สาวโอตาคุกู้วิกฤตพิชิตโลก
7.7
เขียนโดย Yaksa
วันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 01.14 น.
13 ตอน
0 วิจารณ์
16.59K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 02.17 น. โดย เจ้าของนิยาย
13) ความลำบากของหญิงสาว...
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ อืม...จะว่ายังไงดีล่ะ...เพราะเป็นผู้หญิงล่ะนะเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นก็ไม่แปลกอะไร...แต่ว่า... เอ่อ...ยังไงดีล่ะ...
ผมนั่งม้วนกระดาษชำระอยู่ในห้องน้ำพลางครุ่นคิดว่าควรจะทำยังไงกับสถานการณ์ในตอนนี้ดี ท้องฟ้านอกหน้าต่างเริ่มเปลี่ยนสีจากสีดำเป็นสีฟ้าและอีกไม่กี่อึดใจดวงอาทิตย์ก็พร้อมทอแสงทำหน้าที่ของมัน
ก็สงสัยอยู่ว่าทำวันนี้เราถึงได้อยากเข้าห้องน้ำตอนเช้าผิดผิดปกติ...
ในตอนนี้ผมกำลังเผชิญกับปัญหาที่หญิงสาวทุกคนต้องเคยพบเจอและเพราะเป็นประสบการณ์ครั้งแรก ผมก็ได้แต่นั่งสงบนิ่งด้วยความรู้สึกบรรยายอะไรไม่ถูก
มิน่าสองวันมานี้ถึงได้ปวดแถวๆท้องน้อยนัก...
ระหว่างที่คิดว่าควรจะทำยังไงดีนั้น ผมก็ตัดสินใจได้ว่าก่อนอื่นขั้นแรกควรจะออกจากห้องน้ำไปก่อนแล้วค่อยไปปรึกษาเดเน่
จะว่าไปก็รู้สึกแปลกๆมาหลายวันแล้วล่ะนะ... แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องนี้…
หลังจากจัดการปัญหาด้วยตัวเองเบื้องต้นไปแล้วผมก็เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยความรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวเสียเท่าไหร่ เดเน่ที่เพิ่งตื่นก็งัวเงียเดินลงบันไดมาจากชั้นสอง
“อา...อรุณสวัสดิ์เจร่า...ฮ้าว~…วันนี้ตื่นเช้าจังนะ...”
เธออยู่ในชุดนอนซีทรูสีขาวแม้จะเพิ่งตื่นจนผมสีขาวกระเซอะกระเซิง แต่ใบหน้านั้นยังคงดูสวยงาม
“อ่ะ...อรุณสวัสดิ์ค่ะ...”
เมื่อกล่าวทักทายอีกฝ่ายไปแล้วผมก็เดินมุ่งไปล้างมือยังห้องอาบน้ำ ก่อนจะเดินออกมาหาเดเน่ที่กำลังนั่งงัวเงียอยู่ที่ห้องรับแขก
“เอ่อ...”
“หืม~…อะไรเหรอ...”
จะอธิบายหรือถามยังไงดีเนี่ย...
ถึงแม้พวกเราจะอยู่กันแค่สองคนภายในบ้านหลังนี้ แต่ผมก็รู้สึกเขินๆที่จะพูดออกไปจึงได้แต่อ่ำอึ่งอยู่ที่เดิม
“หรือว่าหิวแล้วเหรอ...”
“ปะ...เปล่าค่ะ...”
ยังไงก็คงต้องถามล่ะนะ...
ผมเดินเข้าไปแล้วยกมือขึ้นมาป้องปากเพื่อกระซิบบอกเธอ
“อา...อืมๆ...ว่าแต่...ครั้งแรกเหรอ?”
เธอหันมาถามด้วยสีหน้าแปลกใจ
“ค่ะ...มั้งนะคะ...”
“หืม...งั้นเดี๋ยวพี่สาวไปหยิบมาให้ก็แล้วกัน...ระหว่างนี่ก็อาบน้ำล้างตัวรอไปก่อนก็แล้วกันนะ”
เดเน่ค่อยๆลุกขึ้นเดินกลับไปยังห้องนอนชั้นบน ช่วงที่รออยู่ผมจึงทำตามคำแนะนำที่อีกฝ่ายบอก
หลังจากทำความสะอาดร่างกายในช่วงเช้าเสร็จแล้ว ผมก็เปลี่ยนชุดแล้วเดินกลับไปนั่งรอเธออยู่ที่ห้องรับแขก แม้ว่าจะเพิ่งอาบน้ำมาแต่ก็ยังคงไม่ค่อยจะรู้สึกสบายตัวเสียเท่าไหร่
เธอกลับมาพร้อมกับซองกระดาษเล็กๆในมือจากนั้นจึงนั่งลงอีกฝั่งของโต๊ะตรงหน้า แล้วจึงเริ่มสอนวิชาสุขศึกษาพื้นให้แก่หญิงสาวที่อยู่ในช่วงเจริญวัยอย่างเรา
“ก็ตอนนี้ก็ใช้ของพี่ไปก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวพี่จะไปซื้อแบบที่เหมาะสำหรับเธอมาให้”
“อ่า...ค่ะ...”
“เปลี่ยนทุกสามช่วงเวลานะ เช้า กลางวัน เย็น...”
ผมรับซองสีขาวตรงหน้ามาถือไว้ในมือ
“แล้วมีอาการอะไรอีกไหม?”
“ก็ปวดเมื่อยตามตัว...แล้วก็ปวดๆแถวๆท้องน้อย อาการอื่นๆก็...”
ขณะให้คำตอบผมก็จับบริเวณช่วงท้องพลางคิดถึงสภาพอาการที่เกิดขึ้นในตอนนี้
“อืม...แล้วปวดมากไหม?”
“ไม่มากนะคะ...แล้วหิวบ่อยกับอ่อนแรงเนี่ยเกี่ยวไหมคะ...”
“ก็มีส่วนนะ...ช่วงนี้ก็ลดของหวานแล้วก็เดินออกกำลังเบาๆก็แล้วกัน...”
“เฮ๊ะ...แต่ว่าช่วงนี้ฉันรู้สึกอยากทานมากกว่าปกติเลยนะคะ...”
“เพราะอย่างนั้นถึงต้องลดล่ะนะ…”
ใช้เวลาอยู่นานในที่สุดผมก็พอจะทราบถึงวิธีปฏิบัติจัดการปัญหาในช่วงเวลานี้สำหรับการใช้ชีวิตเป็นผู้หญิงแล้ว
“อืม...แต่แปลกนะที่มันมาช้าผิดปกติมากเลย”
ไม่ผิดปกติหรอกค่ะ...ก็เพิ่งจะเป็นผู้หญิงมาได้ไม่ถึงเดือนเลย...
และในที่สุดปัญหาของหญิงสาวก็ได้รับการแก้ไขแม้ว่าจะยังไม่ค่อยจะรู้สึกคุ้นชินกับช่วงล่างเสียเท่าไหร่ แต่ก็ดีกว่าปล่อยไว้ให้มันเกิดปัญหา
สมกับเป็นโลกของหญิงสาว...วิทยาการเพื่อยกระดับชีวิตผู้หญิงเนี่ยมีความก้าวหน้ากว่าที่คิดจริงๆ...
หลังจากทานมื้อเช้าฝีมือเดเน่แล้ว ผมก็หยิบหนังสือของเธอขึ้นไปนอนเอนกายอ่านบนห้อง
วันนี้ควรจะอยู่ติดบ้านเป็นการดีที่สุดล่ะนะ...
“เจร่า...นอนอยู่เหรอ...ยังปวดอยู่ไหม...”
เดเน่เปิดประตูเข้ามาภายในห้องพร้อมกับผ้าขนหนูในมือ
“มีอะไรหรอกคะ”
ผมลดหนังสือในมือลงมาวางบนตัก พลางมองอีกฝ่ายเดินเข้ามาในห้อง
“พี่อุ่นผ้าขนหนูมาให้น่ะ… ใช้ประคบลดอาการได้นะ”
“งั้นเหรอคะ...”
ผมรับผ้าขนหนูมาแล้ววางมันไว้บนท้อง ซักพักก็รู้สึกอาการดีขึ้นมากทำแบบนี่ช่วยได้มากเลยทีเดียว
“พี่จะไปตลาดน่ะ...เอาอะไรไหม?”
“อืม...ขะ...”
“ของหวานไม่ได้!”
อ่า...งั้นก็อะไรก็ได้ล่ะมั้ง...
