สาวโอตาคุกู้วิกฤตพิชิตโลก

7.7

เขียนโดย Yaksa

วันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 01.14 น.

  13 ตอน
  0 วิจารณ์
  16.65K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 02.17 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

11) การพลิกวิกฤตของเหล่านักรบสาว : ตอนจบ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     เมื่อผมลองร่างแผนการออกไปให้ให้ทุกคนได้ฟังก็เริ่มจะมีคนเห็นด้วยมากขึ้น หัวหน้าอัศวินรวมถึงราชาต่างช่วยกันออกความเห็นเสริมแผนการโดยมีหัวใจหลักของแผนคือ 'ต้องมีผู้บาดเจ็บน้อยที่สุด'

     จนเมื่อปรับแผนการได้เป็นอย่างดีแล้วหลายฝ่ายต่างลงความเห็นว่าเวลาก็มีไม่มากแล้วจึงตกลงกันว่าจะทำตามแผนการที่ผมกล่าวไป

     “ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้...เตรียมการเลย”

     กราฟิสเซลเอ่ยปิดประชุมวางแผนเหล่าอัศวินจึงสวมหมวกเหล็กและเดินออกจากห้องไปเตรียมการตามที่ได้รับสั่ง

     “คิดว่าจะไปได้สวยไหมคะ?”

     ผมเอ่ยออกไปขณะมองแผนที่ซึ่งเต็มไปด้วยตัวหมาก องค์ราชาที่ยืนอยู่ข้างๆเดินอ้อมผ่านหลังผมพลางตอบคำถาม

     “คงต้องลองดู... อีกอย่างไม่มีเวลามากแล้วด้วยไปเตรียมตัวกันเถอะ...”

     “ค่ะ...”

     ผมผละออกจากโต๊ะตรงหน้าแล้วเดินตามทุกคนออกไปจากห้อง ภายนอกนั้นเกิดความวุ่นวายขึ้นพอสมควรมีทั้งทหารสาวและอัศวินวิ่งไปมาเพื่อเตรียมการอะไรบางอย่างอยู่ ผมสูดอากาศเข้าเต็มปอดก่อนจะปล่อยออกมาอย่างโล่งใจ

     “ทำได้ดีมากจ๊ะ…”

     เดเน่เดินเข้ามาตบหลังผมผมเบาๆพร้อมกับส่งยิ้มมาให้

     “ตอนเธอวางแผนสีหน้าเปลี่ยนไปเหมือนคนที่ชำนาญด้านนี้เลยนะ”

     “อย่างนั้นเหรอคะ? พี่เดเน่คิดว่าแผนที่ฉันร่างไปจะได้ผลไหมคะ?”

     “อืม...นั้นสิ...พี่คิดว่าก็เป็นแผนที่ดีนะถึงจะทำให้บ้านเรือนเสียหายไปบ้างก็เถอะ แต่คงจะไปได้สวยอยู่แหละจ๊ะ...”

     “อ่า...เรื่องนั้นฉันคิดแผนอื่นที่ดีกว่านี้ยังไม่ออกเลยค่ะ”

     กลยุทธ์ของผู้เสียเปรียบมันมีไม่มาก...เพราะฉะนั้นคงเลือกมากไม่ได้ล่ะนะ...

     ระหว่างที่พวกเรากำลังพูดคุยกันอยู่ก็มีรถม้าวิ่งเข้ามาในค่าย รถม้าคันนั้นวิ่งเข้ามาจอดอยู่ตรงหน้าผู้นำสูงสุดของพวกเรา ผู้ที่คุมบังเหียนม้าลงมาจากรถพร้อมกับการจับชายกระโปรงแล้วจึงโค้งให้ราชา

     มะ...เมดล่ะ เมดของจริง... ทั้งกริยาท่าทางและบรรยากาศนั้น... เธอต้องเป็นเมดระดับที่สูงมากแน่ๆ

     สาวเมดเดินไปเปิดประตูรถม้าก่อนจะผายมือเชิญให้การฟิสเซลและลิซ่าขึ้นไป พวกเรายืนมองส่งทั้งสองอยู่ห่างๆแต่ลิซ่ากลับยื่นหน้าออกมาจากประตูมองมาด้วยใบหน้าสงสัย

     “ทำอะไรกันน่ะรีบขึ้นมาสิ”

     ผมมองไปอย่างมึนงงก่อนจะหันไปมองใบหน้าของเดเน่เธอส่งยิ้มมาหพลางเอ่ยบอก ‘สู้ๆ’

     “อ๊ะ...อาจารย์ก็ต้องมาด้วยนะคะ...”

     ได้ยินอย่างนั้นเดเน่เองก็ทำสีหน้าแปลกใจขึ้นมาเช่นกัน

     “ฉันด้วยเหรอ?”

     “ค่ะ...พอดีว่าอยากให้อาจารย์ช่วยฉันแต่งตัวด้วยน่ะค่ะ”

     พวกเราหันมามองหน้ากันอีกครั้งก่อนจะเดินขึ้นรถไปอย่างช่วยไม่ได้ สาวเมดคนนั้นปิดประตูแล้วจึงเดินไปคุมบังเหียนแล้วฟาดเชือกสั่งให้ม้าออกวิ่ง เมื่อรถม้ากำลังเคลื่อนที่ออกไปเราก็สัมผัสได้ถึงความสั่นไหวของรถม้า

     ภายในรถม้าดูหรูหราไม่ต่างจากภายนอกอีกทั้งยังกว้างพอสมควร ลิซ่ายกกระเป๋าหนังออกมาจากใต้เบาะนั่งแล้วเปิดออกภายในนั้นมีชุดเกราะเก็บอยู่

     “อาจารย์ช่วยหน่อยนะคะ”

     “อ่ะ...อ่าได้สิ”

     เดเน่ขยับตัวไปนั่งตรงหน้าของลิซ่าแล้วจึงหยิบเกราะบางส่วนออกมาเตรียมไว้เพื่อจะช่วยสวมให้ลิซ่า ขณะเดียวกันเจ้าหญิงก็ถอดชุดเดรสออกเผยให้เห็นชุดชั้นในลายลูกไม้และผิวขาวเนียนที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้า

     ผมรีบหันหน้ากลับมามองตรงหน้าแต่ก็เจอกับสายตาของกราฟิสเซลที่นั่งไขว่ห้างกอดอกมองผมอยู่ ผมจึงเปลี่ยนสายตามองไปยังสภาพบ้านเมืองนอกหน้าต่างแทน

