The Witches II : Dark Heart
เขียนโดย Kyoso12
วันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 20.58 น.
แก้ไขเมื่อ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 18.24 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) คำมั่นสัญญาที่หายไป
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความความโศกเศร้านำมาซึ่งความเจ็บปวดภายในจิตใจ และความเจ็บปวดนั้นนำมาซึ่งความมืดมิด ความมืดมิดเริ่มกัดกินหัวใจของฉันเข้าไปอีกครั้งหลังจากที่ฉันสูญเสียลูกสาวคนเล็กทั้งสองไปความมืดกัดกินจิตใจฉันจนแทบขาดและในเวลาต่อมาฉันก็ต้องสูญเสียคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของฉัน ฉันสูญเสียสามีสุดที่รักของฉันไป
คนรักผู้ซึ่งเปิดแสงสว่างให้กับฉันคอยอยู่กับฉันไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ไม่ว่าจะช่วงเวลาที่สุขที่สุดหรือว่าทุกข์ที่สุดเค้าก็จะอยู่เคียงข้างแต่วันนี้กลับไม่มีอีกต่อไปแล้ว ราชินีหม่าย....อีกไม่นานฉันก็คงจะต้องชินกับคำพูดเหล่านี้สินะ ฉันพรรณาถึงชีวิตอันน่าสมเพชของฉันหลังจากที่ฉันได้ทราบข่าวเรื่องการจากไปของอาเธอร์จากเซอร์เบดิเวียร์ ในตอนนั้นหัวใจของฉันเหมือนกับกระจกที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ
บาดแผลที่ฉันมีอยู่แล้วมันยิ่งทำให้แผลนั้นเจ็บยิ่งกว่าเดิม ฉันอยากตายเสียตั้งแต่ตอนนั้นแต่ฉันก็ทำไม่ได้ฉันจำเป็นที่จะต้องมีชีวิตอยู่ต่อในฐานะของราชินีแห่งคาเมรอท และในหน้าที่ของแม่คนหนึ่งที่ต้องปกป้องลูก เอสเธอร์เป็นที่พึ่งสุดท้ายในหัวใจของฉันดูดูไปแล้วเอสเธอร์เธอดูเข้มแข็งกว่าฉันมากมาย
และในตอนนี้เรากำลังจัดพิธีศพของอาเธอร์ขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เพื่อสมเกียรติกษัตริย์ผู้เป็นตำนาน ชาวบ้านทุกคน ทหารทุกคน ที่อยู่ในอาณาจักรแห่งนี้ต่างพากันเศร้าโศกกับการจากไปของอาเธอร์ ฉันสั่งให้พวกทหารนำร่างของอาเธอร์ไปฝังที่สุสานเพื่อว่าสักวันหนึ่งถ้าฉันตายไป
ฉันจะไปอยู่ตรงนั้น.......... ......ข้างๆเค้า
“องค์ราชินีทหารของศัตรูใกล้จะบุกมาถึงที่นี่แล้ว...” เซอร์เคย์กล่าวขึ้น เซอร์เคย์เป็นหนึ่งในอัศวินโต๊ะกลมของอาเธอร์และยังเป็นคู่หูของเซอร์เบดิเวียร์อีกด้วย เซอร์เคย์มีหน้าที่คอยรับคำสั่งจากฉันโดยตรง
“ข้าจัดการเอง...เจ้าจงเรียกทหารทุกคนให้มารวมตัวกันที่หน้าปราสาท..ข้าอยากจะคุยกับพวกเค้า”