“งั้นไม่เป็นไรค่ะ...อ๊ะ...ฝากไปลางานกับเจ้าของร้านให้หน่อยนะคะ...”
“ได้สิ...งั้นก็นอนพักผ่อนอยู่บ้านก็แล้วกันนะ”
“ค่ะ...”
เมื่อคุณพี่สาวเดินออกจากห้องไปแล้วผมก็กลับมาอ่านหนังสือต่อ ซักพักต่อมาผมก็ได้ยินเสียงปิดประตูบ้าน
ด้วยความรู้สึกสบายๆผมจึงนอนเอนกายอ่านหนังสืออยู่ภายในห้องนอนแล้วก็ค่อยๆงีบหลับไป
หลังจากหลุดออกมาจากห้วงความฝันผมก็ค่อยๆขยับร่างกายบนเตียงด้วยความเหนื่อยอ่อน ก่อนจะหยิบนาฬิกาบนโต๊ะหัวเตียงมาดูเวลา
...งีบไปชั่วโมงกว่าเองเหรอ... แต่รู้สึกหิวจัง...
ผมขยับยกหนังสือออกจากกาย จากนั้นจึงดันตัวเองลุกขึ้นจากเตียงเพื่อเดินลงไปยังห้องครัวชั้นล่าง
จะว่าไป... มีคุกกี้ที่ได้จากตอนประชุมใส่อยู่ในขวดโหลนี่นะ...
คิดได้ดังนั้นก็ตรงไปเปิดตู้เก็บของในห้องครัว พลางมองหาสิ่งที่ต้องการแล้วหยิบขวดโหลดที่มีคุกกี้อยู่ภายในมาเคี้ยวในปาก
อืม...ถึงจะเริ่มไม่กรอบแล้ว...แต่อย่างน้อยก็หวานล่ะนะ...
ผมอุ้มขวดโหลไว้ในมือแล้วเดินกัดคุกกี้ในปากออกมาจากห้องครัว จังหวะนั้นเองที่มีเสียงเปิดประตูจากหน้าบ้าน
“อ้าว...เจร่า...พี่กลับมาแล้ว...จ๊ะ”
อึก...หลักฐานคามือเลย...
เดเน่เดินเข้ามาดึงขวดโหลไปจากมือผมที่ถืออยู่
แต่อย่างน้อยก็ยังมีอยู่ในมือขวาอีกชิ้นล่ะนะ...
เห็นดังนั้นผมจึงยกคุกกี้ในมือขวาขึ้นมากัด พร้อมกับเดินตามเดเน่กลับไปในห้องครัว
“พี่บอกแล้วไงว่าลดของหวานน่ะ...”
“แต่เพิ่งกินไปได้แค่สามชิ้นเองนะคะ”
อันที่จริงก็ห้าแล้วล่ะ...
“เอาเถอะ...ทานผลไม้แทนแล้วกัน”
เธอกล่าวพร้อมกับหยิบผลไม้สีแดงในถุงกระดาษออกมาส่งให้ ซึ่งผมก็แบมือรับมากัดแต่โดยดี
“พี่ไปลางานให้แล้วนะ คุณเจ้าของร้านก็ฝากยาสมุนไพรมาให้เจร่าด้วยล่ะ”
เดเน่หยิบขวดยาที่มีน้ำสีดำขุ่นๆอยู่ภายในออกมาจากถุงกระดาษอีกใบ
ดูจากสีแล้วไม่น่าดื่มเลย...
“เธอบอกว่าจนกว่าจะหายดีก็หยุดงานไปก่อนก็ได้”
“อ่าค่ะ...”
ช่วงที่ตอบกลับไปผมก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าแอปเปิ้ลในมือถูกกัดจนเหลือแต่แกนเสียแล้ว ดูท่าร่างกายคงจะต้องการสารอาหารจริงๆ
มาคิดๆดูแล้วอาการของเราดูจะไม่ค่อยหนักเท่าไหร่เมื่อเทียบกับผู้หญิงคนอื่น... แต่ก็หวังว่าจะดีขึ้นในเร็ววันนะ...
อีกสามวันถัดมาอาการช่วงนั้นของเดือนผ่านไป ร่างกายก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติผมจึงสามารถกลับมาทำอาหารได้หลังจากปล่อยให้เดเน่รับหน้าที่อยู่เสียนาน เมื่อทานมื้อเที่ยงเสร็จเรียบร้อยแล้วเดเน่ก็ออกจากบ้านไปเพราะมีงานสอนหนังสือ
ส่วนผมก็มีจุดหมายแล้วเช่นกันที่แห่งนั้นคือค่ายทหารที่เอลเซ่สังกัดอยู่ เพราะคิดว่าอย่างน้อยก็ควรจะฝึกการใช้อาวุธเอาไว้บ้าง
เมื่อมาถึงผมก็เดินผ่านสายตาของทั้งทหารและอัศวินกองอื่นตรงไปยังห้องพักของพวกเธอ
“สวัสดีค่ะ...เอ่อ...ไม่อยู่...?”
หลังเปิดบานประตูเข้าไปด็ไม่พบใครภายในห้องนั้น
คิดว่าตอนเที่ยงจะอยู่กันซะอีก...
“มาหาใครเหรอ?”
อัศวินจากหน่วยอื่นเอ่ยทักจากด้านหลังผมจึงหันไปกล่าวทักทายและถามถึงที่อยู่ของกองทหารที่34
“อืม...วันนี้เป็นเวรของกองที่34ไปช่วยซ่อมบ้านเรือนน่ะ... แต่อีกซักชั่วโมงก็กลับมาแล้วมั้ง...”
“อ่า...ค่ะ ขอบคุณนะคะ”
“อืม...จ๊ะ เข้าไปรอพวกเธอก่อนก็ได้...”
ได้ยินดังนั้นผมจึงผงกศีรษะให้อีกฝ่ายก่อนจะเดินเข้าไปนั่งรอภายในห้อง ทว่านั่งรอได้ไม่ถึงห้านาทีก็เริ่มออกอาการเบื่อหน่าย
“…น่าเบื่อแฮะ...”
ระหว่างที่คิดหาอะไรทำฆ่าเวลาอยู่นั้น ก็นึกถึงภาพของเดเน่ที่เรียกมาน่าออกมาจากแขนขึ้นได้ ผมจึงลองยกแขนขึ้นมาเพื่อลองปล่อยมาน่าออกมาบ้าง
ฮึบ... อืม... อย่างนี่รึเปล่านะ...
แต่พยายามอยู่นานก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย ผมจึงคิดว่า ควรจะปรึกษาวิธีการใช้มาน่ากับแครอลน่าจะได้ผลดีกว่า
ขณะที่คิดแบบนั้นก็มีใครบางคงเปิดประตูเข้ามาภายในห้อง ผมหันกลับไปมองก็พบกับอัศวินสาวสองคนเดินเข้ามา
“อ่า...เหนื่อยๆ เมื่อไหร่จะเสร็จนะ...”
“นั้นสิ... อ๊ะ...เจร่า”
“สวัสดีค่ะ...”
เมื่อแครอลและอัลม่าสังเกตเห็นผมจึงถอดหมวกเหล็กออกแล้วกล่าวทักทาย
“อืม...เช่นกัน...มีธุระอะไรเหรอ?”
“อ่า...ค่ะ...ว่าแต่คนอื่นๆล่ะคะ”
“โลเรนกับเอลเซ่กำลังช่วยซ่อมแซมบ้านเรือนอยู่น่ะ พวกฉันออกเวรแล้วก็เลยกลับมาก่อน ส่วนวินเชสต้าแวะซื้อของคิดว่าเดี๋ยวก็กลับมากันแล้วล่ะ...”
แครอลช่วยอธิบายให้คำตอบพร้อมๆกับถอดเกราะออก
ว่าแต่สวมเกราะกันทุกวันเลย...ไม่ร้อนหรือไงนะ...
“เหรอคะ...”
“แต่ก็เป็นโอกาสอันดีแล้ว...”
เธอหันไปส่งยิ้มให้กับอัลม่าก่อนจะเดินตรงเข้าห้องครัวไป ซักพักก็กลับออกมาพร้อมกับขวดแก้วสีน้ำตาลเข้มในมือและแก้วน้ำสองใบ ส่วนผมที่พอจะรู้แล้วว่าพวกเธอจะทำอะไรกันจึงเดินกลับไปนั่งรอที่เก้าอี้ตัวเดิม
“กว่าเอลเซ่จะกลับก็อีกนานเลย...ระหว่างนี้ก็ขอสนุกกับเจ้านี่ก็แล้วกันนะ”
อัลม่าที่ถอดชุดเกราะเสร็จแล้วรีบตรงไปนั่งยังโต๊ะแล้วคว้าแก้วมาให้แครอลรินน้ำในขวดลงไป พวกเธอเริ่มสังสรรค์กันสองคนอย่างสนุกสนาน
“จะว่าไปดื่มแต่หัววันจะไม่เป็นไรเหรอคะ?”