 

     หลังจากราชาสั่งการตามแผนที่วางไว้โดยให้ทหารจักเตรียมพื้นที่สำหรับตอบโต้กองทัพออร์ค เมื่อทุกอย่างถูกเตรียมการไว้แล้วอัศวินต่างเข้าประจำที่แล้วความเงียบก็เกิดขึ้นภายในพื้นที่อย่างต่อเนื่องไม่มีใครส่งเสียงอะไรออกมา เพราะต่างก็เฝ้ารอตอบโต้การต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้

     ผมที่ไม่มีหน้าที่จะลงสนามรบก็ถอยออกมานอกระยะต่อสู้หลบอยู่ในบ้านหลังใหญ่ชั้นสองแต่ก็ยังคงอยู่ในพื้นที่สมรภูมิ โดยที่กราฟิสเซลและลิซ่าต่างก็นั่งย่อตัวหลบอยู่ข้างๆผมตรงหน้าต่าง ส่วนเดเน่นั้นรออยู่ที่กำแพงเมืองโดยผมได้ฝากแผนรับมือเมื่อออร์คหลุดไปถึงยังส่วนนั้นให้เธอทราบไว้ก่อนแล้ว

     ‘คิดว่ามันจะมาจริงๆไหม...’

     ลิซ่ากระซิบถาม ผมจึงหยิบนาฬิกาออกมาโดยใช้แสงจากดวงจันทร์ช่วยดูเข็มสั้นของมันชี้ไปที่เลขสิบเอ็ด

     ตอนนี้เธออยู่ในชุดนักรบเต็มยศยกเว้นก็เพียงหมวกเหล็กที่ไม่ได้สวม ชุดของเธอดูแล้วถูกทำขึ้นอย่างพิถีพิถันด้วยลวดลายบนเกราะแขนและเกราะเท้าอีกทั้งยังมีผ้าคลุมไหล่ที่ทำจากหนังสัตว์

     ‘นั้นสิ... สำหรับฉันพวกมันจะมารึไม่มาก็เป็นผลดีกับเรานะ’

     พวกเรายังคงนั่งรออยู่เงียบๆไม่มีการเคลื่อนไหวหรือส่งเสียงใดๆออกไป จนกระทั้งมีเสียงหักกิ้งไม้ดังต่อเนื่องมาถึงพวกเราเป็นระยะเป็นสัญญาณบอกว่า‘ศัตรูได้ยกทัพบุกมาแล้ว’ ลิซ่าลุกขึ้นแล้วโยนขวดแก้วลงไปเพื่อตอกกลับไปว่า ‘รับทราบแล้ว’

     ไม่นานหลังจากสัญญาณบอกถึงการมาเยือนของศัตรูก็ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าของสิ่งมีชีวิตร่างใหญ่โตกำลังย่างเท้าเท้ามาในพื้น จนเมื่อได้จังหวะผมก็หันไปพยักหน้าให้การฟิสเซลและลิซ่า

     “จุดไฟได้!!”

     ทั้งสองคนต่างลุกขึ้นแล้วตะโกนออกไปผมเองก็ลุกขึ้นมาเพื่อดูว่าแผนการที่วางไว้จะได้ผลไหม

     เกิดแสงไฟจากการร่ายเวทขึ้นบนหลังคาก่อนที่ลูกไฟนั้นจะพุ่งไปยังพื้นที่ที่เหล่าออร์คยืนอยู่เกิดเป็นกำแพงไฟลุกไหม้ลามไปทั่วบริเวณ แต่ไฟนั้นไม่ได้มีเป้าหมายหลักเพื่อโจมตีแต่เพื่อสร้างวงล้อมไว้ลดทอนกำลังของศัตรู

     และก็ได้ผลเพราะพวกมันไม่สามารถผ่านกำแพงไฟมาได้และตัวที่หมายจะกระโจนผ่านก็จะถูกกำลังรบของทางเรารอโจมตีอยู่นอกวงล้อม อีกหลายจุดที่ไกลออกไปได้เห็นแสงจากเปลวเพลิงก็เริ่มจุดไฟตีกรอบเช่นกัน

     “แผนการขั้นแรกไปได้สวยแต่เปลืองไม้กับน้ำมันเหมือนกันนะ…”

     กราฟิสเซลเอ่ยออกมาพร้อมกับเดินไปยังหน้าต่างอีกบานแล้วปีนออกไปยังหลังคาเพื่อสั่งการต่อ

     “มือธนูยิงโจมตีเข้าไปยังฝูงออร์คที่ติดอยู่ในกำแพงไฟเรื่อยๆเลย”

     เมื่อได้ยินดังนั้นมือธนูต่างก็ระดมยิงศรลงไปยังฝูงออร์คข้างล่างสร้างความเสียหายและลดกำลังพลของศัตรูได้พอสมควร แต่แน่นอนว่าพวกมันมีจำนวนร่วมหลักร้อยการล้อมกรอบแบบนี้ก็เป็นเพียงการหยุดมันไว้บ้างส่วนเท่านั้น

     เมื่อมองไปรอบๆก็เห็นตัวที่เดินอ้อมมาโจมตีเหล่าอัศวินที่รอโจมตีออร์คอยู่หน้าเปลวไฟ พวกมันเดินลากซุกไม้ขนาดใหญ่เข้ามาหมายจะโจมตีแต่ยังไม่ทันจะได้ออกมาพ้นตรอก ก็ถูกหอกเหล็กและดาบพุ่งออกมาจากบ้านเรือนเสียบทะลุร่างจนตาย

     แผนเมื่อช่วงเย็นยังใช้ได้ดีอยู่เพราะอันที่จริงพวกมันควรจะรู้ตำแหน่งที่ซ่อนของทหาร แต่เพราะผมสังเกตได้ว่าเมื่อช่วงเย็นตอนที่ผมสั่งจู่โจมมันไม่รู้ตำแหน่งของอัศวินที่ซุ่มโจมตีอยู่ เมื่อลองคิดหาสาเหตุแล้วก็คงจะมาจากการต่อสู้ตะลุมบอนจนร่างคลุกดินไปหมด

     นั้นก็ความความว่าถ้าจะซ่อนกลิ่นจากพวกมันคงจะต้องคลุกร่างกับดินจนสามารถกลบกลิ่นกายได้ ซึ่งก็ได้ผลดีทีเดียวในการซุ่มโจมตีออร์คที่คิดจะตลบหลัง การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไปเสียงของโลหะกระทบกับไม้ดังระงมมาจากทั่วสมรภูมิ

     ผมปีนออกมาจากห้องชั้นสองแล้วเฝ้ามองสงครามขนาดย่อมเบื้องล่างจากบนหลังคา โดยหวังไว้ว่าทุกๆอย่างจะดำเนินไปอย่างราบเลื่อนจนจบ

     เดี๋ยวนะ...เท่าที่ดูมายังไม่มีออร์คสีดำอยู่ในฝูงออร์คเลยนะ...