“น้อมรับบัญชาองค์ราชินี” เซอร์เคย์โค้งตัวให้กับฉันและเดินจากไปฉันเดินกลับเข้าไปในห้องนอนของฉันและร้องไห้ออกมา ไม่ ฉันยังทำใจไม่ได้ ตั้งแต่ฉันเกิดมามีอะไรเหลือบ้างในชีวิตของฉันตั้งแต่พ่อแม่ของฉัน คุณยายมาธาร์ มอร์แกน ลอว์ร่า จนกระทั่งมาถึงอาเธอร์ ฉันแทบจะไม่เหลือใครอีกแล้วและถ้าฉันต้องสูญเสียเอสเธอร์หรือว่ามอร์เดร็ดไปฉันคงจะไม่อาจจะมีชีวิตอยู่ต่อได้ ฉันร้องไห้จนร่างกายของฉันรู้สึกอ่อนแรงและชาไปหมด
“ท่านแม่!!!” เอสเธอร์เปิดประตูเข้ามาในห้องนอนของฉันก่อนที่เธอจะวิ่งเข้ามาสวมกอดฉันเอาไว้และร้องไห้ออกมา ฉันจึงค่อยๆมือทั้งสองข้างโอบกอดเอสเธอร์เอาไว้ให้แนบกับตัวฉัน
“สภาพของแม่ดูไม่ได้เลยใช่มั้ย” ฉันถามลูกสาวของฉัน
“ไม่เลยท่านแม่...ข้าเองก็ไม่ต่างกับท่านแม่เลยสักนิด...ลูกคิดถึงท่านพ่อ...”
“แม่เองก็คิดถึงพ่อเหมือนกัน....แต่เอาเป็นว่าทุกอย่างต่อจากนี้แม่จะเป็นคนจัดการเอง”
“ท่านแม่....”
“แม่จะเป็นคนจบเรื่องนี้เอง...”
(เวลาต่อมา ณ ปราสาทแห่งคาเมรอท)
ณ เวลานี้เหล่าทหารทุกคนได้มารวมตัวกันยังหน้าปราสาทบางคนก็มีสีหน้าเข้มขรึม บางคนก็แสดงความกลัวออกมาอย่างชัดเจน บางนี่อาจจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ฉันจะต้องพูดกับพวกเค้าให้ได้ ฉันเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเค้าทุกคนก่อนที่จะใช้สายตาเพ่งมองไปทีละคนอีกครั้ง
“เหล่าทหารผู้จงรักภักดีแห่งคาเมรอททั้งหลาย วันนี้ข้าจะมาพูดคุยกับพวกเจ้าจงอย่าได้เกรงกลัวไปเลย”
“ท่านแม่...” เอสเธอร์เดินมาหาฉันที่ข้างๆฉันจึงหันไปยิ้มให้กับเธอก่อนที่จะหันหน้ากลับไปยังเหล่าทหารที่ยืนฟังกันอยู่
“วันนี้ข้าจะมาพูดในฐานะของราชินีของพวกเจ้าและในฐานะคนเป็นแม่ ข้าอยากจจะถามพวกเจ้าที่อยู่ตรงนี้ว่าพวกคนใดที่ไม่ต้องการจะรบในศึกครั้งนี้จงแสดงตัวออกมาให้ข้ารับรู้และกลับไปหาครอบครัวที่เจ้ารัก...กลับไปปกป้องและคุ้มครองคนที่เจ้ารักใครจะหาว่าเจ้าขี้ขลาดยังไงก็ช่างในเมื่อเจ้าเลือกที่จะปกป้องสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของ...เจ้า......”
“องค์ราชินีแล้วพวกชาวบ้านละ พวกเค้าจะเป็นยังไงกันบ้าง” ทหารคนหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าของฉันกล่าวขึ้น
“ข้าจะให้พวกเค้าอพยพไปทางภูเขาที่อยู่ทิศตะวันตก ที่นั่นข้าจะสร้างโล่ปราการป้องกันพวกเค้าเอาไว้...เพราะทุกคนเปรียบเสมือนลูกๆของข้า เปรียบเสมือนครอบครัวเดียวกัน ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันแต่เราก็มีความผูกพันธ์กันเป็นหนึ่งเดียวกันและไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามฉันจะปกป้องลูกๆทุกคนของฉันจนถึงที่สุด..”