“ถ้าเอลเซ่ไม่รู้ก็ไม่เป็นไรหรอกน่า...”
ชักอยากให้เอลเซ่กลับมาซะตอนนี้เลยจริงๆ...
“คุณแครอลคะ คือว่ามีเรื่องจะถามน่ะคะ...”
“หืม ว่ามาสิ...”
เธอหันมาถามพลางเลียริมฝีปาก
“อยากให้ช่วยสอนใช้เวทย์หน่อยน่ะค่ะ”
“ใช้เวทย์เหรอ อืม...”
ระหว่างที่กำลังคิดอะไรอยู่นั้นเธอก็ยกแก้วขึ้นดื่ม
“ก็ได้อยู่นะ แต่ถ้ามาน่าเธอน้อยอันนี้ก็คงต้องเสียใจด้วยล่ะนะ”
“อ่า...ค่ะ...”
“กลับมาแล้ว! อ้าวเจร่าอยู่ด้วยเหรอ?”
“สวัสดีค่ะ...”
ผู้ที่เปิดประตูเข้ามาเยือนก็คือมือธนูสาวผมสีทอง เธอกลับมาพร้อมกับถุงกระดาษเต็มสองมือ
“อ๊า~ ดื่มเหล้าแต่หัววันกันอีกแล้ว...”
“ไม่เห็นเป็นไรเลยงานก็ไปทำมาแล้ว แถมยังออกเวรแล้วด้วยใช่ไหมอัล..”
“ถูกต้อง...”
เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยแฮะ...
“เอาเถอะอย่าให้เอลเซ่จับได้ก็แล้วกัน ถ้าหัวหน้ารู้ขึ้นมาฉันก็ช่วยอะไรไม่ได้นะ”
วินเชสต้าเดินเข้ามานำถุงกระดาษในมือวางลงบนโต๊ะ พร้อมกับหยิบวัตถุดิบออกมาวางเรียกราย
“จะทำอาหารเหรอคะ?”
“อืม...ยังไม่ได้ทานข้าวเที่ยงกันเลยน่ะ”
แสดงว่าพวกเธอดื่มกันเพียวๆเลยสินะ... ซักวันกระเพราะต้องมีปัญหาแน่ๆ...
ผมหันไปมองสองสาวที่ดื่มสุรากันอย่างสนุกสนานพลางถอนหายใจออกมา
“เอาล่ะ...ฉันไปทำอาหารก่อนนะ”
“ให้ช่วยไหมคะ...”
“อื้ม... อ่ะ!...จริงด้วย…”
เธอส่งเสียงออกมาเหมือนคิดอะไรออกก่อนจะวางวัตถุดิบไว้บนโต๊ะแล้วตรงไปเปิดตู้เก็บอุปกรณ์
“นี่...จ๊ะ”
มือธนูสาวกลับมาพร้อมกับผ้าสีขาวที่พับอย่างเรียบร้อยในมือ
“อะไรเหรอคะ?”
“ก็ผ้ากันเปื้อนน่ะ”
ผมรับมาพร้อมกับยกมันขึ้นพินิจ
“เอ่อ...ระบายพริ้วๆนี่ต้องเยอะขนาดนี้เลยเหรอคะ...”
“ถ้าเจร่าได้สวมคงจะดูดีนะ...”
“แต่ว่ามัน...”
“สวมเลยสิ...”
ไม่ได้ฟังเลยสินะคะ...
เธอส่งสายตาเป็นประกายมาให้ ผมจึงนำผ้ากันเปื้อนมาสวมทับตัวอย่างช่วยไม่ได้
“อืมๆ น่ารักมาก จะว่าไป... รวบผมด้วยก็ดีนะ...”
ผมรับริบบิ้นสีขาวจากเธอมารวมผมแล้วผูกไว้เป็นทรงหางม้า
“งั้นก็ไปทำอาหารกันเถอะเนอะ...”
หลังจากทำอาหารเสร็จแล้วพวกเรากนำไปจัดเรียงบนโต๊ะ ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกันที่เอลเซ่และโลเรนกลับมาพอดี
“กลับมาแล้ว...”
“อ่า...ค่ะสวัสดีค่ะ”
“อ้าว...เจร่ามีธุระอะไรเหรอ?”
“ก็ทำนองนั้นแหละค่ะ แต่เอาไว้หลังจากทุกคนกินข้าวเสร็จก่อนก็ได้นะค่ะ”
พูดจบผมก็วางจานในมือลงบนโต๊ะ นั้นเองที่ทำให้ได้เห็นทั้งอัลม่าและแครอลกำลังนอนหมอบราบไปกับพื้นโต๊ะ
ก็พอจะเข้าใจล่ะนะ...ว่าทำไปเพื่ออะไร...
“แล้ว...พวกเธอเป็นอะไรกันน่ะ...”
คำถามของเอลเซ่ทำให้ทั้งสองคนเกิดอาการไหล่กระตุเล็กน้อย
“ปะ...เปล่า...แค่เหนื่อยนิดหน่อยน่ะ”
“อ๋อ...เหรอ... แต่ฉันคิดว่าเพราะขวดที่ซ่อนอยู่มากกว่าล่ะมั้ง...”
เอลเซ่ชำเลืองมองพลางปลดเกราะที่สวมอยู่ออก ส่วนทั้งสองคนที่ฟุบอยู่ก็ดันตัวขึ้นมานั่งเพราะไม่มีสาเหตุให้ต้องปิดบังอีกแล้ว
“เฮ้อ... เอาเถอะ! อย่าดื่มเยอะก็แล้วกัน”
“หัวหน้าใจดีจังเลยค่ะ...”
ได้ยินดังนั้นทั้งสองคนก็เริ่มดื่มน้ำเมากันต่อ
ว่าแต่... เมากันแล้วสินะนั้น...
เมื่อพร้อมแล้วทุกคนต่างก็นั่งที่และลงมือทานอาหารกัน เว้นผมเพียงคนเดียวที่ไม่ค่อยจะหิวเสียเท่าไหร่จึงนั่งทานขนมร่วมโต๊ะกับทุกคนไปพลางทั้งอย่างนั้น
ระหว่างที่ทุกคนทานอาหารอยู่ผมก็นั่งฟังสิ่งที่พวกเธอคุยกัน เหมือนว่าการซ่อมแซมบ้านเรือนกำลังคืบหน้ามากเลยทีเดียวส่วนเรื่องการขุดคลองก็เริ่มมีการลงพื้นที่เพื่อเตรียมการแล้ว
หลังจากมื้อเที่ยงผ่านไปและเก็บกวาดโต๊ะอาหารเสร็จแล้ว ผมก็มานั่งฟังแครอลอธิบายเรื่องการใช้เวทย์ แต่รู้สึกว่าอีกฝ่ายจะพูดไม่ค่อยรู้เรื่องเสียเท่าไหร่ไม่รู้ว่าสาเหตุมาจากน้ำในมือหรือเพราะผมไม่เข้าใจเอง
“ให้ลองจินตนาการว่ามีหมอกควันกำลังลอยอยู่รอบแขนดูสิ”
อืม... หมอก... ควัน...
ผมลองทำตามที่แครอลแนะนำแต่ผลที่ได้คือไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เอ่อ...ไม่เห็นจะมีอะไรเกิดขึ้นเลยค่ะ...”
“แปลกจัง...ลองตั้งหลายแบบก็แล้วนะ...งั้นขอมือซ้ายหน่อย...”
แครอลแบมือมาให้ผมจึงวางมือของตัวเองลงไปบนมือของเธอ
“ไหนดูซิ...”
เธอพูดพลางใช้นิ้วมืออีกข้างลากนิ้วไปบนฝ่ามือของผม
“เอ่อ...แปลกจังนะ...ปกติมันต้องได้สิ...”
“อะไรที่ว่าแปลกเหรอคะ?”
“ก็มาน่าน่ะ...ฉันสัมผัสไม่ได้เลย...”
“เฮ๊ะ...”
“อ่า...เหมือนจะใช้คำพูดผิดไปอ่ะนะ…ต้องบอกว่าเบาบางจนสัมผัสไม่ได้เลยมากกว่า”
ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเลยค่ะ...