     และก็เป็นอย่างที่คิดเมื่อผมหันไปมองยังปลายสายตาซึ่งเป็นเนินทุ่ง มีร่างของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่โตกว่าออร์คทั่วไป เพราะสีผิวของมันทำให้มองเห็นได้ยากเมื่อเป็นยามราตรี ผมจึงรีบตะโกนบอกกราฟิสเซลในทันที

     “ฝ่าบาทคะ! มีออร์คบุกมาเป็นกำลังเสริมอีกแล้วค่ะ...”

     “จำนวนล่ะ?”

     ผมพยายามเพ่งมองพวกมันก่อนจะประเมินแล้วตอบออกไป

     “ประมาณเกือบยี่สิบตัวแต่ว่าพวกมันเป็นออร์คสีดำนะคะ”

     “สีดำ?”

     “ประมาณหัวหน้าของออร์คน่ะค่ะ ทั้งกำลังและพลังชีวิตสูงกว่าออร์คทั่วไปมาเลยค่ะ...”

     “เป็นปัญหาแล้วสิ แบบนี่รูปขบวนเสียแน่...”

     ลืมมันไปได้ไงเนี่ยเรา...รู้งี้เอาแผนสำหรับป้องกันออร์คหน้ากำแพงมาใช้กับพวกมันดีกว่า...

     ระหว่างที่คิดแบบนั้นก็เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นบริเวณหน้ากำแพงเมือง เมื่อหันกลับไปดูก็พบเปลวไฟและกลุ่มควันลอยออกมา สิ่งนั้นคือไม้ตายสำหรับสังหารออร์คที่บุกเข้ามาจนถึงพื้นที่ส่วนหลังได้สำเร็จ

     นั้นคือระเบิดอย่างง่ายที่ทำจากน้ำมันและดินระเบิดบรรจุลงในถังไม้  วิธีการทำงานก็ง่ายๆเพียงแค่ยิงธนูไฟให้โดนฉนวนก็เกิดแรงระเบิดพอจะสังหารออร์คที่ยืนเป็นกลุ่มได้หลายตัว

     แต่ตอนนี้ปัญหาจริงๆคือออร์คสีดำเกือบยี่สิบตัวที่กำลังเข้ามาในสมรภูมิ ผมรีบเดินไปยืนข้างราชาเพื่อปรึกษา

     “สั่งให้คนถอยห่างมันก่อนดีไหมคะ...”

     “ให้มือดีของฉันช่วยถ่วงเวลาแล้วกัน ระหว่างนั้นก็เรียกอัศวินระดับหัวหน้ามาช่วยในการรับมือ”

     การฟิสเซลหันมาบอกกับผมก่อนจะตะโกนสั่งการออกไป

     “อัศวินระดับสูงตามฉันมา! ส่วนอัศวินระดับหัวหน้าหน่วยทุกคนถอยออกมาจากแนวรบที่ประจำอยู่แล้วเปลี่ยนมาช่วยรับมือออร์คสีดำ! บอกไปยังคนอื่นๆที่อยู่ห่างออกไปด้วย!”

     พูดจบเธอก็กระโดดลงไปจากหลังคาในทันที

     เดี๋ยว...นี่มันชั้นสองนะ...

     ผมรีบชะโงกตัวออกไปดูก็พบว่านอกจากอีกฝ่ายจะไม่เป็นอะไรแล้วยังออกเดินไปรวมกลุ่มกับอัศวินเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ผมจึงเดินถอยกลับมาแล้วหันไปมองลิซ่าที่ยืนอยู่ข้างๆ

     “ฉันไม่กระโดดลงไปหรอกนะ”

     เธอพูดออกมาพลางหันหลังเดินไปยังบันไดเพื่อลงไปด้านล่างผมยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะเดินตามเธอลงไป

     ที่ด้านล่างเหล่าคนที่น่าจะเป็นอัศวินระดับสูงและหัวหน้าอัศวินต่างก็กำลังเดินไปพร้อมกับวางแผนเพื่อรีบมือเหล่าออร์คสีดำที่กำลังบุกเข้ามาซึ่งผมเองก็เดินเข้ามาร่วมฟังการสนทนาเช่นกัน

     “เอลเซ่เธอเคยรับมือกับมันใช่ไหม?”

     อัศวินจากกองอื่นหันมาเอ่ยถามเอลเซ่ระหว่างที่เดินไปนั้นเอง

     “ก็ใช่อยู่...แต่ตอนนั้นมีแค่ตัวเดียวนะ”

     “แค่ตัวเดียวลำบากขนาดนั้นเลยเหรอ?”

     “ประมาณนั้นแหละเพราะมันพละกำลังมากกว่าออร์คทั่วไป...”

     “จุดอ่อนล่ะ...”

     การฟิสเซลเอ่ยขึ้นจากด้านหน้าซึ่งเธอกำลังเดินนำทุกคนอยู่

     “เคยล่มมันได้แล้วจุดอ่อนของมันล่ะ?”

     “น้ำหนักตัวค่ะ... พวกมันวิ่งได้ไม่ไกลอีกทั้งหากทำให้มันเสียสมดุลได้ก็อาจล้มลงไปเลย”

     ผมตอบคำถามนั้นแทนเอลเซ่พอชำเลืองมองเธอ เอลเซ่ก็พยักหน้าให้

     “แต่ก็ประมาทไม่ได้หรอกนะคะ ต่อให้ล้มลงมันก็ยังมีกำลังเหลืออยู่”

     “ถ้าอย่างนั้นวิธีรับมือล่ะ?”

