ได้” หญิงสาวหันมาบอก ใบหน้าสวยใสหายแดงจากความร้อนอบอ้าว เหลือเพียงแก้มสีอมชมพูระเรื่อ แลดูสวยน่ารักจนคนมองถึงกับพูดอะไรไม่ออก
“คุณล่ะคะ ฉันยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย” เมยาถามต่อ เพื่อทำลายความเงียบจากฝ่ายตรงข้าม
“ครับผม” ชายหนุ่มขานรับ เมยาหัวเราะ
“ชื่อครับผมหรือคะ แปลกดี”
เขาหัวเราะแก้เขิน พร้อมกับยกมือเกาท้ายทอย
“ต้นน้ำครับ ผมชื่อต้นน้ำ เรียกต้นเฉยๆ ก็ได้ แต่พวกเพื่อนชอบเรียกเฮียต้น” ชายหนุ่มรีบ
หยุดพูด รู้สึกหงุดหงิดตัวเองที่พล่ามเรื่องไร้สาระออกมา หญิงสาวผู้นั่งด้านข้างยิ้มกว้าง
“งั้นเมย์เรียกเฮียต้นนะคะ เราจะได้เป็นเพื่อนกัน” หัวใจของคนกุมพวงมาลัยรถกระตุก กระเด้ง กระดอน ไม่เคยมีใครเรียกชื่อแล้วฟังรื่นหูเท่านี้มาก่อนในชีวิตที่ผ่านมาเกือบสามสิบฝน
ชายหนุ่มเคลื่อนรถออกจากบริเวณนั้น ด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ กับหญิงสาวแปลกหน้า ผู้ซึ่งได้พบเจอกันด้วยเหตุการณ์แปลกๆ
จังหวะเพลงที่ดังขึ้นทำให้รู้สึกผ่อนคลาย อาการกระวนกระวายราวกับหาของสำคัญไม่เจอได้หายไปแล้ว มีแต่ความอบอุ่นเข้ามาแทนที่ในหัวใจ รู้สึกสุขสบายเหมือนได้กลับบ้าน ไม่ใช่บ้านหลังใหญ่ที่เธอเคยอยู่ แต่กลับเป็นเรือนไทยหลังนั้น มันมีอยู่จริง หรือเธอเพียงแค่หลับฝันไป หญิงสาวเอนหลังพิงเบาะหลับตาลง รู้สึกไว้ใจผู้ชายข้างๆ อย่างแปลกประหลาด “ต้นน้ำ” เขาชื่อว่า “ต้นน้ำ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