เมื่อสิ้นสุดประโยคเหล่าทหารทุกคนต่างพากันทุกเข่าลงกับพื้น ทำเอาฉันที่ยืนอยู่ตกตะลึงไปชั่วครู่ฉันกวาดสายตาไปยังทหารทุกคนที่กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าและตระหนักให้ทุกสิ่งที่คิดไว้ให้ดี ไม่มีเสียงคัดค้านใดๆมีเพียงความเงียบสงบ..เงียบเสียจนได้ยินเสียงลมที่กำลังพัดผ่านไปมา
ในตอนนี้ถ้าอาเธอร์เค้ายังอยู่เค้าจะสั่งทหารเหล่านี้ว่ายังไงกันแน่นะ ทันใดนั้นฉันก็เห็นลีอาร์ที่กำลังยืนมองฉันอยู่ทางด้านหลังสุดของกองทัพทหาร เธอเดินตรงมาหาฉันพร้อมกับดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ เมื่อเธอเดินมาถึงตรงหน้าของฉันเธอจึงคุกเข่าลงต่อหน้าฉัน
“ลีอาร์....”
“ข้าจะร่วมรบในสงครามครั้งนี้ด้วย...เพราะท่านเองก็เปรียบเสมือนแม่ของข้า”
“งั้นก็ตามที่เจ้าปราถนา...”
“น้อมรับบัญชาองค์ราชินี”
“เอาเป็นว่าต่อจากนี้ไป....ข้าจะให้เซอร์เบดิเวียร์และเซอร์เคย์ในการจัดการกองกำลังทั้งหมด ทั้งกลุ่มทหารที่ต้องรับข้าศึกอยู่ทางด้านหน้า ด้านในหรือแม้ทหารคุ้มครองชาวบ้าน ในตอนนี้ข้าก็ขอให้ความเข้มแข็งจงอยู่กับพวกเจ้าทุกคน....และสุดท้ายนี้ข้าจะร่วมรบกับพวกเจ้าด้วย”
เมื่อกล่าวเสร็จฉันจึงรีบเดินหันหลังกลับเข้าไปในปราสาทท่ามกลางเสียงโห่ร้องของเหล่าทหารที่ดังกึกก้องไปทั่วเมื่อประตูวังปิดลงฉันจึงค่อยๆถอนหายใจออกมา เฮ้อ ฉันรู้สึกกดดันมากจนทำอะไรไม่ถูกเลยไม่รู้ว่าถ้าอาเธอร์ยังอยู่เค้าจะพูดอะไรหรือวางแผนการรบแบบไหนฉันไม่รู้เลย เอาเป็นว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นฉันก็คงต้องไม่ถอยและอีกอย่างที่ฉันคิดก็คือฉันจะให้เอสเธอร์หนีไป...........
“เฮ้อ ทำหน้าแบบนั้นรู้ท้อรึไง” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาทักฉันทำให้ฉันต้องหลุดจากภวังค์ ฉันจึงเงยหน้าของฉันขึ้น ใช่ คนคนนั้นก็คือเฮดิส ไม่ได้เจอเค้ามานานแค่ไหนแล้วนะ ก็คงตั้งแต่ฉันย้ายเข้ามอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้เจอเค้าอีกเลย
“ใช่ คุณพูดถูกฉันกำลังท้อแบบสุดๆอีกทั้งฉันยังรู้สึกว่าฉันคงจะแบกมันเอาไว้ไม่ไหว”
“เฮ้อ เมลิซ่าแม่มดสาวผู้กำราบบาซิลิสหายไปไหนซะแล้วละ ข้าเห็นเจ้าในสภาพนี้รู้สมเพชมากยิ่งนัก” เฮดิสเดินเข้ามาใกล้ฉัน
“ก็ใช่....ฉันมันน่าสมเพช...ฉันอ่อนแอลงตั้งแต่มีอาเธอร์”
“เจ้าไม่ได้อ่อนแอลงเจ้าแค่...อ่อนโยนเมลิซ่า...”