     ราชาผู้นำทัพยังคงต้องการวิธีการที่จะล่มมันให้ได้

     “เอ่อ...เพราะตอนนี้เรามีกำลังพลมากกว่ามัน คงต้องทำให้มันเสียสมดุลก่อนแล้วค่อยใช้หอกรึไม่ก็ธนูระดมโจมตีจากระยะไกล...น่าจะได้ผลนะคะ”

     “หมายความว่าตัดขามันได้ก็พอสินะ”

     การฟิสเซลเอ่ยพร้อมกับชักดาบข้างเอวออกมา ประกายดาบสะท้อนกับแสงจันทร์จนดูงดงาม ผมเอี้ยวตัวมองลอดเหล่านักรบเบื้องหน้าก็เห็นว่าอีกไม่กี่สิบเมตรก็จะถึงจุดเข้าปะทะออร์คสีดำ

     เพราะไม่มีอาวุธและยังไม่มีความสามารถมากพอในการต่อสู้ผมจึงหยุดเดินแล้วปล่อยที่เหลือให้ทุกคนจัดการ ทุกครั้งที่เข้าใกล้อสูรกายมากขึ้นทุกคนต่างก็หยิบจับอาวุธออกมาเตรียมพร้อม จนเมื่อถึงระยะห่างกันไม่กี่เมตรทุกคนต่างก็ตะโกนโห่ร้องออกมาแล้วเข้าฟาดฟันกับพวกมัน

     ออร์คที่อยู่ด้านหน้าสุดเข้าโจมตีราชาแต่เธอก็สามารถกระโดดหลบออมาด่านข้างได้ก่อนจะพุ่งตัวผ่านมันไปด้านหลังพร้อมๆกับฟันคมดาบตาขาของมัน

     ผมมองการต่อสู้นั้นอย่างมีสมาธิเพื่อจะหาจุดที่จะสามารถให้คำแนะนำได้

     “พยายามล่อมันออกห่างกัน แล้วค่อยใช้คนประมาณสามคนขึ้นไปรุมจัดการมันทีล่ะตัวก็แล้วกันนะคะ”

     ทุกคนได้ยินดังนั้นก็พยายามสร้างบาดแผลเพื่อยั่วยุมันให้โกรธแล้วจึงวิ่งล่อมันออกไปจากจุดเดิม ก็นับว่าได้ผลดีพอควรออร์คสีดำเหล่านั้นต่างก็กระจายตัวกันจนกลุ่มอัศวินต่างเข้าโจมตีโดยไม่ต้องกังวลลูกหลงจากตัวอื่น

     แต่ก็มีผลเสียจากการโจมตีของอสูรกายที่ทำให้บ้านเรือนราบเป็นหน้ากองในการโจมตีเพียงครั้งเดียว ไปๆมาๆสนามรบตรงหน้ากลับกลายเป็นพื้นที่โล่งที่มีซากของบ้านเรือนกระจายอยู่เต็มพื้น

     แม้ว่าคนของเราจะพลาดท่าถูกโจมตีจนปลิวไปกระแทกพื้นอยู่หลายครั้งแต่พวกเธอก็ลุกขึ้นมาแล้วเข้าต่อสู้ต่ออย่างไม่เกรงกลัว

     จบศึกนี่เราไปฝึกการใช้อาวุธบ้างดีกว่าแฮะ...

     “คนที่มีธนูหรือหอกพยายามโจมตีไปที่มือของมันเพื่อปลดอาวุธก่อนเลยค่ะ”

     หลังจากให้คำแนะนำไปผมก็ชำเลืองมองไปยังลิซ่าด้วยความเป็นห่วง แล้วก็ได้เห็นลีลาท่าทางการต่อสู้ที่ต่างไปจากช่วงเย็น ดูเธอจะสามารถดึงความสามารถทั้งหมดออกมาได้อย่างเต็มที่ทั้งการหลบหรือโจมตี

     แม้จะมีบางจังหวะที่ดูออกได้ว่าเธอเองก็ยังขาดประสบการณ์อยู่ ส่วนทางผู้เป็นพ่อก็สามารถโจมตีหลบหลีกได้ด้วยการเคลื่อนไหวราวกับเต้นรำ อีกทั้งยังเป็นผู้ที่ค่อยจัดการตัดขาล้มออร์คให้เสียซะส่วนใหญ่ด้วย

     สมกับเป็นองค์ราชาผู้นำของเหล่านักรบจริงๆ...

     ผมเองก็มองการต่อสู้นั้นอย่างหลงใหลก่อนจะได้สติแล้วกลับมาเฝ้ามองภาพรวมการต่อสู้ทั้งหมด

 

     กินเวลากว่าหนึ่งชั่วโมงการต่อสู้ก็เริ่มมีทีท่าว่าจะเริ่มอ่อนกำลังลง ทั้งฝั่งเราและศัตรูต่างก็เริ่มเหนื่อยล้าแต่ด้วยจำนวนที่มากกว่าและมีการวางแผนต่อให้อีกฝ่ายเป็นอสูรกายกำลังมหาสารก็ทำให้เราต่อสู้ได้อย่างสูสี

     จนสุดท้ายจำนวนของออร์คสีดำก็ลดลงเหลือห้าตัว แต่จำนวนคนของเรายังคงอยู่ครบแม้จะเหนื่อยอ่อนจนต้องถอยกลับออกไปก็ตาม

     ผมมองกลับไปยังสมรภูมิด้านหลังเสียงต่างๆเริ่มเงียบลงแต่ก็มีดังขึ้นเป็นระยะๆ นั้นหมายความว่ายังคงมีการต่อสู้อยู่ในอีกบางพื้นที่ ส่วนกำแพงไฟที่สร้างไว้ก็ดับมอดไปเสียแล้ว

     ถ้าอย่างนั้นก็เหลือแค่เก็บงานก็พอล่ะนะ...

     กราฟิสเซลกระโจนขึ้นไปบนหลังของออร์คตรงหน้าก่อนจะใช้ดาบในมือปักลงที่หลังคอมันแล้วทิ้งน้ำหนังตัวลงมา สร้างบาดแผลขนาดใหญ่ให้กับมันจยเลือดสีดำทะลักออกมา แต่เธอก็ยังคงต่อกระบวนท่าด้วยการใช้ดาบตัดข้อพับขาของมันแล้วถีบให้มันล้มลงไปข้างหน้า

     ร่างของอสูรกายตัวนั้นค่อยๆเอนลงมาด้านหน้าแต่ระหว่างที่มันร่วงลงมา ลิซ่าที่อยู่บริเวณนั้นพอดีก็วิ่งเข้าไปตรงหน้าแล้วหมุนตัวใช้ดาบฟันคอของมันเพื่อปลิดชีพแม้จะไม่ขาดแต่มันก็แทบจะตายในทันที ก่อนจะกระโดดถอยออกมาไม่ให้ร่างของออร์คทับตน

     พ่อลูกคู่นี้...โหดจังแฮะ...