“มีน้อยเหรอคะ...”
“อืมน้อย...น้อยมากด้วย...”
จบแล้ว...ความฝันของการเป็นนักเวทย์ ปกติตัวละครที่มาจากต่างโลกมันต้องมีความสามารถขั้นเทพติดตัวอยู่ไม่ใช่เหรอ? แล้วไหง...เราถึงได้...
“เสียใจด้วยนะ...เหมือนเธอจะใช้เวทย์ไม่ได้น่ะ หรือแม้แต่เรียกมาน่าออกมาก็ดูจะเป็นไปได้ยากเลย”
รู้สึกผิดหวังหนักกว่าเดิมอีก... ไม่เป็นไรไปเอาดีทางด้านการใช้อาวุธก็ได้...
“ถ้าอย่างนั้น...คุณเอลเซ่ค่ะ ช่วยสอนการใช้ดาบให้หน่อยสิคะ”
“หืม... ดาบเหรอ?”
“ค่ะ”
เธอจับคางเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยออกมา
“เอาสิ งั้นไปที่สนามซ้อมกันเลยก็แล้วกัน...”
ได้ยินดังนั้นผมก็ลุกขึ้นเดินตามอีกฝ่ายไป แต่เอลเซ่ที่หันมาพอดีก็ชี้นิ้วมาที่ผม แล้วพูดด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
“ว่าแต่จะไปทั้งชุดนั้นเหรอ...”
ผมก้มมองชุดที่สวมอยู่ก็พบว่ายังคงเป็นผ้ากันเปื้อนสีขาวที่วินเชสต้าให้มา เห็นดังนั้นผมจึงรีบถอดออกพร้อมกับพับแล้วนำไปวางบนโต๊ะ แน่นอนว่าไม่ลืมที่จะถอดริบบิ้นที่ผูกผมอยู่ออกด้วย
ซึ่งวินเชสต้าที่นั่งเหตุการณ์มาตั้งแต่เมื่อครู่ก็ก็เดินตามมาอย่างสนใจเช่นกัน ใช้เวลาเดินเกือบสองนาทีก็มาถึงสนามซ้อมต่อสู้ พื้นในสนามเป็นทรายมีไว้สำหรับป้องกันแรกกระแทกจากการต่อสู้และโดยรอบยังมีทั้งทหารและอัศวินคนอื่นๆซ้อมรบกันอยู่
เอลเซ่เดินตรงไปหยิบดาบไม้มาแล้วจึงโบกมือเรียกให้ผมตามเธอเข้าไปภายในพื้นที่ซักซ้อม เธอชักดาบข้างเอวออกมาปักไว้บนพื้นแล้วจึงเดินห่างออกไปพร้อมกับดาบไม้ในมือ
เธอหยุดเดินในระยะห่างกันไม่ถึงห้าเมตรก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ก่อนอื่นก็ต้องให้มือคุ้นชินกันน้ำหนักของดาบ ใช้ดาบของฉันบุกข้ามาได้เลย”
ผมเดินเข้าไปดึงดาบออกมาจากพื้นตามที่อีกฝ่ายบอกแต่กลับยกขึ้นมาถือได้ยากเพราะน้ำหนักของมัน
อุ...หนักจัง... นี่เอลเซ่ถือด้วยมือข้างเดียวได้ยังไงเนี่ย...
ด้วยความที่ตัวดาบหนักพอสมควรผมจึงต้องใช้สองมือประคองมันให้สามารถรักษาสมดุลจนถือไว้ได้
“งั้นก็ลองบุกเข้ามาสิ...”
แค่ถือยังยากเลย...จะให้เดินเข้าไปโจมตีเนี่ยนะ...
“เอ่อ...งั้น เอาล่ะนะคะ...”
ผมประคองดาบในมือพร้อมกับค่อยๆก้าวเดินตรงไปหาเอลเซ่ เมื่อเข้าระยะเมตรกว่าๆผมกะว่าจะพุ่งตัวเข้าไปแล้วใช้ดาบในมือฟันลงไป แต่ทว่า
“ยะ...ว๊าย~…อุฟ...”
ความเป็นจริงคือผมก้าวสะดุดจนทำให้ตัวเองล้มลงไปโชคดีที่เป็นพื้นทรายจึงไม่เจ็บมากนัก
เจ็บๆ...เฮ๊ะ...ว่าแต่ดาบในมือล่ะ?...
ผมดันตัวเองขึ้นนั่งพลางมองหาสิ่งที่เคยอยู่ในมือ
“เอ่อ...เจร่า...”
หญิงสาวผู้ยืนอยู่ตรงหน้าเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย ผมจึงเงยหน้ามองเธออย่างสงสัยก่อนจะสังเกตเห็นดาบเหล็กในมือเธอ
“ดาบน่ะใช้ฟันนะ... ไม่ได้ใช้เขวี้ยงนะ...”
“ขะ...ขอโทษค่ะ...”
ดูเหมือนว่าดาบในมือผมจะหลุดลอยไปหาเอลเซ่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเรื่องดีคือเธอเบี่ยงตัวหลบแล้วรับมันไว้ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นเราคงฆ่าเธอไปแล้ว
“จะฝึกใหม่ไหม?”
“ไม่แล้วดีกว่าค่ะ...”
ขืนถือดาบแบบนี้ไปร่วมสู้มีหวังจะทำให้พวกเดียวกันเจ็บซะเปล่าๆ...
จังหวะที่ผมลุกขึ้นมาอย่างผิดหวังเล็กน้อยก็สังเกตเห็นวินเชสต้ายืนดูอยู่ข้างสนาม เธอเดินเข้ามาหาพวกเราพร้อมกับธนูไม้ในมือ
“เหมือนดาบจะไม่ไหวนะ ลองยิงธนูไหม?”
“นั้นสินะคะ... ลองดูก็ได้ค่ะ...”
พอผมให้คำตอบไปพวกเธอก็พาเดินไปยังอีกที่หนึ่ง ที่นั้นเป็นสนามซ้อมยิงเป้าสำหรับมือธนู
“เจร่ารู้วิธียิงพื้นฐานรึยังเอ่ย?”
“ไม่เลยค่ะ...”
ได้ยินดังนั้นวินเชสต้าก็เริ่มจัดท่ายืนให้พร้อมกับยกคันธนูไม้ขึ้นมาถือ
“ยกคันศรไว้... วิธีจับก็แบบนี้นะ”
เธอสาธิตวิธีการยิงเบื้องต้นให้ดูจากนั้นก็ส่งธนูและลูกธนูมาให้ถือไว้
“จากนั้นก็น้าวสายมาอยู่บริเวณใต้คาง...ดึงสายไว้ให้ลูกธนูเป็นระนาบเดียวกับแขนนะ…ถ่ายน้ำหนักไปด้านหลังแล้วปล่อยไว้แบบนั้นก่อน...”
อ่ะ...อยู่ในท่านี้แล้วรู้สึกปวดตึงช่วงไหล่จัง...
“จากนั้นก็เล็ง....ถ้าหากว่าเล็งเสร็จแล้วก็ปล่อยสายได้เลย...”
ใช้เวลาเล็งอยู่ไม่กี้วิผมก็ปล่อยสายในทันที ผลคือนอกจากจะไม่เข้าเป้าแล้วลูกธนูยังร่วงระหว่างทางอีกด้วย
“ลองอีกซักสี่ห้าลูกเป็นไง...”
เธอหยิบลูกธนูมาส่งให้ซึ่งผมก็รับมาน้าวสายและยิงออกไปอย่างต่อเนื่อง...
“เอ่อ...ถ้าฝึกก็คงแม่นขึ้น...มั้งนะ”
ไม่มีลูกไหนที่เข้าแม้แต่จะเฉียดเข้าเป้าเลย ทุกลูกต่างลอยเป็นวิถีโค้งร่วงลงระหว่างทางเสียทุกลูก
ผมเดินตรงไปหาวินเชสต้าพร้อมกับส่งธนูในมือคืนให้
“กลับแล้วค่ะ...”
“เอ๊ะ...จะกลับแล้วเหรอ?”
“ค่ะ...”
ผมพยักหน้าให้พร้อมกับหันหลังเดินก้มหน้าออกมาอย่างรู้สึกเสียใจเล็กน้อย ทดสอบดูหลายอย่างแล้วก็เห็นว่าความสามารถในการใช้อาวุธของนั้นแย่ระดับเด็กผู้หญิงอายุคราวเดียวกันยังทำได้ดีกว่า
ยิงก็ไม่แม่น... ถือดาบก็ไม่ไหว... พลังเวทย์ก็ไม่มี... อ่า~...จะทำอะไรได้มั้งเนี่ยเรา...