“ขอบคุณ..ว่าแต่มาที่นี่ทำไม”
“ข้าก็แค่เห็นว่าเจ้าหนูมอร์เดร็ดถูกเวทย์มนต์ควบคุทจิตใจ..ก็เลยอยากจะมาช่วยเจ้า”
“ไม่เป็นไรหรอกเฮดิส ฉันน่ะถึงจะตายไปก็ไม่เสียใจหรอกอย่างน้อยก็ขอแค่ให้เอสเธอร์รอดปลอดภัยก็พอ...เพราะหัวใจของฉันมันไม่เหลืออะไรแล้วละอีกอย่างคุณช่วยพาเอสเธอร์หนีไปได้มั้ย”
“....”
“ฉันไม่อยากให้เอสเธอร์ต้องมาเจอกับสงครามแบบนี้...”
“ไม่เอาน่าเมลิซ่า..”
“ฉันขอร้อง..เฮดิส...พาเอสเธอร์หนีออกไปจากที่นี่..และช่วยปกป้องเธอด้วย”
“ตามใจเจ้าละกันแต่ว่าเจ้าคิดดีแน่แล้วรึ”
“ฉันคิดดีแล้วเฮดิส อย่างน้อยสิ่งที่ฉันทำก็ทำในฐานะคนเป็นแม่....ฝากด้วยนะเฮดิส” เมื่อฉันพูดจบฉันจึงหันไปเห็นเอสเธอร์ที่กำลังมองตรงมาที่ฉันกับเฮดิส ใบหน้าของเธอแดงก่ำและน้ำตาที่กำลังคลออยู่ที่ดวงตาของเธอ ฉันพยายามจะยกมือขึ้นแต่เธอก็รีบวิ่งหนีไปทางบรรไดเพื่อจะขึ้นไปยังห้องนอนของเธอ เธอคงจะได้ยินหมดแล้วสินะ
“เฮ้อ ข้าเตือนเจ้าแล้วนะ”
“ช่างเถอะ..ยังไงซะเธอก็ยังรู้ดีกว่าที่เธอไม่รู้อะไรเลย...”
“เฮ้อ เอาเป็นว่าข้าจะทำตามที่เจ้าขอละกันในระหว่างนี้เจ้าจงไปเตรียมตัวสักเถอะ เพราะศัตรูของเจ้ามีพลังที่เหนือกว่าเจ้าในตอนนี้มาก”
“ฉันเข้าใจ....” เมื่อฉันพูดจบเฮดิสจึงหายตัวไป เฮ้อ หายตัวไปไวแบบนี้อีกแล้วแต่เอาเป็นว่าตอนนี้ฉันต้องรีบเตรียมตัวรับมือก่อนที่จะช้าเกินไป อยากให้อาเธอร์เห็นอาณาจักรของเค้าในตอนนี้จังเลย
“องค์ราชินี...ได้เวลาแล้ว” เซอร์เคย์เดินเข้ามาด้านในของปราสาทเพื่อจะแจ้งข่าวแก่ฉัน
“อื้ม..ตกลง” ฉันพยายามใช้มือทั้งสองข้างเช็ดใบหน้าของฉันที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาออกจากนั้นจึงหันไปหาเซอร์เคย์และเดินตามออกไป
“อีกนานแค่ไหนกว่ากองทัพศัตรูจะบุกมาถึงที่นี่”
“ประมาณรุ่งเช้าได้พะยะค่ะ”
“ดีงั้นรีบเตรียมคนของเราให้พร้อม เราจะไปเผชิญหน้ากับพวกศัตรูแล้วจัดทหารไปคอยคุ้มกันพวกชาวบ้านรึยัง”
“เรียบร้อยแล้วพะยะค่ะ ทุกอย่างข้าพระองค์ได้จัดเตรียมเอาไว้หมดแล้ว” เซอร์เคย์ชี้ไปยังม้าสีขาวที่ได้เตรียมเอาไว้ให้ฉัน