     ระหว่างที่ผมคิดแบบนั้นคนอื่นๆต่างก็เริ่มจัดการล้มออร์คตัวที่เหลืออยู่ จนในที่สุดพื้นที่ตรงหน้าไร้ซึ่งวี่แววของศัตรู

     “ทำได้ดีมากทุกคน เอาล่ะ...เตรียมถอยได้...”

     องค์ราชากล่าวพร้อมกับสะบัดดาบในมือก่อนจะเก็บลงฝัก อัศวินคนอื่นได้ยินดังนั้นต่างก็แบกพวกพ้องที่หมดแรงและบาดเจ็บกลับไปยังสมรภูมิด้านหลัง ส่วนกราฟิสเซล ลิซ่า เอลเซ่ และผม ต่างก็ยืนดูสถานการณ์ด้วยรอบให้แน่ใจอีกครั้ง

     “เหมือนจะหมดแล้วนะคะ”

     เอลเซ่เอ่ยออกมาพลางมองไปรอบๆ

     “นั้นสินะคะ...แต่ด้านหลังยังมีอยู่อีกนะคะ”

     ผมเดินเข้าไปพูดคุยกับเอลเซ่ ซึ่งกราฟิสเซลและลิซ่าต่างก็เดินเข้ามาเช่นกัน

     “ไปได้สวยเลยล่ะแผนการที่เธอวางไว้”

     “ขอบคุณค่ะ ฝ่าบาท”

     “อื้ม ลิซ่าเองก็ทำได้ดีนะสมกับเป็นลูกจริงๆ”

     ผู้เป็นพ่อกล่าวชมลูกสาวก่อนจะยกมือขึ้นมาถอดถุงมือและลูบศรีษะเธอเบาๆ

     “เอาล่ะ...พวกเราเองก็กลับกันเถอะ ยังเหลืองานอยู่อีกเยอะเลยล่ะนะ”

     พวกเราต่างก็เห็นด้วยจึงหันหลังออกเดินกลังไปยังพื้นที่ส่วนหลัง ระหว่างที่เดินไปนั้นผมได้ยินเสียงอะไรบางอย่างแผ่วเบาที่ด้านหลังแต่ก็ไม่ได้คิดหันกลับไปดูเพราะกำลังครุ่นคิดถึงอะไรหลายๆอย่างในสิ่งที่พวกออร์คทำ

     จนเมื่อเราเดินกันยังไม่ทันจะออกนอกพื้นที่สู้รบเมื่อครู่ เอลเซ่ที่ยืนอยู่ข้างๆผมก็พุ่งตัวไปหาลิซ่าอย่างรวดเร็ว

     “ท่านลิซ่า! ระวัง!”

     ผมเบนสายตามองตามเธอไปอย่างรวดเร็ว เอลเซ่ใช้แขนขวาของตนผลักลิซ่าให้หลบอยู่ข้างหลัง ส่วนแขนซ้ายก็ยกขึ้นมาป้องกันตัวเองเอาไว้และตรงแขนนั้นเองที่เธอถูกดาบแทงจนทะลุอยู่

     “คุณเอลเซ่!”

     ผมวิ่งไปหาเธอพลางมองดาบสีดำที่ปักแขนเธออยู่ ที่ด้ามจับมีถุงมือเกราะเหล็กกำลังจับอยู่เพียงแต่ว่าตั้งแต่ศอกขึ้นไปกลับไม่พบร่างของศัตรูมีเพียงเส้นสีดำโยงยาวมาจากร่างของออร์คสีดำเหล่านั้น

     “อะไรเนี่ย...”

     กราฟิสเซลชักดาบออกมาหมายจะฟันลงยังมือที่จับดาบอยู่ แต่เจ้ามือนั้นกลับรับรู้ถึงการโจมตีที่จะเกิดขึ้นมันจึงจับดาบแล้วดึงออกมาจากแขนเอลเซ่ ก่อนจะกลับไปลอยอยู่ระหว่างซากศพของเหล่าออร์ค

     เส้นสีดำจากร่างของออร์คถ้าจะเรียกให้ถูกก็คือเลือดของมันกำลังก่อตัวเป็นรูปร่างของนักรบเกราะทมิฬ ส่วนอาวุธด้ามจับดาบค่อยๆยาวขึ้นจนกลายเป็นหอก มันเริ่มขยับคอตัวราวกับกำลังบิดขี้เกียจอยู่

     “ตัวอะไรเนี่ย...”

     กราฟิสเซลตั้งท่าพลางเอ่ยพึมพำออกมา

     “รูปร่างเหมือนมนุษย์เลย...แต่มันโจมตีเรา...”

     ลิซ่าเองก็เช่นกันเธอจับแขนของเอลเซ่ไว้เพื่อห้ามเลือดแล้วมองไปยังนักรบสวมเกราะสีดำตรงหน้า

     “ความสามารถในการจำแลงกายนั้น...เผ่าเด็นซีว่า? ไม่สิ...อาจจะเป็นเซรูรานก็ได้...แต่เกราะแบบนั้น...”

     ระหว่างที่ผมพึมพำประเมินอีกฝ่ายออกมา เจ้าสิ่งที่เหมือนมนุษย์ในชุดเกราะก็พุ่งหอกเข้ามาหมายจะเอาชีวิตผม เคราะห์ดีที่กราฟิสเซลเข้ามาปัดป้องไว้ได้ก่อน

     “กะฆ่ากันเต็มที่เลยสินะ...”

     ผมเดินถอยหลังกลับไปแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงชวนหวาดกลัว

     [ยอมจำนนเสีย...]

     “ก็พูดได้...นี่!”