ผมนั่งม้วนกระดาษชำระอยู่ในห้องน้ำพลางครุ่นคิดว่าควรจะทำยังไงกับสถานการณ์ในตอนนี้ดี ท้องฟ้านอกหน้าต่างเริ่มเปลี่ยนสีจากสีดำเป็นสีฟ้าและอีกไม่กี่อึดใจดวงอาทิตย์ก็พร้อมทอแสงทำหน้าที่ของมัน
ก็สงสัยอยู่ว่าทำวันนี้เราถึงได้อยากเข้าห้องน้ำตอนเช้าผิดผิดปกติ...
ในตอนนี้ผมกำลังเผชิญกับปัญหาที่หญิงสาวทุกคนต้องเคยพบเจอและเพราะเป็นประสบการณ์ครั้งแรก ผมก็ได้แต่นั่งสงบนิ่งด้วยความรู้สึกบรรยายอะไรไม่ถูก
มิน่าสองวันมานี้ถึงได้ปวดแถวๆท้องน้อยนัก...
ระหว่างที่คิดว่าควรจะทำยังไงดีนั้น ผมก็ตัดสินใจได้ว่าก่อนอื่นขั้นแรกควรจะออกจากห้องน้ำไปก่อนแล้วค่อยไปปรึกษาเดเน่
จะว่าไปก็รู้สึกแปลกๆมาหลายวันแล้วล่ะนะ... แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องนี้…
หลังจากจัดการปัญหาด้วยตัวเองเบื้องต้นไปแล้วผมก็เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยความรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวเสียเท่าไหร่ เดเน่ที่เพิ่งตื่นก็งัวเงียเดินลงบันไดมาจากชั้นสอง
“อา...อรุณสวัสดิ์เจร่า...ฮ้าว~…วันนี้ตื่นเช้าจังนะ...”
เธออยู่ในชุดนอนซีทรูสีขาวแม้จะเพิ่งตื่นจนผมสีขาวกระเซอะกระเซิง แต่ใบหน้านั้นยังคงดูสวยงาม
“อ่ะ...อรุณสวัสดิ์ค่ะ...”
เมื่อกล่าวทักทายอีกฝ่ายไปแล้วผมก็เดินมุ่งไปล้างมือยังห้องอาบน้ำ ก่อนจะเดินออกมาหาเดเน่ที่กำลังนั่งงัวเงียอยู่ที่ห้องรับแขก
“เอ่อ...”
“หืม~…อะไรเหรอ...”
จะอธิบายหรือถามยังไงดีเนี่ย...
ถึงแม้พวกเราจะอยู่กันแค่สองคนภายในบ้านหลังนี้ แต่ผมก็รู้สึกเขินๆที่จะพูดออกไปจึงได้แต่อ่ำอึ่งอยู่ที่เดิม
“หรือว่าหิวแล้วเหรอ...”
“ปะ...เปล่าค่ะ...”
ยังไงก็คงต้องถามล่ะนะ...
ผมเดินเข้าไปแล้วยกมือขึ้นมาป้องปากเพื่อกระซิบบอกเธอ
“อา...อืมๆ...ว่าแต่...ครั้งแรกเหรอ?”
เธอหันมาถามด้วยสีหน้าแปลกใจ
“ค่ะ...มั้งนะคะ...”
“หืม...งั้นเดี๋ยวพี่สาวไปหยิบมาให้ก็แล้วกัน...ระหว่างนี่ก็อาบน้ำล้างตัวรอไปก่อนก็แล้วกันนะ”
เดเน่ค่อยๆลุกขึ้นเดินกลับไปยังห้องนอนชั้นบน ช่วงที่รออยู่ผมจึงทำตามคำแนะนำที่อีกฝ่ายบอก
หลังจากทำความสะอาดร่างกายในช่วงเช้าเสร็จแล้ว ผมก็เปลี่ยนชุดแล้วเดินกลับไปนั่งรอเธออยู่ที่ห้องรับแขก แม้ว่าจะเพิ่งอาบน้ำมาแต่ก็ยังคงไม่ค่อยจะรู้สึกสบายตัวเสียเท่าไหร่
เธอกลับมาพร้อมกับซองกระดาษเล็กๆในมือจากนั้นจึงนั่งลงอีกฝั่งของโต๊ะตรงหน้า แล้วจึงเริ่มสอนวิชาสุขศึกษาพื้นให้แก่หญิงสาวที่อยู่ในช่วงเจริญวัยอย่างเรา
“ก็ตอนนี้ก็ใช้ของพี่ไปก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวพี่จะไปซื้อแบบที่เหมาะสำหรับเธอมาให้”
“อ่า...ค่ะ...”
“เปลี่ยนทุกสามช่วงเวลานะ เช้า กลางวัน เย็น...”
ผมรับซองสีขาวตรงหน้ามาถือไว้ในมือ
“แล้วมีอาการอะไรอีกไหม?”
“ก็ปวดเมื่อยตามตัว...แล้วก็ปวดๆแถวๆท้องน้อย อาการอื่นๆก็...”
ขณะให้คำตอบผมก็จับบริเวณช่วงท้องพลางคิดถึงสภาพอาการที่เกิดขึ้นในตอนนี้
“อืม...แล้วปวดมากไหม?”
“ไม่มากนะคะ...แล้วหิวบ่อยกับอ่อนแรงเนี่ยเกี่ยวไหมคะ...”
“ก็มีส่วนนะ...ช่วงนี้ก็ลดของหวานแล้วก็เดินออกกำลังเบาๆก็แล้วกัน...”
“เฮ๊ะ...แต่ว่าช่วงนี้ฉันรู้สึกอยากทานมากกว่าปกติเลยนะคะ...”
“เพราะอย่างนั้นถึงต้องลดล่ะนะ…”
ใช้เวลาอยู่นานในที่สุดผมก็พอจะทราบถึงวิธีปฏิบัติจัดการปัญหาในช่วงเวลานี้สำหรับการใช้ชีวิตเป็นผู้หญิงแล้ว
“อืม...แต่แปลกนะที่มันมาช้าผิดปกติมากเลย”
ไม่ผิดปกติหรอกค่ะ...ก็เพิ่งจะเป็นผู้หญิงมาได้ไม่ถึงเดือนเลย...
และในที่สุดปัญหาของหญิงสาวก็ได้รับการแก้ไขแม้ว่าจะยังไม่ค่อยจะรู้สึกคุ้นชินกับช่วงล่างเสียเท่าไหร่ แต่ก็ดีกว่าปล่อยไว้ให้มันเกิดปัญหา
สมกับเป็นโลกของหญิงสาว...วิทยาการเพื่อยกระดับชีวิตผู้หญิงเนี่ยมีความก้าวหน้ากว่าที่คิดจริงๆ...
หลังจากทานมื้อเช้าฝีมือเดเน่แล้ว ผมก็หยิบหนังสือของเธอขึ้นไปนอนเอนกายอ่านบนห้อง
วันนี้ควรจะอยู่ติดบ้านเป็นการดีที่สุดล่ะนะ...
“เจร่า...นอนอยู่เหรอ...ยังปวดอยู่ไหม...”
เดเน่เปิดประตูเข้ามาภายในห้องพร้อมกับผ้าขนหนูในมือ
“มีอะไรหรอกคะ”
ผมลดหนังสือในมือลงมาวางบนตัก พลางมองอีกฝ่ายเดินเข้ามาในห้อง
“พี่อุ่นผ้าขนหนูมาให้น่ะ… ใช้ประคบลดอาการได้นะ”
“งั้นเหรอคะ...”
ผมรับผ้าขนหนูมาแล้ววางมันไว้บนท้อง ซักพักก็รู้สึกอาการดีขึ้นมากทำแบบนี่ช่วยได้มากเลยทีเดียว
“พี่จะไปตลาดน่ะ...เอาอะไรไหม?”
“อืม...ขะ...”
“ของหวานไม่ได้!”
อ่า...งั้นก็อะไรก็ได้ล่ะมั้ง...
“งั้นไม่เป็นไรค่ะ...อ๊ะ...ฝากไปลางานกับเจ้าของร้านให้หน่อยนะคะ...”
“ได้สิ...งั้นก็นอนพักผ่อนอยู่บ้านก็แล้วกันนะ”
“ค่ะ...”