“ขอบคุณมาก” เมื่อฉันพูดจบฉันจึงร่ายคาถาเพื่อเปลี่ยนจากชุดทางการให้กลายเป็นชุดเตรียมพร้อมรบกระโปรงยาวถูกเปลี่ยนให้เป็นกางเกงและส่วนบนที่ดูลุ่มล่ามเปลี่ยนเป็นชุดที่ดูคล่องแคล่ว
“เฮ้อ ข้าพระองค์ไม่ได้เห็นองค์ราชินีใช้เวทย์มนต์ใกล้ๆแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วเนี่ย”
“ก็ไม่รู้สินะ แต่เอาเป็นว่าเมื่อตะวันขึ้นเราจะเปิดศึกทันที” ฉันกล่าวขึ้นในขณะที่กำลังขึ้นไปบนหลังม้าสีขาวที่เซอร์เคย์ได้เตรียมเอาไว้
“น้อมรับบัญชาองค์ราชินี แล้วพระองค์จะทำยังไงกับเจ้าชายมอร์เดร็ดละ”
“พาเค้ากลับบ้าน เพราะว่าสิ่งที่เค้าทำลงไปมันไม่ใช่ตัวเค้าแต่เป็นเพราะคำสาบ ดังนั้นเมื่อเราพาเค้ากลับมาได้ข้าจะจัดการกับเค้าเอง” ฉันกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ส่วนเซอร์เคย์เองเมื่อได้ยินดังนั้นจึงโค้งให้กับฉันก่อนที่จะเดินไปสั่งให้เหล่าทหารของเค้าเตรียมตัวเคลื่อนทัพ เฮ้อ ไม่ว่าผลของสงครามครั้งนี้จะออกมายังไง ฉันก็จะพามอร์เดร็ดกลับมาให้ได้
(เวลาต่อมา ณ ชายป่าทางด้านหน้าของอาณาจักร)
ในตอนนี้ทั้งกองทัพของฉันและฝั่งศัตรูได้เคลื่อนทัพมาใกล้กัน ณ เวลานี้ทั้งป่าเต็มไปด้วยความมืดผสมกับแสงไฟจากคบเพลิงซึ่งมันทำให้เรามองเห็นกองทัพของศัตรูอย่างเห็นได้ชัด และในตอนนั้นเองทำให้ฉันได้เห็นใบหน้าของแม่ทัพของศัตรู
ใช่ เธอคือเจเนวีฟและผู้ที่ยืนอยู่ข้างๆม้าของเธอนั้นก็คือมอร์เดร็ดเส้นผมของเค้าถูกฉาบไปด้วยสีดำและดวงตาสีฟ้าที่แสนสดใสกลายเป็นสีแดงราวกับเลือดสด เฮ้อ ฉันไม่อยากจะให้เอสเธอร์มาเห็นมอร์เดร็ดในสภาพนี้เลย ป่านนี้เฮดิสคงจะพาเอสเธอร์หนีไปถึงไหนแล้วนะ
“ไม่ได้เจอกันนานนะเมลิซ่า” เจเนวีฟกล่าวขึ้นเจเนวีฟเธออยู่ในเกราะสีดำสนิทเฉกเช่นเดียวสีของกองทัพของเธอ
“เช่นกันเจเนวีฟ ลมอะไรพัดมาถึงที่นี่ได้ละ”
“ก็พอดีว่าข้ามีบัญชีที่ต้องสะสางนิดหน่อย อย่างเช่น..เอ่อ..ฆ่าเจ้าซะและก็ยึดอาณาจักรของเจ้า”
“เฮ้อ เจเนวีฟถึงกองทัพของเจ้าจะดูน่ากลัวเพียงใด แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ข้ารู้สึกหวั่นเกรงเลยสักนิด”