     คราวนี้ราชาเป็นฝ่ายพุ่งตัวเข้าไปโจมตีมันก่อนบ้าง ทั้งสองต่างใช้อาวุธในมือเข้าฟาดฟันและห้ำหั่นกัน กราฟิสเซลยังคงฟาดฟันดาบด้วยกระบวนท่าที่พลิ้วไหวแม้ว่าจะเหนื่อยอ่อนอยู่แต่

     “ฉันจะไปตามคนมาช่วยนะ”

     ผมบอกกล่าวกับเอลเซ่และลิซ่าแล้วจึงผละออกเพื่อวิ่งไปยังสมรภูมิเบื้องหลัง ผมวิ่งมาจนถึงพื้นที่ต่อสู้ช่วงกลางโดยหวังจะได้ความช่วยเหลือจากเหล่าอัศวินระดับสูงหรือไม่ก็คนระดับหัวหน้าหน่วยคนอื่น แต่เสียงตะโกนขอความช่วยเหลือของผมกลับไม่ได้มีใครสนใจเลย

     ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาไม่มีใครที่ว่างพอจะให้ความช่วยเหลือได้เลยเพราะพวกเธอเองต่างก็ติดพันกับฝูงออร์ค และเหมือนว่าอัศวินระดับสูงหรือหัวหน้าอัศวินต่างก็กลับไปต่อสู้ที่จุดอื่นกันหมดแล้ว

     จะใครก็ได้...ช่วยที...ขอคนมาช่วยตอนนี้ที...

     “ขอร้องล่ะค่ะ จะใครก็ได้ช่วยตามมาหน่อยเถอะค่ะ!!”

     ผมยังคงวิ่งตะโกนขอความช่วยเหลือต่อไปแต่ก็สะดุดเข้ากับก้อนหินจนล้มพับลงไปกับพื้น

     ถ้าไปช้ามีหวัง...

     ขณะที่ผมกำลังพยายามจะลุกขึ้นเพื่อจะออกวิ่งขอความช่วยเหลืออีกครั้ง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินออกมาจากตรอกแต่เสียงนั้นผมรับรู้ได้เลยว่ามันไม่ใช่เสียงเดินของมนุษย์ ร่างของอสูรกายตัวใหญ่เดินออกมาสะท้อนกับแสงจันทร์จนเห็นร่างชัดเจน

     มันกู่ร้องพร้อมกับเอื้อมมือมาหมายจะโจมตี ผมมองไปรอบๆแต่ก็ไม่พบใครและที่มันไม่ถูกลอบโจมตีก็หมายความว่าไม่มีทหารสาวอยู่แถวนี้

     ระหว่างที่คิดยอมแพ้ชีวิตแล้วอยู่นั้น ก็มีลูกธนูพุ่งมาปักดวงตาทั้งสองของมัน ก่อนจะตามด้วยที่มือของเจ้าออร์คตรงหน้าเกิดเปลวไฟลุกขึ้น พร้อมกับปรากฏร่างของอัศวินผู้กระโจนลงมาจากหลังคาแล้วใช้ขวานในมือฟาดตรงเข้าหัวของมัน

     อัศวินคนนั้นยืนบนร่างของมันแล้วใช้ขวานในมือสับหัวมันอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

     “เจร่าเป็นอะไรมากไหม?”

     เสียงอันคุ้นเคยเอ่ยถามขึ้นจากด้านหลัง เมื่อหันกลับไปมองก็พบกับอัศวินที่สามารถรู้ได้เลยว่าเธอเป็นใครภายใต้เกราะนั้น

     “คุณ...โลเรน...”

     “ลุกขึ้นก่อนดีไหม...?”

     เธอส่งมือมาให้แล้วดึงผมขึ้นจากพื้น อีกสามคนที่ช่วยโจมตีเมื่อครู่ต่างก็วิ่งมารวมกลุ่มเช่นกัน

     “ทำไมมาอยู่ตรงนี้ล่ะ ฝ่าบาทกับท่านลิซ่าล่ะ”

     แล้วสมองของผมก็กลับมาทำงานอีกครั้ง

     “ชะ…ใช่แล้ว...ขอร้องล่ะค่ะ...ช่วยมากับฉันด้วยนะคะ”

     เพราะไม่มีเวลาจะอธิบายอะไรแล้วผมจึงออกวิ่งนำไป เพื่อให้ทั้งสี่คนรีบตามมาช่วยกราฟิสเซลซึ่งกำลังรับมือกับนักรบเกราะทมิฬอยู่

     เมื่อวิ่งมาถึงภาพที่ไม่เชื่อก็ปรากฏต่อสายตาพวกเราทั้งห้าคน เอลเซ่และลิซ่านอนหมดราบอยู่ที่พื้น ส่วนราชาของพวกรากำลังถูกศัตรูตรงหน้าบีบคอจนลอกเหนือพื้นพร้อมด้วยหอกในมือนักรบเกราะดำที่กำลังเปลี่ยนเป็นดาบหมายจะปลิดชีพผู้อยู่ตรงหน้ามัน

     วินเชสต้าคว้าธนูออกมายิงไปยังเป้าหมายตรงหน้าอย่างรวดเร็ว มันปล่อยมือจากกราฟิสเซลจนเธอร่วงกระแทกพื้นแล้วใช้มือนั้นรับลูกธนูด้วยปฏิกิริยาตอบสนองอันน่าเหลือเชื่อ มือธนูสาวยังคงยิงศรไปอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างพื้นที่ให้มันถอยห่างไป

     อัลม่าและโลเรนรีบใช้จังหวะนั้นวิ่งเข้าไปพาร่างของทั้งสามคนออกมา ส่วนแครอลที่ได้ร่ายเวทเตรียมไว้ตั้งแต่มาถึงก็เริ่มใช้เวทนั้นรักษาทุกคนในทันที

     “เป็นยังไงบ้างคะ…”

     “ฉันร่ายเวทพื้นฟูแล้วความเจ็บปวดกับความอ่อนล้าจะลดลง แต่บาดแผลคงจะยังไม่หายน่ะ”

     “งั้นเหรอคะ…”

     ผมคว้าดาบของลิซ่ามาพร้อมกับถอดผ้าคลุมไหล่ออก แล้วจึงฉีกมันเป็นเศษเพื่อนำไปประถมพยาบาลเอลเซ่และกราฟิสเซลซึ่งมีบาดแผลค่อนข้างมากพอสมควร

     “...พวกเธอ...”

     เอลเซ่ที่ได้สติแล้วมองมายังพวกเราก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นมานั่งชันเข่า

     “โดนมาหนักเลยนะ... หัวหน้า...”

     โลเรนเอ่ยพร้อมกับส่งดาบสองเล่มไปให้เอลเซ่

     “มาเอาคืนมันกัน...”