เมื่อคุณพี่สาวเดินออกจากห้องไปแล้วผมก็กลับมาอ่านหนังสือต่อ ซักพักต่อมาผมก็ได้ยินเสียงปิดประตูบ้าน
ด้วยความรู้สึกสบายๆผมจึงนอนเอนกายอ่านหนังสืออยู่ภายในห้องนอนแล้วก็ค่อยๆงีบหลับไป
หลังจากหลุดออกมาจากห้วงความฝันผมก็ค่อยๆขยับร่างกายบนเตียงด้วยความเหนื่อยอ่อน ก่อนจะหยิบนาฬิกาบนโต๊ะหัวเตียงมาดูเวลา
...งีบไปชั่วโมงกว่าเองเหรอ... แต่รู้สึกหิวจัง...
ผมขยับยกหนังสือออกจากกาย จากนั้นจึงดันตัวเองลุกขึ้นจากเตียงเพื่อเดินลงไปยังห้องครัวชั้นล่าง
จะว่าไป... มีคุกกี้ที่ได้จากตอนประชุมใส่อยู่ในขวดโหลนี่นะ...
คิดได้ดังนั้นก็ตรงไปเปิดตู้เก็บของในห้องครัว พลางมองหาสิ่งที่ต้องการแล้วหยิบขวดโหลดที่มีคุกกี้อยู่ภายในมาเคี้ยวในปาก
อืม...ถึงจะเริ่มไม่กรอบแล้ว...แต่อย่างน้อยก็หวานล่ะนะ...
ผมอุ้มขวดโหลไว้ในมือแล้วเดินกัดคุกกี้ในปากออกมาจากห้องครัว จังหวะนั้นเองที่มีเสียงเปิดประตูจากหน้าบ้าน
“อ้าว...เจร่า...พี่กลับมาแล้ว...จ๊ะ”
อึก...หลักฐานคามือเลย...
เดเน่เดินเข้ามาดึงขวดโหลไปจากมือผมที่ถืออยู่
แต่อย่างน้อยก็ยังมีอยู่ในมือขวาอีกชิ้นล่ะนะ...
เห็นดังนั้นผมจึงยกคุกกี้ในมือขวาขึ้นมากัด พร้อมกับเดินตามเดเน่กลับไปในห้องครัว
“พี่บอกแล้วไงว่าลดของหวานน่ะ...”
“แต่เพิ่งกินไปได้แค่สามชิ้นเองนะคะ”
อันที่จริงก็ห้าแล้วล่ะ...
“เอาเถอะ...ทานผลไม้แทนแล้วกัน”
เธอกล่าวพร้อมกับหยิบผลไม้สีแดงในถุงกระดาษออกมาส่งให้ ซึ่งผมก็แบมือรับมากัดแต่โดยดี
“พี่ไปลางานให้แล้วนะ คุณเจ้าของร้านก็ฝากยาสมุนไพรมาให้เจร่าด้วยล่ะ”
เดเน่หยิบขวดยาที่มีน้ำสีดำขุ่นๆอยู่ภายในออกมาจากถุงกระดาษอีกใบ
ดูจากสีแล้วไม่น่าดื่มเลย...
“เธอบอกว่าจนกว่าจะหายดีก็หยุดงานไปก่อนก็ได้”
“อ่าค่ะ...”
ช่วงที่ตอบกลับไปผมก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าแอปเปิ้ลในมือถูกกัดจนเหลือแต่แกนเสียแล้ว ดูท่าร่างกายคงจะต้องการสารอาหารจริงๆ
มาคิดๆดูแล้วอาการของเราดูจะไม่ค่อยหนักเท่าไหร่เมื่อเทียบกับผู้หญิงคนอื่น... แต่ก็หวังว่าจะดีขึ้นในเร็ววันนะ...
อีกสามวันถัดมาอาการช่วงนั้นของเดือนผ่านไป ร่างกายก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติผมจึงสามารถกลับมาทำอาหารได้หลังจากปล่อยให้เดเน่รับหน้าที่อยู่เสียนาน เมื่อทานมื้อเที่ยงเสร็จเรียบร้อยแล้วเดเน่ก็ออกจากบ้านไปเพราะมีงานสอนหนังสือ
ส่วนผมก็มีจุดหมายแล้วเช่นกันที่แห่งนั้นคือค่ายทหารที่เอลเซ่สังกัดอยู่ เพราะคิดว่าอย่างน้อยก็ควรจะฝึกการใช้อาวุธเอาไว้บ้าง
เมื่อมาถึงผมก็เดินผ่านสายตาของทั้งทหารและอัศวินกองอื่นตรงไปยังห้องพักของพวกเธอ
“สวัสดีค่ะ...เอ่อ...ไม่อยู่...?”
หลังเปิดบานประตูเข้าไปด็ไม่พบใครภายในห้องนั้น
คิดว่าตอนเที่ยงจะอยู่กันซะอีก...
“มาหาใครเหรอ?”
อัศวินจากหน่วยอื่นเอ่ยทักจากด้านหลังผมจึงหันไปกล่าวทักทายและถามถึงที่อยู่ของกองทหารที่34
“อืม...วันนี้เป็นเวรของกองที่34ไปช่วยซ่อมบ้านเรือนน่ะ... แต่อีกซักชั่วโมงก็กลับมาแล้วมั้ง...”
“อ่า...ค่ะ ขอบคุณนะคะ”
“อืม...จ๊ะ เข้าไปรอพวกเธอก่อนก็ได้...”
ได้ยินดังนั้นผมจึงผงกศีรษะให้อีกฝ่ายก่อนจะเดินเข้าไปนั่งรอภายในห้อง ทว่านั่งรอได้ไม่ถึงห้านาทีก็เริ่มออกอาการเบื่อหน่าย
“…น่าเบื่อแฮะ...”
ระหว่างที่คิดหาอะไรทำฆ่าเวลาอยู่นั้น ก็นึกถึงภาพของเดเน่ที่เรียกมาน่าออกมาจากแขนขึ้นได้ ผมจึงลองยกแขนขึ้นมาเพื่อลองปล่อยมาน่าออกมาบ้าง
ฮึบ... อืม... อย่างนี่รึเปล่านะ...
แต่พยายามอยู่นานก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย ผมจึงคิดว่า ควรจะปรึกษาวิธีการใช้มาน่ากับแครอลน่าจะได้ผลดีกว่า
ขณะที่คิดแบบนั้นก็มีใครบางคงเปิดประตูเข้ามาภายในห้อง ผมหันกลับไปมองก็พบกับอัศวินสาวสองคนเดินเข้ามา
“อ่า...เหนื่อยๆ เมื่อไหร่จะเสร็จนะ...”
“นั้นสิ... อ๊ะ...เจร่า”
“สวัสดีค่ะ...”
เมื่อแครอลและอัลม่าสังเกตเห็นผมจึงถอดหมวกเหล็กออกแล้วกล่าวทักทาย
“อืม...เช่นกัน...มีธุระอะไรเหรอ?”
“อ่า...ค่ะ...ว่าแต่คนอื่นๆล่ะคะ”
“โลเรนกับเอลเซ่กำลังช่วยซ่อมแซมบ้านเรือนอยู่น่ะ พวกฉันออกเวรแล้วก็เลยกลับมาก่อน ส่วนวินเชสต้าแวะซื้อของคิดว่าเดี๋ยวก็กลับมากันแล้วล่ะ...”
แครอลช่วยอธิบายให้คำตอบพร้อมๆกับถอดเกราะออก
ว่าแต่สวมเกราะกันทุกวันเลย...ไม่ร้อนหรือไงนะ...
“เหรอคะ...”
“แต่ก็เป็นโอกาสอันดีแล้ว...”
เธอหันไปส่งยิ้มให้กับอัลม่าก่อนจะเดินตรงเข้าห้องครัวไป ซักพักก็กลับออกมาพร้อมกับขวดแก้วสีน้ำตาลเข้มในมือและแก้วน้ำสองใบ ส่วนผมที่พอจะรู้แล้วว่าพวกเธอจะทำอะไรกันจึงเดินกลับไปนั่งรอที่เก้าอี้ตัวเดิม
“กว่าเอลเซ่จะกลับก็อีกนานเลย...ระหว่างนี้ก็ขอสนุกกับเจ้านี่ก็แล้วกันนะ”
อัลม่าที่ถอดชุดเกราะเสร็จแล้วรีบตรงไปนั่งยังโต๊ะแล้วคว้าแก้วมาให้แครอลรินน้ำในขวดลงไป พวกเธอเริ่มสังสรรค์กันสองคนอย่างสนุกสนาน
“จะว่าไปดื่มแต่หัววันจะไม่เป็นไรเหรอคะ?”
“ถ้าเอลเซ่ไม่รู้ก็ไม่เป็นไรหรอกน่า...”
ชักอยากให้เอลเซ่กลับมาซะตอนนี้เลยจริงๆ...
“คุณแครอลคะ คือว่ามีเรื่องจะถามน่ะคะ...”
“หืม ว่ามาสิ...”
เธอหันมาถามพลางเลียริมฝีปาก
“อยากให้ช่วยสอนใช้เวทย์หน่อยน่ะค่ะ”
“ใช้เวทย์เหรอ อืม...”
ระหว่างที่กำลังคิดอะไรอยู่นั้นเธอก็ยกแก้วขึ้นดื่ม
“ก็ได้อยู่นะ แต่ถ้ามาน่าเธอน้อยอันนี้ก็คงต้องเสียใจด้วยล่ะนะ”
“อ่า...ค่ะ...”
“กลับมาแล้ว! อ้าวเจร่าอยู่ด้วยเหรอ?”
“สวัสดีค่ะ...”
ผู้ที่เปิดประตูเข้ามาเยือนก็คือมือธนูสาวผมสีทอง เธอกลับมาพร้อมกับถุงกระดาษเต็มสองมือ
“อ๊า~ ดื่มเหล้าแต่หัววันกันอีกแล้ว...”
“ไม่เห็นเป็นไรเลยงานก็ไปทำมาแล้ว แถมยังออกเวรแล้วด้วยใช่ไหมอัล..”
“ถูกต้อง...”
เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยแฮะ...
“เอาเถอะอย่าให้เอลเซ่จับได้ก็แล้วกัน ถ้าหัวหน้ารู้ขึ้นมาฉันก็ช่วยอะไรไม่ได้นะ”
วินเชสต้าเดินเข้ามานำถุงกระดาษในมือวางลงบนโต๊ะ พร้อมกับหยิบวัตถุดิบออกมาวางเรียกราย
“จะทำอาหารเหรอคะ?”
“อืม...ยังไม่ได้ทานข้าวเที่ยงกันเลยน่ะ”
แสดงว่าพวกเธอดื่มกันเพียวๆเลยสินะ... ซักวันกระเพราะต้องมีปัญหาแน่ๆ...
ผมหันไปมองสองสาวที่ดื่มสุรากันอย่างสนุกสนานพลางถอนหายใจออกมา
“เอาล่ะ...ฉันไปทำอาหารก่อนนะ”
“ให้ช่วยไหมคะ...”
“อื้ม... อ่ะ!...จริงด้วย…”
เธอส่งเสียงออกมาเหมือนคิดอะไรออกก่อนจะวางวัตถุดิบไว้บนโต๊ะแล้วตรงไปเปิดตู้เก็บอุปกรณ์
“นี่...จ๊ะ”
มือธนูสาวกลับมาพร้อมกับผ้าสีขาวที่พับอย่างเรียบร้อยในมือ
“อะไรเหรอคะ?”
“ก็ผ้ากันเปื้อนน่ะ”
ผมรับมาพร้อมกับยกมันขึ้นพินิจ
“เอ่อ...ระบายพริ้วๆนี่ต้องเยอะขนาดนี้เลยเหรอคะ...”
“ถ้าเจร่าได้สวมคงจะดูดีนะ...”
“แต่ว่ามัน...”
“สวมเลยสิ...”
ไม่ได้ฟังเลยสินะคะ...
เธอส่งสายตาเป็นประกายมาให้ ผมจึงนำผ้ากันเปื้อนมาสวมทับตัวอย่างช่วยไม่ได้
“อืมๆ น่ารักมาก จะว่าไป... รวบผมด้วยก็ดีนะ...”
ผมรับริบบิ้นสีขาวจากเธอมารวมผมแล้วผูกไว้เป็นทรงหางม้า
“งั้นก็ไปทำอาหารกันเถอะเนอะ...”
หลังจากทำอาหารเสร็จแล้วพวกเรากนำไปจัดเรียงบนโต๊ะ ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกันที่เอลเซ่และโลเรนกลับมาพอดี
“กลับมาแล้ว...”
“อ่า...ค่ะสวัสดีค่ะ”
“อ้าว...เจร่ามีธุระอะไรเหรอ?”
“ก็ทำนองนั้นแหละค่ะ แต่เอาไว้หลังจากทุกคนกินข้าวเสร็จก่อนก็ได้นะค่ะ”
พูดจบผมก็วางจานในมือลงบนโต๊ะ นั้นเองที่ทำให้ได้เห็นทั้งอัลม่าและแครอลกำลังนอนหมอบราบไปกับพื้นโต๊ะ
ก็พอจะเข้าใจล่ะนะ...ว่าทำไปเพื่ออะไร...
“แล้ว...พวกเธอเป็นอะไรกันน่ะ...”
คำถามของเอลเซ่ทำให้ทั้งสองคนเกิดอาการไหล่กระตุเล็กน้อย
“ปะ...เปล่า...แค่เหนื่อยนิดหน่อยน่ะ”
“อ๋อ...เหรอ... แต่ฉันคิดว่าเพราะขวดที่ซ่อนอยู่มากกว่าล่ะมั้ง...”
เอลเซ่ชำเลืองมองพลางปลดเกราะที่สวมอยู่ออก ส่วนทั้งสองคนที่ฟุบอยู่ก็ดันตัวขึ้นมานั่งเพราะไม่มีสาเหตุให้ต้องปิดบังอีกแล้ว
“เฮ้อ... เอาเถอะ! อย่าดื่มเยอะก็แล้วกัน”
“หัวหน้าใจดีจังเลยค่ะ...”
ได้ยินดังนั้นทั้งสองคนก็เริ่มดื่มน้ำเมากันต่อ
ว่าแต่... เมากันแล้วสินะนั้น...
เมื่อพร้อมแล้วทุกคนต่างก็นั่งที่และลงมือทานอาหารกัน เว้นผมเพียงคนเดียวที่ไม่ค่อยจะหิวเสียเท่าไหร่จึงนั่งทานขนมร่วมโต๊ะกับทุกคนไปพลางทั้งอย่างนั้น
ระหว่างที่ทุกคนทานอาหารอยู่ผมก็นั่งฟังสิ่งที่พวกเธอคุยกัน เหมือนว่าการซ่อมแซมบ้านเรือนกำลังคืบหน้ามากเลยทีเดียวส่วนเรื่องการขุดคลองก็เริ่มมีการลงพื้นที่เพื่อเตรียมการแล้ว
หลังจากมื้อเที่ยงผ่านไปและเก็บกวาดโต๊ะอาหารเสร็จแล้ว ผมก็มานั่งฟังแครอลอธิบายเรื่องการใช้เวทย์ แต่รู้สึกว่าอีกฝ่ายจะพูดไม่ค่อยรู้เรื่องเสียเท่าไหร่ไม่รู้ว่าสาเหตุมาจากน้ำในมือหรือเพราะผมไม่เข้าใจเอง
“ให้ลองจินตนาการว่ามีหมอกควันกำลังลอยอยู่รอบแขนดูสิ”
อืม... หมอก... ควัน...
ผมลองทำตามที่แครอลแนะนำแต่ผลที่ได้คือไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เอ่อ...ไม่เห็นจะมีอะไรเกิดขึ้นเลยค่ะ...”
“แปลกจัง...ลองตั้งหลายแบบก็แล้วนะ...งั้นขอมือซ้ายหน่อย...”
แครอลแบมือมาให้ผมจึงวางมือของตัวเองลงไปบนมือของเธอ
“ไหนดูซิ...”
เธอพูดพลางใช้นิ้วมืออีกข้างลากนิ้วไปบนฝ่ามือของผม
“เอ่อ...แปลกจังนะ...ปกติมันต้องได้สิ...”
“อะไรที่ว่าแปลกเหรอคะ?”
“ก็มาน่าน่ะ...ฉันสัมผัสไม่ได้เลย...”
“เฮ๊ะ...”
“อ่า...เหมือนจะใช้คำพูดผิดไปอ่ะนะ…ต้องบอกว่าเบาบางจนสัมผัสไม่ได้เลยมากกว่า”
ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเลยค่ะ...
“มีน้อยเหรอคะ...”
“อืมน้อย...น้อยมากด้วย...”
จบแล้ว...ความฝันของการเป็นนักเวทย์ ปกติตัวละครที่มาจากต่างโลกมันต้องมีความสามารถขั้นเทพติดตัวอยู่ไม่ใช่เหรอ? แล้วไหง...เราถึงได้...
“เสียใจด้วยนะ...เหมือนเธอจะใช้เวทย์ไม่ได้น่ะ หรือแม้แต่เรียกมาน่าออกมาก็ดูจะเป็นไปได้ยากเลย”
รู้สึกผิดหวังหนักกว่าเดิมอีก... ไม่เป็นไรไปเอาดีทางด้านการใช้อาวุธก็ได้...
“ถ้าอย่างนั้น...คุณเอลเซ่ค่ะ ช่วยสอนการใช้ดาบให้หน่อยสิคะ”
“หืม... ดาบเหรอ?”
“ค่ะ”
เธอจับคางเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยออกมา
“เอาสิ งั้นไปที่สนามซ้อมกันเลยก็แล้วกัน...”
ได้ยินดังนั้นผมก็ลุกขึ้นเดินตามอีกฝ่ายไป แต่เอลเซ่ที่หันมาพอดีก็ชี้นิ้วมาที่ผม แล้วพูดด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
“ว่าแต่จะไปทั้งชุดนั้นเหรอ...”
ผมก้มมองชุดที่สวมอยู่ก็พบว่ายังคงเป็นผ้ากันเปื้อนสีขาวที่วินเชสต้าให้มา เห็นดังนั้นผมจึงรีบถอดออกพร้อมกับพับแล้วนำไปวางบนโต๊ะ แน่นอนว่าไม่ลืมที่จะถอดริบบิ้นที่ผูกผมอยู่ออกด้วย
ซึ่งวินเชสต้าที่นั่งเหตุการณ์มาตั้งแต่เมื่อครู่ก็ก็เดินตามมาอย่างสนใจเช่นกัน ใช้เวลาเดินเกือบสองนาทีก็มาถึงสนามซ้อมต่อสู้ พื้นในสนามเป็นทรายมีไว้สำหรับป้องกันแรกกระแทกจากการต่อสู้และโดยรอบยังมีทั้งทหารและอัศวินคนอื่นๆซ้อมรบกันอยู่
เอลเซ่เดินตรงไปหยิบดาบไม้มาแล้วจึงโบกมือเรียกให้ผมตามเธอเข้าไปภายในพื้นที่ซักซ้อม เธอชักดาบข้างเอวออกมาปักไว้บนพื้นแล้วจึงเดินห่างออกไปพร้อมกับดาบไม้ในมือ
เธอหยุดเดินในระยะห่างกันไม่ถึงห้าเมตรก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ก่อนอื่นก็ต้องให้มือคุ้นชินกันน้ำหนักของดาบ ใช้ดาบของฉันบุกข้ามาได้เลย”
ผมเดินเข้าไปดึงดาบออกมาจากพื้นตามที่อีกฝ่ายบอกแต่กลับยกขึ้นมาถือได้ยากเพราะน้ำหนักของมัน
อุ...หนักจัง... นี่เอลเซ่ถือด้วยมือข้างเดียวได้ยังไงเนี่ย...
ด้วยความที่ตัวดาบหนักพอสมควรผมจึงต้องใช้สองมือประคองมันให้สามารถรักษาสมดุลจนถือไว้ได้
“งั้นก็ลองบุกเข้ามาสิ...”
แค่ถือยังยากเลย...จะให้เดินเข้าไปโจมตีเนี่ยนะ...
“เอ่อ...งั้น เอาล่ะนะคะ...”
ผมประคองดาบในมือพร้อมกับค่อยๆก้าวเดินตรงไปหาเอลเซ่ เมื่อเข้าระยะเมตรกว่าๆผมกะว่าจะพุ่งตัวเข้าไปแล้วใช้ดาบในมือฟันลงไป แต่ทว่า
“ยะ...ว๊าย~…อุฟ...”
ความเป็นจริงคือผมก้าวสะดุดจนทำให้ตัวเองล้มลงไปโชคดีที่เป็นพื้นทรายจึงไม่เจ็บมากนัก
เจ็บๆ...เฮ๊ะ...ว่าแต่ดาบในมือล่ะ?...
ผมดันตัวเองขึ้นนั่งพลางมองหาสิ่งที่เคยอยู่ในมือ
“เอ่อ...เจร่า...”
หญิงสาวผู้ยืนอยู่ตรงหน้าเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย ผมจึงเงยหน้ามองเธออย่างสงสัยก่อนจะสังเกตเห็นดาบเหล็กในมือเธอ
“ดาบน่ะใช้ฟันนะ... ไม่ได้ใช้เขวี้ยงนะ...”
“ขะ...ขอโทษค่ะ...”
ดูเหมือนว่าดาบในมือผมจะหลุดลอยไปหาเอลเซ่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเรื่องดีคือเธอเบี่ยงตัวหลบแล้วรับมันไว้ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นเราคงฆ่าเธอไปแล้ว
“จะฝึกใหม่ไหม?”
“ไม่แล้วดีกว่าค่ะ...”
ขืนถือดาบแบบนี้ไปร่วมสู้มีหวังจะทำให้พวกเดียวกันเจ็บซะเปล่าๆ...
จังหวะที่ผมลุกขึ้นมาอย่างผิดหวังเล็กน้อยก็สังเกตเห็นวินเชสต้ายืนดูอยู่ข้างสนาม เธอเดินเข้ามาหาพวกเราพร้อมกับธนูไม้ในมือ
“เหมือนดาบจะไม่ไหวนะ ลองยิงธนูไหม?”
“นั้นสินะคะ... ลองดูก็ได้ค่ะ...”
พอผมให้คำตอบไปพวกเธอก็พาเดินไปยังอีกที่หนึ่ง ที่นั้นเป็นสนามซ้อมยิงเป้าสำหรับมือธนู
“เจร่ารู้วิธียิงพื้นฐานรึยังเอ่ย?”
“ไม่เลยค่ะ...”
ได้ยินดังนั้นวินเชสต้าก็เริ่มจัดท่ายืนให้พร้อมกับยกคันธนูไม้ขึ้นมาถือ
“ยกคันศรไว้... วิธีจับก็แบบนี้นะ”
เธอสาธิตวิธีการยิงเบื้องต้นให้ดูจากนั้นก็ส่งธนูและลูกธนูมาให้ถือไว้
“จากนั้นก็น้าวสายมาอยู่บริเวณใต้คาง...ดึงสายไว้ให้ลูกธนูเป็นระนาบเดียวกับแขนนะ…ถ่ายน้ำหนักไปด้านหลังแล้วปล่อยไว้แบบนั้นก่อน...”
อ่ะ...อยู่ในท่านี้แล้วรู้สึกปวดตึงช่วงไหล่จัง...
“จากนั้นก็เล็ง....ถ้าหากว่าเล็งเสร็จแล้วก็ปล่อยสายได้เลย...”
ใช้เวลาเล็งอยู่ไม่กี้วิผมก็ปล่อยสายในทันที ผลคือนอกจากจะไม่เข้าเป้าแล้วลูกธนูยังร่วงระหว่างทางอีกด้วย
“ลองอีกซักสี่ห้าลูกเป็นไง...”
เธอหยิบลูกธนูมาส่งให้ซึ่งผมก็รับมาน้าวสายและยิงออกไปอย่างต่อเนื่อง...
“เอ่อ...ถ้าฝึกก็คงแม่นขึ้น...มั้งนะ”
ไม่มีลูกไหนที่เข้าแม้แต่จะเฉียดเข้าเป้าเลย ทุกลูกต่างลอยเป็นวิถีโค้งร่วงลงระหว่างทางเสียทุกลูก
ผมเดินตรงไปหาวินเชสต้าพร้อมกับส่งธนูในมือคืนให้
“กลับแล้วค่ะ...”
“เอ๊ะ...จะกลับแล้วเหรอ?”
“ค่ะ...”
ผมพยักหน้าให้พร้อมกับหันหลังเดินก้มหน้าออกมาอย่างรู้สึกเสียใจเล็กน้อย ทดสอบดูหลายอย่างแล้วก็เห็นว่าความสามารถในการใช้อาวุธของนั้นแย่ระดับเด็กผู้หญิงอายุคราวเดียวกันยังทำได้ดีกว่า
ยิงก็ไม่แม่น... ถือดาบก็ไม่ไหว... พลังเวทย์ก็ไม่มี... อ่า~...จะทำอะไรได้มั้งเนี่ยเรา...
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