“ตั้งแต่ได้เป็นราชินีแลจะปากดีขึ้นเยอะเลยนี่ ให้ข้าสั่งสอนเจ้าสักหน่อยเผื่อว่าปากของเจ้าจะได้สงบลงบ้าง” เจเนวีฟชักดาบของนางออกมา
“เผอิญว่าข้าเห็นเจ้าชวนคุยก็เลยคุยด้วย เพราะข้าเองก็ไม่อยากจะเห็นเจ้าพูดคนเดียวเหมือนคนบ้าหวังว่าเจ้าคงจะเข้าใจนะ”
“หึ เชิญปากดีไปเถอะเมลิซ่าเดียวอีกสักพักเจ้าก็ต้องตายด้วยฝีมือของลูกชายเจ้าเหมือนกับอาเธอร์ที่ตายไป รู้สึกเจ็บบ้างมั้ยละห๊ะ”
“ข้าเจ็บจนมันชาไปหมดแล้วละเจเนวีฟ เจ็บจนแทบจะไม่อยากมีชีวิตอยู่บนโลกนี้อีกต่อไปแล้ว แต่ในส่วนลึกของข้าก็ยังมีสิ่งเล็กๆที่ซ่อนเอาไว้อยู่ซึ่งนั่นก็คือทุกคนในอาณาจักรของข้า ไม่ว่ายังไงข้าก็จะอยู่เคียงข้างพวกเค้า”
“พูดได้ดีนี่เมลิซ่า แต่ข้าว่าเวลาของเราใกล้จะเริ่ม” เมื่อเจเนวีฟพูดจบฉันจึงหันไปทางทิศตะวันออกที่เผยให้เห็นแสงของดวงอาทิตย์เล็กน้อย ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีเข้าสู่ยามเช้าของวัน ฉันชักดาบของฉันออกมาและหันไปทางเซอร์เคย์และเซอร์เบดิเวียร์ที่อยู่ข้างๆฉัน พร้อมกับพยักหน้าเป็นเชิงให้สัญญาณในการเตรียมพร้อมเปิดศึก และดูเหมือนว่าเจเนวีฟเองก็เตรียมพร้อมที่จะบุกแล้วเหมือนกัน
(ทางด้านของเฮดิสและเอสเธอร์)
ในขณะอีกด้านหนึ่งในเวลาเดียวกันนั้นเฮดิสได้นำตัวเอสเธอร์หนีออกมารวมกลุ่มกับพวกชาวบ้านที่กำลังอพยพไปยังที่ปลอดภัยที่เมลิซ่าได้เตรียมเอาไว้ ซึ่งในระหว่างทางนั้นเป็นอะไรที่ยุ่งยากมากเพราะ....
“ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้นะ!!!” เอสเธอร์พยายามดิ้นไปมาขณะที่เฮดิสกำลังแบกเธอเอาไว้บนไหลขวาของเขา
“เป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กหัดนิ่งๆหน่อยจะได้มั้ย!!!” เฮดิสบ่นขึ้น
“ไม่!!! จนกว่าท่านจะปล่อยข้าให้กลับไปหาท่านแม่ของข้า!!!”
“ไม่ได้!”
“ทำไมจะไม่ได้ละ!! ข้าเป็นเจ้าหญิงนะ ข้าขอสั่งท่านให้ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้!!”
“ไม่ ข้าไม่มีความจำเป็นจะปล่อยเจ้าลง อีกอย่างเมลิซ่าคงไม่ชอบแน่ๆถ้าข้าผิดคำสัญญาที่นางให้เอาไว้ และเจ้าเองก็เป็นเจ้าหญิงคนสุดท้ายของเพนดรากอนข้าคงปล่อยให้เจ้าไปเสี่ยงแบบนั้นไม่ได้..”