     เอลเซ่พยักหน้าให้ก่อนจะรับดาบแล้วลุกขึ้นมา ส่วนทางของกราฟิสเซลและลิซ่ายังคงนอนสลบไม่ได้สติ โลเรนและอัลม่าจึงพาพวกเธอไปหลบภายในบ้านเสียก่อน

     “ลูกธนูฉันจะหมดแล้วนะ!”

     วินเชสต้าตะโกนบอกพร้อมกับกระโดดถอยออกมา ทุกๆคนต่างหยิบอาวุธของตนแล้วหันมองสหายร่วมรบก่อนจะพุ่งเข้าไปต่อกรกับศัตรูตรงหน้า โลเรนที่วิ่งเข้าถึงตัวมันก่อนก็ใช้หอกในมือขวาแทงไปอย่างรวดเร็วซึ่งอีกฝ่ายก็สามารถหลบได้อย่างชำนาญ แต่จังหวะที่มันเบี่ยงตัวหลบนั้นโลเรนก็ใช้โล่ใหญ่ๆในมือซ้ายกระแทกเข้าหน้ามันอย่างจัง

     ก่อนจะถอยออกมาให้อัลม่าได้เข้ามาสู้กับมันในระยะประชิดแทน ศัตรูใช้หอกในมือได้เชี่ยวชาญมันควงหอกในมือไปมารอบตัวพร้อมกับปัดป้องการโจมตีของอัลม่า เอลเซ่ที่เหมือนจะยังเคืองมันอยู่ไม่น้อยก็กระโจนเข้าไปร่วมวงอีกคน

     ทั้งสามคนต่างใช้อาวุธในมือเข้าห้ำหั่นกันอย่างบ้าคลั่งแม้ว่าจะเป็นการต่อสู้แบบสองต่อหนึ่งแต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้สะทกสะท้านเลย มันยังคงควงหอกในมือแล้วปัดป้องได้อยู่ตลอด

     ขณะเดียวกันนั้นเองที่แครอลร่ายเวทเสร็จพอดี เปลวเพลิงขนาดใหญ่พุ่งไปยังเป้าหมายตรงหน้าเอลเซ่และอัลม่าต่างกระโดดถอยออกมาอย่างรู้จังหวะแม้ว่าแครอลไม่ได้ตะโกนบอก

     สำเร็จไหมนะ...

     จังหวะที่ผมคิดแบบนั้นร่างของนักรบเกราะดำก็เดินออกมาจากเปลวเพลิงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แครอลจึงเริ่มร่ายเวทอีกครั้งทันที

     “ตายยากจริงเลย...แกเนี่ย”

     โลเรนสบถออกมาด้วยความหงุดหงิดพร้อมกับกระโจนเข้าใส่อีกครั้ง แต่ในรอบนี้เธอปาหอกในมือผ่านร่างของมันไปแล้วใช้เพียงโล่และหมัดที่เหลืออยู่ต่อสู้กับนักรบตรงหน้า โดยพยายามตีวงล้อมบีบให้มันกลับเข้ามาอยู่ในพื้นที่

     และนั้นอาจเป็นจังหวะที่วินเชสต้ารอมานานเธอวิ่งเข้าไประหว่างนั้นก็คว้าลูกธนูที่ยิงไปตกรอบๆตอนแรกขึ้นมาน้าวสายยิงออกไป โดยเธอใช้วิธีนี้ในการเข้าต่อสู้กับอีกฝ่ายกล่าวง่ายๆคือยิงศรไปแล้วเอื้อมมือไปเก็บจากพื้นที่โดยรอบมายิงอีกครั้งในระยะประชิด

     ทั้งสองเข้าขาได้ดีเหมือนคู่ของอัลม่าและเอลเซ่เมื่อครู่ แต่ศัตรูเริ่มจับทางได้แล้วมันจึงใช้หอกในมือกวาดพื้นที่หักลูกธนูทั้งหมดจนมือธนูต้องเปลี่ยนมาใช้คันธนูสู้แทนซึ่งนั้นก็ไม่ได้ทำให้เธอลำบากเลย

     เอลเซ่และอัลม่าต่างก็วิ่งเข้าไปร่วม การต่อสู้จึงเปลี่ยนเป็นสี่ต่อหนึ่งและเหมือนจะได้ผล การตอบสนองของศัตรูเริ่มช้าลง อีกฝ่ายเริ่มปัดป้องรับการจู่โจมของทั้งสี่คนได้ยากขึ้น มันจึงวาดหอกหวดไปรอบตัวเพื่อสร้างระยะห่าง ก่อนจะพยายามเปลี่ยนหอกในมือให้กลายเป็นดาบสองเล่ม

     แต่ขณะที่อาวุธในมือกำลังก่อตัวเป็นรูปร่างของดาบอยู่นั้น สายฟ้าสีขาวก็พุ่งตรงเข้ายังมือของนักรบคนนั้นจนอาวุธหลุดออกจากมือกระเด็นร่วงลงพื้นห่างออกไป

     มันชำเลืองมองมายังแครอลก่อนจะพุ่งเข้าหาเธออย่างรวดเร็ว พร้อมกับตั้งท่าทำมือที่เหมือนจะแทงมายังคอให้ตายในทีเดียว แต่โลเรนก็เข้ามาใช้โล่บังไว้เสียก่อน ทำให้แรงที่มันพุ่งเข้าปะทะเข้ากับโล่เกิดเสียงดัง

     อัลม่าและเอลเซ่เองก็รีบใช้จังหวะนั้นเข้าโจมตีอีกฝ่ายจนสร้างบาดแผลได้  นักรบผู้ไร้ซึ่งอาวุธกระโดดถอยหลังกลับไปในตำแหน่งเดิม แต่ระหว่างที่เท้าของอีกฝ่ายเพิ่งจะถึงพื้นทันใดนั้นเองก็มีหอกพุ่งมาเสียบทะลุร่างของมัน

     ผมมองไปรอบๆเหล่านักรบอัศวินกองที่34ต่างก็อยู่ครบทุกคนแล้วหอกนั้นลอยมาจากใคร นักรบเกราะดำจับหอกที่เสียบทะลุร่างแล้วหันกลับไปมองด้านหลัง ที่ตรงนั้นปรากฏร่างของสตรีผมสีแดงกำลังเดินเข้ามาพร้อมกับดาบในมือ

     “ขอบใจสำหรับหอกนะ…”

     กราฟิสเซลเอ่ยขึ้นมาซึ่งก็ทำให้ผมเข้าใจแล้วว่าหอกนั้นคือของโลเรนที่เธอคว้างมันออกไปเมื่อครู่

     หมายความว่าเธอเดินอ้อมไปอีกทางก่อนจะปาหอกใส่มันจากนั้นหลังสินะ...