“ช่างมันประไร!!! เพราะข้าเองก็แทบจะไม่เหลืออะไรอยู่แล้ว!! อย่างน้อยก็ขอให้ข้าได้ร่วมรบกับท่านแม่เป็นครั้งสุดท้ายก็ยังดี!! ข้าไม่อยากจะหนีแบบนี้!!”
“เฮ้อ ที่เจ้ากล้าพูดแบบนี้แสดงว่าเจ้ายังรู้จักแม่ของเจ้าน้อยเกินไป” เฮดิสถอนหายใจเล็กน้อยกอ่นที่จะพูด
“หมายความว่ายังไง” เอสเธอร์หยุดดิ้นและหันมาทางเฮดิสด้วยความสงสัย
“เอาเป็นว่าถ้าเจ้ายอมก่อนสงบแล้วข้าจะเล่าให้ฟัง” เฮดิสยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย
เมื่อเฮดิสเห็นว่าเอสเธอร์ยจอมสงบเค้าจึงค่อยๆวางตัวเธอลงและนั่งลงกับพื้น ส่วนเอสเธอร์ก็นั่งลงกับพื้นข้างๆเฮดิสเพื่อจะฟังเรื่องราวที่เฮดิสกำลังจะเล่าให้ฟัง เพราะเธอเองก็รู้สึกแปลกใจเหมือนกันเพราะที่ผ่านมาเธออยู่กับแม่ของเธอมาโดยตลอดแต่ทำไม คนที่พึ่งเจอกันได้ไม่นานกลับรู้เรื่องราวของแม่ของเธอได้
“ก่อนที่ข้าจะเกิดมีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นบ้าง”
“ครั้งแม่เจ้ายังเด็กอายุก็ประมาณเจ้านี่แหละ เธอได้สูญเสียครอบครัวไปทุกๆอย่างที่เธอรักในตอนนั้นกลายเป็นเถ้าถ่านไปหมด แม่ของเจ้าต้องหนีตายเข้าไปในป่าลึกจนกระทั่งได้เจอกับแม่มดแก่ๆคนหนึ่ง นางได้ช่วยชีวิตแม่ของเจ้าเอาไว้จนกระทั่งหลายปีผ่านไปพี่ชายข้าพบนางและหมายจะขืนใจนางแต่ก็ไม่สำเร็จแม่มดแก่คนนั้นได้ช่วยแม่ของเจ้าไว้อีกครั้ง จนกระทั่งไม่นานแม่มดแก่คนนั้นก็สิ้นใจ”
“นางเป็นอะไรตายงั้นหรอ”
“อายุขัยน่ะ อายุขัยของนางหมดแล้วแม่ของเจ้าจึงจำเป็นที่จะรับช่วงต่อและสุดท้ายแม่ของเจ้าก็ได้พบกับพ่อของเจ้า”
“พ่อของข้างั้นหรอ ว่าแต่ตอนนั้นท่านพ่อของข้าอายุเท่าไหร่กันละ”
“5 ขวบ”
“ห๊ะ!!!! เรื่องจริงงั้นหรอ!! ข้านึกว่าแม่ข้าจะล้อข้าเล่นซะอีก” เมื่อเฮดิสได้ยินคำพูดของเอสเธอร์ทำให้เค้าเผลอหัวเราะออกมาเล็กน้อย ส่วนเอสเธอร์ก็เหมือนจะสนใจในเรื่องราวของแม่เธอมากขึ้นเธอจึงขยับตัวเข้าไปใกล้ๆเฮดิสและกระพริบตาถี่เป็นเชิงว่าให้เฮดิสเล่าต่อ
“เรื่องจริงสิ และจนกระทั่งวันหนึ่งที่ข้าได้ช่วยชีวิตแม่ของเจ้าเอาไว้”
“ยังไงบ้างละ”
“ตอนนั้นความผิดของข้าเองแหละ ที่วางแผนให้พี่ชายของข้าลักพาตัวนางมาจนทำให้นางต้องถูกพี่ชายของข้าทำร้ายเธออย่างแสนสาหัส...” เฮดิสเริ่มแสดงสีหน้าตรึงเครียดออกมาและใช้มือข้างหนึ่งกุมไปที่หน้าผากของเค้า
“...”
“อันที่จริงข้าเองก็อธิบายอะไรไม่ถูกหรอก จริงๆมันมีเรื่องราวเกิดขึ้นอีกมากมายที่ทำให้แม่ของเจ้าต้องเจ็บปวด แต่นางก็ผ่านมันมาได้ตลอด”
“เพราะอะไรละ”
“ความรักไง...ความรักที่แม่เจ้ามีต่อพ่อของเจ้า”
“แบบนั้นเองหรอ”
“แต่ว่าสิ่งนั้นมันได้พังทลายลงแล้ว ก็เหลือแค่ชาวบ้านทุกคนและเจ้าเป็นสิ่งสุดท้ายที่ทำให้แม่ของเจ้ายังมีความหวัง แม่ของเจ้าอยากให้เจ้ารอดเผื่อว่าถ้าแม่ของเจ้าเป็นอะไรไปก็ยังมีเจ้าที่จะรับช่วงต่อ และอยู่คุ้มครองดูแลพวกชาวบ้านที่ยังเหลือทุกคน เจ้าลองดูชาวบ้านที่อยู่ตรงนั้นสิ”
“พวกเค้าต้องการข้าอย่างงั้นหรอ....”
“ถูกต้อง”
“ข้าเข้าใจ...แต่ว่าข้าสงสัยตลอดเวลาที่ผ่านมาท่านคอยดูแม่ของข้ามาตลอดเลยงั้นหรอเพราะอะไรกัน และก็มีครั้งหนึ่งที่แม่ข้าเคยเล่าให้ฟังท่านจะโผล่มาได้เวลาที่สำคัญตลอด ตั้งแต่ตอนที่สู้กับบาซิลิสท่านก็มาช่วย...ทำไมกัน...”
“ข้าบอกเจ้าไม่ได้”
“ทำไมละ!! จนถึงตอนนี้แล้วท่านช่วยบอกข้าได้มั้ย!!”
“เพราะว่าข้ารักแม่ของเจ้า....”
“....”
“ตัวข้านั้นคือความมืด ส่วนพ่อของเจ้าคือแสงสว่างดังนั้นข้าควรจะให้นางได้รับในสิ่งดีดี ข้าแค่คอยช่วยเหลือนางก็เพียงพอแล้ว”
“ทำไมท่านไม่บอกนางไปละ”
“ข้าคิดว่าข้าไม่ควรจะบอกนางมากกว่า บอกไปไม่ใช่แค่ข้าจะเจ็บปวด แม่ของเจ้าก็เช่นกันดังนั้นปล่อยให้มันเป็นไปแบบนี้แหละดีแล้ว” แววตาของเฮดิสในตอนนี้เต็มไปด้วยความเศร้าถึงแม้ว่าเค้าจะพยายามยิ้มเพื่อกลบเกลื่อนความเศร้านี้เอาไว้ แต่ก็ไม่สามารถจะทำให้ใจที่เศร้าหมองดวงนี้ให้ดีขึ้นได้เพราะที่ผ่านมาตั้งแต่ครั้งเวโรนิก้า เค้าก็ต้องเป็นฝ่ายรักข้างเดียวมาโดยตลอด จนกระทั่งเค้าได้หลงรักเมลิซ่าเค้าก็ต้องเจ็บอีกครั้ง เพราะเค้าเองก็ทำได้แค่ดูแลอยู่ห่างๆโดยที่ไม่ได้บอกความรู้สึกอะไรออกไปเลย
“ถ้างั้น...ช่วยพาข้าไปหาท่านแม่หน่อยสิท่านจะได้พบกับแม่ของข้าไง”
“ไม่ต้องเลย ยังไงเจ้าก็ต้องไปกับข้า!!”
“ใจร้าย!!!”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