     ราชาของพวกเราเดินย่างสามขุมเข้าหาศัตรูตรงหน้าแล้วใช้มือที่ว่างอยู่จับหอกที่ยังปักอยู่บนร่างของอีกฝ่าย จากนั้นจึงใช้เท้าถีบร่างนั้นเสริมแรงในการดึงหอกออก

     ร่างนั้นของนักรบเสียหลักจนกลิ้งไปกับพื้นพร้อมกับเลือดสีสำทะลักออกมาจากบาดแผล ก่อนที่หอกนั้นจะเสียบลงปักต้นขาของอีกฝ่าย การกระทำนั้นของกราฟิสเซลทำเอาผมถึงกับใจสั่นด้วยความหวาดกลัว

     หะ...โหดมาก...

     “เอาล่ะ...แกเป็นใคร?”

     ราชาเอ่ยถามพลางใช้เท้าเหยียบอกอีกฝ่ายไว้ไม่ให้ลุกแล้วใช้ดาบในมือจ่อไปที่คอ เหมือนว่าการต่อสู้จะจบลงแล้วทุกคนต่างก็เก็บอาวุธแล้วเดินเข้าไปหาศัตรูที่นอนอยู่ใต้เท้าของกษัตริย์

     “จะถามอีกแค่ครั้งเดียว...แกเป็นใคร?”

     น้ำเสียงของกราฟิสเซลทำให้พวกเราต่างแปลกใจเพราะไม่คิดว่านี้จะเป็นอีกตัวตนของราชาผู้ที่เราทานอาหารเย็นด้วยเมื่อเร็วๆนี้ อีกฝ่ายเงียบได้ไม่นานซักพักก็หัวเราะออกมา

     [หึๆ...อะไรกันพวกแกยังไม่รู้อีกเหรอว่ากำลังเผชิญกับอะไร...]

     “แล้วไง...แกเป็นคนของเผ่าไหน?”

     [ไม่...พวกข้าไม่ใช่ตัวตนกระจอกระดับอยู่เป็นเผ่าพันธุ์ แต่เป็นสิ่งที่จะปกครองโลกนี้...]

     หมายความว่าไง... ไม่ใช่คนจากเผ่าไหนเลยงั้นเหรอ?...

     “หรือว่าเป็นเผ่าที่ไม่ได้ถูกบันทึกหรือระบุไว้...แล้วเป้าหมายของแกคืออะไร?”

     ผมลองเอ่ยถามดูบ้างเผื่อจะได้ข้อมูลเพิ่มเติม

     [ก็บอกไปแล้ว...ปกครองโลกนี้ไงล่ะ...ไม่ต้องห่วงที่เมืองอื่นหรือต่างเผ่าเราก็ส่งคนไปบุกโจมตีแล้วเช่นกัน...]

     อีกฝ่ายพูดพลางขยับยกมือซ้ายขึ้นมาเอลเซ่จึงชักดาบทั้งข้างเอวออกมาปักแขนทั้งสองไว้ในทันที

     อันนี้เพราะเอาคืนหรือระวังตัวกันนะ...

     [แต่ก็เหมือนจะพลาดเสียส่วนใหญ่...เอาเถอะ...รอวันที่สุริยันถูกกลืนหายไปนายใหญ่ของเราก็จะฟื้นกลับมาอีกครั้ง]

     “ใครนายใหญ่ของแกที่ว่า...”

     กราฟิสเซลยังคงออกแรงเหยียบร่างอีกฝ่ายเอาไว้พร้อมกับถามออกไป

     [ราชันผู้ปกครองทุกสิ่ง(Overlord)ไงล่ะ]

     เหมือนสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวมาจะทำให้ทุกคนเกิดอาการตกใจพอสมควร เพียงแต่มีกราฟิสเซลคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้สนใจมันนัก

     “นิทานหลอกเด็ก...”

     [หึ...แต่จุดกำเนิดก็คือเรื่องจริง...หลอกตัวเองต่อไปเถอะ...แล้ววันนั้น!]

     นักรบเกราะทมิฬออกแรงยกแขนซ้ายขึ้นจนหลุดออกจากดาบที่ปักอยู่ จากนั้นก็แทงมือเข้าที่ซอกคอของตนจนทำให้ทุกคนโดยรอบได้สติกลับมา

     [วันที่จักรวรรดิของพวกเราจะกลับมา...ยิ่งใหญ่...อีก...ครั้ง...]

     เสียงของอีกฝ่ายๆค่อยๆขาดช่วงก่อนจะเงียบไป ราชาของพวกเราขยับตัวออกจากร่างไร้วิญญาณนั้นแล้วเก็บดาบเข้าฝักข้างเอว ด้วยความสงสัยผมจึงเดินเข้าไปแล้วถอดหมวกเหล็กของศัตรูออก

     ภายใต้นั้นปรากฏเพียงแค่หัวกะโหลกของมนุษย์ด้วยความตกใจผมจึงโยนหมวกทิ้งแล้วถอยห่างออกมา

     “ที่อีกฝ่ายพูดมาหมายความว่าไงเหรอคะ?”

     ผมเอ่ยถามทุกคนโดยรอบแต่ก็ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา

     “เรื่องที่ได้ยินคงต้องเก็บเอาไปคิดวันหลังล่ะนะ ตอนนี้จัดการกับปัญหาตรงหน้าก่อนก็แล้วกัน...”

     กราฟิสเซลสรุปออกมาแล้วก็ออกไปกลับไปยังสมรภูมิเบื้องหลัง นักรบสาวทั้งห้าต่างก็เดินตามไปเช่นกัน โดยโลเรนแยกตัวเดินเข้าไปในบ้านเมื่อครู่เพื่ออุ้มลิซ่าที่ยังคงไม่ได้สติออกมาแล้วพากลับเมือง

     ผมครุ่นคิดถึงคำพูดของนักรบคนเมื่อครู่ระหว่างเดินตามทุกคนไป โดยหันกลับไปมองร่างนั้นที่นอนอยู่อีกครั้งอย่างกระวนกระวายในใจ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา